บทที่ ๖
ความจริงที่ถูกเปิดเผย
นิวยอร์กซิตี ค.ศ. ๑๙๕๕
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง...
ภัตตาคารเฉินเหม่ย อันเป็นภัตตาคารยอดนิยมแห่งเมืองควีนส์ เขตไชนาทาวน์ ประกาศปิดให้บริการอย่างไม่มีกำหนด สืบเนื่องมาจากการถูกก่อกวนจากกลุ่มมาเฟียแก๊งเม็กซิกัน ที่พาพรรคพวกกว่าห้าสิบคนเข้ายิงถล่มภัตตาคารเมื่อคืนนี้เวลาสองทุ่ม
ภัตตาคารเฉินเหม่ยคือหนึ่งในภัตตาคารสาขาของเฉินตง จากการสอบถามคนในพื้นที่ทั้งในเขตไชนาทาวน์ของควีนส์ และเขตไชนาทาวน์ของนิวยอร์กซิตี เฉินหม่าไท้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากคำสั่งปิดภัตตาคารเพื่อปรับปรุง
นั่น...อาจเพราะเฉินตงในขณะนี้กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมพิธีแต่งตั้งทายาทเฉินตงคนใหม่ ผู้ได้รับแต่งตั้งคือ เฉินเว่ยเฉิน บุตรชายคนรองของเฉินหม่าไท้ โดยพิธีแต่งตั้งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงตรง
นิวยอร์กซิตี ค.ศ. ๒๐๑๘
มื้ออาหารตามปกติของสองแม่ลูกในวันที่รับประทานอาหารกันเอง ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไข่เจียว ผัดผัก และน้ำพริกหนังหมูฝีมือวิไล ซึ่งเป็นน้ำพริกที่น้ำอุ่นโปรดปรานที่สุด
วันนี้ร้านรสไทยเปิดให้บริการเพียงครึ่งวัน น้ำอุ่นไม่มีเดต วิไลไม่มีเล่นไพ่ มื้อนี้คือมือแรกในรอบเดือนก็ว่าได้ที่แม่ลูกได้รับประทานอาหารพร้อมหน้า
น้ำอุ่นตักข้าว วางจานลงข้างมือวิไลซึ่งกำลังเคร่งเครียดอยู่กับการอ่านหนังสือทำนายฝัน หลังจากตีความความฝันเทียบเลขเด็ดจนได้ตัวเลขที่คิดว่าใช่ที่สุด วิไลก็ตบเข่าฉาด สีหน้าแววตามั่นอกมั่นใจยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว
“คราวนี้ฉันจะแทงหมื่นเหรียญ!”
จำนวนเงินหมื่นเหรียญทำให้ผู้ได้ยินถึงกับสำลักข้าว รีบเอ่ยห้ามทั้งที่รู้ว่าจะโดนด่าและไม่เป็นผล
“แม่ล้อเล่นรึเปล่าจ๊ะ พันรึเปล่าแม่”
วิไลชักสีหน้าทำเสียงจึ๊กจั๊กในปาก ตักไข่เจียวใส่จานข้าวตัวเอง เอ่ยย้ำความต้องการอีกครั้ง
“ครั้งนี้ฉันฝันดีมาก งวดนี้ถูกแน่นอน แทงไปเลยหนึ่งหมื่น! งวดที่แล้วยังเสียดายไม่หาย แทงแค่เจ็ดพัน”
น้ำอุ่นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตักข้าวเคี้ยวอย่างเชื่องช้า กลืนข้าวลงคออย่างยากลำบาก เธอไม่อยากขัดใจแม่ แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นแม่เสพติดการพนันมากไปกว่านี้ อีกทั้งครั้งนี้แม่อาจไม่โชคดีเช่นครั้งที่แล้ว
“แม่จ๋า ครั้งนี้แม่หยุดพักผ่อนสักครั้งดีกว่านะจ๊ะ เงินที่ได้จากครั้งที่แล้วก็ยังมีเหลือ”
สิ้นคำอ้อนวอน ผู้ถูกวอนขอก็กระแทกจานข้าวพลาสติกลงกับโต๊ะ จิ้มหน้าผากลูกสาว ตวาดใส่เสียงดัง
“จะบ้ารึไงอีอุ่น คนดวงกำลังขึ้น น้ำขึ้นให้รีบตักรู้จักไหมฮะ”
“แต่ถ้าคราวนี้ไม่ถูกล่ะแม่”
แล้วก็เป็นดังคาด แม่หยิกหมับเข้าที่ต้นแขนขาว บิดจนเจ้าตัวน้ำตารื้นเพราะความเจ็บ บิดไปก็ด่าเสียงดังไปอย่างไม่เกรงใจห้องข้างเคียง
“อีปากเสีย อีอุ่น! ถ้ากูไม่ถูกก็เป็นเพราะมึงนี่แหละปากเสีย เดี๋ยวกูก็ตบปากแหกไปถึงหูซะเลย ถ้ากูไม่ถูกเพราะมึงปากเสีย หนี้หนึ่งหมื่นเหรียญ มึงนั่นแหละต้องรับไปจ่าย!”
น้ำอุ่นดิ้นหลุดเป็นอิสระ ยามคำด่าสิ้นสุดลง การรับประทานอาหารดำเนินต่อ น้ำอุ่นเก็บปากเก็บคำรับประทานอาหาร ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ปล่อยให้แม่ของเธอฮัมเพลงมีความสุขกับฝันหวานว่างวดนี้จะถูกหวยแน่นอน
สิ่งเดียวที่น้ำอุ่นคิดในใจคือ เธอกำลังจะจากไป...
ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องถอย ถึงใครจะประณามว่าอกตัญญู ทว่า...หากเธอยังอยู่ต่อ ความกตัญญูคงแผดเผาเธอจนสุดท้ายไม่วายจบชีวิตด้วยน้ำมือแม่
เธอไม่อยากสร้างหนทางการทำบาปให้วิไล คือการฆ่าลูกในไส้ เพียงเท่านี้เส้นทางของแม่ก็มืดหม่นมากพอแล้ว
นับจากนี้ต่อไป เธอจะให้เท่าที่ให้ได้ ให้...อย่างที่เธอไม่ต้องเฉือนเนื้อแทงตัวเองอีก
ความคิดของน้ำอุ่นจบลงพร้อมกับที่การรับประทานอาหารสิ้นสุด หญิงสาวจัดแจงเก็บโต๊ะ ขณะที่วิไลนอนพังพาบอ่านหนังสือเลขเด็ดน่าเล่นอยู่บนฟูก จนเมื่อลูกสาวจัดการเก็บล้างทุกอย่างเรียบร้อย ผู้เป็นแม่จึงวางหนังสือลงพร้อมเอ่ยถาม
“ตกลงไอ้ผู้ชายมันว่ายังไง มันรู้รึเปล่าว่าแกมีเวลาเหลืออีกไม่ถึงสองอาทิตย์”
น้ำอุ่นเช็ดมือที่เปียกน้ำ แล้วเดินไปนั่งบนฟูกข้างๆ แม่
“หนูยังไม่ได้คุยกับเขาเลย อาทิตย์ก่อนที่โทร. ไปเขาบอกว่าไปประชุมที่แคลิฟอร์เนีย น่าจะกลับมาวันมะรืน” เธอปดครึ่งหนึ่ง จริงอยู่ที่เอดิสันไปประชุม แต่เธอไม่เคยคิดจะพูดถึงการแต่งงาน
เพราะเธอเลือกแล้วว่าเธอจะกลับเมืองไทย!
วิไลขมวดคิ้ว ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “แล้วแกจะไปเจอมันวันมะรืนใช่ไหม”
“จ้ะ”
วิไลพยักหน้า ปรายตามองลูกสาวซึ่งหยิบไอแพดขึ้นมาเปิด มือฉวยไอแพดมาอย่างรู้ทันว่าเจ้าของเครื่องกำลังจะดูหนัง วางไอแพดไว้บนตัก
“ถ้ามะรืนนี้มันไม่ให้คำตอบเรื่องแต่งงาน แกเตรียมตัวแต่งงานกับพ่อเฒ่าได้เลย ฉันตกลงกับพ่อเฒ่าไว้แล้ว เขาจ่ายสินสอดให้หมื่นเหรียญ เงินนี่ฉันจะเก็บเป็นค่าน้ำนม จะพาพวกเราย้ายไปที่บ้านเขา เดี๋ยวจดทะเบียนแล้วพ่อเฒ่าจะทำกรีนการ์ดให้แก”
ผู้ถูกบังคับเม้มปากแน่น ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าคำค้านของเธอไร้ผล ใช้ความเงียบแทนคำตอบ ปล่อยให้วิไลคิดว่าลูกสาวคนนี้จะยินยอมแต่โดยดี มือเล็กเอื้อมไปคว้าไอแพดคืน ไม่ได้เปิดดูหนังอย่างที่ตั้งใจ แต่วางไว้ข้างหมอน ร่างเล็กบางล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้แม่ผู้เริ่มคร่ำเครียดกับการเก็งเลขเด็ดเพิ่ม
ดวงตากลมโตปิดลง นึกถึงพ่อเฒ่าที่แม่จะขายเธอให้ พ่อเฒ่าเป็นชาวอเมริกันผู้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วสถานะของวิไลและน้ำอุ่นคืออะไร อายุราวเจ็ดสิบห้าปี เขาชื่อเดวิด แต่คนที่ร้านรสไทยนิยมเรียกว่าพ่อเฒ่า แล้วตัวเขาเองก็ชอบชื่อนี้ยิ่งนัก
พ่อเฒ่าเป็นแขกประจำร้านรสไทย มารับประทานอาหารทุกวันเสาร์และอาทิตย์ บ้านของพ่อเฒ่าอยู่เมืองสการ์สเดล เขาเคยแต่งงานมาแล้วสามครั้ง ไม่มีลูก อยู่ตามลำพังกับสุนัขหนึ่งตัว
คิดถึงพ่อเฒ่าก็ต้องคิดถึงหุ่นสูงใหญ่พุงพลุ้ย หัวล้านเปล่งประกายวาววับ ตาหยีต่างจากชาวตะวันตกทั่วไป น้ำอุ่นส่ายหน้าเพื่อสลัดภาพของเขาซึ่งทำให้เธอรู้สึกอยากอาเจียนออก การสะบัดนี้ทำให้ภาพใครคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ แก้มสาวร้อนผ่าวเพียงแค่นึกถึง
เขา...บุรุษที่เธอได้พบที่ศาลเจ้าแห่งนั้น...
ริมฝีปากบางยิ้มเศร้าเมื่อตระหนักว่าเธอและเขาคงไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว แต่เศร้าแล้วก็หัวเราะขำ ถอนหายใจกับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเอง ใช้มือหนึ่งนวดขมับ
‘นี่เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ’ น้ำอุ่นคิดในใจ พลางเลื่อนมือข้างที่นวดขมับลงมาแตะจี้ ลูบจี้อันเป็นตัวแทนของยาย
‘อุ่นจะกลับเมืองไทย อุ่นเคยผิดมาแล้วครั้งหนึ่งที่โกหกสถานทูต อุ่นจะไม่ทำผิดซ้ำสอง จะไม่ปล่อยให้สถานะขาด จะเดินทางกลับไทยตามที่เขาอนุญาตให้อยู่ ยายไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ’
ดวงตากลมโตปรายมองแม่ผู้นอนข้างๆ มือแตะแขนแม่ซึ่งหลับไปแล้ว น้ำตารื้น คิดต่ออย่างเด็ดเดี่ยว
‘แม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ อุ่นจะกลับไปเรียนต่อและหางานทำ จะส่งเงินมาให้แม่ใช้’
น้ำตาไหลจากหางตา พร้อมกับที่ดวงตาแสนเหนื่อยล้าค่อยๆ ปิดลง เธอก้าวเข้าสู่ห้วงนิทราช้าๆ โดยไม่ได้สังเกตหรือรับรู้เลยว่า เหรียญที่ข้อมือส่องสว่างเป็นประกายสีขาวและจางหายไปอย่างรวดเร็ว
น้ำอุ่นปฏิเสธคำชวนเดตจากผู้ชายทุกคน เว้นแต่เอดิสัน กุมารแพทย์หนุ่มซึ่งเธอสนิทใจในการพบมากที่สุด
อันที่จริงเธอกับเขาควรพบกันตั้งแต่เจ็ดวันที่แล้ว แต่เพราะเอดิสันมีงานด่วน ต้องอยู่ต่อที่แคลิฟอร์เนีย การนัดเดตตามกำหนดเดิมจึงถูกเลื่อนออกไป น้ำอุ่นพยายามเกลี้ยกล่อมวิไลอย่างสุดความสามารถ จนในที่สุดวิไลก็ยอมเลื่อนนัดพ่อเฒ่า เสียงเด็ดขาดของมารดาดังตอกย้ำน้ำอุ่นทุกคืนก่อนนอน
‘จำไว้นะอีอุ่น ถ้าสิบห้านี้แกไม่มีเงินสินสอดมากองให้ฉัน เตรียมเก็บกระเป๋าไปเป็นเมียพ่อเฒ่าได้เลย’
น้ำอุ่นถอนหายใจ นั่งกอดเข่าอยู่บนฟูก วันนี้เธอไม่ไปทำงาน ด้วยรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียคล้ายจะเป็นไข้ มือเล็กเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูวันที่ วันนี้วันที่ ๑๕ ธันวาคม อันเป็นวันที่วิไลคาดโทษไว้ เธอวางโทรศัพท์ลง มองเพดานห้องอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ส่งข้อความไปยืนยันนัดเอดิสัน
‘เจอกันคืนนี้หนึ่งทุ่ม ร้านเดิมค่ะ’ (เอียง)
ยังไม่ทันที่ข้อความจะส่งออกเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาที่ห้อง ตามด้วยเสียงกระชากเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อกแล้วเหวี่ยงประตูปิด จากนั้นแม่ก็พุ่งมากอดเธอ
คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตกใจจนเบิกตาค้าง สองแขนเล็กกอดแม่ผู้กำลังร้องไห้หนัก เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี เอ่ยถามเสียงสั่น
“เกิดอะไรขึ้นแม่ ใครทำอะไรแม่”
วิไลเงยหน้าที่เปรอะเปื้อนด้วยน้ำตา สะอื้นอย่างรุนแรง ก่อนจะซบหน้าลงกับอกลูกสาว กอดร่างเล็กแน่นราวจะใช้เป็นที่หลบภัย
“อุ่นช่วยแม่ด้วย อุ่นต้องช่วยแม่นะ พวกมันจะกระทืบแม่ มันจะฆ่าแม่”
เสียงสั่นๆ และท่าทางหวาดกลัวของมารดา รวมกับประโยคคำตอบ ทำให้น้ำอุ่นตัวสั่นตามแรงสะอื้นของแม่ หวาดกลัวจับขั้วหัวใจ เธอผละออกจากอ้อมกอดของวิไล วิ่งตรงไปล็อกประตูแล้วกลับมากอดแม่ซึ่งนอนคว่ำหน้าร้องไห้บนฟูก
“เกิดอะไรขึ้นแม่ ทำไมพวกเขาจะฆ่าแม่”
วิไลร้องไห้เสียงดังยิ่งขึ้น ไม่สนใจปาดน้ำตาที่นองหน้า จ้องมองลูกสาวด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ค่าหวยหมื่นเหรียญ พวกมัน...มัน...มันบอกต้องจ่ายก่อนเที่ยงพรุ่งนี้”
แม้จะพอคาดเดาได้ว่าเรื่องหวย แต่น้ำอุ่นรู้สึกอยากเป็นลม ตัวเลขหนึ่งหมื่นเหรียญกดทับแน่นอกจนเริ่มหายใจไม่ออก ถึงกระนั้นก็ไม่มีการด่าว่าผู้สร้างเรื่อง เพียงกอดแม่เอาไว้
“แม่ใจเย็นๆ นะ อุ่นจะไปคุยกับพวกเขา”
วิไลกำแขนลูกสาวทั้งสองข้าง ส่ายหน้าพร้อมเขย่าตัวลูก แววตาน่ากลัวยิ่งนักขณะตวาด
“พวกมันไม่ยอม มันจะเอาเงิน!”
น้ำอุ่นอ้าปากเตรียมพูด ทว่าถูกแม่ใช้มือปิดปากห้ามไว้ มืออีกข้างของแม่ชี้ไปยังปฏิทิน แววตาประหนึ่งปีศาจร้ายสิงร่าง
“วันที่สิบห้าแล้ว วันนี้ไม่ใช่เหรอที่แกบอกว่าไอ้ผู้ชายมันจะคุยกับแก แกไปบอกมันให้เอาเงินมาก่อนหมื่นเหรียญ ที่เหลือค่อยเอามาให้วันหลัง”
น้ำอุ่นแกะมือแม่ออก คิ้วขมวดมุ่น “แต่แม่...”
“ไม่มีแต่!” วิไลหยัดตัวนั่งตรง ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ ผมหลุดกระเซอะกระเซิง ท่าทางหน้าตาของเธอในยามนี้กำลังกลายเป็นปีศาจร้ายอย่างเต็มจิตวิญญาณ
นางปีศาจร้าย...ที่จนตรอกและกำลังจะบีบคอลูกสาวด้วยมือตัวเองเพื่อเอาตัวรอด
“อีอุ่น! ถ้าคืนนี้มึงไม่ได้เงินกลับมา พรุ่งนี้มึงเก็บของไปอยู่กับพ่อเฒ่าได้เลย!”
ความอดทนทั้งหมดของน้ำอุ่นขาดผึง ใช่ว่าเธอไม่รักแม่ แต่เธอไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว หญิงสาวมองผู้ให้กำเนิดด้วยแววตาเจ็บช้ำ ค่อยๆ ถอยตัวหนี สบตาแม่ ในแววตาของแม่ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวแห่งความรัก แววตานั้นมองเธอราวกับว่าเธอไม่ใช่ลูก แต่เป็นเพียงสินค้าที่ถูกผลิตมาเพื่อนำไปขาย!
หญิงสาวกำมือแน่น เม้มปากเพื่อกลบเสียงสะอื้นในใจไม่ให้เล็ดลอดออกไป แล้วจึงลุกขึ้นแต่งตัว ตัดสินใจออกจากห้องในตอนนี้ทั้งที่ยังห่างจากเวลานัดอีกถึงสองชั่วโมง เธอต้องออกไป เธอทนไม่ไหว เธออยู่กับแม่อีกต่อไปไม่ได้แล้ว
เธอไม่อยากเกลียดแม่ ไม่อยากด่าทอแม่!
การแต่งตัวไม่ได้พิถีพิถันเช่นทุกครั้ง เรียกว่าหยิบทุกอย่างที่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาใส่ ทันทีที่เธอคว้ากระเป๋า เสียงออกคำสั่งของมารดาก็ดังไล่หลัง
“จำไว้นะอีอุ่น ถ้ามึงไม่มีเงินหมื่นเหรียญกลับมา พรุ่งนี้มึงไปเป็นเมียพ่อเฒ่าได้เลย!”
เป็นครั้งแรกที่น้ำอุ่นเหวี่ยงประตูปิดราวต้องการปิดการรับคำสั่งของแม่เช่นกัน เธอปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างไม่คิดยกมือเช็ด หัวใจดวงน้อยเจ็บอย่างไม่รู้จะหาคำใดมาบรรยาย
เมื่อก่อนเธอเคยสงสัยว่าหัวใจคนเราจะรับความเจ็บมากมายได้จริงหรือ ในวันนี้เธอได้คำตอบแล้ว หัวใจของคนเรารับความเจ็บปวดได้มากกว่าที่คิด
เธอเจ็บปวดประหนึ่งหัวใจถูกมือที่มีคมเหล็กแหลมบดขยี้ เจ็บราวถูกมีดกะซวกแทงแล้วแทงอีก แต่หัวใจของเธอก็ยังเต้น ไม่ได้หยุดลงทั้งที่เธอเจ็บประหนึ่งหัวใจหลุดจากขั้ว
หญิงสาวโซซัดโซเซออกจากตึก สองเท้าก้าวไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย ก่อนหยุดนั่งเหม่อลอยบนม้านั่งข้างจุดรอรถประจำทาง ดวงตาบวมแดงทอดมองรถที่แล่นผ่านไปผ่านมาอย่างว่างเปล่า สมองสับสนทั้งหนักทั้งเบาสลับกัน
น้ำอุ่นปล่อยตัวเองให้เหม่อลอยเช่นนี้ จนเมื่อลมพัดผ่านรุนแรง ความหนาวปะทะร่างพาให้ตัวสั่นปากสั่น จึงคืนสติหลุดจากความเหม่อลอยกลับสู่ความจริง
เธอยกมือเรียวที่ไร้ถุงมือขึ้นกุมหน้าอก ยิ้มโง่เขลาเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ
“ยังไม่ตาย...”
ใช่...เธอยังไม่ตาย เมื่อยังมีชีวิตก็ยังต้องก้าว ต้องสู้ และต้องมีความหวัง
ดวงหน้าขาวซีดชะโงกมองรถประจำทางที่แล่นตรงมา หดคอกลับเมื่อพบว่าไม่ใช่สายที่ต้องการ ปล่อยสายตาว่างเปล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สมองเริ่มครุ่นคิด
วันนี้เธอจะปฏิเสธรับของกำนัลสูงค่าจากเอดิสัน ที่ผ่านมามันมากพอแล้ว หญิงสาวไม่อาจหน้าด้านรับของของเขาอย่างไร้ยางอายได้อีก การบอกลาและคำขอโทษคือสิ่งเดียวที่ดีที่สุดที่เธอสามารถมอบให้แก่เขา
ครั้งนี้...คือครั้งสุดท้ายของการพบเจอและรู้จักกัน
น้ำตาหยาดน้อยไหลจากหางตา ตัวเลขหนึ่งหมื่นเหรียญลอยขึ้นมาในสมอง เธอไม่อาจยืนเฉยปล่อยให้แม่ถูกทำร้ายได้ ทว่า...จะหาที่ไหน
น้ำอุ่นหลุบตามองเสื้อโคตที่สวมอยู่ ยังมีกระเป๋า โทรศัพท์มือถือ เงินในบัญชีที่เก็บไว้เผื่อฉุกเฉิน และสิ่งของที่พอมีค่าซึ่งอยู่ที่บ้าน หากเธอยกของทั้งหมดให้แม่ น่าจะพอได้ราคารวมถึงหมื่นเหรียญ หรือหากขาดก็จะพยายามประนีประนอมกับเจ้าหนี้ ที่เหลือจะทยอยใช้คืนให้
น้ำอุ่นไม่เสียดายของที่ต้องสูญเสีย เธอกำลังจะกลับไทย ไม่จำเป็นต้องใช้ของเหล่านี้
ตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือน เธอขายชีวิต ขายศักดิ์ศรี ให้แก่แม่และคำว่ากตัญญู มันจบแล้ว...พอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องหันกลับมารักตัวเอง
ทุกอย่างที่ได้จากที่นี่ก็ขอให้มันอยู่แค่ที่นี่ ไม่ว่าอะไรเธอจะไม่เอากลับไปทั้งนั้น เธอจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นน้ำอุ่นที่หยัดยืนด้วยสองขาของตัวเอง ไม่ใช่มีลมหายใจด้วยการหลอกจับผู้ชายรวยอีกแล้ว
ดวงหน้าน่ารักชะโงกมองรถประจำทางอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนเมื่อพบว่ารถสายที่ต้องการกำลังแล่นมา เธอเงยหน้ามองฟ้าที่ดำมืดเกินกว่าเวลาจริง ฉีกยิ้มกว้างให้แก่ดาวดวงน้อยซึ่งหายากยิ่ง มือข้างหนึ่งกุมจี้ห้อยคอพลางคิด
‘ยายจ๋า อุ่นจะกลับบ้านของเราแล้วนะ อุ่นจะกลับไปหายายนะจ๊ะ’
เสียงไวโอลินในร้านอาหารค่ำคืนนี้บรรเลงเป็นท่วงทำนองเศร้าต่างจากทุกวัน ราวผู้บรรเลงล่วงรู้ว่าหนึ่งในผู้ใช้บริการกำลังจะจากกันชั่วนิรันดร์อย่างไม่อาจได้พบกันอีกไม่ว่าจะต้องการหรือไม่
น้ำอุ่นทอดตามองรอบร้าน ยังจำครั้งแรกที่มาที่นี่ได้ดี มันคือครั้งแรกในชีวิต ความหรูหราทำให้เธอตื่นเต้นดีใจจนทำแก้วน้ำแตก ทั้งยังใช้ช้อนตักสปาเกตตีแทนการใช้ส้อมม้วน ทว่าผู้ชายซึ่งนั่งตรงข้ามไม่ได้มีทีท่าอับอาย เขาเพียงหัวเราะเอ็นดู แล้วช่วยสอนวิธีการรับประทานแบบตะวันตกให้
เธอยังจำน้ำเสียงสุภาพของเขาได้ดี
‘คุณคงกินอาหารไทยทุกวันใช่ไหม ไม่แปลกหรอก ผมก็ใช้ส้อมกินข้าวเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วต้องใช้ช้อนใช่ไหมตามธรรมเนียมตะวันออก’
เมื่อคิดถึงความสุภาพของเขา ดวงตาเศร้าก็ฉายแววเสียใจขณะมองผู้ชายในความคิดซึ่งกำลังแล่เนื้อสเต๊กเบื้องหน้า
เธอเสียใจ...ที่เธอไม่รักเขา
ทั้งที่เขาหล่อ เขารวย เขาดีต่อเธอ เขาเอาใจเธอ แต่น่าเสียดาย...ทั้งที่เธอพยายาม แต่เธอก็ไม่อาจรักเขา...
“ไม่หิวอีกแล้วเหรอครับ”
น้ำเสียงห่วงใยของคนเอ่ยถามฉุดน้ำอุ่นให้หลุดจากความเสียใจ เธอยิ้มน้อยๆ ตักสลัดเข้าปากพอเป็นพิธี เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้
“ไม่ค่อยหิวค่ะ”
เอดิสันพยักหน้ารับคำตอบ เปลี่ยนมาถามสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา “เท่าที่ผมจำได้ คุณใกล้จะต้องกลับไทยแล้วใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ อีกสี่วัน”
“ผมคงคิดถึงคุณมาก”
น้ำอุ่นคลี่ยิ้มซาบซึ้ง เอื้อมไปกุมมือเขาเป็นครั้งแรก “ฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคุณ”
การกุมมือของน้ำอุ่นทำให้เอดิสันเบิกตากว้าง คิดเข้าข้างตัวเองว่าความพยายามของเขาคงเริ่มมีผลในใจเธอ มือใหญ่กุมผสานมือเล็ก ดวงตาสีเทาส่งสายตาหวานซึ้ง เช่นเดียวกับคำพูดที่เอื้อนเอ่ย
“อลิซ...ผมรู้สึกว่าคุณคือชิ้นส่วนตัวสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตผมสมบูรณ์ขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ผม...ผมมั่นใจว่าคือคุณ”
ผู้ฟังคำหวานเริ่มรู้ถึงสัญญาณอันตราย เธอดึงมือออกจากมือเขา เตรียมเอ่ยปากบอกเรื่องการตัดสินใจกลับไทย ทว่า...ไม่ทัน ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้น คุกเข่าลงข้างๆ เธอ เขาควักกล่องแหวนออกจากกระเป๋าเสื้อสูท เปิดกล่องแหวนออก ภายในคือแหวนเพชรเม็ดโต เพชรส่องประกายระยิบระยับ ล่อลวงใจผู้มองให้เอื้อมมือออกไป
“แต่งงานกับผมนะอลิซ ผมสัญญาว่าผมจะรักคุณ จะดูแลคุณให้ดีที่สุด”
น้ำอุ่นอ้าปากค้าง ยกมือขึ้นปิดปาก มันคือการขอแต่งงานที่เคยวาดฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ทว่า...เธอกลับร่ำไห้ น้ำตาที่หลั่งออกมาหาใช่น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไม่ แต่เป็นน้ำตาแห่งความเสียใจ
เขาขอเธอแต่งงานเพราะเธอคืออลิซ ลูกสาวเจ้าของร้านอาหารไทย ไม่ใช่น้ำอุ่น เด็กเสิร์ฟผู้มีแม่เป็นโรบินฮูด!
การร้องไห้ซึ่งดูออกว่าไม่ได้เกิดจากความซาบซึ้งทำให้เอดิสันหน้าเสีย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงทุกสายตาในร้านอาหารกำลังจับจ้องมายังเธอและเขา ทั้งที่ตอนแรกทุกคนเตรียมปรบมือร่วมแสดงความยินดี แต่ในตอนนี้พยานทั้งหลายเริ่มตกใจ ทั้งยังใคร่รู้ว่า...เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อลิซ...” มือใหญ่เอื้อมออกไป ทว่าคนจะถูกแตะตัวยกมือห้าม
“อย่า...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ...”
น้ำอุ่นร้องไห้หนักขึ้น เสียงสะอื้นดังกลบเสียงไวโอลิน เอดิสันตัดสินใจเรียกคิดเงิน ก่อนจะประคองเธอผู้ยังร้องไห้เดินออกจากร้านอาหาร ส่งกุญแจให้เด็กจอดรถ เมื่อได้รถก็รีบประคองเธอให้นั่ง อยากจะโอบกอด แต่เธอผลักเขาออก สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มทำได้คือการเดินไปนั่งที่ของตน มองอย่างไม่เข้าใจ สลับกับการส่งกระดาษทิชชูให้เธอเช็ดน้ำตา
นั่งมองเงียบๆ และรอเงียบๆ
การรอคอยอันแสนอึดอัดกินเวลาถึงสิบนาที ในที่สุดน้ำอุ่นก็หยุดร้องไห้ กำมือที่ค่อนข้างสั่นไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ทำใจให้พร้อมสำหรับอะไรบางสิ่ง
“เอดิสันคะ ฉันมีอะไรจะสารภาพ”
ผู้ถูกเรียกชื่อนั่งนิ่งรอคอย แทบไม่กะพริบตา แทบไม่หายใจ ดวงตาสีเทามองสตรีเบื้องหน้าที่เริ่มต้นถ่ายทอดความจริง
ความจริง...ที่ว่าเธอไม่ใช่อลิซ เธอคือน้ำอุ่น เธอเป็นเด็กเสิร์ฟ แม่ของเธอก็เป็นเด็กเสิร์ฟ ไม่ใช่เจ้าของร้านอาหาร และที่ผ่านมาเธอหลอกเขาเพื่อหวังของราคาแพงจากเขา หวังให้เขาแต่งงานด้วย
เอดิสันรู้สึกคล้ายศีรษะถูกทุบด้วยไม้เบสบอล นั่งนิ่งร่างแข็ง ตกใจในสิ่งที่ได้รู้ ดวงตาจับจ้องเธอ สตรีผู้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดจะแต่งงานด้วย สมองของเขาสับสน ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะทำเช่นไร
เขาควรเรียกตำรวจจับเธอ...หรือเขาควรให้อภัยเธอ
น้ำอุ่นผู้สร้างเรื่องโกหกก็มีสภาพจิตใจที่สับสนไม่ต่างกัน ทั้งยังหวาดกลัว เพราะไม่รู้ว่าเขาจะเรียกตำรวจจับเธอหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาโกรธแค่ไหน หรือเขาอาจฆ่าเธอทิ้งให้หายแค้น
เงียบ...มีเพียงความเงียบระหว่างคนทั้งสอง
เอดิสันปิดเปลือกตาลง ขมับบังเกิดเส้นเลือดพองโป่งจนน่ากลัวว่าจะแตก มือกำพวงมาลัยรถแน่น บีบ...แล้วคลาย ตามด้วยการลืมตาขึ้น เบนสายตาไปยังเธอพร้อมกับการยอมรับความจริงที่ว่า
เขาพลาดเอง ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง และครั้งนี้เขาเสี่ยงพลาด เลือกม้าผิดตัว๑๙!
แท้จริงแล้วที่ผ่านมา ทุกการมอบของกำนัลและการเดตร้านหรู คือการวางแผนของเอดิสันที่คิดจะสานต่อเงินถุงเงินถังของลูกสาวเจ้าของร้านอาหาร เขา...ก็ลงทุนหวังผลเช่นกัน!
ตึกแถวย่านไทม์สแควร์จัดว่าติดหนึ่งในสิบของที่ดินราคาทองคำในนิวยอร์ก ผู้ครอบครองได้ล้วนต้องเป็นคนมีฐานะ อีกทั้งเขาเคยแอบไปดูที่ร้านอาหารไทยซึ่งเธอเอ่ยอ้างว่าคือกิจการของแม่ ลูกค้าที่แน่นร้านแทบจะตลอดเวลาทำให้เอดิสันมองเห็นเม็ดเงินสะพัด
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากระโจนลงหลุมง่ายกว่าทุกครั้ง คือภาพความขยันขันแข็งของเธอ ทั้งที่เธอเป็นลูกสาวเจ้าของ แต่กลับทำงานอย่างขยันและทะมัดทะแมง หากเขาแต่งงานกับเธอ ผู้หญิงเช่นนี้คงไม่คิดนอนรอเงินเกาะเขากินไปวันๆ!
เอดิสันยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่า เขาพลาด...พลาดเพราะความหลงที่ขาดสติ พลาดเพราะดวงตาถูกความหลงบดบัง
เขาถูกหลอกสนิท ไม่ใช่จากเสื้อผ้าหรูหราที่เธอใช้ แต่จากกิริยาการวางตัวของเธอ เธอทำได้ดีมากจนเขาหลงเชื่อว่า เธอ...คือคุณหนูอลิซ โดยไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย!
ทั้งที่คิดว่าตัวเองฉลาด คิดว่าอ่านคนขาด แต่สุดท้ายก็พลาดเพราะความหลง
ที่แท้ความหลงและมารยาหญิงมันร้ายกาจ และสามารถสร้างความเสียหายแก่ชีวิตมากกว่าที่คิด
ความเงียบของเขาทำให้น้ำอุ่นกลัว อยากจะลงจากรถออกไปอยู่ในที่สาธารณะ คิดระแวงไปว่าหากเขาคิดจะฆ่าเธอ อย่างน้อยก็ยังวิ่งหนีได้สะดวกกว่า ดวงตาคมโตช้อนมองเขาซึ่งนั่งนิ่ง เธอกัดริมฝีปาก อยากจะพูด แต่ทุกสิ่งจุกแน่นในลำคอ
หญิงสาวพยายามผ่อนลมหายใจ ค่อยๆ หลุบตามองมือที่กำแน่นของตัวเอง ยามช้อนตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเขามองเธออยู่ เธอรวบรวมความกล้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“ทุกอย่างที่ฉันเคยเอาไปจากคุณ ฉัน...”
“ผมไม่ต้องการคืน”
สิ้นคำตอบของเขา ร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำก็เอี้ยวตัวมาเปิดประตูรถฝั่งเธอและถอยกลับ ไม่ได้คิดจะลวนลามดังที่น้ำอุ่นคาด เขาชี้ไปยังประตูที่เปิดออก
“ลงไปซะ ต่อไปนี้หวังว่าเราคงไม่พบกันอีก ลาก่อน”
น้ำอุ่นมองเขาผ่านดวงตาซึ่งพร่างพราวด้วยม่านน้ำตา พยักหน้ารับการตัดสินใจของเขา สะพายกระเป๋า ก้าวลงจากรถแล้วปิดประตู มองดูรถยนต์คันหรูพุ่งออกไปในทันที มอง...จนมันลับสายตา
“ลาก่อน เอดิสัน ฉันขอให้คุณโชคดี”
เธอเอ่ยอำลาเขา พาร่างอันแสนเหนื่อยอ่อนจากการร้องไห้และเสียใจในความผิดไปยังป้ายรถประจำทางที่ใกล้ที่สุด ยืนรอรถพร้อมหลั่งน้ำตาเป็นสาย ไม่สนใจว่าใครจะมอง ไม่สนใจจะเช็ด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้จะทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าที่เป็นอยู่ และบางที...
อาจทำให้เธอ...ตายทั้งเป็น
ไม่มีความจำเป็นต้องเช็ดน้ำตา ไม่ว่าอย่างไร เดี๋ยวมันก็ไหลเปื้อนใบหน้าอีกครั้งอยู่ดี!
ความคิดเห็น |
---|