บทที่ ๕
เพียงสบตา
ทั้งที่สองเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าในเขตไชนาทาวน์ยังไม่จางหายจากความรู้สึกและความหวาดกลัวของน้ำอุ่น แต่ในวันนี้เธอต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะลูกชายเจ้าของร้านเกิดท้องเสียกะทันหัน หน้าที่ส่งอาหารจึงตกเป็นของเธออย่างไร้ทางหลีกเลี่ยง
สิ่งแรกที่เธอทำไม่ต่างจากสองครั้งที่แล้ว คือการส่งอาหารให้แก่ผู้สั่ง ทุกอย่างเป็นเหมือนทุกครั้ง รับเงินใส่กระเป๋า กวาดตามองรอบด้านด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสับสน ทั้งกระหายใคร่รู้ ทั้งหวาดกลัว ทั้งอยากได้คำตอบ ทั้งอยากวิ่งหนี
ความรู้สึกอันแสนสับสนและรุนแรงทั้งหมดนี้ถูกปลดปล่อยผ่านการถอนหายใจ พร้อมกับการตัดสินใจเด็ดขาดของเจ้าตัว
“เอาเถอะ เดินเล่นสักนิดแล้วกัน คงไม่มีเหตุอะไรให้ต้องมาแถวนี้อีกแล้ว”
มือสองข้างที่สวมถุงมือหนังล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโคตพร้อมกับการออกเดินอย่างไร้จุดหมาย ทุกย่างก้าวคือการครุ่นคิดเรื่องชีวิตของเธอ ช่วงนี้น้ำอุ่นแกล้งป่วย พยายามหลีกเลี่ยงการออกเดตกับผู้ชายที่แม่หามาให้ ในส่วนของเอดิสัน ช่วงนี้เขายุ่งๆ จึงมีเพียงการส่งข้อความหากัน
คิดแล้วสองเท้าก็หยุดก้าว ดวงตาช้อนขึ้นมองท้องฟ้าอันแสนสดใสของแผ่นดินแห่งนี้ เหลือเวลาอีกไม่นาน...ที่จะได้อยู่บนแผ่นดินอเมริกา อีกไม่นานก็ต้องลาจากแม่ผู้ยังไม่รู้ว่า
ลูกสาวที่คิดจะขายกิน...กำลังจะจากไป
ความคิดอันแสนวุ่นวายและหนักอึ้งดำเนินไปเรื่อย เช่นเดียวกับการเริ่มก้าวเดินอย่างไร้ทิศทาง ก่อนที่คนเหม่อลอยจะสะดุ้งเพราะเสียงประทัด คราแรกตกใจตัวสั่น เพราะคิดว่าจะเป็นเช่นครั้งที่แล้ว ทว่าเมื่อพบว่าเบื้องหน้าคือศาลเจ้าจีน และทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแต่งกายเช่นคนยุคปัจจุบัน ดวงหน้าขาวซีดจึงปรากฏสีเลือดฝาด ยิ้มขันกับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเอง
เสียงสวดมนต์ดังออกมาจากวัด กลิ่นควันธูปหอมกำจายอวลไปทั่ว น้ำอุ่นเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล นานแล้วที่เธอไม่ได้ไหว้พระทำบุญ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ชีวิตเธอล้วนวุ่นวายแต่การทำบาป การได้พบศาลเจ้าด้วยความบังเอิญในครั้งนี้จึงทำให้เธอรู้สึกเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่เคียงข้าง ไม่ได้ละทิ้งเธอไปไหน
ภายในศาลเจ้าคนไม่มากมายนัก มีเพียงสตรีสามคนยืนพูดคุยกับบุรุษวัยกลางคนท่าทางมีเมตตา เขาไม่ได้แต่งกายเช่นนักบวช แต่แต่งกายด้วยเสื้อถังจวง๑๕สีดำ กางเกงสีเดียวกัน ผ้าที่ใช้ไม่ใช่ผ้าหรูหรา แต่เป็นผ้าราคาประหยัดเหมาะกับฐานะชนชั้นกลาง ทั้งที่อากาศหนาว แต่ปราศจากเสื้อโคต ประหนึ่งร่างกายไม่รับรู้ความหนาว
หญิงสาวเดินผ่านคนเหล่านั้นตรงเข้าไปด้านใน ผนังทาด้วยสีแดงมงคล กึ่งกลางคือรูปปั้นเทพเจ้าซึ่งเธอไม่รู้จักนาม และอ่านไม่ออก เพราะป้ายสีแดงตัวอักษรสีทองอันเป็นป้ายบอกชื่อเขียนเป็นภาษาจีน เบื้องหน้ารูปปั้นคือโต๊ะสีแดงขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยของเซ่นไหว้ ทั้งผลไม้ น้ำหวาน ขนม กระดาษเงินกระดาษทอง
ถัดมาคือกระถางธูปทองเหลืองขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยธูปที่ปักไว้ทั้งที่ยังติดไฟและที่เหลือเพียงก้าน และสุดท้ายเบื้องหน้าเธอคือเบาะสีแดงสำหรับใช้กราบเทพเจ้า มีอยู่สองใบซ้ายขวา ตั้งห่างกันราวห้าก้าว ข้างเบาะแต่ละใบคือกระบอกเซียมซีสีแดง
น้ำอุ่นไม่ได้เดินไปหยิบธูปมาจุด เธอคุกเข่าลงบนเบาะเบื้องหน้า พนมมือขึ้น สายตามองดวงพักตร์เมตตาของรูปปั้นเทพเจ้า ตั้งจิตใจให้สงบ หลับตาลง เริ่มขอพรในใจ
‘ท่านเจ้าขา ขอท่านได้โปรดเมตตาปกป้องดูแลอุ่นด้วย ขอให้อุ่นรอดพ้นจากภัยร้ายทั้งปวง ขอให้วิญญาณของยายบนสวรรค์ได้รับรู้ว่าอุ่นสบายดี อุ่นอยู่ได้ ยายไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้แม่ปลอดภัยและมีความสุข’
สิ้นคำอธิษฐาน ดวงหน้าซึ่งยังหลับตาอยู่ค่อยๆ ก้มลงกราบ ทันทีที่หน้าผากจดเบาะหนังก็รู้สึกคล้ายถูกจ้องมอง ดวงตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ เปิดขึ้น ปรายมองไปทางซ้าย
บุรุษร่างสูง ผิวคล้ำแดด หน้าตาดูนิ่งดุ แต่ก็หล่อเหลาจนพาให้แก้มสาวร้อนผ่าว...กำลังก้มลงกราบเทพเจ้าเช่นเดียวกับเธอ ที่ทำให้ใจเธอสั่นจนลืมหายใจ คือเขากำลังมองมายังเธอเช่นกัน
ริมฝีปากบางเม้มแน่นพยายามกลั้นยิ้ม เบนสายตาหนีดวงตาที่กำลังจ้องมา ดวงตาของเขากลมโตและคม ระยิบระยับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก แบบนี้หรือเปล่านะที่เรียกว่าว่าดวงตาดอกท้อ๑๖ เช่นที่เคยได้ยินการเรียกขานลักษณะดวงตาของชาวจีน
ขณะคิดเธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ลมซึ่งพัดมาปะทะอย่างไม่ทราบทิศทางทำให้เธอหยีตา ยามเธอลืมตาขึ้นและหันไปทางซ้าย ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตกใจ
ว่างเปล่า...มีเพียงความว่างเปล่า
เขา...หายไปแล้ว...
น้ำอุ่นขยี้ตา ไม่อยากเชื่อว่าเขาคนนั้นจะหายไปเร็วถึงเพียงนี้ เธอมองพื้นว่างซึ่งเคยเห็นเขาด้วยแววตาสงสัย ค่อยๆ ขยับกายเอื้อมมือไปไขว่คว้า พบเพียงอากาศว่างเปล่า เธอหลุดหัวเราะขำเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร รีบหดมือกลับพร้อมกับหันไปรอบๆ ดูว่ามีใครเห็นการกระทำโง่ๆ ของเธอเมื่อครู่หรือไม่ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มโล่งใจเมื่อไม่มีใครเห็น
“หรือว่าเราตาฝาดอีกแล้ว”
เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะกำลังจะลุก หางตาก็เหลือบไปเห็นเหรียญอีแปะ๑๗เหรียญหนึ่งตกอยู่ข้างเบาะสีแดงของอีกฝ่าย นิ้วเรียวหยิบเหรียญนั้นขึ้นมาทันที เหรียญกลางเก่ากลางใหม่ บนเหรียญสลักอักษรจีนสามตัวซึ่งเธออ่านไม่ออก เหนือสุดของเหรียญสลักลายมังกร
“เหรียญอะไรเนี่ย”
ถึงจะไม่รู้ว่าคือเหรียญอะไร แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจจะเก็บไว้ โดยให้เหตุผลว่า ‘เหรียญนำโชค นับจากนี้เธอจะโชคดีมีสุข’
น้ำอุ่นกำเหรียญแน่น เดินออกจากศาลเจ้าจีน ทว่ายังไม่ทันก้าวผ่านธรณีประตู เสียงเรียกมีเมตตาเป็นภาษาจีนจากบุรุษท่าทางใจดีซึ่งเธอเห็นตอนเข้ามาก็หยุดเธอไว้
“ยาโถว๑๘”
น้ำอุ่นไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็หันไปตามเสียงเรียก ค้อมศีรษะแทนการทำความเคารพ ส่งยิ้มอ่อนหวานนอบน้อมให้ เขายิ้มตามรอยยิ้มของเธอ ชี้ไปยังมือเธอข้างที่กุมเหรียญ พร้อมกับส่งเชือกสีแดงเส้นยาวขนาดพอดีสำหรับผูกข้อมือให้
หญิงสาวรับเชือกนั้นมา มองเชือกสลับกับเหรียญ ถามเป็นภาษาอังกฤษ “เอาเชือกร้อยเหรียญแล้วผูกข้อมือเหรอคะ”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า เอื้อมมาหยิบเชือกจากมือเล็กแล้วแบมืออีกข้าง น้ำอุ่นวางเหรียญลงบนมือเขา เขาเริ่มร้อยเชือกแดงผ่านรูกลางเหรียญ ตามด้วยการผูกข้อมือซึ่งเธอยื่นออกไปอย่างรู้หน้าที่
น้ำอุ่นมองเชือกแดงที่ผสานร้อยกับเหรียญซึ่งกำลังค่อยๆ ผูกเข้ากับข้อมือตน ความรู้สึกประหลาดพุ่งเข้าจากบนศีรษะ แล่นผ่านไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกคล้ายกับว่า...ผูกมัด...เหมือนถูกผูกมัด
เธอสลัดความคิดเรื่องความรู้สึกออก ยกมือไหว้เอ่ยขอบคุณชายผู้นั้นเมื่อเขาผูกเสร็จ ยิ้มอำลาพร้อมก้าวออกจากศาลเจ้า โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่า...
เหรียญส่องแสงสว่างเป็นสีขาวนวล ก่อนแสงนั้นจะจางหายไปราวไม่เคยเกิดขึ้น!
ช่วงเวลาสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายสองคือช่วงเวลาอันแสนยุ่งและวุ่นวายของร้านอาหารไทย พนักงานทุกคนในร้านเดินเสิร์ฟอาหารจนขาแข็ง แม้แต่เจ้าของร้านยังไม่อาจอยู่เฉย ต้องเข้ามาช่วยเสิร์ฟสลับกับคิดเงิน
สามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก ในที่สุดก็กลับสู่ความสงบ เมื่อในร้านเหลือเพียงลูกค้าชาวตะวันตกนั่งรับประทานอาหารที่เพิ่งได้รับอยู่เพียงสามโต๊ะ
“โอ๊ย! เหนื่อย” ตรีประดับบ่นพร้อมหย่อนกายนั่งลงหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน หยิบเมนูอาหารขึ้นมาพัด พยักพเยิดไปทางน้ำอุ่นซึ่งกำลังเก็บจานบนโต๊ะตัวใกล้ๆ
“เก็บจานแล้วไปตักข้าวมากินซะอุ่น รีบกินก่อนจะมีลูกค้าแห่กันมาอีก”
น้ำอุ่นยิ้มน้อยๆ จัดแจงเก็บจานชามบนโต๊ะ ขณะที่แม่ของเธอและเด็กเสิร์ฟอีกสองคนผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจัดแจงตักอาหารมานั่งรับประทานเรียบร้อย ทั้งสามกำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติเรื่องความฝันเมื่อคืนอันถูกนำมาใช้สำหรับการตีเลขเด็ด
หญิงสาวชะเง้อคอมองตู้อาหารว่ามีสิ่งใดเหลือให้รับประทานบ้าง จำไว้ว่าอะไรหมดจำเป็นต้องเติม ยกถาดบรรจุจานชามใช้แล้วเดินเข้าครัวไปวางในอ่างล้าง ล้างมือพร้อมแจ้งแม่ครัวสองคนซึ่งพักรับประทานอาหารเช่นกัน
“กะเพราปลาหมึก แกงเขียวหวานลูกชิ้น ผัดผัก ผัดวุ้นเส้น สี่อย่างนี้หมดแล้วนะจ๊ะ”
หนึ่งในแม่ครัวพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับไปสนใจคุยเรื่องละครหลังข่าวซึ่งดูผ่านยูทิวบ์ ปล่อยให้น้ำอุ่นตักข้าวใส่จานตามใจชอบ เธอตักข้าวสองจานเดินถือออกไป เอ่ยถามเจ้าของร้านผู้ยังไม่ได้รับประทานสิ่งใด
“น้าตรีกินอะไรจ๊ะ เดี๋ยวอุ่นตักให้”
ตรีประดับยิ้มเอ็นดู ตอบอย่างไม่ถือตัวว่าตนเป็นเจ้านาย “มีอะไรเหลือก็ตักมาเถอะ”
น้ำอุ่นตักผัดเผ็ดปลาดุกให้ตัวเอง ส่วนของเจ้าของร้านเธอตักกับข้าวให้สองอย่าง ถือจานไปส่งให้ก่อนจะเดินเลยไปนั่งโต๊ะตัวที่อยู่ไม่ไกล มองแม่ซึ่งกำลังพูดคุยเคร่งเครียดเรื่องการตีเลขหวย เธอลุกขึ้นเดินไปกดน้ำจากในห้องครัวไปวางไว้ข้างๆ แม่ซึ่งไม่สนใจเธอ แล้วเดินกลับมานั่งรับประทานอาหารเงียบๆ
ภาพเหล่านี้อยู่ในสายตาของตรีประดับ ดวงตาซึ่งผ่านโลกมานานมองสาวน้อยด้วยแววตาสงสารและเห็นใจอย่างยิ่ง เธออิจฉาวิไลที่มีลูกดีแสนดี และรังเกียจวิไลที่ทำตัวเลวร้ายจนยากจะหาคำด่าทอ หลายต่อหลายครั้งเธออยากแนะนำน้ำอุ่นให้ลูกชายคนเล็ก แต่เมื่อนึกถึงวิไลผู้คอยทำตัวเป็นปลิงดูดเลือด ก็ตัดใจเลือกไม่เกี่ยวข้อง
“เออ น้ำอุ่น น้าถามอะไรหน่อยสิ ว่าจะถามหลายครั้งแล้วแต่ก็ลืมทุกครั้ง” ตรีประดับพูดเมื่อนึกบางสิ่งขึ้นมาได้
“จ๊ะน้า”
“ตอนที่เราสัมภาษณ์วีซา เขาให้ยากมากไหม”
น้ำอุ่นตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ กลอกตานึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เธอพยักหน้าตามด้วยการส่ายหน้า สร้างความไม่เข้าใจให้ผู้ถาม
“เจ้าหน้าที่ฝรั่งถามหนูคำเดียวเองน้า แต่เจ้าหน้าที่คนไทยถามเยอะมาก มันก็ยากแต่มันก็ง่ายมั้ง”
ตรีประดับร้องอ้อในลำคอ อธิบายต่อเมื่อเห็นแววตาสงสัยของคนให้คำตอบ “น้าว่าจะให้หลานที่ไทยขึ้นมาช่วย”
น้ำอุ่นไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ ไม่เสนอความคิดหรือไม่แม้แต่คิดจะเสนอ เธอรับประทานอาหารเงียบๆ ในสมองย้อนคืนสู่วันที่เธอโทร. หาสตรีผู้หนึ่งซึ่งแม่ให้เธอโทร. ติดต่อ
‘ถ้าหนูอยากได้วีซา ต้องทำตามที่ป้าบอก อย่าหลุดเด็ดขาด’
คำที่ป้าบอก...ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวโกหก ทุกอย่างล้วนโกหก ทั้งแต่หนังสือรับรองที่ใช้ แม้แต่คำถามที่ว่ามีญาติหรือคนรู้จักอยู่ที่นี่หรือไม่ ทุกอย่างคือการโกหก!
‘ไม่ต้องกลัว โชคดีที่เรากับแม่ของเราน่ะคนละนามสกุล’ นี่คือคำกล่าวของผู้ให้คำปรึกษาและจัดการเรื่องทุกอย่างก่อนการไปสัมภาษณ์ เช่นสตรีผู้นั้นเอ่ย น้ำอุ่นใช้นามสกุลของยาย ส่วนแม่ใช้นามสกุลที่ตั้งขึ้นใหม่ตามคำแนะนำของร่างทรงว่าหากใช้แล้วจะได้สามีเป็นมหาเศรษฐีที่อเมริกา
หญิงสาวไม่เคยลืมว่าวันสัมภาษณ์เธอหวาดกลัวมากเพียงใด กลัวว่าจะถูกจับโกหกได้ กลัวว่าจะถูกตำรวจจับเพราะโกหก กลัวว่าจะไม่ได้วีซา ไม่ได้ไปอเมริกา ไม่ได้ไปพบแม่ ใช่เพียงเธอเท่านั้นที่หวาดกลัว จากการสังเกตคนรอบข้างที่มาสัมภาษณ์วีซา ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มด้วยความกังวล
ความกังวลและกลัวเพิ่มขึ้นเมื่อหลายคนก่อนหน้าถูกปฏิเสธ จนถึงคิวของเธอ น้ำอุ่นยิ้มสู้ด้วยรอยยิ้มสดใสน่ารักและแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ โกหกทุกอย่างอย่างแนบเนียน ทั้งที่ในใจสั่นรุนแรง แต่เธอกลับแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งว่าเธอคือดาราเจ้าบทบาทผู้ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง
อย่างเช่นหลายคนกล่าว วีซาอเมริกานั้นขึ้นอยู่กับดวง บางคนเอกสารเป็นกองสูง เงินในบัญชีหลักล้าน อาชีพมั่นคง แต่ก็ไม่ผ่าน บางคน...ดูแล้วไม่น่าจะผ่าน แต่กลับผ่าน!
แล้วมันก็ผ่านมา...เธอทำได้ เธอได้รับวีซาสิบปี
ถึงแม้น้ำอุ่นจะรู้ว่าผิด รู้ว่าไม่ดีที่ทำเช่นนี้ แต่เธอในตอนนั้นไร้ทางเลือกอื่น หากพูดความจริงว่ามีแม่ผู้มีสถานะผิดกฎหมายอยู่ในอเมริกา เธอแน่ใจยิ่งนักว่าจะไม่ได้รับวีซา และเธอก็จะไม่มีวันได้เจอแม่
คิดแล้วดวงตาแสนเศร้าก็มองไปทางแม่ แม่...ผู้ที่เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาเจอ แม่...ที่เธอคาดหวังฝันหวานมาเป็นอย่างดีว่าจะได้เจอคำหวานดังที่เคยได้ยินก่อนมาถึงที่นี่
“ช่างเถอะ”
เธอปัดความตัดพ้อน้อยใจทั้งหมดทิ้งไปด้วยคำว่าช่างเถอะ คำที่พูดบ่อยอย่างยิ่งเพื่อจบความรู้สึกแง่ลบทุกอย่าง รับประทานอาหารต่อเงียบๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงกรี๊ดดีใจดังมาจากโต๊ะของแม่
“เลขนี้เด็ดแน่ๆ รวยแน่!”
เสียงดังอย่างไม่เกรงใจลูกค้าและเจ้าของร้านคือเสียงของวิไล เสียงนั้นลดต่ำลงเมื่อเจอสายตาดุของตรีประดับ แต่ท่าทางยังคงระริกระรี้ น้ำอุ่นเดาได้ทันทีว่าแม่คงได้เลขเด็ดเช่นทุกครั้ง
หญิงสาวเลือกที่จะเงียบและไม่ถามให้โดนด่า ลุกขึ้นเก็บจานข้าว โดยแวะหยิบจานข้าวของตรีประดับไปเก็บด้วย เมื่อออกมาก็ได้ยินเสียงแม่พูดเสียงดัง
“เอาเลย เลขนี้แหละ กูแทงเลขนี้ จดไปเลย...เจ็ดพันเหรียญ!”
จำนวนเงินเจ็ดพันเหรียญที่ได้ยิน ใช่เพียงน้ำอุ่นที่ตกใจจนทำกระดาษทิชชูหล่น แม้แต่ตรีประดับยังอ้าปากค้าง รวมถึงคู่เก็งหวยอีกสองคน ทุกคนล้วนมีสีหน้าตกใจ
วิไลขมวดคิ้วอย่างขัดใจที่คนจดหวยยังไม่ยอมจด ใช้นิ้วดีดปากกาในมือคนจดหวย
“เอ้า จดไปสิวะ เจ็ดพันเหรียญ”
เด็กเสิร์ฟผู้มีอีกหนึ่งอาชีพคือจดหวยหันมาหาน้ำอุ่น เพราะรู้ดีว่าผู้รับผิดชอบจ่ายค่าหวยคือสาวน้อยคนนี้ สายตาราวจะถามว่า ‘เอาจริงรึ’ ทำให้น้ำอุ่นละทิ้งความตกใจ รีบวิ่งไปหาวิไลผู้นั่งยิ้มฝันถึงหวย
“แม่จ๋า แม่บอกผิดรึเปล่าจ๊ะ เจ็ดสิบรึเปล่าแม่”
การถามจำนวนตัวเลขอันแสนแตกต่างทำให้วิไลชักสีหน้า เชิดหน้ายืนยันตามเดิม “เจ็ดพัน! แทงเจ็ดพัน เอ้า จดไปสิ!”
คนจดหวยยังไม่ยอมจด ยิ้มเจื่อนพร้อมพูดกับน้ำอุ่น “เจ็ดพันเหรออุ่น”
น้ำอุ่นเขย่าแขนแม่เบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงและแววตาเว้าวอน “มันเยอะเกินนะแม่ เจ็ดพันนี่มัน...ถ้าไม่ถูก...”
“นี่ อีอุ่น หุบปากไปเลยนะ เดี๋ยวตบปากแตก!” วิไลตวาด ก่อนจะรีบลดเสียงลงเพราะเจอสายตาของตรีประดับ ถึงกระนั้นสีหน้านางยักษ์ก็ไม่ได้สลายหายไป บิดเนื้อที่แขนลูกสาวจนคนถูกบิดร้องโอ๊ย ดึงแขนหนี
“อย่ามาขัดลาภกูนะอีอุ่น ถ้าจะไม่ถูกก็เพราะมึงปากเสีย หุบปากไปซะ เดี๋ยวแม่ตบปากแตก!” เมื่อด่าลูกสาวเสร็จก็หันไปหาคนจดหวย นิ้วจิ้มกระแทกลงบนสมุด น้ำเสียงหนักแน่นกว่าครั้งใด
“จดไป เจ็ดพัน!”
คนจดหวยถอนหายใจยาว “พี่ไปเอาเลขมาจากไหน แล้วถ้าเจ้ามือไม่รับล่ะพี่”
วิไลกอดอก แววตาแน่วแน่ “บอกไปว่าจากฉัน เจ๊วิไลเจ้าเดิม ถ้าไม่รับก็อย่าหวังว่าจะได้กินเงินฉันอีก นี่ใคร...นี่วิไล!”
อาจเพราะวาสนาของน้ำอุ่นยังพอมี ทำให้วิไลถูกหวยที่แทงไปสูงถึงเจ็ดพันเหรียญ วิไลอารมณ์ดียิ่งนักอย่างที่น้ำอุ่นไม่เคยเห็น เธอยิ้มตามรอยยิ้มของแม่ รู้สึกโล่งอกที่แม่ถูกหวย ไม่เช่นนั้นหนี้เจ็ดพันเหรียญย่อมตกเป็นของเธออย่างแน่นอน
“จะกินอะไรสั่งเลยลูก วันนี้จ่ายไม่อั้น!”
วิไลบอกอย่างอารมณ์ดี วันนี้เธอพาลูกสาวมาฉลองการถูกหวยก้อนใหญ่ที่ร้านอาหารหรูใจกลางเมือง สั่งอาหารอย่างไม่คำนึงถึงราคา ยังมีไวน์ราคาสูงจนผู้ได้ยินรู้สึกเสียดายเงิน แต่ถึงจะเสียดายเพียงใดน้ำอุ่นก็ไม่กล้าขัด ปล่อยให้แม่สั่งตามใจ เธอคิดแค่ว่าช่างเถอะ เงินของแม่ ความสุขของแม่ ก่อนจะสั่งอาหารที่ถูกที่สุดในร้านมารับประทาน
“เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปชอปปิงกันนะลูก อุ่นอยากได้อะไรไหม เดี๋ยวแม่ซื้อให้”
ถ้อยคำอ่อนหวานและน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความรักทำให้ผู้ฟังดีใจ หัวใจอันมากล้นด้วยบาดแผลจากความผิดหวังฟื้นคืนสภาพประหนึ่งได้รับน้ำทิพย์จากสวรรค์ เธอส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด ลุกขึ้นไปนั่งข้างมารดา กอดร่างเล็กบางไม่ต่างจากร่างเธอ
“อุ่นไม่อยากได้อะไรจ้ะ แม่เก็บเงินไว้เถอะ อุ่นเสียดายเงิน”
วิไลวางแก้วไวน์ลง โอบกอดลูกสาวพร้อมจูบหน้าผากขาวนวล ช้อนคางลูกขึ้น คลี่ยิ้มงดงามที่ดูคล้ายรอยยิ้มซึ่งมักประดับบนใบหน้าน้ำอุ่น นิ้วเรียวไล้แก้มชมพูระเรื่อแผ่วเบา
“แม่รักอุ่นนะลูก แล้วแม่ก็รู้ว่าอุ่นรักแม่”
คำรักของแม่ทำให้น้ำอุ่นน้ำตารื้น เธอพยักหน้า “อุ่นรักแม่ อุ่นรักแม่มาก”
วิไลปาดน้ำตาที่ไหลออกจากหางตาลูกสาว ยิ้มแฝงความเจ้าเล่ห์อย่างที่อีกฝ่ายจับสังเกตไม่ได้ เริ่มใช้วิธีการที่เธอแสนถนัด วิธีการที่เธอเคยลวงลูกสาวผู้ไม่รู้เท่าทันให้มาที่นี่
“แม่รักอุ่นมาก แม่อยากเห็นอุ่นสบาย เพราะแบบนี้แม่ถึงพยายามให้อุ่นได้แต่งงานกับคนรวยๆ แม่ไม่หวังจะเอาเงินของเขา ที่แม่เรียกสินสอดก็เก็บไว้ให้อุ่นทั้งนั้น”
ผู้กำลังถูกล่อหลอกอีกครั้งพยักหน้ารับรู้ แต่ในใจไม่เชื่อเพราะมีประสบการณ์ในอดีตเป็นครู แม่ในตอนนี้ไม่ต่างจากในอดีตเมื่อครั้งพูดหวานหลอกให้เธอมาที่นี่
เธอรู้...แต่ไม่พูดขัดหรือแสดงท่าทางว่ารู้ทัน ฟังแม่พูดต่อด้วยสีหน้าของลูกสาวผู้โง่งม
“ผู้ชายเวลาเขาหลงเขาก็ให้เราทั้งหมด แต่เวลาเขาจะไป ต่อให้เราตายตรงหน้าเขาก็ไม่สน”
ประโยคนี้น้ำเสียงของผู้พูดแฝงความขมขื่นประหนึ่งบอกเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง ดวงตาสวยคล้ายตาลูกสาวหลุบลงซ่อนความเจ็บปวดในอดีต มือยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม กลืนไวน์ลงคอ เช่นเดียวกับกลืนความแค้นในใจให้เข้าไปเก็บซ่อนไว้ที่เดิม
“ตอนที่เขากำลังหลง เราต้องตักตวงให้มากที่สุดเผื่อไว้ในวันที่เขาไป”
น้ำอุ่นอยากจะแย้งอย่างยิ่งว่าเธอไม่คิดอยากเอาของใครอีกแล้ว เธอจะทำงานเลี้ยงตัวเอง และจะส่งเงินให้แม่มากสุดเท่าที่ให้ได้ ทว่าเมื่อเจอแววตาคาดหวังของแม่ ทำให้เธอได้แต่กลืนคำพูดทั้งหลายลงคอ พยักหน้า...คือสิ่งเดียวที่เธอทำ
“อุ่นต้องแต่งงานได้แล้วนะลูก อุ่นต้องพยายามให้ผู้ชายแต่งงาน แม่ไม่อยากให้อุ่นสถานะขาด ไม่อยากให้อุ่นเป็นโรบินฮูดเหมือนแม่ แม่ห่วงอุ่น อุ่นก็รู้ว่าแม่กลัวถูกจับ แต่แม่ไม่เคยแสดงออก”
น้ำอุ่นกอดแม่ ลูบแผ่นหลังราวจะปัดเป่าความกลัวในใจวิไลออก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าแม่กลัว ที่วิไลยังรอดในตอนนี้เพราะยังโชคดี แต่ความโชคดีนี้จะยาวนานอีกเท่าไรกันเล่า
ความทุกข์ที่สุดของผู้อยู่อย่างผิดกฎหมาย คือความทุกข์ที่มาจากใจอันมากล้นด้วยความกลัวว่าจะถูกจับได้ของพวกเขาเอง
“อุ่นเชื่อแม่เถอะลูกว่าแม่เองก็ทุกข์ใจกับสถานะของแม่ แม่อยากอยู่แบบถูกกฎหมาย อุ่นต้องช่วยแม่นะลูก แม่มีอุ่นคนเดียวที่ช่วยแม่ได้”
คำขอนี้คือคำตอบของทุกสิ่ง ครั้งนี้วิไลไม่ได้ด่าทอ แต่ขอด้วยแววตาอ้อนวอน ด้วยคำหวาน คำขอในครั้งนี้ดั่งเชือกคล้องคอลูกสาวซึ่งไม่สามารถดิ้นหลุดไปไหนได้
ไม่มีคำด่าแม้เพียงหนึ่งคำ มีแค่การพูดอ้อนวอนและดวงตารื้นน้ำตาแฝงความหวังผสมกับความหวาดกลัว การร้องขอเช่นนี้ทรงอานุภาพยิ่งกว่าการด่าทอมากมายนัก
น้ำอุ่นปาดน้ำตาที่หางตาแม่ กอดและหอมแก้ม ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่ตัวเอง เธอตักอาหารที่มีมากมายบนโต๊ะจนคนเดินผ่านต้องมองตาโตให้แก่แม่ มืออีกข้างล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ามาลอบมองวันที่ พร้อมกับความคิดที่ว่า เวลาที่เธอจะได้ดูแลแม่เหลืออีกไม่นานแล้ว
ความคิดเห็น |
---|