10

ผู้หญิงคนนั้น


บทที่ ๙

ผู้หญิงคนนั้น

 

เฉินเว่ยเฉินปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ ที่แท้เหรียญซึ่งเขาคล้องคอมาตั้งแต่เด็กอยู่กับเธอผู้นี้ ดวงตาดอกท้อฉายแววเจ้าเล่ห์ มุมปากอิ่มยกยิ้ม ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเตียง เดินออกไปคุยบางสิ่งกับลูกน้องผู้มีฐานะในใจเขาเป็นสหายคนสนิทซึ่งยืนรออยู่ด้านนอก ก่อนเดินกลับมานั่งลงตามเดิม ตีสีหน้าขึงขังเช่นเดียวกับน้ำเสียง

“ผมช่วยชีวิตคุณไว้ นับจากนี้เป็นต้นไป...คุณ...คือผู้หญิงของผม”

ผู้ถูกยัดเหยียดตำแหน่งผู้หญิงของเขาอ้าปากค้าง ดวงตาแฝงความตกใจ นิ้วขยี้หูตัวเองคล้ายต้องการแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด ขณะขยี้ก็นึกถึงประโยคของเขาตอนพุ่งมาหาเธอขึ้นได้

แต่งงานกับผม...

“คุณคือผู้หญิงของผม เราสองคนจะแต่งงานกัน”

เขาเอ่ยย้ำราวล่วงรู้ว่าเธอกำลังนึกทวนถ้อยคำนั้น น้ำอุ่นเงยหน้าสบตาผู้ย้ำคำพูด ชี้แผ่นอกกว้างแล้วเคลื่อนกลับมายังตัวเอง ทำปากพะงาบๆ ไร้เสียง

“เราสองคนจะแต่งงานกัน คุณ-เป็น-เมีย-ผม”

ชายหนุ่มเอ่ยย้ำช้าชัด ทั้งยังเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ทุกพยางค์ ดวงหน้าจิ้มลิ้มของสตรีผู้กำลังจะมีสามีร้อนผ่าว ความร้อนนั้นแผ่ไปทั่วร่าง ตัวสั่นขนลุก ยิ่งสบดวงตาเจ้าเล่ห์ก็ยิ่งรู้สึกจะเป็นลม เหงื่อผุดเต็มใบหน้า คำสอนของยายเกี่ยวกับการแต่งงานดังขึ้นมาในสมอง

‘อุ่นเอ้ย จะมีผัวต้องเลือกดีๆ นะลูก มีผัวไม่ดีเหมือนการใช้กรรม มันจะกลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ตามกลืนกินชีวิตและความสุข ไม่ยอมปล่อยเราง่ายๆ เอ็งต้องตัดสินใจให้ดี มีผัวเลวเหมือนตกนรกทั้งเป็น’

ดวงตาแฝงความกังวลช้อนขึ้นสบตาเขา คิ้วเรียวขมวด ริมฝีปากบางเม้มแน่น แล้วเขาล่ะ...ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ จะดีจะเลวก็สุดรู้ ตื่นขึ้นมาเจอกันยังไม่อาจนับได้ว่าถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่เขากลับ...

ท่าทีลังเลคิดหนักของน้ำอุ่นทำให้เฉินเว่ยเฉินยิ้มร้ายกาจ น้ำเสียงยียวนต่างจากเมื่อครู่

“เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่แต่ง ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ เพียงแต่ผู้หญิงที่จะอยู่บ้านนี้ได้ต้องเป็นเมียผมเท่านั้น เมื่อคุณไม่ใช่เมีย คุณก็อยู่ไม่ได้ ผมคงต้องพาคุณไปส่งที่ที่คุณจากมา”

คำกล่าวของเขาทำให้เธอคิดถึงซ่องแห่งนั้น ร่างสั่นอย่างรุนแรงเมื่อนึกถึงชายผู้น่ารังเกียจทั้งหลาย อยากอาเจียนยามคิดว่าต้องรับแขกมากมาย ดวงหน้าจิ้มลิ้มส่ายสะบัดขับไล่ความคิดทั้งหลาย แม้ไม่แน่ใจว่าชายตรงหน้าจะใจร้ายทำตามที่พูดจริงหรือไม่ แต่เธอก็ไม่ต้องการเสี่ยง

แต่งงาน...คำนี้ดังวนเวียนในสมอง

ดวงตาที่หลุบต่ำค่อยๆ ช้อนขึ้น สบดวงตาดอกท้อซึ่งจดจ้องเธออยู่ แววตาของเขาแม้จะดุ...เจ้าเล่ห์...แต่ก็อบอุ่น ด้วยเหตุใดก็สุดรู้ น้ำอุ่นรู้สึกว่าเธอพึ่งพิงเขาได้

อีกทั้ง...

แต่งงาน...เขาจะแต่งงานกับเธอ ให้เกียรติเธอในฐานะภรรยา ไม่ใช่การเป็นนางบำเรอหรือเป็นเมียน้อย

น้ำอุ่นถอนหายใจยอมรับชะตากรรม แม้จะหนักใจเพียงใด แต่ก็ใช้การคิดในแง่ดีเข้าข่ม อมยิ้มขำเมื่อคิดว่า...หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเบื่อฟังคำบ่นของเธอ ครั้งหนึ่งความใฝ่ฝันอันแสนเหลวไหลของเธอคืออยากเป็นคุณนายมาเฟีย ท่านจึงตัดสินใจส่งเธอมาที่นี่ ให้เธอได้มีชีวิตสบายเหมือนในหนัง

แม้เขาจะไม่พูดว่าเขาคือมาเฟีย แต่ดูจากท่าทางและการปะทะกันในค่ำคืนนั้น หญิงสาวแน่ใจอย่างยิ่งว่าชายผู้นี้คือหนึ่งในมาเฟียจีนแห่งไชนาทาวน์ของนิวยอร์กแน่นอน!

“ยิ้มอะไร”

คำถามเกิดขึ้นพร้อมกับที่นิ้วใหญ่ช้อนคางมนขึ้น สองสายตาสบประสาน ดั่งคนทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ ดั่งโลกหยุดหมุนชั่วขณะ ดวงตากลมโตเห็นเพียงเขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ จึงค่อยๆ หลับตาลงตามสัญชาตญาณ หัวใจเต้นแรงขึ้นดั่งล่วงรู้ว่าเขาจะทำสิ่งใด

ริมฝีปากของเฉินเว่ยเฉินสัมผัสแผ่วเบาบนหน้าผากขาวเกลี้ยง ยามถอนการประทับตรา เสียงห้าวหนักแน่นเอ่ยแผ่วเบา

“แต่งงานกับผมนะอุ่น ผมจะดูแลคุณ จะปกป้องคุณ”

น้ำอุ่นลืมตาขึ้น ตัดสินใจกระโจนสู่หลุมลึกเบื้องหน้า พยักหน้าอย่างยอมรับว่าไร้ทางเลือก ขณะนี้เธอข้ามมิติย้อนอดีตสู่บ้านเมืองที่แปลกและแตกต่างจากที่เคยมีชีวิตมา ไร้ที่ไป ไร้ความปลอดภัยใดให้วางชีวิตไว้เพื่อรอคอยการหาทางกลับคืนสู่ปี ๒๐๑๘ การอยู่ที่นี่...น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ทำได้ในตอนนี้

ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มรับการตัดสินใจอันไตร่ตรองอย่างดีแล้ว มือกุมจี้ที่คอ เอ่ยในใจกับยาย

‘ยายจ๋า อุ่นตัดสินใจไม่ผิดใช่ไหม เขาจะดูแลอุ่นจริงๆ ใช่ไหม’

เสียงเคาะประตูดังขัด เสียงนั้นตีโลกที่ทั้งสองอยู่ในภวังค์ให้แตกออก เฉินเว่ยเฉินลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู รับถาดอาหารเข้ามาในห้อง ในถาดคือชามข้าวต้ม ป้านชา๒๐ และถ้วยน้ำชา เขาวางถาดลงบนโต๊ะ ยกชามข้าวต้มมาตักเป่า จนแน่ใจว่าหายร้อนจึงป้อนว่าที่ภรรยาผู้นั่งมองตาปริบๆ

“คุณน่าจะหิว คุณสลบไปเกือบสองวัน แต่หมอบอกว่าคุณปลอดภัย แค่อ่อนเพลียและตกใจมาก”

น้ำอุ่นอ้าปากรับ แรกทีเดียวเธอเขินอาย อ้าปากน้อยๆ ต่อมาความหิวกำเริบ จึงอ้าปากกว้างรับข้าวต้มคำแล้วคำเล่า เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่สนใจว่าข้าวเลอะมุมปาก เขาอมยิ้มขำมองเธอด้วยสายตาผู้ใหญ่มองเด็ก ก่อนจะเอื้อมมือมาเช็ดให้

การดูแลใส่ใจทำให้หญิงสาวน้ำตารื้น นอกจากยายแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีใครทำเช่นนี้กับเธอ

เฉินเว่ยเฉินไม่ได้ถามสาเหตุของน้ำตา เขาเพียงเช็ดให้ ป้อนข้าวเธอจนเกลี้ยง ส่งถ้วยน้ำชาให้ดื่ม แล้ววางถ้วยลงบนถาดพร้อมกับถาม

“คุณมีครอบครัวที่นี่ไหม ผมต้องไปสู่ขอคุณกับใคร”

น้ำอุ่นส่ายหน้า ยิ้มขมขื่นเมื่อคิดถึงแม่ผู้อยู่คนละช่วงเวลา มือจับจี้ห้อยคอ สบตาเขา สื่อผ่านแววตาว่าคนสำคัญของเธออยู่ที่นี่ มือใหญ่เอื้อมมากุมมือเล็ก

“ผมเข้าใจ”

หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาเข้าใจจริงหรือไม่ แต่เธอก็เลือกที่จะเชื่อ เสียงของเขาดังต่อ

“คุณคงไม่มีเอกสารอะไรเลยใช่ไหม ผมจะจัดการทุกอย่างให้ ระหว่างนี้คุณพักผ่อนอยู่ที่นี่ ผมต้องไปทำธุระบางอย่าง”

น้ำอุ่นพยักหน้าอย่างว่าง่าย ส่งยิ้มอำลาให้ ทันทีที่เขาหันหลัง เธอก็บ่นอุบอิบไร้เสียงว่าเขาคงใช้อิทธิพลมาเฟียจัดการเรื่องเอกสารให้เธอสินะ

‘แหม...ชีวิตว่าที่คุณนายมาเฟีย เริ่มต้นก็ดีถึงเพียงนี้แล้ว!’

คนกำลังนินทาสะดุ้งตกใจแทบหงายตกเตียง เมื่อคนที่ถูกนินทาพุ่งตรงมาใกล้ ใบหน้าของเขาประชิดหน้าเธอ จมูกชนจมูกจนรับรู้ลมหายใจของกันและกัน ร่างของเธอชาแข็ง ใจเต้นรัวอย่างรุนแรงจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง

“เฉินเว่ยเฉิน...คือชื่อของผม คุณเรียกผมว่าอาเฉินได้ ถ้าคุณเรียกได้”

น้ำอุ่นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อพยักหน้าจมูกก็ต้องกับจมูกเขา รู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวจนแทบปริแตก ดวงตาของเขาฉายแววเจ้าเล่ห์ เขาค่อยๆ ถอยใบหน้าออก แต่ก็ยังใกล้หน้าเธอมาก

“อีกหนึ่งสิ่งที่คุณต้องรู้ กฎของเราสองคน...” นิ้วใหญ่แตะไล้ริมฝีปากบางแผ่วเบา “ถ้าคุณบ่นผมหนึ่งคำ ผมจะจูบคุณหนึ่งที!”

สิ้นคำประกาศกฎ น้ำอุ่นก็ผละออกพร้อมกับหยิบหมอนฟาดใส่ คนถูกฟาดรับหมอนไว้อย่างชำนาญ เดินถือหมอนตรงไปยังประตู เขาเปิดประตูพร้อมโยนหมอนลงบนเตียง ยักคิ้วยั่วเย้า ชิงปิดประตูเมื่อเห็นเธอคว้าหมอนพร้อมเขวี้ยง

น้ำอุ่นล้มกายลงนอนอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งที่ไม่ได้ออกแรงอะไร แต่กลับรู้สึกว่าร่างกายออกแรงหนัก ที่หนักที่สุดคงเป็นหัวใจ มันเต้นรุนแรงจนแทบจะหลุดจากอก ยกนิ้วเรียวขึ้นแตะริมฝีปาก ซ้ำรอยที่เขาทิ้งไว้ แก้มสาวร้อนผ่าวหนักกว่าเดิม สีเลือดฝาดแผ่จากแก้มขึ้นไปถึงใบหู

‘ไอ้บ้า!’

เสียงด่าทอเกิดเพียงในใจ เธอเม้มปากอย่างขวยเขิน เอี้ยวตัวไปคว้าหมอนใบที่เขาโยนลงเตียงมากอด ถอนหายใจแล้วอมยิ้ม ปิดเปลือกตาลงพร้อมกับอ้าปากหาว เมื่อท้องอิ่มก็เริ่มง่วง ทั้งที่นอนมาเกือบสองวัน แต่เธอก็หลับลงอย่างง่ายดาย

ทันทีที่ลมหายใจสม่ำเสมอ เหรียญก็ทอแสงสีขาวเป็นประกาย แสงนั้นนำพาน้ำอุ่นเดินทางสู่ปัจจุบันที่จากมาผ่านเส้นทางของความฝัน

“อีอุ่น อีทรพี อีเนรคุณ!”

เสียงด่าทอของแม่ทำให้ผู้ฝันน้ำตารื้น ยิ่งเห็นภาพแม่รื้อข้าวของของตน โยนเสื้อผ้าที่นำมาจากเมืองไทยลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ หยิบของของเธอเขวี้ยง ตามด้วยการกระทืบด้วยท่าทางเกลียดแค้น ก็ยิ่งน้ำตาไหล

“อีสารเลว หนีไปกับผู้ชายสินะมึง อย่าให้กูเจอมึงนะ กูจะเอามีดแล่เนื้อมึงเป็นชิ้นๆ หมดกันเงินของกู เงินของกู!”

ภาพตัดไปเพียงเท่านี้ คนฝันหลับต่อทั้งที่ยังสะอื้น ความเสียใจไม่ได้จบลงตามภาพฝัน น้ำตาอาบแก้ม จนกระทั่งประตูเปิดออกอีกครั้ง เจ้าของห้องตัวจริงเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขาเช็ดน้ำตาแผ่วเบา ลูบศีรษะเธอ ก้มลงจดจูบบนหน้าผากขาว ขยับผ้านวมคลุมให้ก่อนจะลุกเดินออกไป

“คุณชายรอง ตำรวจมารอพบอยู่ที่ชั้นล่างครับ” ลูกน้องคนสนิทผู้มีนามว่าซางฉารายงาน

เฉินเว่ยเฉินพยักหน้า ปรายตามองประตูห้องราวจะมองทะลุไปถึงคนด้านใน สองมือล้วงกระเป๋า เดินลงบันไดไปให้ปากคำแบบพอเป็นพิธี เรื่องการยิงถล่มซ่องในเขตควบคุมของแก๊งเม็กซิกันแห่งเมืองบรองซ์

 

น้ำอุ่นใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องนอน ทุกวันตอนแปดโมงเช้า เที่ยง และห้าโมงเย็น จะมีเสียงเคาะประตูห้อง พร้อมกับที่สาวรับใช้หน้าตาหมดจดถือถาดอาหารมาให้ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเธอจะวางถาดอาหารไว้หน้าห้อง เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า

หญิงสาวใช้เวลาส่วนใหญ่ทอดสายตาเหม่อมองถนนผ่านกระจกหน้าต่าง เบื้องล่างคือถนนที่การจราจรไม่หนาแน่นเท่าไชนาทาวน์ที่เธอเคยเห็น มีตึกสูงไม่มากมายเท่า และยานพาหนะที่ได้รับความนิยมที่สุดคือรถจักรยานสามล้อ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเมื่อได้เห็นในครั้งแรก ไม่อยากเชื่อว่านิวยอร์กซิตีจะมีรถประเภทนี้มากกว่าที่คิด

หลังจากเหม่อมองด้านนอกจนพอใจ เวลาอีกส่วนหมดไปกับการสำรวจห้องที่ตนพักอาศัย รูปภาพส่วนใหญ่เป็นรูปเจ้าของห้อง ตั้งแต่ตอนยังเป็นเพียงทารกแรกเกิด เด็กชาย เด็กหนุ่ม บุคคลซึ่งอยู่ประกอบในภาพคาดว่าคงเป็นพ่อแม่ปู่ย่าของเขา ยังมีรูปของอีกคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงแต่ดูเป็นคนอารมณ์ดีกว่า เดาได้ไม่ยากว่าอาจเป็นน้องชายหรือพี่ชาย

นับตั้งแต่วันนั้นที่ได้พบเจอ เฉินเว่ยเฉินก็เงียบหาย ไม่เคยแม้แต่จะแวะมาทักทาย น้ำอุ่นอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหายไปไหน และอดหวั่นใจไม่ได้ว่าหรือเขาเปลี่ยนใจ ไม่แต่งงานกับเธอแล้ว เขาอาจตัดสินใจส่งเธอกลับไปหาคนพวกนั้น คิดเพ้อเจ้อจนพอใจก็เลือกสลัดความคิดทิ้ง

ร่างเล็กบางซึ่งเริ่มมีเนื้อมีหนังมากขึ้นเพราะกินอิ่มนอนหลับค่อยๆ ลุกจากเตียง บิดขี้เกียจ มองลูกบิดประตูอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเดินตรงไปยังประตู

มือเล็กค่อยๆ บิดลูกบิด เปิดประตูออกอย่างเบาที่สุด ยื่นหน้าออกไปสอดส่ายสายตาสำรวจ มีเพียงความเงียบทุกพื้นที่ สองเท้าค่อยๆ ก้าวขยับจนพ้นเขตห้อง ยืนคว้างหมุนมองรอบๆ

ชั้นนี้ประกอบไปด้วยห้องต่างๆ มากมาย ถัดออกไปคือบันไดทั้งขึ้นชั้นบนและลงชั้นล่าง ความอยากรู้อยากเห็นและความเบื่อทำให้น้ำอุ่นก้าวเดินอย่างเงียบเชียบที่สุดจนคล้ายการย่องเบา ไปยังบันได ชะโงกมองลงไปด้านล่าง ดวงตาที่ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเบิกกว้าง ตกใจในสิ่งที่เห็นยิ่งนัก

สตรีผู้หนึ่งกำลังเดินตรงขึ้นมา เธอผู้นี้คือสตรีที่เธอเคยเห็นที่พิพิธภัณฑ์!

อาการตกใจถูกทำลายเพราะเสียงตะโกนคล้ายการโต้เถียงด่าทอดังออกมาจากห้องห้องหนึ่งในชั้นนี้ น้ำอุ่นสะดุ้งถอยหลัง เดินกลับห้อง ทว่าก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อเสียงด่าของผู้ชายซึ่งไม่ใช่เสียงเฉินเว่ยเฉินดังรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“อั๊วบอกลื้อว่าให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวอั๊วจะจัดการทุกอย่างเอง! แต่ลื้อมันดื้อไม่เคยฟัง แล้วเป็นยังไง อั๊วต้องมาไล่แก้ปัญหาที่ลื้อก่อไว้!”

“อาป๊าบอกจะจัดการแต่อั๊วไม่เห็นอาป๊าทำอะไร อั๊วถึงต้องจัดการล้างแค้นให้เฮีย!”

“หุบปากเดียวนี้นะอาเฉิน จัดการบ้าบออะไรของลื้อ อั๊วสั่งสอนลื้อให้เป็นผู้นำเป็นนายคน แล้วดูลื้อทำ จับปืนไปไล่ยิงทำตัวเป็นไอ้ลูกกระจ๊อก! นี่เหรอคนเป็นผู้นำ”

“แต่อั๊ว...”

“แล้วไหนจะผู้หญิงคนนั้นที่พากลับมา ลื้อบ้ารึเปล่า จะแต่งงานกับผู้หญิงมาจากซ่อง ลื้อบ้าไปแล้วแน่ๆ!”

น้ำอุ่นไม่เข้าใจการโต้เถียงทั้งหลายซึ่งเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือ หนึ่งในเรื่องที่พวกเขากำลังโต้เถียงมีเรื่องของเธอรวมอยู่ด้วย ฟังน้ำเสียงแล้ว ผู้ชายอีกคนคงเป็นพ่อของเฉินเว่ยเฉิน เธอถอนหายใจหนักเมื่อคิดถึงความเป็นจริง

มีพ่อแม่คนใดบ้างจะมีความสุขหรือรับได้ หากลูกชายแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจาก...ซ่อง

เสียงเหวี่ยงปิดประตูอย่างรุนแรงทำให้น้ำอุ่นรีบคว้าลูกบิดประตูห้อง เตรียมวิ่งเข้าห้อง แต่ไม่ทันแล้ว เฉินเว่ยเฉินเห็นเธอ เขาเดินตรงมาหาด้วยใบหน้านิ่ง เธอยิ้มเจื่อนกลัวจะถูกต่อว่า แต่ผิดคาด เขาไม่มีแม้แต่คำตำหนิ อันที่จริงดวงตาของเขามองเลยผ่านไปด้านหลังเธอ ผู้ถูกมองผ่านจึงเหลียวมองตาม

สตรีผู้นั้นยืนอยู่ข้างหลังน้ำอุ่นราวสิบก้าว ยามได้มองใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่าเธอผู้นั้นหน้าตางดงามสะดุดตายิ่งกว่าวันนั้น ร่างสูงโปร่งอรชรสวมเดรสสีขาวแขนสามส่วน กระโปรงทรงดินสอยาวถึงเข่า รองเท้าคัตชูสีเดียวกัน ลำคอสวมไข่มุกสายยาวซ้อนสายสามเส้น

เธอเดินตรงมาหยุดเคียงข้างน้ำอุ่น ส่งยิ้มหวานให้เฉินเว่ยเฉินและว่าที่ภรรยา ดวงตาคู่งามปรายมองสตรีที่ตัวเตี้ยกว่าถึงคืบ ยกมุมปากร้ายอย่างจงใจ

“เฮียกลับมาแล้วเหรอ อั๊วเป็นห่วงเฮียมากรู้ไหม”

ทั้งที่เธอจ้องหน้าน้ำอุ่น แต่คำถามน้ำเสียงออดอ้อนอย่างที่รู้ว่าจงใจถามเฉินเว่ยเฉิน ผู้ถูกถามมองคนถามด้วยแววตานิ่งเฉย มือใหญ่กุมมือเล็กของคนที่ยืนงงให้เดินเข้าห้อง

น้ำอุ่นยิ้มแหยให้สตรีปริศนาผู้นี้ เดินตามเข้าห้องอย่างว่าง่าย ก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดลง หางตาทันเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ร่างสูงใหญ่ใบหน้าคล้ายคลึงกับเฉินเว่ยเฉิน จากอายุของชายผู้นั้นทำให้คาดเดาได้ว่า เขา...คือบิดาผู้มีเรื่องโต้เถียงเมื่อครู่ แล้วยังมีอีกหนึ่งคน คือสตรีสูงวัยร่างเล็กบางผิวขาวจัด สตรีผู้นั้นมองมาด้วยแววตานิ่งอย่างยากจะเดาว่าคิดสิ่งใด น้ำอุ่นคาดเดาว่าคงเป็นย่ากระมัง ภาพเบื้องนอกจบลงแค่นี้หลังประตูห้องปิดลง

หญิงสาวถูกจูงไปนั่งบนเตียง เขาหย่อนกายนั่งข้างเธอ แววตาของเขาไม่ดุเท่าที่มองสตรีผู้นั้น แต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน เช่นเดียวกับน้ำเสียง

“ผมรู้ว่าคุณเบื่อ แต่สถานการณ์ตอนนี้คุณคงต้องอดทนอยู่แต่ในบ้านไประยะหนึ่ง ถ้าทุกอย่างคลี่คลาย...ผมจะพาคุณออกไปเที่ยว”

น้ำอุ่นพยักหน้า ทวนคำพูดของเขาในใจ อยู่ในบ้าน ไม่ใช่อยู่ในห้อง แปลว่าเธอออกจากห้องได้

“ตึกหลังนี้มีทั้งหมดห้าชั้นกับห้องใต้ดิน ห้องใต้ดินเก็บพวกของใช้และอาหาร และมีบางส่วนเป็นห้องคนรับใช้ ชั้นหนึ่งคือประตูใหญ่ ห้องครัว ห้องรับรอง ด้านหลังคือห้องคนรับใช้เช่นกัน ชั้นสองคือห้องนั่งเล่นและห้องคนสนิทของผมกับคนสนิทของอาป๊า ชั้นสามคือห้องนอน ห้องทำงาน ชั้นสี่คือห้องพระ ห้องตั้งโต๊ะป้ายวิญญาณบรรพบุรุษ ชั้นบนสุดคือดาดฟ้า”

เฉินเว่ยเฉินอธิบาย คล้ายคาดเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นั่งยิ้มกำลังคิดสิ่งใด เขายกมือขึ้นไล้แก้มสีเลือดฝาดเบาๆ อย่างทะนุถนอม ก่อนลดมือลงแตะรอยช้ำทั้งหลายที่ยังคงอยู่

“ยังเจ็บอยู่ไหม”

น้ำอุ่นส่ายหน้าพลางลุกขึ้นขยับแขนขยับขาให้ดู สร้างรอยยิ้มให้คนที่คิ้วยังขมวดเพราะความเครียดจากการโต้เถียง มือใหญ่รั้งข้อมือเล็กให้เธอนั่งลงข้างๆ ขยับจับเสื้อที่เธอสวมในตอนนี้ คือเสื้อเชิ้ตสตรีสีพื้นเรียบๆ ดูรู้ว่าไม่ใช่ของใหม่ แต่ก็เป็นของดีและได้รับการซักสะอาดเอี่ยม กางเกงก็เช่นกัน แม้จะหลวมแต่ก็พอใส่ได้ ส่วนด้านใน...ชั้นในนั้นใช้การพันผ้าไว้หลวมๆ เพื่อปกปิดความอวบอิ่มสมร่างเจ้าของ

“เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของแม่ผม ระหว่างนี้คุณสวมไปก่อนนะ หวังว่าคงไม่รังเกียจ”

หญิงสาวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขายิ้มรับรอยยิ้มน่ารัก ลุกขึ้นยืนหันหลัง เปิดประตูเตรียมก้าวออกไป ทว่าชะงักเท้าคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยโดยไม่หันมามอง

“ส่วน...ชั้นใน ผมจะให้คนจัดการให้”

เขาเอ่ยแล้วก้าวเดินพร้อมปิดประตูอย่างรวดเร็ว ดูรู้อย่างง่ายดายว่าเขาเขินในสิ่งที่พูด ใช่เพียงเขา ผู้ฟังเองก็เช่นกัน ร่างเล็กบางล้มลงนอน มือคว้าหมอนมากอดแล้วยกปิดหน้าราวจะซ่อนความเขินอายและแก้มแดงจัดไว้ใต้หมอนอย่างไม่ปรารถนาให้ใครเห็น

 

เสียงเพลงลอดผ่านเข้ามาในห้องแผ่วเบา ทำให้น้ำอุ่นรู้สึกตัวตื่น ดวงตาที่ยังงัวเงียกะพริบปริบๆ กระตุ้นการมองเห็น อ้าปากหาวก่อนจะค่อยๆ หยัดกายลุก บิดตัวไปมาสามครั้ง ดวงตาที่ตื่นดีแล้วทอดมองไปยังหน้าต่างซึ่งมีผ้าม่านปิดไว้เพียงครึ่ง ด้านนอกฟ้ายังมืดสนิท ดวงจันทร์เสี้ยวเล็กลอยเด่นโดยมีดาวดวงเล็กกระจัดกระจายรายล้อม

หญิงสาวเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง หยีตาเพราะแสงไฟ กะพริบตาถี่อีกครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสง จนได้ที่แล้วจึงเอียงคอมองนาฬิกาวงกลมเรือนน้อยบนโต๊ะข้างเตียง

ตีห้าครึ่ง...

น้ำอุ่นอ้าปากหาวอีกครั้ง บิดกายขับไล่ความเมื่อยล้า ตามด้วยการลุกจากเตียง เดินไปหยิบเสื้อคลุมซึ่งเธอเคยสวมในวันแรกที่ตื่นขึ้นมา สวมทับเสื้อและกางเกง เพราะเธอดึงเอาผ้าพันหน้าอกออก การสวมเสื้อคลุมคงจะเหมาะสมกว่าในความคิดของหญิงสาว

สองเท้าก้าวตรงไปยังประตู ค่อยๆ เปิดประตูอย่างแผ่วเบายิ่ง ชะโงกหน้าออกจากห้อง ทั่วทั้งชั้นมีไฟสลัวๆ พอให้เห็นทาง ยามไร้แผ่นไม้ประตูกั้น เสียงเพลงดังชัดเจนกว่าเดิม เธอหลับตาลงรับฟังเสียงเพลง เป็นเพลงที่มีทำนองและเสียงร้องไพเราะ แม้จะฟังไม่ออกเพราะเป็นเพลงจีน

ความไพเราะของบทเพลงทำให้ผู้ต้องมนตร์ขยับเท้าเดินไปทางต้นเสียง เดินไปเรื่อยจนหยุดลงหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูห้องเปิดแง้มไว้พอให้เห็นภายใน เสียงเพลงดังชัดเจนว่ามาจากห้องนี้ ศีรษะเอียงไปมาตามจังหวะเพลง จับประโยคได้เพียงประโยคที่ฟังคล้ายภาษาอังกฤษแต่ก็ไม่แน่ใจ

“Tippy-tippy-tay, tippy-tippy-tay...๒๑

เสียงรินน้ำดังแทรกเสียงเพลง ทำให้น้ำอุ่นหยุดการฮัมเพลงตามในใจ ขยับเท้าเข้าไปใกล้ ชะเง้อมองด้านในผ่านรอยแยกของประตู เจ้าของห้องคือสตรีสูงอายุที่เธอเห็นเมื่อสองวันก่อน สตรีผู้นั้นกำลังจิบน้ำชาคลอกับเสียงเพลง จิบเสร็จแล้วก็วางถ้วยน้ำชาลง หยิบลูกวอลนัต๒๒ลูกใหญ่เป็นมันเงาออกมากำ เริ่มต้นเต้นรำตามลำพัง

หน้าตาใจดีและการลุกมาดื่มน้ำพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายช่วงตีห้า ทำให้ผู้แอบมองน้ำตารื้น คิดถึงยายผู้จากไป ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หางตา ยามมองไปทางสตรีผู้นั้นอีกครั้งก็ต้องสะดุ้ง เพราะผู้ถูกลอบมองจ้องเขม็งมายังเธอ

น้ำอุ่นตกใจยิ้มแหย รีบถอยห่างออกมา กึ่งเดินกึ่งวิ่งเสียงเบาที่สุดกลับห้องตัวเอง เมื่อมือแตะเปิดประตูห้อง เสียงคนรับใช้เริ่มต้นทำงานยามเช้าตรู่ก็ดังขึ้น

สองสิ่งใหม่ที่น้ำอุ่นได้เรียนรู้ในวันนี้คือ หนึ่ง...สตรีสูงอายุผู้นั้นมีกิจวัตรประจำวันตอนเช้าคือการดื่มชาและเต้นเข้าจังหวะเพลง สอง...คนรับใช้บ้านนี้เริ่มงานกันราวตีห้าเศษ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น