7

กลแห่งกาล


บทที่ ๗

กลแห่งกาล

 

ทันทีที่ประตูห้องเปิดออก คำถามจากวิไลดังขึ้นแทนการเอ่ยต้อนรับ “เงินล่ะ ได้เงินมาไหม”

น้ำอุ่นหลุบตาลง เดินมานั่งข้างแม่ผู้นั่งขัดสมาธิรับประทานส้มตำ ส่ายหน้าเบาๆ ยังไม่ทันอ้าปากเอ่ยสิ่งใด ใบหน้าก็หงายเอนตามแรงกระชากผมจากมือผู้เป็นแม่

“มึงล้อกูเล่นใช่ไหมอีอุ่น เอาเงินมาให้กูเดี๋ยวนี้!”

น้ำอุ่นพยายามดิ้นรนหลุดจากมือของแม่บังเกิดเกล้า ร้องด้วยความเจ็บปวด “แม่ ปล่อย อุ่นเจ็บ”

สองมือเล็กพยายามแกะมือแม่ ทันทีที่หลุดเป็นอิสระ ร่างเล็กบางถัดตัวถอย ดวงตาแดงบวมเป่งมากล้นด้วยความผิดหวัง เจ็บปวด เสียใจ และหวาดกลัว ตัวสั่นประหนึ่งลูกสุนัขตัวน้อยกำลังจะถูกสุนัขใหญ่ฟัด น้ำตาไหลอาบแก้ม พนมมือเล็กขึ้นแนบอก

“แม่จ๋า...อุ่นไม่ทำแล้ว แม่ปล่อยอุ่นเถอะนะ อุ่นไม่อยากหลอกใครแล้ว”

วิไลไร้ความเมตตาสงสารในท่าทีของลูก เธอพุ่งตรงไปประชิดตัวคนร้องขอ ฟาดฝ่ามือใส่แก้มนวลขาวอย่างไร้ความลังเล เมื่อคนถูกตบล้มฟุบก็จิกผมให้เงยหน้าขึ้นก่อนฟาดฝ่ามืออีกครั้งสุดแรง ใช่เพียงการตบตีจบลงเพียงเท่านี้ ยังกระชากร่างนั้นให้ลุกขึ้น เขย่าอย่างรุนแรงตามอารมณ์โกรธอย่างไม่สนว่าที่กำลังตบตีคือลูกในไส้

“อีอุ่น อีเนรคุณ อีสารเลว! มึงก็รู้ว่าพวกมันจะฆ่ากูทิ้ง มึงอยากให้กูตายใช่ไหม มึงจะฆ่ากูใช่ไหม!”

น้ำอุ่นพยายามดิ้นรนหนี ส่ายหน้าร้อง “อุ่นเจ็บ แม่ปล่อยอุ่น ปล่อย!”

สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอเลิกออมแรง ผลักมือที่กำลังทุบตีออกพร้อมดิ้นหนีอย่างรุนแรง แรงนี้ทำให้วิไลล้มไปอีกด้าน เสียงล้มของแม่ทำให้น้ำอุ่นผู้ไม่ได้ตั้งใจผลักเบิกตากว้าง รีบพุ่งตรงไปประคองแม่อย่างลืมไปว่าเมื่อครู่สตรีผู้นี้ทำสิ่งใดต่อเธอบ้าง

“แม่จ๋า เจ็บไหม อุ่นขอโทษ แม่...”

ทันทีที่เธอแตะร่างที่ล้มอยู่ก็ต้องผงะถอยล้มไปอีกฝั่ง วิไลไม่ได้ตื้นตันในความเป็นห่วงของลูก เธอยกเท้าถีบน้ำอุ่นดั่งว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่ลูกสาว เอื้อมไปคว้านิตยสารเล่มใหญ่มาม้วนเป็นท่อน แล้วคลานเข่าตรงเข้าไป ใช้นิตยสารฟาดใส่ท่อนแขนเล็ก

“อีอุ่น อีเนรคุณ อีนรก! มึงกล้าผลักกูเหรอ อีสารเลว! อีอกตัญญู”

คนถูกทุบตีไม่ได้ต่อสู้หรือดิ้นรนหนี เธอเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ทำเพียงนอนคู้ตัว ไม่สนใจว่ามุมปากแตกเลือดอาบ ไม่สนใจว่าเนื้อตัวแดงไปทั่วเพราะถูกตีถูกทุบ คิดเพียงแค่...

‘เอาเถอะ...ร่างกายนี้แม่ก็คลอดมา ชีวิตเกิดจากเลือดเนื้อของแม่ ถ้าทุบตีแล้วแม่หายโกรธหายโมโห ก็เชิญได้เต็มที่’

หลังจากทุบตีระบายอารมณ์โกรธจนพอใจ วิไลผู้มีสภาพและจิตใจไม่ต่างจากปีศาจร้ายก็หยุดมือในที่สุด พาร่างเหนื่อยหอบจากการโมโหและใช้แรงถอยไปนั่งหอบบนฟูก ดวงตาดุแดงดั่งผีบ้าเข้าสิง ถลึงตามองลูกสาวซึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งกอดเข่า ไม่สนใจว่าตบตีลูกจนเลือดออก ไม่สนใจว่าลูกจะเจ็บจะเสียใจ สิ่งเดียวที่สนใจคือเงิน...ซึ่งหลุดลอยไป

คือความผิดของอีอุ่น! อีลูกเนรคุณ! อีลูกไม่รักแม่!

นิ้วเรียวค่อนข้างสั่นตามแรงโกรธชี้ไปยังน้ำอุ่นผู้กำลังเช็ดเลือดที่มุมปาก “อีอุ่น มึงเตรียมเก็บของได้เลย พรุ่งนี้พ่อเฒ่าจะมารับมึงไปอยู่ด้วยตอนเย็น ถ้ามึงกล้าออกฤทธิ์ออกเดชอีก กูจะเอามีดแล่เนื้อมึงออกเป็นชิ้นๆ!”

น้ำอุ่นไม่ได้ค้านหรือโต้เถียง คลานเข่าเข้าไปกอดแม่ ไม่สนว่าแม่จะพยายามผลักเธอออกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สนแววตาเกลียดชังซึ่งมองเธอราวเธอไม่ใช่ลูก

“แม่จ๋า ถ้า...ถ้าอุ่นไปแล้ว แม่ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ”

หญิงสาวหมายถึงการจากไป...การเดินทางกลับประเทศไทย แต่มารดาเข้าใจไปว่าจากไปอยู่กับพ่อเฒ่า

วิไลผลักร่างที่กอดตัวเองออก ปรายตามองพร้อมกับบิดริมฝีปาก เดินไปกดโลชันจากขวดแล้วเริ่มนวดมือ

“ดูซิ มือกูเจ็บไปหมด!” นวดมือจนพอใจแล้วก็ปรายตามองลูกสาวอีกครั้ง รู้สึกขัดใจรำคาญลูกตายิ่งนักกับคราบเลือดที่มุมปากบาง แล้วยังคราบน้ำตามากมายที่ไหลเปื้อนทั่วหน้าทั่วคอ เธอหยิบกระดาษทิชชูโยนไปยังลูกสาว

“เช็ดซะ แล้วมึงก็จัดการอาบน้ำล้างตัวให้ดี นอนได้แล้ว พรุ่งนี้เจอพ่อเฒ่าต้องแต่งตัวสวยๆ”

น้ำอุ่นหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมุมปาก เลือดซึ่งติดเปื้อนกระดาษทำให้เธอสะอื้นเสียใจอีกครั้ง ไม่คาดคิดเลยว่าแม่จะลงมือถึงขั้นนี้ ความคิดหนึ่งแทรกขึ้นมาในสมอง

เธอคือลูกของแม่วิไลจริงๆ หรือ ทำไมแม่ลงมือกับเธอโหดร้ายถึงเพียงนี้

แม่ผู้ถูกตั้งคำถามเหลือบตามองดูนาฬิกา เอ่ยด้วยน้ำเสียงขู่ “เดี๋ยวกูจะออกไปเล่นไพ่แก้เซ็ง มึงอย่าได้พล่านไปไหน ถ้ากูกลับมาวันพรุ่งนี้แล้วไม่เจอมึง ไม่ใช่แค่ปากมึงที่จะเลือดออก หัวมึงก็จะเลือดออกด้วย เอาเลือดชั่วๆ ออกให้หมด!”

คำขู่ของวิไลลอดผ่านหูน้ำอุ่นไปราวคำนั้นเป็นเพียงลมพัด น้ำอุ่นอยากจะลุกขึ้นไปกอดอำลาแม่ เพราะเธอไม่รู้เลยว่าชาตินี้จะได้มีโอกาสพบแม่อีกไหม แต่เมื่อเจอแววตารังเกียจแทบจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ หญิงสาวจึงทำได้เพียงมองแม่หิ้วกระเป๋าเดินจากไป ริมฝีปากบางบวมช้ำขยับเอื้อนเอ่ยคำลาแผ่วเบา

“ลาก่อนนะจ๊ะแม่ แม่ดูแลตัวเองด้วยนะจ๊ะ”

สิ้นคำอำลาซึ่งฝากไปกับอากาศ ร่างอันแสนบอบช้ำก็ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปลากกระเป๋าเดินทางออกมาเปิด เริ่มต้นเก็บเสื้อผ้า เก็บแต่สิ่งที่เธอนำมาจากประเทศไทย เก็บ...เพื่อเดินทางกลับไทย ไม่ใช่ไปอยู่กับผู้เฒ่าผู้นั้น

ของส่วนตัวที่นำมามีน้อยมากจนใส่แค่กระเป๋าเดียวก็ครบถ้วนทุกสิ่ง ดวงตาบวมแดงมองของอีกกองอันเป็นของมีราคาทั้งหลาย ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ เธอเปิดกระเป๋าเดินทางอีกใบ เรียงของใส่กระเป๋า ของพวกนี้หากนำไปแลกเป็นเงิน ต่อให้แลกกับเจ้ามือแสนโหดที่คิดมูลค่าเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ของราคาจริง ก็มากพอให้ประนอมหนี้ได้ ส่วนที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องที่แม่ต้องรับผิดชอบ

ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องปล่อยมือและหลับตากลั้นใจจากไป...

สำหรับใช้หนี้ค่าหวยของแม่ (เอียง)

โพสต์อิตโน้ตถูกแปะไว้บนกระเป๋า มือเล็กที่เต็มไปด้วยรอยข่วนรอยแดงลากกระเป๋านั้นไปวางข้างฟูกนอนฝั่งแม่ ดวงตามองทุกสิ่งด้วยแววตาไร้ความอาลัย มีเพียงความโล่งอกจากพันธนาการที่ถูกปลดปล่อย ก่อนจะค่อยๆ ถอยไปนั่งลงบนฟูกฝั่งตน ตามด้วยการกวาดตามองรอบห้อง ถอนหายใจเบาๆ ล้มตัวนอนคู้ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูตั๋วเครื่องบินผ่านอีเมล

อีกสามวัน...

น้ำอุ่นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าพรุ่งนี้เธอจะไปจากที่นี่ เลือกนอนรอที่สนามบิน ที่นั่นมีตำรวจ วิไลคงไม่สามารถไปทุบตีด่าทอและลากเธอไปขายให้ผู้เฒ่าได้

มือเล็กลูบพื้นที่ว่างข้างตนอันเป็นที่ที่วิไลนอน น้ำตาแห่งความผิดหวัง เจ็บปวด เสียใจ ไหลออกมาอีกครั้ง ดวงตาเริ่มปวดร้าว

“แม่ต้องดูแลตัวเองนะจ๊ะ ลาก่อนนะจ๊ะแม่”

กระบอกตาที่แสนปวด ประกอบกับร่างกายที่ร้าวระบม และจิตใจที่แบกทุกข์สาหัส ส่งผลให้น้ำอุ่นหลับในทันทีที่ดวงตาปิด

เธอผู้หลับใหลไม่รู้เลยว่าเหรียญจีนเริ่มส่องแสงสว่างอีกครั้ง ในครั้งนี้ยาวนานและสว่างไสวกว่าครั้งที่แล้ว ก่อนจะค่อยๆ ดับลงเมื่อเจ้าของร่างละเมอร้องไห้เพราะฝันร้ายว่าถูกขายไปเป็นเมียพ่อเฒ่า

 

กระเป๋าเดินทางตั้งพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้าย แต่เจ้าของกระเป๋ายังไม่ยอมขยับ ดวงตาซึ่งยังบวมอยู่เพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนักมองไปยังฟูกนอนที่ว่างเปล่า ใจคะนึงถึงมารดาผู้กำลังสนุกสนานกับการเล่นไพ่

ดวงตาอันมากล้นด้วยความเจ็บปวดกวาดมองรอบห้องที่อยู่อาศัยมาเกือบหกเดือน ริมฝีปากอำลาด้วยรอยยิ้มเศร้า เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว คิดแล้วก็ถอนหายใจ มือดึงคันชักกระเป๋าขึ้น แต่บางสิ่งที่แวบผ่านเข้ามาทำให้มือนั้นชะงัก ปล่อยคันชักพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อโคตขึ้นมากดดูเวลา

แปดโมงเช้า...

ยังมีเวลา...อีกหลายชั่วโมงกว่าวิไลจะกลับ และการไปสนามบินในตอนนี้ก็ใช้เวลานานนัก ต้องไปติดอยู่บนถนน ด้วยเหตุนี้น้ำอุ่นจึงตัดสินใจไปเยือนย่านไชนาทาวน์อีกครั้งเพื่อไหว้เจ้าในศาลเจ้าซึ่งเธอบังเอิญพบครั้งก่อน แต่กลับจดจำเส้นทางได้ชัดเจนเหมือนเคยไปบ่อยนับครั้งไม่ถ้วน

และเพื่ออำลาความแปลกประหลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้น

แสงแดดวันนี้อบอุ่นยิ่งนัก ท้องฟ้างดงามจนทำให้ผู้ตั้งใจจากลาอดีตที่นี่บอกตัวเองว่าคงเป็นลางดีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พวกท่านคงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ และเข้าใจว่าเธอต้องจากไป ไม่ใช่เธอไม่รักหรือคิดทอดทิ้งแม่

ทั้งที่เวลานี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วน ทว่าน่าแปลกนัก รถประจำทางที่ไปยังไชนาทาวน์กลับว่างเปล่า ไม่มีผู้โดยสารสักคน รถจอดรอที่ป้ายพอดิบพอดีราวกับว่ารถคันนี้มารอเธอ

หญิงสาวหัวเราะขำความคิดนั้น ก้าวขึ้นรถเตรียมจ่ายเงิน แต่คนขับเอ่ยขัดพร้อมกับออกรถ

“วันนี้ฟรี”

น้ำอุ่นเอ่ยขอบคุณงงๆ เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถฟรี เธอเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวใกล้สุด คิ้วเรียวขมวดเมื่อมองเห็นความแปลกอีกอย่าง...ถนนช่างโล่งเหลือเกิน

ไม่ถึงยี่สิบนาทีดี รถจอดหน้าป้ายรถประจำทางใกล้ศาลเจ้า น้ำอุ่นเอ่ยขอบคุณคนขับรถซึ่งเธอไม่คุ้นหน้า พร้อมก้าวลงรถเดินทอดน่องไปยังศาลเจ้า

ศาลเจ้าในวันนี้เงียบยิ่งนัก เธอลังเลชั่วขณะ ไม่แน่ใจว่าเปิดหรือไม่ จนเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ ได้กลิ่นธูป และเห็นกลุ่มควันเช่นวันนั้นลอยออกมาจากด้านใน จึงกึ่งเดินกึ่งย่องเข้าไปราวกลัวว่าเสียงเดินจะปลุกให้ใครตกใจ

สองเท้าก้าวไปยังจุดเดิมเบื้องหน้าองค์เทพเจ้า วันนี้บนโต๊ะว่างเปล่า ไม่มีของเซ่นไหว้บูชา กระถางธูปทองเหลืองก็เช่นกัน น้ำอุ่นให้เหตุผลว่าสงสัยยังเช้าเลยยังไม่มีใครมา ก่อนจะขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แล้วกลิ่นธูปกับกลุ่มควันเมื่อครู่...มาจากที่ใดกัน

หญิงสาวสลัดความสงสัยทิ้ง คุกเข่าลงเบื้องหน้ารูปปั้นเทพเจ้า ร้องโอ๊ยเบาๆ เพราะรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่าง ยังดีที่เธอสวมเสื้อคอเต่า เลยไม่มีใครเห็นเนื้อตัวเขียวช้ำ ถึงกระนั้นใบหน้าก็บวมแดง มุมปากเจ่อ แต่เจ้าของร่างไม่สนใจรอยทั้งหลาย กระทำเหมือนกับว่ามันไม่มีอยู่

เธอพนมมือเล็กๆ ขึ้นแนบอก หลับตาลง เอื้อนเอ่ยคำอธิษฐานแผ่วเบาเบื้องหน้าเทพเจ้าผู้มีพักตร์เมตตา

“ท่านเจ้าขา โปรดคุ้มครองอุ่นด้วย ขอให้อุ่นปลอดภัย ได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต ขอท่านคุ้มครองแม่วิไลด้วย ขอให้แม่วิไลมีความสุข”

เธอก้มลงกราบ สองมือทาบลงบนเบาะหนังแดง ทันใดนั้นฟ้าก็คำรามกึกก้องคล้ายการร้องเตือนว่าพายุฝนกำลังจะมา ผู้เงยหน้าจากการกราบอดแปลกใจไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ฟ้าโปร่งไร้เมฆ แต่เหตุใดกันหนอ ทำไมฟ้าจึงร้องคำรามเสียงดังเช่นนี้

ความสงสัยถูกทำลายเมื่อมีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก เสียงฝีเท้าคนวิ่งมาทางนี้ น้ำอุ่นรู้สึกถึงเหตุการณ์ไม่ปกติ เธอลุกขึ้นยืนอันเป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้ชายท่าทางผอมแห้งผมกระเซิงวิ่งตรงมายังเธอ ในมือถือปืน และปืนนั้นชี้มาหาเธอ!

แม้จะตกใจ แต่สัญชาตญาณบอกให้เธอหนี สองเท้าเตรียมวิ่ง...แต่ช้าไป ท่อนแขนเล็กถูกกระชากด้วยมือผอมแห้งแต่มากล้นด้วยเรี่ยวแรง หูได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืน...ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดและยิงถูกที่ใด เธอรู้แค่มันดังมาก ต่อมาคือเสียงคำรามของฟ้า ดังกึกก้องราวสวรรค์พิโรธ

ในความตกใจและสับสน น้ำอุ่นไม่ทันสังเกตว่าเหรียญบนข้อมือส่องแสงสว่างเจิดจ้า เธอรู้สึกถึงลมวูบใหญ่โหมพัดกระแทกร่าง ท่อนแขนหลุดจากมือชายผู้นั้น ร่างเริ่มลอยเคว้งคว้าง หลับตาแน่นอย่างไม่อาจลืมตาเพราะแรงลมที่กระหน่ำตีใส่ใบหน้า สองแขนกอดตัวเองแน่น

เธอกลัว...หวาดกลัวสุดขีด แต่ไม่มีเสียงกรีดร้องผ่านออกจากปาก

ร่างอันสั่นไหวทั้งจากความกลัวและการถูกเหวี่ยงตามแรงลมลอยหมุนไปตามแสงสีขาว เจ้าของร่างรู้สึกถึงแรงกดที่ช่วงอกอย่างรุนแรง มันต้านกับแรงดันภายในที่คล้ายอกเธอจะระเบิดออก ยิ่งร่างลอยผ่านแสงสีขาวมากเท่าใด แรงดันก็ยิ่งมากขึ้นๆ

วื้ดดด...

น้ำอุ่นรู้สึกว่าร่างกำลังตกจากที่สูง ผ่านแสงสีขาวตกสู่หลุมดำ ร่างอันปวดร้าวบอบช้ำเจ็บคล้ายถูกฉีกทึ้ง เธอรู้สึกว่าเธอกระแทกลงบน...พื้นหญ้า แรงกระแทกทำให้เธอจุก ค่อยๆ ลืมตามอง...ต้นไม้...ต้นไม้มากมาย...

“เฮ้ย! ทางนี้มีผู้หญิง”

หญิงสาวได้ยินเสียงคนตะโกน แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดภาษาอะไร เสียงดังเข้ามาใกล้ มีเสียงฝีเท้ามากมาย ทั้งหมดนั้นหยุดลงข้างเธอ

ดวงตาที่จวนจะปิดไม่ปิดแหล่ฝืนมองบุรุษตัวใหญ่กำยำสามคนซึ่งยืนยิ้มเหี้ยมอยู่เหนือหัวเธอ พวกเขาพูดคุยกันด้วยภาษาที่เธอไม่รู้ความหมาย ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตรงเข้ามากระชากตัวเธอ ยกร่างเธอพาดไหล่ น้ำอุ่นไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ไม่มีแม้แต่แรงร้องห้าม ไม่มีแม้แต่แรงรอดูว่าพวกเขา...พาเธอไปที่ใด

 

กลิ่นฉุนชวนอาเจียนปลุกให้คนหมดสติรู้สึกตัวตื่น ลำคอเธอแห้งผากปรารถนาการดื่มน้ำ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้พยายามกลืนน้ำลาย แต่น้ำลายในปากแห้งแสนแห้งจนไม่อาจเยียวยาความต้องการได้

ดวงตาปวดร้าวค่อยๆ เปิดปรือขึ้น ภาพที่ปรากฏคือห้องสี่เหลี่ยม ผนังไร้การประดับตกแต่ง มีเพียงสีคล้ำอันยากจะคาดเดาว่าสีนั้นคือสีที่ตั้งใจทาหรือคือคราบเปื้อนอันเป็นร่องรอยของความสกปรก ที่น่าฉงนที่สุดคือกลุ่มสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ...ไม่สิ ต้องกล่าวว่าหลากช่วงอายุ พวกเธอเหล่านั้นบ้างนั่งจับกลุ่มพูดคุย บ้างนอนอ่านหนังสือ บ้างนอนหลับ ไม่มีผู้ใดสนใจว่าเธอฟื้น เว้นเสียแต่...

“ตื่นแล้วรึ” เสียงพูดภาษาอังกฤษสำเนียงไทยชัดเจนดังทักทายมาจากด้านหลัง

น้ำอุ่นกัดฟันหยัดกายลุก หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง สตรีผู้นี้คาดเดาได้ว่ารุ่นราวคราวเดียวกับวิไล กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนฟูกยาวที่ปูจากมุมห้องหนึ่งไปสุดอีกมุมห้อง แต่งตัวดีกว่าสตรีคนอื่น ท่าทางลักษณะบอกชัดว่าเป็นหัวหน้า

“ชื่ออะไร”

ผู้ถูกถามชื่อกลืนน้ำลาย ปล่อยเสียงแหบแห้งผ่านลำคอที่แห้งผากและเจ็บ “น้ำอุ่น...”

หญิงผู้นั้นเลิกคิ้วสูง ทวนชื่อเสียงเบา ตามด้วยการเอ่ยถามเป็นภาษาไทย “น้ำอุ่น...คนไทยรึ”

ภาษาไทยทำให้คนถูกถามพยักหน้า ริมฝีปากคลี่ยิ้มด้วยความดีใจที่ได้พบคนมาจากชาติเดียวกัน รอยยิ้มนี้พาให้สตรีผู้นั้นอดยิ้มตามไม่ได้ เอื้อมมือมาหยิกแก้มเจ้าของรอยยิ้มเบาๆ

“ยิ้มสวยนะเราน่ะ”

ผู้ถูกชมไม่ได้เอ่ยสิ่งใดตอบ แต่กวาดตามองรอบห้อง สตรีบางคนมองมาทางเธอด้วยแววตาสนใจ แต่ส่วนใหญ่กระทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ น้ำอุ่นกระแอม พยายามกลืนน้ำลายอีกครั้ง อ้าปากหมายเอ่ยถามว่าที่นี่คือที่ใด ทว่า...

“อือ...อือ...อือ...”

เสียงที่หลุดจากลำคอไม่ใช่คำพูด แต่เป็นเสียงอือๆ คล้ายกับ...คล้ายกับคนเป็นใบ้!

ใช่เพียงเจ้าของเสียงที่เบิกตากว้างตกใจ มือกุมปากกุมลำคอตัวเอง สตรีผู้นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน ผุดลุกขึ้นนั่งยกมือทาบอก

“อ้าว เป็นใบ้เหรอเนี่ย!”

คนถูกกล่าวหาว่าเป็นใบ้ส่ายหน้า ชี้ลำคอตัวเองพร้อมพยายามเปล่งเสียงพูดว่า ไม่...เธอพูดได้ ทว่าเป็นเช่นเดิม มีเพียงเสียงอือๆ ลอดออกมาจากลำคอ

“เป็นใบ้แบบนี้ก็ราคาตกตาย! ลูกค้าจะเอาไหมล่ะเนี่ย!”

คำกล่าวนั้นทำให้คนตกใจเรื่องตัวเองพูดไม่ได้ตกใจหนักขึ้น จนลุกขึ้นไปกุมมือคนที่นั่งตรงข้าม พยายามตะโกนถามว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เสียงที่ออกมามีเพียงเสียงอือๆ การกระทำของเธอดึงดูดสายตาของสตรีทั้งหลายที่พากันหยุดการกระทำ ณ ขณะนั้น มองมาทางเธอเป็นตาเดียว

“อ้าว เป็นใบ้เหรอแม่” เสียงตะโกนถามเป็นภาษาไทยดังมา

‘แม่’ พยักหน้า ตะโกนตอบพร้อมพยายามแกะมือที่บีบแขนตนแน่น “เออ เป็นใบ้ โอ๊ย! ปล่อย เจ็บ!”

สิ้นคำตวาด น้ำอุ่นก็ถูกผลักหงาย เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บ เพราะสมองกำลังตกใจสุดขีด หัวใจเต้นรัว มือเย็นเฉียบ เหงื่อผุดทั่วใบหน้าและร่างจนเธอต้องถอดเสื้อโคตออกเพราะเริ่มรู้สึกจะเป็นลม

“ตายยย...ไปโดนซ้อมที่ไหนมาล่ะเนี่ย เขียวช้ำไปทั้งตัวเลย”

เสียงร้องทักมาจากสตรีคนเดิม ใช่เพียงทัก ยังเอื้อมมือมาจับท่อนแขนเล็กที่ปรากฏรอยช้ำไปทั่ว

“ที่เก่ามันซ้อมเอ็งรึ ที่เอ็งหนีออกมาเพราะทนไม่ได้ละสิ”

น้ำอุ่นส่ายหน้าไม่เข้าใจ แววตาหวาดกลัวของเธอทำให้สตรีผู้ถูกเรียกว่าแม่และเป็นหัวหน้าคุมสาวๆ ทั้งหมดขมวดคิ้ว

“เอ็งอยู่ที่ไหน มากับแม่เล้าคนไหน” ถามไปแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจ “ลืมว่าเอ็งเป็นใบ้ เอาเถอะ...เป็นใบ้แต่ก็หน้าตาน่าเอ็นดู ยิ้มเยอะๆ ละกัน ลูกค้าน่าจะตกหลุมรอยยิ้มเอ็ง”

“อือ...อือ...อือ...”

น้ำอุ่นส่ายหน้าพยายามพูด ก่อนจะเริ่มกรีดร้องเพราะเธอพูดไม่ได้ มือทุบลำคออย่างรุนแรงจนสตรีผู้นั้นรีบคว้ามือเธอไว้ ตะโกนเรียกสาวๆ ทั้งหลายให้เข้ามาช่วย

“มาช่วยจับมันหน่อย มันบ้าแล้ว!”

น้ำอุ่นผู้รู้สึกกำลังตายทั้งเป็นกรีดร้องสุดเสียง ทว่าเสียงกรีดร้องก็ออกมาเพียงเสียงอือๆ เช่นเดิม เธอดิ้นสุดแรง เท้าถีบไปโดนผู้หญิงบางคนจนคนถูกถีบฟาดมือลงบนต้นขาเธอ ตามด้วยการด่า ทว่าความเจ็บปวดจากร่างกายไม่อาจสู้ความเจ็บปวดในใจ เธอยังคงกรีดร้องพร้อมกับตะโกนก้องถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน

ทำไมเธอพูดไม่ได้

 

ความเย็นจากผ้าบิดหมาดปลุกให้น้ำอุ่นผู้หมดสติจากการกรีดร้องเมื่อครู่ตื่น ทันทีที่รู้สึกตัว เธอก็ลุกพรวดขึ้น ถดกายนั่งติดฝาผนัง สองแขนเขียวช้ำกอดเข่าแน่น ดวงตาที่ฉายแววหวาดกลัวกวาดมองรอบห้อง ทว่ามีเพียงความว่างเปล่า นอกจากเธอและสตรีผู้มีท่าทางคล้ายหัวหน้า คนอื่นล้วนไม่อยู่ที่นี่

แม้จะยังเสียขวัญและไม่เข้าใจว่าทำไมเธอพูดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ใด แต่สติก็เริ่มกลับคืนมาบ้าง หญิงสาวไอเบาๆ รู้สึกปวดร้าวคออย่างยิ่ง ร่างกายระบมหนักกว่าเดิม ดวงตาที่ฉายแววหวาดหวั่นค่อยๆ ช้อนมองสตรีผู้นั่งข้างๆ

“หิวไหม”

น้ำอุ่นพยักหน้าตอบคำถาม สตรีผู้นั้นลุกไปยังประตูบานเล็กจนต้องก้มตัวเดินออก หายไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้ามา ในมือคือขนมปังหนึ่งแผ่นทาแยมสตรอว์เบอร์รีและแก้วน้ำเปื้อนคราบสกปรกฝังแน่น

“อะ กินซะ”

คนไร้สิทธิ์เลือกรับขนมปังและแก้วน้ำมา เริ่มรับประทานอย่างหิวโหย ขนมปังหมดจากการกัดเพียงสามครั้ง น้ำในแก้วว่างเปล่าไม่เหลือสักหยด แก้วถูกส่งคืนให้ผู้นำมา

“ฉันรู้ว่าเอ็งไม่อิ่ม แต่เอ็งยังไม่ได้ทำงานก็กินได้แค่นี้”

เมื่อเอ่ยถึงการทำงาน ร่างเล็กบางก็ถดกายติดผนัง กอดเข่าตัวสั่น แม้ไม่รู้ว่าการทำงานนั้นหมายถึงสิ่งใด แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าคงไม่ใช่งานสุจริต

ความคิดของเธอดังไปถึงสตรีผู้นั้น ผู้อยู่มานานเอื้อมมือมาแตะแขนเล็กซึ่งสั่นเพราะความหวาดกลัวของเจ้าของร่าง

“ตกลงเอ็งเคยทำงานรึเปล่า นี่เอ็งเข้าประเทศมากับแม่เล้าคนไหน โอ๊ย...ลืมไป เอ็งพูดไม่ได้ เอาเถอะ! จะอธิบายให้ฟัง”

คำว่าแม่เล้าทำให้น้ำอุ่นรู้ว่างานนี้คืองานอะไร แล้วเธอก็คิดถูก สตรีเบื้องหน้าเริ่มอธิบาย

“ไอ้ดำหนึ่ง ดำสอง ดำสาม มันไปเจอเอ็งที่สวนสาธารณะใกล้ๆ มันเลยหิ้วเอ็งมาที่นี่ เอามาโยนให้ฉันดูแล”

หากเป็นยามปกติ น้ำอุ่นคงหัวเราะขำการเรียกชื่อผู้ชายสามคนนั้น ทว่าในยามนี้สิ่งเดียวที่ทำได้คือการปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม

“ฉันชื่อพิศ เป็นคมคุมเด็กที่นี่ สาวๆ ที่นี่ส่วนใหญ่มาจากไทย มาเลย์ ฟิลิปปินส์ ก็มีกันอยู่เท่าที่เอ็งเห็น งานของพวกเราก็ให้ความสุขแก่ลูกค้า เอ็ง...”

ยังไม่ทันที่พิศจะพูดจบ ประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรง เสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังเข้ามาใกล้ ตามด้วยร่างของเจ้าของเสียงถูกโยนลงบนฟูก การโยนไม่ต่างจากการโยนหมูโยนหมา ผู้โยนคือผู้ชายซึ่งน้ำอุ่นจำได้ว่าเป็นคนหิ้วเธอมาที่นี่ ดวงตาที่ฉายแววดุเหี้ยมของเขาปราดมองมาทางเธอ เธอหวาดกลัว กอดเข่าแน่น หลับตาไม่มอง หูได้ยินเสียงร้องไห้ของสตรีผู้นั้นและเสียงเหวี่ยงประตูปิด

“มันไปแล้ว”

พิศเอ่ยเพราะรู้ดีว่าสาวน้อยกลัวสิ่งใด เธอลุกขึ้นเดินไปประคองสตรีผู้นั้น ผิวสีน้ำผึ้งเต็มไปด้วยรอยช้ำทั้งของใหม่และเก่า หน้าและปากบวมเจ่อ

“เอ็งยอมทำงานดีๆ ซะเถอะ จะได้ไม่เจ็บตัว”

“อีชั่ว!”

สตรีผู้นั้นด่ากลับทันควันพร้อมกับผลักพิศอย่างแรงจนพิศล้ม น้ำอุ่นตกใจแต่รีบคลานไปประคองพิศ ด้วยเหตุนี้มือของพิศซึ่งเตรียมง้างตบสั่งสอนสตรีมากฤทธิ์จึงลดลง ปล่อยให้น้ำอุ่นประคองกลับไปมุมเดิม แต่ดวงตาดุยังมองไปยังสตรีผู้นั้นพร้อมกับการชี้นิ้ว

“อุ่น เอ็งดูเอาไว้ ถ้าโง่และฤทธิ์เดชมากไม่ยอมทำงานดีๆ จะเป็นแบบอีนั่น”

น้ำอุ่นมองสตรีผู้นั้นด้วยแววตาสงสาร แน่ชัดว่าคงถูกซ้อม เธอไม่กล้าคาดเดาว่ามีสิ่งใดมากกว่าถูกซ้อมหรือไม่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอแทบขาดใจตาย ร้อนรุ่มประหนึ่งถูกต้มในกระทะทองแดง

‘สวรรค์เจ้าขา...ทำไม...หรือเพราะลูกเคยหลอกลวงผู้ชาย ท่านจึงส่งลูกมาใช้กรรมที่นี่’

น้ำอุ่นถามในใจพร้อมกับร้องไห้เงียบๆ กวาดมองรอบด้านด้วยแววตาแสนหวาดกลัว ห้องนี้เกือบจะเป็นห้องปิดตาย นอกจากประตูบานเล็กๆ ก็ไม่มีแม้แต่หน้าต่างสักบาน ไร้ทางหนีอย่างแน่ชัด ไม่อาจมองเห็นแม้แต่แสงเดือนแสงตะวัน

ที่แห่งนี้คือขุมนรกดีๆ นี่เอง!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น