9

บทที่ 9


9
เกสรีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อไปถึงร้านกาแฟที่เป็นสถานที่นัดหมายแล้วพบว่าอีกฝ่ายมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เธอยกแขนขึ้นมองนาฬิกาข้อมือโดยอัตโนมัติ เนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะสาย ทั้งๆ ที่ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะก่อนออกจากบ้านก็เผื่อเวลาไว้มากพอสมควร ตั้งใจจะมานั่งเตรียมใจและเตรียมบทพูดกับศารทูล แถมยังคิดว่าอาจจะต้องเป็นฝ่ายที่ต้องมารอเขาด้วยซ้ำไป
ศารทูลยืนขึ้นและส่งยิ้มให้ด้วยความยินดีเมื่อเห็นว่าเกสรีเดินเข้ามาในร้าน เขาตื่นเต้นก็เลยมาก่อนเวลา ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายก็เหมือนกัน เสือเมืองกรุงคิดเป็นตุเป็นตะ
“สวัสดีครับเกรซ” ชายหนุ่มทักทายอย่างกระตือรือร้นเมื่อคนตัวเล็กเดินมาถึงโต๊ะ
“หวัดดี ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม” สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาถามย้ำอีกที เผื่อว่าตัวเองจะจำเวลาผิด
“เปล่าครับ ไม่สายหรอก ผมมาก่อนเวลาเอง ตื่นเต้น อยากพบคุณ” เสือหนุ่มหยอดคำหวานที่เคยทำให้สาวๆ หัวใจอ่อนระทวยมาหลายต่อหลายคนแล้วอย่างแคล่วคล่อง
คนถูกหยอดไม่อ่อนระทวยแถมทำหน้าพิพักพิพ่วน แม้จะไม่มีประสบการณ์รักใคร่ แต่แน่ใจว่ากำลังถูกจีบ อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายช่างขี้หลีสิ้นดี
นี่เกสรีไม่ใช่ลอร่า ขอร้องว่าอย่ามาอ่อยเสียให้ยาก จึงได้แต่เอ่ยกับคนที่มาก่อน “เอ่อ...ถ้าไม่ว่าอะไร ฉันขอนั่งนะ”
ศารทูลรีบพยักหน้าพร้อมกับฉีกยิ้มให้อีก เอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ “เชิญครับ เชิญเลย โอ๊ย! ผมนี่เสียมารยาทชะมัดเลย”
เกสรียิ้มแหย ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเสียมารยาทแต่อย่างใด ความจริงแล้วเธอก็คุ้นเคยกับพวกผู้ชายห่ามๆ ดีอยู่แล้ว บรรดาเพื่อนพ้องก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษที่จะมัวมากังวลเรื่องมารยาทเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ถ้าจะพูดตามตรงก็คือ แม้แต่ตัวเธอเองก็เช่นกัน นี่ถ้าเธอไม่พยายามคิดหลอกล่อให้เขามาตกหลุมแล้วละก็ เมื่อกี้ก็คงนั่งลงเองแบบไม่ต้องขออนุญาตแล้ว เพราะเวลาอยู่กับพวกเพื่อนๆ ก็มักจะทำแบบนั้น
“ดื่มอะไรดีครับ” ศารทูลรีบถามเมื่ออีกฝ่ายนั่งลงเรียบร้อยแล้วก่อนยกมือส่งสัญญาณให้บริกรมารับออร์เดอร์
เกสรีกวาดตามองเมนูก่อนจะตอบ “โกโก้เย็นก็แล้วกันค่ะ”
“เอาอย่างอื่นด้วยไหม เค้กที่นี่อร่อยนะครับ” เสือหนุ่มนำเสนออีก พยายามเอาใจอย่างสุดฤทธิ์
แหม...รู้ดีจริงนะยะ ไม่รู้ว่าพาสาวมากินกี่คนแล้ว ไอ้คนกะล่อน
เกสรีเหล่ตามองคนนำเสนอนิดหนึ่งพร้อมทั้งแอบค่อนขอดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อยากจะใส่ใจอะไรนัก เพราะใช่ว่าเธอไม่เคยรู้เมื่อไรว่าผู้ชายคนนี้คือแรดระดับแถวหน้า หันไปใส่ใจกับเมนูขนมแทน “เอาเค้กมะพร้าวอ่อนกับเค้กฝอยทองอย่างละชิ้นค่ะ”
บริกรรับออร์เดอร์แล้วก็ถอยฉากไป ไม่นานนักก็นำเครื่องดื่มและขนมตามที่เธอสั่งมาวางไว้ตรงหน้า และเกสรีก็ละเลียดกินอย่างมีความสุข แทบจะลืมไปเลยว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม
ศารทูลมองคนตัวเล็กที่กินเค้กสลับกับดูดโกโก้ด้วยแววตาอ่อนเชื่อม จะว่าไปนอกจากเวลาที่พาบุณฑริกกับตระการตามาเลี้ยงขนมแล้ว ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมานั่งกินอะไรต่อหน้าเขาอย่างแสนสุขแบบนี้เลย คู่ควงของเขาล้วนแต่ทำราวกับว่าการกินขนมสักชิ้นเป็นอาชญากรรมที่ไม่น่าให้อภัย ทำเอาคนชอบกินขนมแบบเขาเซ็งไปเหมือนกัน พอมาเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์นั่งจ้วงเค้กเข้าปากอย่างเมามันจึงอดเอ็นดูไม่ได้
อย่างนี้สิถึงจะสมเป็นเนื้อคู่กระดูกคู่ของเขา ที่เขาแนะนำเธอเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะพาสาวมากินบ่อย แต่ตัวเขาเองนี่ละที่ชอบกิน
เกสรีที่กำลังดื่มด่ำกับรสชาติของขนมถึงกับสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อประสานสายตาหยาดเยิ้มของอีกฝ่ายที่มองมาราวกับอยากกินอะไรสักอย่าง หรือว่าอีตานี่หิวเค้ก แล้วทำไมไม่สั่งมากินแต่แรกเล่า!
แม้จะขัดใจ แต่ก็ยอมชักชวนตามมารยาท “คุณอยากกินเหรอ ลองหน่อยไหม”
“อืม อยากกิน” ศารทูลเออออ แต่สายตาไม่ได้มองเค้กเลยสักนิด จับจ้องอยู่ที่กลีบปากอิ่มสวยราวกับว่านั่นต่างหากคือสิ่งที่อยากจะกลืนกิน เล่นเอาคนถูกมองวางตัวแทบไม่ถูก
สายตาแปลกๆ ของอีกฝ่ายทำให้เกสรีเลียริมฝีปากโดยอัตโนมัติ เพราะไม่แน่ใจว่ามีอะไรติดหรือเปล่า เขาถึงได้จ้องเอาๆ แบบนั้น
ปลายลิ้นสีชมพูที่เห็นอยู่วับแวมทำให้ดวงตาของศารทูลวาววับขึ้นตามอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นให้ร้อนรุ่มยิ่งกว่าเก่า เขายังจำรสชาติของลิ้นนุ่มๆ ของคนตรงหน้าได้ดี และยังปรารถนาอยู่ไม่รู้วาย
“เอ้อ...ตกลงจะกินไหมเนี่ย” เกสรีพยายามข่มความอายด้วยการเอาเสียงเข้าข่ม ไม่อยากยอมรับว่าหัวใจเต้นรัวเร็วจนผิดปกติ
“กิน! ยังไงก็ต้องกินแน่นอน!” ศารทูลตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บอกกับตัวเองว่ายังไงก็ต้องจับเกสรีมากินให้สมอยากให้ได้
“อะ...เอ้า! เอาไป” คนจะถูกกินเข้าใจไปอีกทาง รีบเลื่อนจานเค้กที่กินไปบ้างแล้วให้ เพราะอีกฝ่ายทำเสียงขึงขังเหลือเกิน
“ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” ศารทูลเสนอขึ้น อยากจะกินก็หมายความว่าต้องทำให้เธอมาเป็นของตัวเองไวๆ
อะไรของเขาวะ? เกสรีบ่นอยู่ในใจ เพราะคนที่ทำท่าหิวอยู่เมื่อครู่กลับเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย แต่ก็ไม่อยากจะทักท้วงอะไรคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เข้าเรื่องเลยก็ดีเหมือนกัน เธอก็เบื่อจะอยู่กับอีตานี่นานๆ เหมือนกัน คุ้มดีคุ้มร้ายคล้ายๆ คนประสาท!
“ก็อย่างที่ฉันเกริ่นกับคุณไว้เมื่อคืนนั่นแหละ”
“คุณต้องการให้ผมเคลียร์เรื่องปิ๊กให้เรียบร้อย แล้วก็ต้องช่วยคุยให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่าพวกเราทุกคนเข้าใจกันดี แต่งงานแล้วปิ๊กต้องไปอยู่กับพี่ชายคุณ สองคนนั้นช่วยกันดูแลงานที่ไร่ ส่วนคุณกับผมช่วยกันดูแลงานด้านโรงแรมกับรีสอร์ต ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า” ศารทูลไม่อ้อมค้อม สอบถามตรงๆ เพื่อไม่ให้มีอะไรคลาดเคลื่อน
เกสรีพยักหน้ารับ อดชื่นชมไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจอะไรง่ายๆ และตรงประเด็น “คุณคิดว่ายังไง มีอะไรขัดข้องหรือเปล่า”
“ผมไม่มีอะไรขัดข้องหรอก ถ้าคุณยังจำได้ ก็น่าจะรู้ว่าผมบอกพ่อแม่คุณว่ายอมทุกอย่างแต่แรกแล้ว” ศารทูลเอ่ยอย่างหนักแน่น ขอแค่มีหนทางให้ได้เกสรีมา เขาจะยอมทุกอย่าง ส่วนเรื่องอื่นๆ เอาไว้แก้ปัญหากันทีหลัง แต่เขาเชื่อว่าไม่น่าจะยากเกินไป อย่างน้อยเมื่อมีบุณฑริกเป็นตัวแปรอีกอย่าง ถึงสีหราชไม่อยากช่วย แต่ก็จำเป็นต้องช่วยให้เขาสมหวังกับเกสรีอยู่ดี ต่างคนต่างก็รู้ดีว่าต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน
“งั้นก็ดีเลย ฉันจะได้บอกพี่ราชให้เดินหน้าเต็มที่ แต่คุณต้องถอยจริงๆ นะ” เกสรีขอคำมั่นอีกครั้ง
“ผมสัญญา” ศารทูลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ดีมากกก...” เกสรีลากเสียงยาว บ่งบอกให้รู้ว่าพึงพอใจมากเพียงใด ดวงตาคู่งามพราวระยับด้วยความยินดี ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มกว้างยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ตั้งแต่พบกันมา
“แล้วผมก็อยากให้คุณสัญญาด้วย”
ประโยคนั่นทำให้รอยยิ้มของเกสรีค่อยๆ หุบลง สบตาคนที่กำลังมองเธอเขม็งราวกับรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบบ้าง “อืม ฉันสัญญา”
“ดีมากกก...” ศารทูลลากเสียงไม่ผิดกับที่เกสรีทำเมื่อครู่
ทำเอาอีกฝ่ายอยากจะลุกขึ้นมาบีบคอเขาด้วยความหมั่นไส้เพราะรู้สึกว่าถูกล้อเลียน แต่ยังไม่ทันได้ยื่นมือออกไปอย่างที่คิด เขาก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกมาก่อน แถมไม่ยื่นมาเปล่าๆ แต่ถือซองเอกสารเอาไว้อีกซองหนึ่งด้วย
“อะไร” หญิงสาวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“สัญญาไง” ศารทูลตอบยิ้มๆ
“สัญญา?”
“อื้ม”
“สัญญาอะไรของคุณ”
“เปิดดูเองก็แล้วกัน” ศารทูลเอ่ยพร้อมทั้งพยักพเยิดให้เธอรับซองในมือไป
เกสรียอมรับซองนั้นมาเปิดดูแต่โดยดีเพราะสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่พออ่านข้อความในเอกสารก็ทำหน้าปั้นยาก เงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังยิ้มเผล่อยู่ทันที
“เป็นไง มีตรงไหนไม่เข้าใจหรือเปล่า ผมร่างเอง ก็เลยไม่แน่ใจว่าภาษาเป็นยังไงบ้าง แต่ก็คิดว่าครอบคลุมทุกเรื่องอยู่นะ” ศารทูลถามเสียงระรื่น
“นะ...นะ...นี่มัน” เสียงของเกสรีตะกุกตะกัก ต่างกันลิบลับกับความระรื่นของอีกฝ่าย
“ก็สัญญาไง” ศารทูลเอ่ยพร้อมกับทำหน้าไร้เดียงสาราวกับว่านี่คือเรื่องธรรมดาสามัญ
เกสรีก้มหน้าลงอ่านข้อความในกระดาษอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป ยอมรับว่าเธอเพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก ไอ้ที่เขาว่ามันครอบคลุมทุกเรื่องก็ใช่อยู่ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องที่เขาต้องการมากกว่า
ข้าพเจ้า นางสาวเกสรี พัฒนามนตรี บัตรประจำตัวประชาชนเลขที่...ที่อยู่... ได้ลงนามในสัญญาหมั้นหมายกับ นายศารทูล สินธวรัตน์ บัตรประจำตัวประชาชนเลขที่...ที่อยู่...
โดยมีเงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันคือ นายศารทูล สินธวรัตน์ จะต้องจัดการพันธะเรื่องการหมั้นหมายกับนางสาวบุณฑริก สุรเดชา ให้สิ้นสุดลงให้เรียบร้อย รวมถึงต้องเจรจาให้ผู้ปกครองของนางสาวบุณฑริก สุรเดชา เกี่ยวกับการช่วยดูแลกิจการของครอบครัวสุรเดชาร่วมกับนางสาวเกสรี พัฒนามนตรี ด้วย
เมื่อนายศารทูล สินธวรัตน์ ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้า นางสาวเกสรี พัฒนามนตรี จะเข้าพิธีหมั้นกับนายศารทูลโดยไม่มีการบิดพลิ้ว
อนึ่ง ถ้านายศารทูลปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่านางสาวเกสรีไม่ทำตามสัญญาดังกล่าว นายศารทูลสามารถเปลี่ยนจากพิธีหมั้นเป็นพิธีแต่งงานได้ทันที
เกสรีอ่านสัญญาสลับกับเงยหน้าขึ้นมองคู่สัญญาบ้าบอ เอ๊ย! สัญญาหมั้นหมายของตัวเองเป็นระยะๆ ด้วยใบหน้าปั้นยาก อีตาบ้านี่ถึงขั้นไปสืบข้อมูลส่วนตัวของเธอแล้วนำมาทำสัญญาเชียวหรือ สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญาคิดพลางมองช่องว่างตรงท้ายสัญญาที่รอการลงนามของตัวเองด้วยความลังเล แต่ในส่วนของศารทูลนั้น เจ้าตัวลงนามมาก่อนแล้วอย่างแสนเต็มใจ
เกสรีอยากจะกุมขมับ เธอรับปากสีหราชเพราะคิดว่าพอเขาแต่งงานกับบุณฑริกเรียบร้อยก็จะถอนตัวออกมาง่ายๆ ไม่คิดเลยว่าจะโดนตลบหลังอย่างนี้
“เอ่อ...ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” เกสรีถามเสียงอ่อย
“ใช่ ตอนคุณยื่นข้อเสนอมาเมื่อคืน ผมก็ไม่ได้เกี่ยงสักคำนี่ คราวนี้ผมขอยื่นบ้างได้ไหม” ศารทูลถามยิ้มๆ แต่แววตาเหมือนจะบอกว่าถ้าเธอไม่ตกลงก็เลิกหวังเรื่องที่เขาจะยกเลิกเรื่องการหมั้นหมายกับบุณฑริกไปได้เลย
สิงห์สาวแห่งไร่ภูพญารู้สึกเหมือนโดนลบเหลี่ยมไม่มีผิด สายตาของหมอนั่นเหมือนจะดูแคลนว่าเธอคงไม่กล้าทำให้เกิดอารมณ์บ้าบิ่นขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเดานิสัยชอบเอาชนะของเธอออก และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง
หึ! อยากจะหมั้นนักใช่ไหม เดี๋ยวก็รู้ว่าการมีเธอเป็นคู่หมั้นแล้วมันจะเป็นอย่างไร ประเดี๋ยวเธอจะใช้สิทธิ์คู่หมั้นถอดเขี้ยวเล็บเสือให้ดู คิดจะไปแรดแบบเดิม ขอบอกว่าไม่ง่าย อยากรู้นักว่าจะอยากหมั้นกับเธอไปอีกสักกี่วัน หญิงสาวเข่นเขี้ยวอยู่ในใจก่อนจะตอบตกลง
“โอเค ต่างฝ่ายต่างยื่นข้อเสนอ คุณรับปากแล้ว แล้วทำไมฉันจะไม่กล้า ไหนปากกา เอามาเลย!”
ศารทูลมองคนที่ยิ้มแยกเขี้ยวราวกับกำลังจะลงชื่อในสัญญารบมากกว่าจะเป็นสัญญาหมั้นแล้วแอบอมยิ้ม นึกเอ็นดูคนฤทธิ์มากขึ้นมาอีก ที่คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าจนหมดโดยไม่รู้จักเก็บงำ แต่ก็ยื่นปากกาที่เตรียมพร้อมไว้แล้วเช่นกันให้อย่างเต็มใจ
เกสรีรับปากกามาเซ็นชื่ออย่างกระแทกกระทั้น ก่อนจะผลักสัญญากลับไปให้ “เสร็จแล้วใช่ไหม ฉันจะได้กลับเลย”
“เดี๋ยวก่อนสิ” ศารทูลรีบขัด
“อะไรอีกล่ะ” นางสิงห์ถามด้วยความหงุดหงิด
เสือหนุ่มหันไปค้นอะไรกุกกักอยู่พักหนึ่งก็หยิบตลับหมึกออกมา เปิดฝาแล้ววางลงตรงหน้าคนที่กำลังหงุดหงิด ก่อนจะส่งยิ้มระรื่นให้อีกครั้ง “แปะโป้งก่อน”
“แปะโป้งอะไรของคุณ จะบ้าเหรอ” เกสรีอุทานเสียงหลง มองตลับหมึกราวกับว่ามันคือวัตถุประหลาดจากนอกโลก
“ก็แปะโป้งลายนิ้วมือคุณไง ใครจะรู้ว่าคุณเซ็นชื่อมั่วๆ หรือเปล่า เดี๋ยวเผื่อมีการฟ้องร้องกันขึ้นมาจะอ้างได้ว่าไม่ใช่ลายเซ็นตัวเอง เพราะฉะนั้นต้องป้องกันไว้ก่อน”
“นาย! นี่นาย...” เกสรีโมโหจนพูดไม่ออก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้
“ขอเป็นนิ้วโป้งข้างขวาก็แล้วกัน น่าจะมาตรฐานที่สุดแล้ว เนี่ยๆ คุณปั๊มตรงนี้เลย” เสือหนุ่มไม่สนใจโทสะของนางสิงห์ มุ่งแต่จะจัดการสิ่งที่ตนเองต้องการให้เรียบร้อยก่อน ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังตำแหน่งใต้ชื่อของเธอเพื่อบอกให้ทราบว่าอยากให้ประทับลายนิ้วมือลงตรงไหน
เกสรีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะกระแทกนิ้วหัวแม่มือลงบนตลับหมึกแล้วจึงประทับนิ้วไปยังตำแหน่งที่เขาชี้บอกด้วยความจำใจ “พอใจหรือยัง ฉันไปได้แล้วใช่ไหม”
“เดี๋ยวก่อนสิ” ศารทูลห้ามไว้อีก
“อะไรของคุณอีกล่ะ” เกสรีชักจะหงุดหงิดหนักกว่าเดิม พลันตกตะลึงไปเมื่ออยู่ๆ อีกฝ่ายก็คว้ามือเธอไปกุมไว้แน่น
ศารทูลล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะค่อยๆ บรรจงเช็ดนิ้วมือที่เปื้อนหมึกให้คนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน
ใบหน้าของเกสรีร้อนวาบจนเจ้าตัวรู้ได้เลยว่ามันจะต้องแดงก่ำ เธอเหลียวมองไปรอบๆ ก็พบว่าหลายคนเริ่มเมียงมองมาด้วยความสนใจ จึงรู้สึกอายกว่าเดิม แต่ดูเหมือนศารทูลจะไม่อายสักนิด เพราะยังก้มหน้าก้มตาเช็ดนิ้วให้เธออย่างพิถีพิถัน
“พอได้แล้ว ปล่อยเถอะ ไม่รู้จักอายคนเขาบ้างหรือไง” เกสรีสั่งเสียงสั่น ใบหน้างดงามซับสีระเรื่อ เกิดมาเป็นตัวเป็นตนก็เพิ่งมีคนทำแบบนี้ให้เป็นครั้งแรก
“อายทำไม ก็นี่ว่าที่คู่หมั้นผม” ศารทูลเอ่ยพลางยิ้มตาหยี แต่เพราะไม่อยากให้เธอโกรธจึงยอมปล่อยมือน้อยอย่างแสนเสียดาย
“ตอนนี้ยังไม่ใช่ อย่าเพิ่งรุ่มร่าม” เกสรีถลึงตาใส่
“ยิ่งยื้อเวลา พี่ชายคุณกับยายปิ๊กจะยิ่งได้แต่งงานกันช้ากว่าเดิมนะ” เสือหนุ่มเอ่ยหน้าซื่อตาใสเหมือนหวังดีอย่างยิ่งยวด
“ฮึ่ย!” เกสรีแค่นเสียงด้วยความเจ็บใจเมื่ออีกฝ่ายทำท่าเหมือนถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็เหนือกว่าจริงๆ นั้นละ “มีอะไรจะสั่งอีกไหมล่ะคะ คุณผู้ชาย”
คุณผู้ชายยิ้มกริ่มแม้จะรู้ว่าถูกแดกดัน เอ่ยกับคนที่กำลังโมโหโทโสเสียงนุ่ม “นัดพี่ชายคุณให้หน่อยสิ ผมมีเรื่องอยากคุยกับเขา”
ศารทูลคิดว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องคุยกับสีหราชให้รู้เรื่อง อย่างน้อยก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้บุณฑริก แม้จะทำปากแข็งว่าไม่แยแสสักแค่ไหน แต่เขารู้ดีว่าเธอรอให้สีหราชมาง้ออยู่ทุกวัน อีกอย่างก็อยากเปิดอกคุยกันอย่างลูกผู้ชาย อยากฝากฝังให้สีหราชดูแลคนที่เขารักเหมือนน้องสาว รวมถึงอยากแสดงให้ฝ่ายนั้นรับรู้ว่าเขาก็จะดูแลทะนุถนอมเกสรีอย่างดีเช่นกัน
“จะคุยอะไรกับพี่ฉัน” เกสรีถามด้วยความสนอกสนใจ
“เรื่องของผู้ชายเขา คุณจะรู้ไปทำไม เอาไว้เป็นเมียก่อนค่อยรู้ทุกเรื่อง” ศารทูลเอ่ยยิ้มๆ
ว่าที่เมียเบิกตาโตเมื่อได้ยินอย่างนั้น อีตาบ้า! ยังไม่ทันได้หมั้นกันเป็นทางการเลย มาพูดเรื่องมงเรื่องเมียได้ไม่อายปาก ก็เลยได้แต่แหวใส่อีกรอบ “ตาบ้า! ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว”
เกสรีพูดจบก็ผลุนผลันลุกขึ้นแล้วเดินฉับๆ ออกจากร้านไปด้วยความหงุดหงิด ไม่คิดจะล่ำลาสักคำ วันนี้นับว่าเธอเพลี่ยงพล้ำให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างยับเยิน จากที่เคยคิดว่าจะถอนตัวง่ายๆ หลังจากสีหราชและบุณฑริกลงเอยกันได้แล้วนั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลยสักนิดเดียว งานนี้จึงสรุปไม่ได้ว่าใครตกหลุมพรางของใครกันแน่!
ศารทูลยังยิ้มแม้โดนด่า เพราะอย่างน้อยวันนี้ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คิดพลางหยิบสัญญาขึ้นมาจูบด้วยความรื่นรมย์
แม้จะหงุดหงิดที่อะไรๆ ก็ผิดพลาดจากแผนที่วางไว้ แต่เกสรีก็ยังรีบโทร. หาพี่ชายเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายร้อนใจไม่ใช่น้อย รอสายไม่นานนักก็ได้ยินเสียงสีหราชผ่านมาตามสาย
“ว่าไงเกรซ” สีหราชกรอกเสียงถามลงไปทันที
“โอ้โห! รับเร็วมาก นี่พี่ราชรอแบบใจจดใจจ่อเลยใช่ไหมเนี่ย” เกสรีกระเซ้าเสียงใส
“จะอะไรก็ช่างเถอะ ตกลงว่ายังไง ได้เรื่องไหม นายนั่นว่ายังไงบ้าง” สีหราชไม่สนใจการล้อเลียนของน้องสาว มุ่งถามแต่ประเด็นที่ตนเองรอคอยเท่านั้น
คนเป็นน้องถอนใจนิดหนึ่งเมื่อนึกถึง ‘นายนั่น’ ของพี่ชาย จึงได้แต่ตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “เขาตกลง แต่ขอพบพี่ราชก่อน”
“พบพี่? พบทำไม” สีหราชถามด้วยความแปลกใจ ไม่คิดอีกฝ่ายจะอยากพบตนเองหลังจากปะทะกันไปเมื่อคราวก่อน
“เขาบอกว่าอยากคุยกันตามประสาผู้ชาย” เกสรีเล่าไปตามที่ฝ่ายนั้นฝากมา
“เมื่อไหร่” สีหราชถามต่อ
“ก็เมื่อพี่ราชพร้อมนั่นแหละ”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน เกรซนัดเขาได้เลย” สีหราชเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ใจร้อนจริงๆ รู้สึกว่าเรื่องของปิ๊กนี่พี่ราชจะใจร้อนตลอดเลย แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าเกรซไม่ไปด้วยหรอก เหม็นขี้หน้าคน” เกสรีออกตัวไว้ก่อน
“ดีแล้ว ผู้ชายเขาจะคุยกัน” สีหราชเอ่ยเสียงเรียบ
“เชอะ! ทำเป็นมีความลับ ผู้ชายจะคุยกัน” เกสรีค่อนแคะด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ เมื่อคนเป็นพี่พูดเหมือนกับศารทูลไม่มีผิด แต่ก็ยอมนัดหมายเวลาและสถานที่ให้พี่ชายกับ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ที่มีแบบปัจจุบันทันด่วนให้มาพบกันตามที่ทั้งคู่ต้องการ
สองหนุ่มมานั่งประจันหน้ากันภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ศารทูลนัดเกสรีเมื่อครั้งก่อน ดวงตาของทั้งคู่ลอบสำรวจและประเมินท่าทีของฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นระยะ แล้วคนที่ร้อนใจกว่าอย่างสีหราชก็เอ่ยออกมาในที่สุด
“ยายเกรซบอกว่านายอยากพบฉัน”
“ใช่” ศารทูลตอบสั้นๆ
“มีธุระอะไร” สิงห์เหนือถามแบบไม่อ้อมค้อม
“น้ำเสียงนายนี่ไม่เหมือนคนที่กำลังขอร้องคนอื่นเลยนะ ยังจองหองเหมือนเดิม” เสือเมืองกรุงก็ไม่ลดละเช่นกัน
“อย่ามาทำท่าว่าเหนือกว่าหน่อยเลย” สีหราชคำรามใส่
“ก็มันเรื่องจริงนี่นา ทำเสียงให้มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยสิ เดี๋ยวฉันเกิดไม่อยากปล่อยมือเรื่องยายปิ๊กขึ้นมาจะลำบากนะ” ศารทูลเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน พร้อมทั้งเลิกคิ้วกวนประสาท
สีหราชมองคนที่วางมาดเหนือกว่าแล้วบดกรามแน่น แต่สักครู่ก็คลี่ยิ้มนิดๆ ยกแขนขึ้นมากอดอกด้วยท่าทีผ่อนคลายคล้ายกับว่าไม่ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่าย เปรยขึ้นมาลอยๆ คล้ายจะข่มขู่เช่นกัน “เหรอ แต่ถ้าแกทำอย่างนั้น เท้าแกแม้แต่ข้างเดียวก็จะไม่มีโอกาสได้เหยียบย่างเข้าไปที่ไร่ภูพญา แกจะเอาอย่างนั้นไหมล่ะ!”
“แกอย่าทำอย่างนี้สิวะ!” เสือเมืองกรุงที่กำลังวาดฝันถึงงานหมั้นโวยวายเสียงดัง
“แกทำก่อนนี่หว่า อย่าขู่พี่สิน้อง พี่ขวัญอ่อน” สีหราชยกตัวเองเป็นพี่พร้อมทั้งเลิกคิ้วนิดๆ
ก่อนจะเลือกวิธีนี้ เขาสืบประวัติของชายหนุ่มตรงหน้ามาแล้ว แม้ที่ผ่านมาฝ่ายนั้นจะมีผู้หญิงมากพอสมควร แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่าจริงจังกับใครถึงขั้นอยากผูกพันเหมือนที่กำลังทำกับเกสรีเลยสักครั้ง คนที่ใช้ชีวิตแบบ ‘เสือ’ แต่ยอมเดินเข้ากรงโดยสมัครใจแสดงว่าสนใจเหยื่อในกรงเป็นอย่างมาก และเขาคิดว่าเหยื่อแบบน้องสาวเขาเอาเสืออยู่แน่นอน! ถ้าเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ทุกอย่างคงจะลงตัวพอดีที่สุด
แม้ต่างฝ่ายต่างอยากอาศัยอีกคน แต่ความที่นิสัยคล้ายกันจึงรู้สึกว่าการยอมกันง่ายๆ มันคล้ายจะเสียศักดิ์ศรีสองหนุ่มจึงถลึงตาใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่แล้วคนที่กลัวจะไม่ได้หมั้นอย่างศารทูลก็เอ่ยขึ้นมาเสียงสะบัด “ฉันก็แค่อยากบอกแกว่าให้ดูแลว่าที่คู่หมั้นฉันดีๆ”
แม้จะยอมอ่อนให้ แต่ก็ยังไม่วายพูดจากวนประสาท เพราะรู้ดีว่าพอได้ยินคำว่า ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ทีไรสีหราชจะต้องหน้าหงิกทุกครั้ง แถมยังแกว่งเท้าใต้โต๊ะไปกระทบเท้าของอีกฝ่ายคล้ายเจตนาอีกด้วย แล้วอย่างนี้มีหรือที่อีกคนจะลดละ สีหราชจึงเตะเท้าไปสัมผัสเท้าของคนที่เริ่มก่อนหนักๆ เช่นกัน พร้อมทั้งคำรามเสียงต่ำ
“เลิกเอาเรื่องว่าที่คู่หมั้นเก่าๆ สมัยพระเจ้าเหามาพูดได้แล้ว ปิ๊กเขาเป็นของใครแกก็รู้ดี”
สงครามย่อมๆ เกิดขึ้นใต้โต๊ะในที่สุด ทั้งศารทูลและสีหราชต่างเตะกันไปมา ดูคล้ายคนที่รู้จักกันมานานจนสามารถหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมเสียด้วยซ้ำไป
อดีตว่าที่คู่หมั้นสมัยพระเจ้าเหาเข่นเขี้ยวบ้าง “แกยกน้องสาวให้ฉันก่อนสิวะ ฉันรู้นะว่าเขากะจะถอนหมั้นตอนที่แกกับยายปิ๊กแต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ยอมหรอกนะจะบอกให้ ช่วยฉันสิ แล้วฉันจะยกว่าที่คู่หมั้นให้”
“แกก็ทำให้ได้ตามเงื่อนไขสิวะ ฉันถึงจะยกน้องให้” สีหราชแยกเขี้ยวตอบ
“ตกลง! ฉันบริหารงานโรงแรม แกบริหารงานที่ไร่!” ศารทูลแยกเขี้ยวตอบบ้าง
“ตามนั้น! แยกย้าย!” สองหนุ่มประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะลุกพรวดขึ้นเพราะคิดตรงกันว่าอีกฝ่ายชักจะเตะแรงขึ้นเรื่อยๆ แถมพอตกลงกันได้ก็อยากจะไปหาคนที่แสนคิดถึงมากกว่าจะมานั่งทะเลาะกับอีกฝ่าย แล้วคนที่ยกตัวเองเป็นพี่ก็ต้องแยกเขี้ยวอีกครั้งเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนเกล็ดก่อนจาก
“ในฐานะที่แกเป็นพี่ แกก็ควรจ่าย” ว่าที่น้องเขยหมาดๆ เอ่ยจบก็เดินออกไปจากร้านหน้าตาเฉย เล่นเอาสีหราชคำรามลั่น
“ไอ้ทุเรศ! เดี๋ยวฉันจะให้ยายเกรซจัดการแกให้หนักเลย”
คนถูกขู่ไม่หันกลับมามอง ตั้งใจว่าถึงสีหราชจะไม่สั่ง เขาก็ตั้งใจจะพาตัวเองไปให้เกสรีจัดการอยู่แล้ว ส่วนคนที่ขู่ฟ่อๆ อย่างสีหราชก็จัดการจ่ายเงินแล้วก็รีบออกจากร้านเพื่อตรงไปหาคนที่คิดถึงที่สุดเช่นกัน
เจ้าสัวเจษฎามองลูกชายที่เดินผิวปากมาแต่ไกลด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่กลับจากเชียงรายเป็นต้นมา ก็ดูเหมือนว่าศารทูลจะเครียดพอสมควร ไอ้ตัวแสบของเขาไม่ได้ออกไปแรดเหมือนอย่างเคย วันๆ เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนมีเรื่องบางอย่างที่จัดการไม่ได้
เขากับภรรยาได้แต่เดาว่าลูกชายน่าจะทะเลาะกับบุณฑริก เพราะฝ่ายนั้นคงเคืองที่ศารทูลไปตามตัวกลับกรุงเทพฯ จึงลองโทร. ไปเลียบเคียงถามกับบิดาของบุณฑริก ก็ได้ความว่าตั้งแต่กลับจากเชียงราย บุณฑริกเองก็มีท่าทางเซื่องซึมไม่ต่างกัน จึงฟันธงว่าน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้แน่นอน
พอเห็นลูกชายกลับมาอารมณ์ดี ก็เลยคาดว่าน่าจะคืนดีกับว่าที่ลูกสะใภ้เรียบร้อยแล้ว เห็นอย่างนี้ก็พลอยโล่งใจไปด้วย
“ไง อารมณ์ดีเชียวนะไอ้ตัวแสบ” คนเป็นพ่อทักขึ้นก่อน
“แหม จะหาใครรู้ใจผมเท่าป๊าเป็นไม่มี” ศารทูลเดินมานั่งข้างๆ บิดาพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ไม่งั้นฉันจะเป็นพ่อแกได้เรอะ ว่าแต่อารมณ์ดีเรื่องอะไร เข้าอกเข้าใจกันดีกับยายปิ๊กแล้วใช่ไหม”
“ครับ ผมกับยายปิ๊กเข้าใจกันดีแล้ว” ศารทูลเอ่ยยิ้มๆ ที่จริงเขากับบุณฑริกคุยกันจนเข้าใจเรียบร้อยตั้งแต่วันที่เดินทางกลับจากเชียงรายแล้วว่า การแต่งงานระหว่างเขากับเธอคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้อีกแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้เรียนให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายทราบเท่านั้น เนื่องจากอยากรอดูความชัดเจนของสีหราชก่อน
ในเมื่อตอนนี้เห็นชัดแล้วว่าสีหราชจริงจังเรื่องบุณฑริกเพียงใด แล้วจะไม่ให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างไรที่ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยแล้ว เขาจะได้ป่าวประกาศเรื่องระหว่างตัวเองกับเกสรีให้โลกรู้บ้าง ทุกคนจะได้เข้าใจเสียใหม่ว่า ว่าที่คู่หมั้นของเขาคือเกสรี ไม่ใช่บุณฑริกอีกต่อไป
“ดีแล้ว คนเราจะใช้ชีวิตด้วยกัน เรื่องสำคัญคือความเข้าใจ มีอะไรก็ควรจะคุยกันให้รู้เรื่อง อย่าปล่อยให้ค้างคาจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ยายปิ๊กยังเด็ก น้องเดียวก็อย่าไปถือสาหาความกับน้องนักเลย ค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอนกันไป หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องรู้จักให้อภัยน้อง” โศรยาเอ่ยกับบุตรชายบ้าง
ศารทูลฟังคำสั่งสอนจากมารดาแล้วก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะดับความหวังของคนเป็นบุพการี แต่เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังกันต่อ อีกอย่าง ตอนนี้สีหราชกับบุณฑริกก็ปรับความเข้าใจกันได้เรียบร้อยแล้ว หน้าที่ดูแลยายปิ๊กสุดแสบก็ยกให้เป็นของสีหราชไป พวกผู้ใหญ่คงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของบุณฑริกอีกแล้ว จึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้พวกท่านฟังในวันนี้เสียเลย จะได้ถือโอกาสปรึกษาเรื่องเกสรีไปด้วย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น