บทที่ ๘
แล้วเราก็ได้พบกัน...อีกครั้ง
น้ำอุ่นรู้สึกเหมือนตัวเองหนีเสือปะจระเข้ ทั้งที่หนีจากการถูกขายให้ผู้เฒ่าได้ แต่สุดท้ายกลับมาตกอยู่ในซ่องแห่งนี้ หญิงสาวนอนร้องไห้เงียบๆ ทั้งคืน มือจับจี้บรรจุอัฐิยายตลอดเวลา เอ่ยถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในใจ ถาม...ทั้งที่รู้ว่าไร้คำตอบ
‘ท่านเจ้าขา ที่ผ่านมาอุ่นทำบาปมากใช่ไหม ทั้งโกหกสถานทูต ทั้งโกหกหลอกลวงผู้ชาย ท่านเลยลงโทษให้อุ่นเป็นใบ้ แล้วยังถูกจับตัวมาที่นี่’
ไม่มีคำตอบจากเบื้องบน ค่ำคืนช่างแสนยาวนาน น้ำอุ่นไม่อาจข่มตาหลับ ดวงตากวาดมองห้องกว้าง แล้วเลื่อนไปมองสตรีอีกคนนอนร้องไห้กรีดร้องไม่ยินยอมแต่โดยดี ต่อด้วยนอนฟังเสียงแม่พิศของเด็กๆ ที่นี่ด่าทอสตรีผู้ขัดขืน บางครั้งผู้ชายหน้าเหี้ยมก็เดินเข้ามาในห้อง ลงมือตบตีหญิงสาวผู้โชคร้ายจนร่างสะบักสะบอมยิ่งกว่าน้ำอุ่น แต่เจ้าของร่างใจเด็ดประกาศกร้าว
“ฆ่ากูเลย กูไม่ขายตัว!”
น้ำอุ่นคู้ตัวด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งที่เห็น ใช้สติซึ่งยังหลงเหลือพูดคุยกับตัวเอง หากเธอสู้คงมีสภาพไม่ต่างจากสตรีผู้นั้น แต่หากเธอยอมเธอก็คงตายทั้งเป็นเช่นกัน ทางเลือกทั้งสองล้วนเป็นทางที่เธอไม่ปรารถนา ร่างเล็กบางค่อยๆ ขยับตัวลุก จากการนอนคู้เป็นนั่งกอดเข่า คำถามหนึ่งดังขึ้นในความคิด
เธอหายตัวมาเช่นนี้ วิไลจะกลุ้มใจหรือไม่ จะด่าเธอไหม จะตามหาเธอหรือเปล่า
ไร้คำตอบให้ความสงสัย เสียงพูดคุยดังแว่ว ต่อมาคือเสียงประตูห้องเปิด ผู้หญิงทั้งหลายที่เธอได้เห็นในคราแรกยามฟื้นขึ้นทยอยเดินเข้ามา แต่ละคนแต่งตัวสีสันฉูดฉาด ผู้มาใหม่มองเครื่องแต่งกายของสาวๆ เหล่านั้น ตามด้วยการขยี้ตาตัวเอง ตั้งคำถามที่สองในใจ
หรือว่าที่แห่งนี้คือสถานค้าบริการที่มีธีมย้อนยุค
สตรีทุกคนล้วนแต่งตัวด้วยชุดเดรสบ้าง กระโปรงทรงดินสอบ้าง กระโปรงสุ่มบานบ้าง ผมดัดเป็นลอน ทาปากแดงแจ๋กันทุกคน การแต่งตัวช่างคล้ายคลึงยุคห้าศูนย์ยิ่งนัก ยังไม่ทันที่น้ำอุ่นจะคิดสิ่งใดมากไปกว่านี้ ดวงตาที่กวาดมองก็รีบปิดลง เพราะสตรีทั้งหลายเริ่มถอดเสื้อผ้าอย่างไร้ความเขินอายต่อสายตาผู้ใด บางคนก็ล้มตัวนอนทั้งที่ยังเปลือยกาย บางคนหยิบเสื้อยืดที่วางกองบนหมอนมาสวม
“เดี๋ยวเอ็งก็ชิน” คำกล่าวมาจากพิศผู้กำลังนั่งจดบางสิ่งลงในสมุด
น้ำอุ่นมีเรื่องอยากถามหลายเรื่อง แต่เธอพูดไม่ได้ ทำเพียงหยีตามองหญิงสาวทั้งหลายซึ่งกำลังต่อแถวเดินมาส่งไม้เล็กๆ คล้ายไม้จิ้มฟันให้พิศ บางคนได้เป็นกำ บางคนได้เพียงสามชิ้น บางคนไม่มีก็นอนเฉย
สายตาสงสัยของน้ำอุ่นทำให้หญิงสาวหน้าตาท่าทางก๋ากั่นผู้มีไม้ในมือเป็นกำนั่งลงข้างๆ พร้อมอธิบาย
“เวลาที่เอ็งได้แขกขึ้นห้อง แขกจะให้ไม้เอ็ง ถ้าเอ็งลืมเก็บไม้จากแขก รอบนั้นเอ็งก็ทำงานฟรี”
เป็นเช่นคำบอกของสาวผู้นั้น พิศนับไม้พร้อมจดบันทึกว่าใครได้เท่าไร น้ำอุ่นมองไม้เป็นกำแล้วเกิดอาการขนลุกอยากอาเจียน เพราะรู้ว่า...ไม้...เท่ากับจำนวนผู้ชาย
“เดี๋ยวเอ็งก็ชิน” พิศบอกอีกครั้งอย่างเข้าใจท่าทางพะอืดพะอมของสาวน้อยผู้มาใหม่
ทั้งที่คนส่วนใหญ่ล้มตัวนอนส่งเสียงกรน แต่น้ำอุ่นไม่อาจข่มตาหลับ เธอลุกขึ้นนั่งมองพิศผู้กำลังจดบันทึกสรุปยอด สายตาของเธอทำให้พิศวางมือจากปากกา กวักมือเรียกสาวน้อยเข้าไปใกล้
“มานี่มา”
น้ำอุ่นคลานเข่าเข้าไปอย่างว่าง่าย มองพิศเปิดสมุดไปหน้าแรกสุด ชี้ไปยังตัวเลขในปฏิทิน
“เอ็งเริ่มงานพรุ่งนี้ละกัน วันที่สิบเจ็ด”
ดวงตาของน้ำอุ่นไม่ได้จับจ้องที่วันที่ แต่จ้องเขม็งที่ปี ร่างของเธอเย็นเฉียบ อาการจุกแน่นหน้าอกกลับคืน มือคว้าสมุดของพิศขึ้นมาเพ่งจนจมูกแทบติดกับกระดาษ
Dec 16 1955 (เอียง)
ไม่ใช่...นี่ปี ๒๐๑๘!
หญิงสาวโต้เสียงดังในใจ ก่อนจะจิ้มนิ้วกระแทกที่ตัวเลข ๑๙๕๕ ส่งเสียงอือๆ กับพิศผู้มองดูด้วยความไม่เข้าใจ พิศเอียงคอมอง
“ค.ศ.? ปีนี้ก็ปี ๑๙๕๕ ไง”
สมุดในมือน้ำอุ่นตกลงบนฟูก สองมือเล็กโบกปฏิเสธไปมา ส่งเสียงอือๆ แย้ง ท่าทางของเธอทำให้พิศเกาศีรษะ บ่นเสียงหงุดหงิด
“เอ็งนี่ท่าจะบ้านะอีอุ่น ตกลงนี่ไม่ใช่แค่เป็นใบ้แต่เป็นบ้าด้วยรึเนี่ย”
ไม่ต้องมีการตอกย้ำเรื่องปี แน่ชัดแล้วว่าที่นี่คือปี ๑๙๕๕ ไม่ใช่ ๒๐๑๘ น้ำอุ่นทิ้งร่างที่ตกใจจนแข็งค้างลงบนฟูก ไม่สนใจเสียงร้องตกใจของพิศ ดวงตาเบิกค้างจ้องเพดานสีคล้ำสกปรก หัวใจเต้นรัวราวจะหลุดออกจากอก เสียงตัวเองตะโกนย้ำ ค.ศ. ดังอยู่ในใจ
๑๙๕๕...๑๙๕๕!
ในครั้งนี้เธอไม่ได้เป็นลมหมดสติ แต่รู้สึกอยากอาเจียน ทว่าท้องนั้นว่างเปล่าจนไม่อาจขับสิ่งใดออก ทำได้แค่โก่งตัวงอ น้ำตาไหล ไร้เรี่ยวแรงจะกรีดร้อง หมดพลังจะทุบตีสิ่งใด
หรือว่าเธอ...ย้อนเวลา...จากปี ๒๐๑๘ สู่ปี ๑๙๕๕
เป็นไปไม่ได้! การย้อนเวลาย้อนอดีตได้มีแต่ในนิยาย!
หญิงสาวปล่อยสมองเต้นตุบๆ รู้สึกสมองร้อนระอุเดือดพล่านประหนึ่งกำลังจะระเบิดออกจากกะโหลกศีรษะ จนกระทั่งเสียงกรนของคนส่วนใหญ่ดังอย่างรุนแรง แรง...จนกลบเสียงเต้นของหัวใจเธอ น้ำอุ่นจึงพยายามหยัดร่างลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองรอบด้านที่มีเพียงความมืดเพราะดับไฟหมดแล้ว ยื่นมือออกไปคว้าอากาศด้วยท่าทางคล้ายคนไร้สติ ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อีนี่มันเป็นใบ้และเป็นบ้าด้วยแน่ๆ เลยแม่”
“หุบปาก!” เสียงพิศตอบในทันที ดวงตาคมมองสาวน้อยผู้มาใหม่ด้วยแววตาเฝ้าระวัง
น้ำอุ่นไม่สนใจว่าใครจะคิดเช่นไร ร่างเล็กบางอันแสนบอบช้ำล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ปิดเปลือกตาลง ไม่ใช่เพื่อพักผ่อน แต่เพื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะมาปรากฏกายที่นี่ ตอนนั้น...เธออยู่ที่ศาลเจ้า
ฟ้าร้อง
ผู้ชายถือปืน
เสียงปืนดัง
ลมพายุ...
ดวงตากลมโตเบิกขึ้น มือกุมหน้าอกตัวเอง ศาลเจ้าจีน! หากเธอย้อนเวลาจริง ต้องเป็นที่นั่นแน่ๆ ที่ทำให้เธอข้ามเวลามาสู่ที่นี่!
ริมฝีปากแห้งผากคลี่ยิ้มคาดหวัง ตามด้วยการเม้มแน่น คิ้วเรียวขมวดมุ่น เสียงร้องแย้งดังขึ้นในใจ
ไม่จริง การย้อนเวลามีแค่ในนิยาย
แล้วหากมีจริงเล่า หากเธอย้อนเวลามาสู่ปี ๑๙๕๕ จริง...อีกเสียงดังแทรก
เป็นอีกครั้งที่น้ำอุ่นรู้สึกแน่นหน้าอกจนไม่อาจนอนได้อีกต่อไป มือยันร่างลุกขึ้น เงยหน้าอ้าปาก สูดอากาศเข้าลึกคล้ายคนกำลังจมน้ำแสวงหาอากาศที่กำลังหมด ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงปล่อยร่างล้มตัวลงนอนตะแคง มองไปยังพิศผู้นอนมองเธอเช่นกัน
น้ำตาไหลออกจากหางตา ใจครึ่งหนึ่งเริ่มยอมรับอย่างยากจะยอมรับว่า เธอ...อาจย้อนเวลามาจริงๆ
เธอยกมือเล็กขึ้นปาดน้ำตา แล้วลดมือลงกุมเหรียญซึ่งเก็บได้จากศาลเจ้าจีน คลี่ยิ้มปลอบใจและให้กำลังใจตัวเอง บอกตัวเองอย่างมีความหวังว่า
หากเธอกลับไปที่ศาลเจ้าจีนได้ เธอคงข้ามเวลากลับไปสู่ปี ๒๐๑๘ ได้
ทว่าหัวใจที่พองโตเหี่ยวแห้งลงทันใด ดวงตากวาดมองรอบด้านอันแสนมืดมิด ไร้ทางหนี...ไร้ทางออก!
ท่ามกลางความมืดมิดของห้องที่ไร้ทางออก เสียงของพิศดังขึ้น
“นอนได้แล้วอุ่น พรุ่งนี้เอ็งต้องรับงาน”
เสียงนี้เปรียบดังเสียงกระซิบจากซาตาน น้ำอุ่นกัดปากหลั่งน้ำตาเงียบๆ เมื่อนึกถึงการรับงาน อยากอาเจียนเพราะความขยะแขยง ในความหวาดกลัว เธอใช้สติที่ยังหลงเหลือพยายามคิดหาทางรอดให้ตัวเอง ตัดสินใจลุกขึ้นนั่ง หันไปทางพิศซึ่งนอนอยู่ข้างๆ เอื้อมมือไปบีบนวดให้คนที่กำลังหลับ อีกฝ่ายลืมตาขึ้น สบดวงตาหวาดกลัวที่มีน้ำตารื้น ประสบการณ์ชีวิตทำให้พิศรู้ว่าคนที่กำลังประจบเธอคิดสิ่งใด
“อุ่นเอ๋ย...ยังไงเอ็งก็หนีไม่ได้”
น้ำอุ่นไม่ได้ตีโพยตีพาย ยังคงบีบนวดหญิงผู้ดูแลทุกคน ในที่สุดพิศก็ลุกขึ้น ถอนหายใจหนัก ประคองสาวน้อยที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวของเธอที่เมืองไทยให้นอนลง เช็ดน้ำตาบนดวงหน้าจิ้มลิ้ม ลูบศีรษะ แววตาสงสาร
“เอาแบบนี้ เนื้อตัวเอ็งช้ำน่าเกลียด ลูกค้าคงไม่ชอบ ข้าให้เอ็งพักหนึ่งวัน มะรืนค่อยรับแขก พรุ่งนี้เอ็งนอนพัก นอนทำใจซะ แต่ไม่ว่ายังไงวันมะรืนเอ็งต้องรับแขก”
น้ำอุ่นยิ้มขอบคุณแม้จะรู้ว่าพิศมองไม่เห็น เธอเอื้อมไปกุมมือพิศ บีบเบาๆ ก่อนที่เจ้าของมือจะดึงมือออกแล้วล้มตัวนอนต่อ มือเล็กของสาวน้อยผู้มีเวลาเพิ่มอีกหนึ่งวันจับจี้ที่คอตัวเอง ริมฝีปากบางเม้มแน่นข่มเสียงร่ำไห้ ภาพของยายปรากฏขึ้นในสมอง
‘ยายจ๋า...ช่วยอุ่นด้วย’
จากหนึ่งวันสำหรับใช้ทำใจ กลายเป็นสามวันเมื่อพิศได้เจอแววตาออดอ้อนขอร้องแสนน่าสงสารของน้ำอุ่น ถึงกระนั้นสามวันก็ผ่านไปเร็วยิ่งนัก วันนี้คือวันครบกำหนด และเป็นวันที่น้ำอุ่นต้องรับแขกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เพราะเธอไม่เคยทำงานค้าบริการ จึงมีพิศจูงมือนำทาง เดินต่อแถวสตรีทั้งหลายผ่านประตูบานเล็ก ผ่านทางแคบๆ มืดๆ ไปสู่ห้องอีกห้องหนึ่ง จากราวเสื้อผ้ามากมายบอกชัดว่าคือห้องแต่งตัว โต๊ะเครื่องแป้งสี่ตัววางเรียงกันทางซ้าย สตรีทั้งหลายตรงไปเลือกชุดที่ตัวเองจะสวมใส่ ตามด้วยการเปลื้องผ้า สวมชุดเรียบร้อยก็ผลัดกันไปแต่งหน้าทำผม
น้ำอุ่นขนลุกเมื่อพิศหยิบชุดหนึ่งในราวมาให้ เธอมองคราบเปื้อนสีคล้ำบนชุด ขยะแขยงยิ่งนักเพราะไม่รู้ว่าผ่านตัวใครบ้างและซักสะอาดหรือไม่ ถึงกระนั้นก็จำใจสวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ร่างเล็กบอบบางอยู่ในชุดเดรสเกาะอกสีขาว ช่วงกระโปรงพองฟู แลดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
“น่าเสียดาย ถ้าไม่มีรอยช้ำพวกนี้คงดีกว่านี้”
พิศเอ่ยพร้อมแตะไปตามรอยช้ำบนแขนขาว ถอนหายใจยาวแล้วกึ่งดึงกึ่งลากตุ๊กตามนุษย์ตัวใหม่ตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งว่างพอดี จัดแจงรวบผมของน้ำอุ่นขึ้นเป็นหางม้าสูง ผูกโบสีเดียวกันกับชุดให้ สวมสร้อยมุกเทียมซึ่งเม็ดไข่มุกสีลอกลงบนลำคอระหง ประคองเจ้าของร่างให้ลุก ยิ้มและมองด้วยแววตาสมใจ
“เอ็งนี่น่ารักจริงๆ อุ่น เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด แขกคงชอบเอ็งน่าดู”
ผู้ถูกชมเชยยิ้มแหย ไร้ความดีใจในคำชม ดวงตาร้อนผ่าวน้ำตารื้น แต่พยายามกะพริบตาถี่กลั้นน้ำตาเต็มที่ กลบความหวาดกลัวด้วยแผนที่วาดไว้ในใจ
เท่าที่ฟังมาจากพิศ การรับแขกจะเข้าไปทำอะไรๆ กันในห้องเล็กๆ มีแค่แขกกับเธอ ถ้าเธอใช้โอกาสนี้หาอะไรฟาดหัวแขกจนสลบแล้ววิ่งหนีเหมือนที่เคยเห็นในละคร บางที...เธออาจรอด!
ดวงตากลมโตฉาบความหวัง เธอสูดหายใจเข้าลึก มือเย็นเฉียบทั้งสองข้างกำแน่น สองเท้าก้าวตามพิศไปอย่างพยายามให้สั่นน้อยที่สุด จากห้องแต่งตัวผ่านทางแคบเหม็นอับ ผ่านประตูสีแดงเข้าสู่ห้องห้องหนึ่ง
ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ มีแสงไฟสีแดงสลัวอยู่ทั่วห้อง กลิ่นแอลกอฮอล์และกลิ่นบุหรี่อัดแน่นจนน่าอึดอัด น้ำอุ่นถูกลากไปยังชายผู้หนึ่ง เขาสวมชุดสูทสีดำ สวมหมวกปีกกว้าง ปากคาบบุหรี่ สวมแว่นตาสีดำทั้งที่อยู่ในห้องแสงสลัว
“นายคะ เด็กใหม่ที่ถูกพาตัวมาเมื่อสี่วันก่อน” พิศเอ่ยรายงานเป็นภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ
ผู้ถูกเรียกว่านายดึงบุหรี่ออกจากปาก ส่งบุหรี่มวนนั้นให้ลูกน้องซึ่งยืนข้างๆ มือใหญ่ขนรุงรังถอดแว่นตาออกแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนที่มือนั้นจะเคลื่อนออกมาแตะไล้ผิวแก้มของเด็กใหม่
น้ำอุ่นขนลุก ตัวสั่น อยากถอยหนี แต่ถูกพิศดันร่างไว้ เธอหลับตาปี๋ ขนลุกไปทั่วร่าง ขยะแขยงสัมผัสสากจากนิ้วของชายร่างใหญ่ซึ่งกำลังลูบไล้และออกแรงบี้แก้มเธอยิ่งนัก
ผู้มอบสัมผัสหัวเราะพึงใจ ลุกขึ้นยืน พยักหน้าให้พิศ พิศยิ้มไม่เต็มนักเพราะรู้ดีว่าหมายถึงสิ่งใด แต่เธอเองก็ไร้ทางเลือก หักใจก้มหน้ากระซิบบอกสาวน้อยที่เธอรู้สึกเอ็นดูยิ่ง
“นายเขาจะขึ้นห้องกับเอ็ง ดูแลนายให้ดีๆ ล่ะ”
น้ำอุ่นเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วเพียงนี้ และยิ่งไม่คาดคิดว่าแขกที่เธอคิดจะใช้บางสิ่งทุบแล้วหนี จะเป็นชายร่างใหญ่ท่าทางพร้อมปลิดชีพเธอด้วยมือเดียว ร่างเล็กบางสั่นเทาอย่างรุนแรง นายผู้นั้นหัวเราะชอบใจ มองเธอด้วยแววตาของนักล่าที่กำลังจะกินเหยื่อ
ฝ่ายนั้นชักมือกลับไปคว้าแก้ววิสกี้ กระดกน้ำสีอำพันลงคอจนเกลี้ยง ก่อนหันมามองเหยื่อสาวซึ่งกลัวจนใกล้เป็นลม แสยะยิ้มชวนขนลุก เลียริมฝีปากดำคล้ำ พร้อมจะลิ้มรสความหวานหอมจากสาวน้อยเบื้องหน้า
ในความหวาดกลัวของน้ำอุ่น คือสติที่ยังหลงเหลือเพียงนิด และสัญชาตญาณการสู้เป็นครั้งสุดท้าย สติตะโกนบอกน้ำอุ่นให้หนีในตอนนี้ หากหนีแล้วพลาดคือตาย แต่หากไม่หนีคือตายและตกนรกทั้งเป็น!
เธอกำมือแน่น จิกเล็บเข้ากับฝ่ามืออย่างรุนแรง ดวงตาจ้องผ่านกลุ่มคนเหล่านี้ไปยังประตูใหญ่บานหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก แม้จะปิดไว้ แต่พอคาดเดาได้ว่านั่น...คือทางออก
คล้ายนายใหญ่จะรู้ความคิดของกระต่ายตัวน้อย เขาเอื้อมมือมาบีบท่อนแขนเธอเบาๆ แต่ก็แรงพอทำให้เธอสะบัดไม่ได้ ขู่เป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
“ถ้าคิดหนี คืนนี้เธอได้รับแขกยันเช้าแน่!”
ผู้ถูกข่มขู่กลัวจนเริ่มรู้สึกโลกหมุน ขาสั่นจนไม่อาจฝืนยืนได้ ความหวาดกลัวทำให้สติและใจของเธอกำลังจะขาดและหลุดลอย แต่เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น มันฉุดสติเธอให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
ปัง!
มันคือเสียงปืน!
เสียงปืนทำให้สถานการณ์เปลี่ยน มือที่บีบแขนเล็กคลายออก ยังไม่ทันที่พวกผู้ชายซึ่งคุมสถานที่จะชักปืนออกจากเอว เสียงปืนจากที่ใดไม่รู้ก็ดังต่อเนื่อง กระสุนมากมายสาดกระหน่ำเข้ามา
น้ำอุ่นกรีดร้อง ทั้งหวาดกลัวทั้งตกใจ วิ่งตามพิศซึ่งวิ่งหนีเอาตัวรอด ใช่เพียงพิศ ผู้หญิงทุกคนล้วนวิ่งพร้อมกับกรีดร้อง เสียงสาดกระสุนยังดังต่อเนื่องไร้ทีท่าว่าจะหยุด แสงไฟซึ่งปรากฏจากปลายกระบอกปืนสว่างเป็นประกายไปทั่ว กลิ่นคาวคละคลุ้งจากเลือดของผู้โดนยิงกำจายแข่งกับกลิ่นไหม้และกลิ่นบุหรี่
น้ำอุ่นกลัวสุดขีด สมองไม่รับรู้สิ่งใดทั้งนั้น สองเท้าวิ่งอย่างไร้จุดหมาย วิ่งทั้งที่หลับตาจนไปชนเข้ากับใครคนหนึ่ง ร่างของเธอล้มกระแทกโต๊ะก่อนจะลงไปกองกับพื้น ดวงตาที่ปิดอยู่เบิกกว้าง เพราะร่างตรงหน้าคือไอ้ยักษ์ใหญ่ซึ่งจับเธอมาที่นี่
หญิงสาวส่ายหน้า ถดกายหนี คว้าเก้าอี้ที่ล้มข้างๆ เขวี้ยงไปโดนคนที่กำลังจะจับเธอ เธอลุกขึ้นวิ่งหนีกลับไปทางเก่าอันเป็นทางที่ห่ากระสุนกำลังถล่มตอบโต้กัน เสียงปืนดังหนักหน่วงจนเธอรู้สึกคล้ายแก้วหูแตก ได้ยินแต่เสียงหวี่ๆ ก้องสองหู สองเท้าพยายามวิ่งหนีจากมัจจุราชผู้วิ่งตามเธอ
ทว่า...มือใหญ่กระชากหางม้าเธอไว้จนเธอรู้สึกคล้ายหนังศีรษะถูกกระชากจนจะขาดหลุดจากกะโหลก ร่างลอยตามแรงกระชาก
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด นัดนี้เสียงใกล้เธอยิ่งนัก ใกล้...จนเธอคิดว่ามันยิงมาถูกเธอ ดวงตาของผู้คิดไปเองเบิกกว้าง
หรือว่ามีคนยิงเธอทิ้ง...
ยังไม่ทันคิดมากไปกว่านี้ ร่างเล็กบางก็กระแทกพื้น หัวฟาดลงกับบางสิ่งคล้ายร่างกายมนุษย์
น้ำอุ่นสะดุ้งเฮือกแล้วหยัดกายลุก หันไปมองสิ่งที่เธอล้มฟาดใส่ มันคือคนที่จับตัวเธอ มันนอนเบิกตาค้าง บนหน้าผากมีรอยกระสุน เธอกรีดร้องตกใจ หันไปมองโดยรอบก่อนไปหยุดที่คนผู้หนึ่ง
เขา...วิ่งตรงมายังเธอ คว้ามือเล็ก แววตาของเขาดุดันแต่แสนคุ้นเคย เขากุมมือเธอแน่นคล้ายกับว่าต่อให้โลกใบนี้แตกสลาย เขาจะไม่มีวันปล่อยมือเธอ
“ไปกับผม ผมจะแต่งงานกับคุณ”
น่าแปลกยิ่งนัก ทั้งที่เขาเอ่ยเป็นภาษาจีน แต่น้ำอุ่นกลับฟังรู้เรื่องว่าเขาเอ่ยสิ่งใด
แต่งงาน...แต่งงาน!
ไม่มีเวลาให้เธอคิด ไม่มีแม้แต่คำตอบรับหรือคำปฏิเสธ ห่ากระสุนเริ่มสาดมาทางนี้ ชายหนุ่มอุ้มเธอวิ่งหลบกระสุนมากมาย เธอกอดเขาแน่น รู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด ดวงหน้าขาวซีดเงยขึ้น มองดวงหน้าคมคายของเขา เขาปรายตาลงสบตาเธอ ริมฝีปากแย้มยิ้มเล็กน้อย เธอคลี่ยิ้มตอบ
ตูม!
เสียงระเบิดดังก้อง น้ำอุ่นรู้สึกถึงแสงสีขาวสีส้มสว่างวาบ รู้สึกว่าร่างลอยขึ้น รู้สึกว่ามือว่างเปล่า ก่อนจะรู้สึกว่ามือหนึ่งกุมมือเธอไว้ ดวงตาพร่ามัวมองไปทางมือที่จับมือเธอ ใบหน้าของเขาปรากฏเลือนราง เธอสัมผัสได้ว่าเขากอดเธอแน่น เธอคลี่ยิ้ม พูดไร้เสียง
คุณ...คือคุณ...
ทุกอย่างดับสิ้นลง เหลือเพียงความสงบและสีดำ
แม้เตียงหลังนี้จะนุ่มจนทำให้ไม่อยากลุก แต่ดวงตาซึ่งปิดสนิทมาเกือบสองวันต้องค่อยๆ เปิดขึ้นในที่สุด
ทันทีที่จอรับภาพเริ่มชัดแจ้ง ร่างอันแสนสะบักสะบอมบอบช้ำก็สะดุ้งลุก ดวงตาหลุบมองร่างกายของตนซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาว มือล้วงผ่านรอยแยกเข้าไปแตะบริเวณน้องสาวอันไร้ปราการใดห่อหุ้ม ก่อนจะระบายลมหายใจโล่งเมื่อพบว่ายังปกติ ไร้ร่องรอยว่ามีสิ่งใดล่วงผ่าน
เมื่อแน่ใจว่าร่างกายตนไม่ถูกละเมิด ดวงตาที่ยังแฝงความงุนงงก็ค่อยๆ มองสำรวจไปทั่วห้อง
ห้องนี้เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ ตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลตั้งอยู่ทางขวาที่เธอนอน ตู้หนังสืออยู่ทางซ้าย ข้างตู้หนังสือคือฮีตเตอร์ขนาดเล็กที่เปิดให้ความอบอุ่นเสริม บนเพดานคือโคมไฟพัดลม ปลายเท้าเป็นโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งบนโต๊ะว่างอย่างยิ่ง ถัดไปเป็นประตูซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ
เสียงเปิดประตูห้องทำให้คนที่ยุ่งกับการสำรวจห้องหยุดสายตา มองไปทางผู้เปิดประตูเดินเข้ามา เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อเจอกับดวงตาของเธอ ดวงตาที่ฉายแววแสนหวาดหวั่นและพร้อมสู้ ใช่เพียงดวงตา...มือเล็กยังคว้าหมอนมาตั้งท่าราวกับว่ามันคืออาวุธ
เฉินเว่ยเฉินอมยิ้มก่อนรีบผลักรอยยิ้มออกจากใบหน้าอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปหาคนบนเตียง เธอถดกายหนีจนแทบตกเตียง เขานั่งลงปลายเตียง จ้องเธอ...เธอจ้องเขา ต่างคนต่างจ้อง จนในที่สุดเขาก็กระแอม ชี้ไปหาเธอผู้นั่งตัวสั่น
“คุณฟื้นแล้ว?”
คำถามเป็นภาษาจีน ครั้งนี้คนถูกถามไม่เข้าใจ เธอส่ายหน้า ตอบเขาด้วยสายตางงงวย ผู้ถามเข้าใจสีหน้าของคนถูกถาม ถามคำเดิมแต่เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ
“คุณฟื้นแล้ว?”
น้ำอุ่นพยักหน้า ค่อยๆ วางหมอนลง กวาดตามองรอบห้องก่อนหันไปมองเขา เขาอ่านความคิดเธอออก อธิบายเสียงนิ่ง
“ที่นี่คือห้องนอนของผม บ้านของผม คุณชื่ออะไร”
หญิงสาวลังเลไม่น้อย แต่ในที่สุดก็บอกชื่อตน “อุ่น”
“อุ่น”
อีกฝ่ายทวนชื่อเธอ เขาออกเสียงได้ชัดเจนยิ่งนัก ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าใกล้จนคนถูกประชิดไม่เหลือพื้นที่ใดให้ถอยหนี จึงคว้าหมอนขึ้นมาหยุดกั้นเขาไว้ราวจะบอกว่านี่คือเส้นแบ่งเขต
เฉินเว่ยเฉินปรายตามองหมอน เป็นอีกครั้งที่เขาลอบอมยิ้ม ก่อนจะขยับตัวออกเพียงนิด ดวงตาดอกท้อจ้องมายังเธอ ถามคำถามซึ่งคาใจมาหลายวัน
“เราเคยพบกัน คุณคือผู้หญิงที่ศาลเจ้า?”
น้ำอุ่นพยักหน้า ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอย่างลืมตัวด้วยความยินดี หัวใจอิ่มเอิบประหนึ่งพบของที่ทำหล่นหาย ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าประหลาดยิ่งนัก
ใช่เพียงเธอเท่านั้นที่เกิดความรู้สึกนี้ เขาเองก็เช่นกัน นับจากวันนั้นที่ได้พบ ภาพของเธอติดตาตรึงใจเขา จนเขาแวะเวียนไปที่ศาลเจ้าแห่งนั้นอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยได้พบเธอ
แต่ในวันนี้...เธออยู่ที่นี่ อยู่บนเตียงของเขา!
ดวงตากลมโตสบกับดวงตาดอกท้อ ริมฝีปากคลี่ยิ้ม รอยยิ้มของเธอคล้ายมีมนตร์สะกด พาให้เขายิ้มตามอย่างไม่อาจฝืนได้ ชายหนุ่มรู้สึกว่าอากาศหนาวเย็นทั้งหลายอบอุ่นขึ้น รอยยิ้มคล้ายแสงตะวันของสตรีเบื้องหน้าขับไล่ความมืดและความเย็นจนสิ้น
เสียงพูดคุยที่แว่วมาจากนอกห้องทำให้เฉินเว่ยเฉินตื่นจากการต้องมนตร์ เขากัดฟันเล็กน้อย.คิ้วขมวดเมื่อคิดถึงสถานที่ที่เขาพบเธออีกครั้ง มันคือแหล่งค้าประเวณีของแก๊งเม็กซิกัน แววตาดุพุ่งมองเธอราวมันคือดาบที่พร้อมแทงทะลุร่างเล็กบาง
“คุณทำงานที่นั่น?”
ผู้ถูกถามรีบส่ายหน้า ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบสายตาดุที่จ้องมองมา อยากอธิบายว่าถูกจับแต่ไม่อาจพูดได้ ความเสียใจของเธอถูกขัด ร่างสะดุ้งเพราะเขาเอื้อมมือมาแตะแขน สัมผัสอุ่นจากมือใหญ่คล้ายส่งกระแสไฟฟ้าสถิตไปทั่วร่าง เขาเลิกแขนเสื้อคลุมเธอขึ้นจนเผยให้เห็นท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ และปล่อยแขนลงก่อนที่เธอจะดึงกลับ
“คุณถูกบังคับ? ถูกจับตัวมา?”
น้ำอุ่นพยักหน้า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มดีใจ เขาคาดเดาได้อย่างง่ายดาย อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้ช่างคาดเดาเก่งยิ่งนัก ทั้งยังหล่อ...
หล่อ...การเผลอตัวชมเขาในใจทำให้แก้มของเธอร้อนผ่าว หลุบตาลงไม่กล้าสบสายตาเขา สายตา...ซึ่งแทบเผาเธอให้หลอมละลาย
“คุณมาจากไหน ชื่อของคุณแปลว่าอะไร”
คำถามทั้งสองนี้ ผู้ถูกถามตอบได้แค่เสียงอือๆ พร้อมกับชี้ลำคอ โบกมือไปมาเพื่อบอกว่าพูดไม่ได้
เขาหรี่ตาลง ขมวดคิ้ว ชี้ไปยังปากของเธอ ถามช้าชัด
“คุณพูดไม่ได้? คุณเป็นใบ้?”
คำถามนี้คล้ายมีดกรีดใจน้ำอุ่น ความเสียใจพวยพุ่งแน่นอก น้ำตาไหลจากหางตาอย่างไม่อาจหักห้าม ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่อาจทำใจได้ที่อยู่ดีๆ ก็ไร้เสียง พูดไม่ได้กลายเป็นคนใบ้ ค่อยๆ พยักหน้าตอบคำถาม
“แต่คุณพูดชื่อตัวเองได้ คุณได้ยิน”
หญิงสาวพยักหน้าอีกครั้ง ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม เธอรู้ว่าเขาสงสัย เธอเองก็สงสัยเช่นกัน
เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วเชยคางเธอขึ้น พร้อมกับใช้นิ้วปาดเช็ดน้ำตาบนหน้าเธอ
“หิวน้ำไหม”
ยังไม่ทันที่เธอจะตอบ เขาก็ชิงขยับตัวเอื้อมหยิบถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่บนตู้เล็กข้างเตียง เขาเป่าน้ำชาที่ยังเหลือไอร้อน แล้วส่งให้เธอดื่ม น้ำอุ่นดื่มชาจนเกลี้ยงถ้วย ส่งถ้วยคืนให้เขาพร้อมยิ้มกว้างแทนคำขอบคุณ
“ชื่ออุ่นแปลว่าอะไร”
คำถามนั้นคล้ายจะลืมว่าคนถูกถามพูดไม่ได้ ถึงกระนั้นเธอก็พยายามตอบ ชี้ไปยังถ้วยชา มือนาบกับถ้วยชาซึ่งยังเหลือไออุ่น
เขามองถ้วยชา “ถ้วยชา?”
เธอส่ายหน้า คราวนี้นิ้วจิ้มลงไปในถ้วยชา เขาเดาอีกครั้ง “น้ำชา?”
เธอส่ายหน้าอีกครั้ง ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ก่อนจะคิดบางสิ่งออก ลุกขึ้นคลานเข่าไปใกล้เขา กอดร่างกำยำแกร่งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมบอกชื่อตัวเอง
“อุ่น...”
คนถูกกอดตกใจตัวแข็ง ส่วนเธอ...ทันทีที่คืนสติว่าทำสิ่งใด ก็รีบผงะถอยกลับไปนั่งที่เดิม ก้มหน้างุด ซ่อนใบหน้าแดงจัดเช่นเดียวกับใบหน้าเขาซึ่งแดงไม่ต่างกัน
“เอ่อ...แปลว่ากอดเหรอ” เฉินเว่ยเฉินเสียงเบา
น้ำอุ่นส่ายหน้า การส่ายหน้าครั้งนี้ทำให้เขาเลิกเดา “ช่างเถอะ”
ความเงียบเข้าปกคลุม ต่างฝ่ายต่างมองตากัน ก่อนที่เขาจะเอื้อมมากุมข้อมือเธอ ดึงข้อมือเล็กไปใกล้ ดวงตาดอกท้อหรี่ลงเมื่อเห็นเหรียญบนข้อมือ
เหรียญโบราณ สลักลายมังกรประจำตระกูล ด้านล่างมังกรสลักชื่อของเขา...เฉินเว่ยเฉิน!
ความคิดเห็น |
---|