4

ภาพซ้อนและความสงสัย


 

บทที่ ๔

ภาพซ้อนและความสงสัย

 

ภาพนักศึกษาเดินถือหนังสือเรียนช่างเป็นภาพแสนบาดใจผู้มาเยือนยิ่งนัก และยิ่งบาดใจหนักขึ้นเมื่อได้เดินผ่านหอสมุด ซึ่งด้านหน้าทางเข้าคือตู้กระจกที่โชว์ชุดครุยของระดับชั้นต่างๆ

น้ำอุ่นมองชุดครุยด้วยความขมขื่น เอื้อมมือไปแตะกระจก ภาพของเธอในวันวานเมื่อครั้งสวมชุดนักศึกษาปั่นจักรยานไปมหาวิทยาลัยย้อนกลับมาฉายชัดอย่างไม่ต้องใช้เวลานึก

ก่อนมาอเมริกาเธอเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม แต่เพราะคำหวานจากแม่ว่าจะส่งเสียเธอเรียนหนังสือที่นี่ ทำให้เธอตัดสินใจเดินทางมาอีกซีกโลกหนึ่ง แล้วก็ได้พบความจริงที่แสนแตกต่าง ไม่มีเศษเสี้ยวของการได้เข้าเรียนภาษาเพื่อปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ การเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัยทุกครั้งล้วนเป็นการมาส่งอาหาร

ในวันนี้น้ำอุ่นแน่ใจยิ่งนัก แม่...ไม่มีทางสนับสนุนให้เธอเรียน สิ่งเดียวที่แม่ยึดมั่นตอกย้ำเธอทุกวัน คือการจับผู้ชายรวยๆ หลอกเอาเงินเขา ล่อหลอกให้แต่งงานและทำกรีนการ์ดให้

น้ำอุ่นถอนหายใจ พลางชักมือออกเมื่อเจอสายตาของเจ้าหน้าที่ซึ่งเดินออกมามองเธอ เธอส่งยิ้มทักทายให้สตรีผู้นั้น ปรายตามองชุดครุยคล้ายจะกล่าวคำอำลา ก่อนหันหลังจากไปพร้อมกับอมยิ้มบางๆ คิดในแง่ดีว่า...

ช่างเถอะ อย่างน้อยเธอก็โชคดีอยู่บ้างที่ไม่ได้เชื่อแม่ทั้งหมด

เธอไม่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยตามคำสั่งของวิไล แค่ดรอปเรียนไว้

หญิงสาวอดขอบคุณตัวเองไม่ได้ที่อย่างน้อยก็เชื่อคำสั่งของยาย ท่านสั่งเสียไว้ด้วยน้ำเสียงและแววตาหนักแน่นก่อนจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

‘อุ่นเอ้ย เอ็งต้องเชื่อยายนะ แม่ของเอ็งมันเชื่อไม่ได้ อย่าไปเชื่อมัน อย่าไปฟังมัน ถ้ามันบอกอะไรเอ็งอย่าเชื่อ อย่าไปหามัน ถ้ามันเดือดร้อน เอ็งก็ส่งเงินให้ เพราะยังไงเขาก็แม่ แต่...อย่าได้เชื่อคำพูดเด็ดขาด’

เมื่อก่อนน้ำอุ่นไม่เคยเข้าใจว่าทำไม แต่ในวันนี้ทุกสิ่งล้วนกระจ่างแจ้ง เพราะคำหวานของวิไลมีแต่คำโกหกและคำหลอกลวง และคำหวานนั้นก็มีอานุภาพต่อใจหญิงสาวผู้คิดถึงแม่และอยากอยู่กับแม่ยิ่งนัก ทำให้เธอขัดคำสั่งเสียของยาย เดินทางมาอเมริกา

หลายต่อหลายครั้งที่คนเราพลาดเพราะความรัก ดังเช่นเธอ แม้จะมีคำสั่งเสียของยายย้ำชัด แต่เธอก็เลือกที่จะเสี่ยง เธอพลาดเพราะอยากสัมผัส...อยากรับความรักจากแม่...

ร่างเล็กบางในชุดโคตสีดำหย่อนกายลงบนม้านั่ง ทอดตามองไปยังบึงน้ำซึ่งบางส่วนเริ่มกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง ดวงตาทอดมองภาพแม่และลูกสาวตัวน้อยเดินจูงมือกัน แม่พูดคุยกับลูกด้วยท่าทางบอกชัดถึงความรัก

รัก...ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสจากแม่...

น้ำอุ่นถอนหายใจ เบือนหน้าหนีภาพที่แสนทำร้ายใจภาพนั้น เอนหลังพิงพนักม้านั่ง หลับตาลง คิดถึงตัวเองเมื่อครั้งยังเป็นเพียงเด็กหญิง

เมื่อก่อน...ตอนเธอยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็ก เธอเข้าใจมาตลอดว่ายายคือแม่ ต่อมาเมื่อโตขึ้นจนเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น จึงได้รู้ว่าที่แท้ยายคือยาย แม่ของเธอชื่อวิไล แม่อยู่อเมริกาและส่งเงินให้เธอ ส่งบ้าง...ไม่ส่งบ้าง เธอเติบโตได้จากการทำงานหนักของยาย

ต่อมาเมื่อเธออายุเก้าขวบจึงเริ่มทำงานแบ่งเบาภาระยายด้วยการรับจ้างปอกผัก ล้างผัก ได้เงินมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ

เธอรับรู้ว่าแม่หน้าตาเป็นเช่นไรจากรูปภาพในบ้าน และรับรู้ว่าเสียงของแม่เป็นอย่างไรยามแม่โทร. มาหาเพื่อให้ยายไปแก้บนแทน การแก้บนทุกครั้งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับหวย

ตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งที่ค้างคาในใจน้ำอุ่นที่สุดคือ เธออยากเจอแม่ อยากกอดแม่ กอด...เหมือนที่เด็กคนอื่นได้กอด ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้ฟังคำหวานของแม่ว่ารักเธอ คิดถึงเธอ เธอยิ่งคาดหวังจะได้พบแม่ คาดหวังและเชื่อว่าแม่รอคอยจะเจอเธอ แม่รักเธอมาก คิดถึงเธอมาก

เป็นอีกครั้งที่น้ำอุ่นถอนหายใจพร้อมกับลืมตาขึ้นเผชิญความจริง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเข้าออนไลน์แบงกิงซึ่งตรีประดับแอบพาเธอไปเปิดบัญชีที่ธนาคาร โชคดีนักที่ตรีประดับพอจะรู้จักกับผู้จัดการสาขา การเปิดบัญชีจึงใช้เพียงพาสปอร์ต เป็นครั้งแรกที่น้ำอุ่นได้เรียนรู้ว่า แท้จริงอเมริกาก็มีการใช้เส้นสายเช่นเดียวกันกับที่ไทย

เงินค่าจ้างของน้ำอุ่น แน่นอนว่าวิไลเป็นคนรับและเก็บ ทว่าน้ำอุ่นแอบขอร้องตรีประดับให้ช่วยแบ่งบางส่วนให้เธอ เมื่อได้แล้วก็แอบนำไปฝากธนาคาร หรือบางครั้งเธอก็บอกแม่ว่าต้องการเงินเติมบัตรค่ารถ อ้างการลงทุนจากการออกเดตล่าเหยื่อ เก็บส่วนต่างที่ใช้ไม่หมดไว้

เพื่อตัวเอง เพื่อทางรอดในอนาคต เพราะเธอไม่รู้เลยว่าจะอดทนเป็นคนกตัญญูที่ถูกฆ่าตายทีละนิดได้นานเพียงใด

เธอมองตัวเลขในบัญชีด้วยแววตาเศร้า กดล็อกเอาต์ ถอนหายใจหนักพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก้มลงหยิบหินก้อนใกล้ๆ เท้าปาไปยังบึงน้ำ เอ่ยด้วยความคิดมองโลกในแง่ดีเป็นที่สุด

‘ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ได้เจอแม่ ได้อยู่กับแม่ ได้ดูแลแม่ ได้เห็นแม่มีความสุข ได้ทำหน้าที่ลูก และ...ได้รู้ความจริง’

คิดแล้วเธอก็เก็บหินอีกก้อนปาออกไป หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา หันหลังเดินออกจากมหาวิทยาลัยที่เธอรู้ดีว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้เข้าศึกษา กลับไปสู่ความจริงของชีวิต

คือการเป็นเด็กเสิร์ฟและการเป็นโกลด์ดิกเกอร์!

 

“อุ่น อุ่น น้ำอุ่น”

เสียงเรียกของตรีประดับทำให้คนถูกเรียกรีบจัดการธุระในห้องน้ำ จัดแจงล้างมือแล้ววิ่งไปหานายจ้างสาว

“ค่ะ น้าตรี”

ตรีประดับผู้เสร็จจากการคิดเงินชี้ไปทางโต๊ะด้านขวา บนโต๊ะมีถุงอาหารพร้อมส่ง “เอาไปส่งที ริมแม่น้ำฮัดสัน รายละเอียดอยู่ตรงถุงนั่นแหละ เขาบอกว่านั่งรออยู่บนผ้าปูสีแดงลายดอกลิลี่สีขาว”

น้ำอุ่นพยักหน้ารับคำสั่ง เดินไปหยิบกระเป๋าสะพาย แล้วกลับมาหยิบถุงอาหาร หยิบกระดาษระบุที่จัดส่งอย่างละเอียดขึ้นมาอ่าน ขมวดคิ้วเมื่อเห็นประโยคหนึ่ง

ขอคนส่งเป็นผู้หญิงวัยรุ่น (เอียง)

“น้าตรีจ๊ะ” น้ำอุ่นเก็บกระดาษลงในกระเป๋าแล้วถามด้วยความฉงน “ในนี้เขาระบุว่า...”

“เขาขอคนส่งเป็นผู้หญิงวัยรุ่น ร้านนี้ก็มีเราคนเดียวนั่นแหละ อาจเป็นพวกลัทธิความเชื่อละมั้ง”

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับนิวยอร์ก มหานครซึ่งมากมายด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติล้านความเชื่อ บางครั้งร้านอาหารก็ได้รับคำสั่งพิเศษ เช่น ขอคนส่งเป็นผู้ชาย

ทั้งนี้ทั้งนั้นตรีประดับจะเลือกดูสถานที่ส่งเป็นหลัก หากสิ่งใดแปลกเกินก็เลือกที่จะไม่รับ เพื่อความปลอดภัยของคนส่ง ที่แม้จะเป็นเพียงลูกจ้างแต่ก็มีชีวิตอันแสนมีค่า อย่างในครั้งนี้เธอดูแล้วว่าริมแม่น้ำฮัดสันเป็นสถานที่กลางแจ้ง มีผู้คนมากมาย ไม่ใช่ที่ลับหูลับตาแต่อย่างใด

น้ำอุ่นไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก ส่งยิ้มอำลาแล้วหิ้วถุงอาหารออกจากร้าน นั่งรถประจำทางจากร้านอาหารไปยังสถานที่ส่ง ชมความงดงามอันแสนวุ่นวายของริมแม่น้ำที่เต็มไปด้วยผู้คนไปเรื่อย จนกระทั่ง...

เบื้องหน้า ผ้าปูสีแดงลายดอกลิลี่สีขาวผืนใหญ่ปูอยู่บนพื้นหญ้า บนนั้นมีใครคนหนึ่งนั่งหันหลัง เขาสวมเสื้อสีดำ บนศีรษะคือหมวกสีเดียวกันกับชุด เสี้ยวหน้าของเขาพอเดาได้ว่าเป็นชายสูงวัยชาวเอเชีย

น้ำอุ่นรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง หัวใจกระตุกเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ สองเท้าก้าวเดินตรงไป...ตรงไป...ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเกือบทำถุงอาหารตก เพราะชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำตรงเข้ามาขวาง

“ส่งอาหารใช่ไหมครับ”

น้ำอุ่นพยักหน้า ละสายตาจากชายชราผู้นั้นแล้วส่งถุงอาหารให้แก่ชายหนุ่มเบื้องหน้าพร้อมใบแจ้งค่าอาหาร เขารับมันไปแล้วหยิบซองออกมาสองซอง ซองแรกเขียนว่าค่าอาหาร ซองที่สองเขียนว่าทิป

มือเล็กตรวจสอบความถูกต้องของซองค่าอาหาร พบว่าพอดี จึงเปิดซองทิปที่ค่อนข้างหนัก ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นธนบัตรภายใน จำนวนเงินกะด้วยสายตาคร่าวๆ ราวสามพันเหรียญ!

“ขอโทษนะคะ นี่อาจ...”

“นี่คือทิป”

แม้เขาจะเอ่ยยืนยัน แต่คนรับทิปมูลค่าสูงกลับยิ้มแหย “คือ...คือ...”

“ท่านบอกว่าคุณลำบากมาส่ง เท่านี้ก็สมควรแล้ว”

น้ำอุ่นเม้มปาก ในเมื่อท่านผู้แสนใจดีมอบให้อย่างเต็มใจ เธอก็ยินดีรับอย่างเต็มใจเช่นกัน อดสงสัยไม่ได้ว่าท่านผู้นี้คือมหาเศรษฐีชาวเอเชียแน่ๆ กระมัง มือเล็กจัดการเก็บซองทั้งสองลงกระเป๋า ยกมือไหว้ สายตามองไปทางท่านผู้นั่งชมวิวแม่น้ำ

“ขอบคุณนะคะ”

เอ่ยจบก็หันหลังเดินจากไป อมยิ้มแก้มป่องเพราะเงินที่ได้รับ แต่แล้วก็ชะงัก ได้ยินคล้ายเสียงเรียกแผ่วเบากำลังเรียกเธอ ร่างเล็กบางหันกลับไปทางเดิม ดั่งร่างถูกแช่แข็ง ดวงตาสบดวงตาของเขา...ผู้มองเธออยู่

น้ำตาไหลอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความรู้สึกคุ้นเคย คิดถึง คะนึงหา พวยพุ่งไปทั่วทุกอณูแห่งหัวใจ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเมื่อท่านผู้นั้นคลี่ยิ้ม แม้จะเห็นจากที่ไกล แต่เธอสัมผัสได้ รับรู้ได้ว่าแววตาของเขา...ท่านผู้นั้น มากล้นไปด้วยความรัก ความคิดถึง ความโหยหา

เสียงหวูดเรือซึ่งกำลังแล่นเข้าเทียบท่าทำให้เธอสะดุ้ง ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ถอนหายใจเบาๆ ท่านผู้นั้นหันกลับไปนั่งชมวิวแม่น้ำ ส่วนเธอหัวเราะขำการหลั่งน้ำตาอย่างไร้เหตุผล

หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้า ถอนหายใจอีกรอบ ดูแล้ววันนี้คงเป็นวันที่แสนแปลก แต่ก็เป็นวันที่แสนดี เพราะเธอได้ทิปถึงสามพันเหรียญ

ถ้าจะแปลกแต่จ่ายหนักขนาดนี้ เธอก็อยากให้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นทุกวัน!

 

ไม่ใช่ทุกครั้งที่โกลด์ดิกเกอร์จะประสบความสำเร็จ หลายต่อหลายครั้งเกิดสิ่งไม่คาดฝันและต่างจากสิ่งที่คิดไว้ลิบลับ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครกล้าออกมาพูดในสิ่งที่พลาด หลายคนที่คิดเดินตามทางโกลด์ดิกเกอร์จึงไม่ทราบ ต้องพบด้วยตัวเองจึงรู้

เช่นเดียวกับน้ำอุ่น...

วันนี้เธอแต่งตัวอย่างหรูหราเหมาะสมกับการเดตในร้านหรูอันเป็นจุดนัดพบกับคู่เดตคนใหม่ซึ่งวิไลเป็นผู้จัดแจงนัดหมายให้ หลังจากยืนตัวแข็งตากความหนาวรอไปได้ห้านาที ในที่สุดคู่เดตของเธอก็ปรากฏตัว เขาเดินตรงมาหาพร้อมรอยยิ้มของคนใจดี ร่างใหญ่สวมสูทราคาแพงเช่นคู่เดตคนอื่นๆ

เมื่อเขาเข้ามาใกล้ก็ได้กลิ่นโคโลญกำจายออกมาจากตัวเขาจางๆ

“อลิซ?”

น้ำอุ่นพยักหน้า ยื่นมือออกไปหมายจับมือทักทาย ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้กลับพุ่งเข้ากอดเธอ เตรียมจูบปาก ดีที่เธอเบือนหน้าหนีทัน หญิงสาวผู้ถูกจู่โจมผลักเขาออกสุดแรง ตัวสั่นด้วยความโมโห อยากจะฝากฝ่ามือลงบนแก้มเขา แต่สิ่งที่เธอทำกลับมีเพียงการกัดฟันแน่น เอ่ยเสียงลอดไรฟัน

“ขออภัย ฉันถือตามมารยาทตะวันออก กรุณาให้เกียรติฉันด้วย”

คู่เดตผู้เป็นบุรุษหน้าตาท่าทางภูมิฐานยักไหล่ ไม่มีแม้คำขอโทษ เขาผายมือไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางเข้าร้านอาหาร

“ถ้าเช่นนั้นเชิญ...ดินเนอร์”

น้ำอุ่นมองตามมือเขา หันไปมองทางเข้าร้านอาหาร แล้วหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ กึ่งถามด้วยสายตาว่าไม่ใช่ร้านนี้ที่เขานัดหมายให้มาเจอหรือ

ผู้ถูกถามเข้าใจสายตาของเธอ เขายักไหล่อีกครั้ง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างคว้ามือเธอไปพลางออกแรงดึงให้เดินตาม

“ร้านนี้แพงเกิน แต่มันเด่นเลยใช้เป็นจุดนัดพบ เราสองคนไปกินเบอร์เกอร์กันดีกว่า ผมรู้จักร้านหนึ่ง วันนี้เบอร์เกอร์หนึ่งแถมหนึ่งด้วย”

คนถูกลากรู้สึกคล้ายถูกถีบตกจากสวรรค์ เธอเดินตามอย่างไร้ทางเลือก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ระหว่างการเดินมีเพียงเขาพูดถึงแต่เรื่องตัวเอง ไม่เปิดโอกาสให้เธอพูดแม้เพียงหนึ่งคำ มือใหญ่กุมมือเธอแน่น ไม่ว่าจะพยายามดึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวเธอจะวิ่งหนีจากไป

หญิงสาวได้อิสระคืนตอนถึงร้านแล้ว ร้านแห่งนี้เป็นร้านเล็กๆ เนืองแน่นไปด้วยคนมาใช้บริการ ภายในร้านมีแต่เก้าอี้มากมายสำหรับให้นั่งรับประทาน ไม่มีโต๊ะเพราะต้องการประหยัดพื้นที่ จากการกวาดตามอง พบว่าเก้าอี้ในร้านทุกตัวเต็ม ผู้เคยมาครั้งแรกมองคนที่ตะโกนสั่งเบอร์เกอร์อย่างชำนาญด้วยแววตาถามว่าจะนั่งตรงไหน

เขารับรู้คำถามผ่านสายตา ยักไหล่พร้อมแบมือเบื้องหน้าเธอ เอ่ยเรียบๆ

“เบอร์เกอร์พิเศษชิ้นละสี่เหรียญ วันนี้หนึ่งแถมหนึ่ง คุณจ่ายผมมาสองเหรียญ”

น้ำอุ่นอ้าปากค้าง มองมือเขาที่กระดิกนิ้วรอเงินสองเหรียญ เธอขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ใช่...ไม่ได้ตาฝาด ผู้ชายตรงหน้าสวมสูทราคากว่าห้าพันเหรียญ นาฬิการาคากว่าสามหมื่นเหรียญ และเขากำลังทวงเงินสองเหรียญจากเธอ

“เร็วสิ”

การเร่งด้วยน้ำเสียงดุทำให้น้ำอุ่นหัวเราะขำเสียงดัง เขามองเธอด้วยแววตาไม่เข้าใจ เธอยักไหล่แบบที่เขาชอบทำ ฟาดมือลงไปบนมือเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานน่ารัก

“ลาก่อน”

สิ้นคำอำลาอย่างที่แน่ใจว่าลาก่อนชั่วนิรันดร์ เธอก็เดินฝ่าฝูงชนออกจากร้านโดยไม่สนใจเสียงเรียกปนสบถของเขา เดินไปหัวเราะไป ตลกในสิ่งที่เจอยิ่งนัก แล้วขึ้นรถประจำทางตรงกลับบ้าน ระหว่างทางก็นั่งขำจนคนรอบข้างมอง จึงยกมือเรียวขึ้นปิดปาก ถึงกระนั้นดวงตาก็ยังฉายแววขำขัน

เธอไม่ได้ดูถูกเขาเรื่องเงินสองเหรียญ เพราะรู้ดีว่าในสังคมอเมริกัน การออกเดตด้วยวิธีต่างคนต่างจ่ายหรือหารครึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ทำให้เธอถอยออกมา คือความไม่เป็นสุภาพบุรุษและการไม่ให้เกียรติเธอ เพราะเขาคือคนที่เสนอตัวกับวิไลว่าจะเป็นผู้เลี้ยงดินเนอร์เธอ๑๔

จนกระทั่งถึงบ้าน ความขำขันทั้งหลายก็สลายหายไป เหลือเพียงความกังวล เธอรู้ดีว่าทันทีที่เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แม่จะต้องโมโห จะต้องด่าเธอ ไม่ใช่ด่าชายผู้นั้น และแม่จะไม่ยอมรับว่านี่คือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ แต่จะป้ายความผิดนี้มาให้เธอทั้งที่แม่ก็มีส่วนในการนัดแนะชายคนนั้นให้

“ช่างเถอะ ความจริงก็คือความจริง”

หญิงสาวตอบตัวเองแล้วเดินเข้าตึก ผ่านประตูหน้าตรงเข้าห้อง ดังที่คาดคิดไว้ แม่ลุกขึ้นจากการตะแคงนอนดูโทรทัศน์บนฟูกตรงมาคล้องแขนเล็กขาว ถามด้วยเสียงอ่อนหวานกระตือรือร้น

“อุ่นลูกรัก วันนี้ได้อะไรมาบ้างลูก ไหนเอามาให้แม่ดูซิ”

น้ำอุ่นยิ้มแหย แกะแขนแม่ออก แล้วถอดเสื้อโคตแขวนไว้บนราวไม้ เธอวางกระเป๋าลงบนฟูกนอน นั่งลงขัดสมาธิถอดรองเท้า เมื่อเห็นสายตาเริ่มโมโหของแม่จึงส่ายหน้า

“ไม่มีเลยแม่ ผู้ชายที่แม่นัดให้น่ะ เขาพาหนูไปร้านเบอร์เกอร์ แถมยังจะให้หนูหารค่าอาหารด้วยซ้ำ”

“ฮะ!” วิไลร้องเสียงดัง พุ่งไปนั่งข้างลูกสาว “แกว่าอะไรนะ แต่นั่นเศรษฐีเลยนะ ข่าวฉันไม่ผิดพลาดแน่นอน แล้วจะหารได้ยังไง มันบอกฉันว่ามันจะจ่ายกินไม่อั้น!”

“แล้วแม่เห็นอุ่นหิ้วอะไรกลับมาไหมล่ะ”

ผู้เป็นแม่มองลูกสาวด้วยแววตาไม่เชื่อ ดึงร่างเล็กบางให้ลุกขึ้น เริ่มต้นค้นตัวพร้อมคาดโทษ “อย่าให้รู้นะว่าอมของไว้ จะเฆี่ยนให้เนื้อลายเลยคอยดู!”

มือค้นหาทุกซอกทุกมุม เมื่อพบว่าในตัวไม่มีสิ่งใดแอบซ่อน วิไลจึงเปลี่ยนไปค้นเสื้อโคต ตามด้วยกระเป๋า ถึงขนาดไปเคาะดูแม้แต่ในรองเท้า เธอปารองเท้าลงพื้น กระแทกร่างนั่งข้างลูกสาวอย่างหัวเสีย กุมศีรษะ หน้านิ่วคิ้วขมวด

“ไอ้เวร!” ด่าชายผู้นั้นเสร็จก็หันมาทางลูกสาวซึ่งกำลังลุกจะไปตักข้าวและทอดไข่รับประทาน “ไม่ต้องไปเดตกับมันอีกนะ เสียเวลา เสียค่ารถ!”

น้ำอุ่นไม่ได้ตอบสิ่งใด เดินตรงไปยังหม้อข้าวใบน้อย ในหม้อมีข้าวอยู่พอให้รับประทานเพียงหนึ่งคน เธอเอ่ยถามแม่ซึ่งล้มตัวลงนอนบนฟูกด้วยท่าทางผิดหวังรุนแรง

“แม่กินข้าวไหมจ๊ะ”

คำถามราวตัวจุดชนวนระเบิด ผู้นอนบนฟูกดีดตัวขึ้น ตรงมาคว้าทัพพีในมือเล็กโยนไปอีกทาง กระชากลูกสาวซึ่งรู้ตัวว่ากำลังจะโดนด่าเหวี่ยงลงบนฟูก มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว อีกข้างชี้ไปยังน้ำอุ่น

“อีอุ่น ตกลงไอ้คนที่ไปเดตกับมันมาตั้งนาน มันจะแต่งงานทำกรีนการ์ดให้ไหม มันไม่รู้เหรอว่าแกอยู่นี่มาจนใกล้ครบกำหนดกลับแล้ว”

ยังไม่ทันที่ผู้ถูกถามจะอ้าปาก คนถามปนด่าก็ชิงพูดต่อ

“ไปบอกมันซะว่าจะแต่งงาน ให้มันเอาสินสอดมาขอแกห้าหมื่นเหรียญ แล้วบอกมันด้วยว่าต้องจ่ายรายเดือนให้ฉันเดือนละหมื่นเหรียญ ไม่รวมค่าเช่าบ้าน ถ้ามันไม่ตกลงก็ถีบหัวมันไปซะ หาคนใหม่ เลิกเสียเวลาซะที มึงนี่อะไรกัน เป็นสาวเป็นแส้ นานขนาดนี้แล้วยังจับไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน!”

“แต่เรื่องแต่งงานนี่ทั้งชีวิตอุ่นเลยนะแม่ อีกอย่างเงินตั้งห้าหมื่น ใครเขาจะ...”

“หน็อย...เถียงเหรออีเนรคุณ!” วิไลตรงเข้าประชิดลูกสาว จิ้มหน้าผากนวล กระแทกแล้วกระแทกอีกจนคนถูกจิ้มหน้าหงายฟุบลงบนฟูก

“อีลูกเวร ขนาดยังไม่แต่งยังเตรียมเข้าข้างผู้ชาย นี่ถ้าแต่งแล้วคงถีบหัวกูส่งสินะอีอุ่น อีเนรคุณ คิดบ้างไหมว่ากูคลอดมึงมา กูเลี้ยงมึง ส่งเงินให้มึง อีเลว! อีนรกกินหัว คนอย่างมึงชาตินี้ไม่มีวันเจริญ!”

น้ำอุ่นไม่โต้เถียงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรู้ดีว่าเถียงไปก็มีแต่ทำให้แม่ลงมือหนักขึ้น บางครั้งความเงียบก็คือการตอบโต้ที่ดีที่สุด

เธอนอนตะแคงตัวร้องไห้เช่นที่ทำทุกครั้ง กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น มือข้างหนึ่งปิดหู ไม่ปรารถนาได้ยินเสียงด่าที่ยังดังต่อเนื่องอย่างไม่มีวันหยุด มืออีกข้างจับจี้บรรจุอัฐิยาย ดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ปิดลง คิดถึงภาพเธอในอดีต นึกถึงความรู้สึกในอดีต

ภาพ...ที่เธอนั่งมองฟ้า สงสัยว่าแม่ซึ่งอยู่อีกซีกโลกหนึ่งจะคิดถึงเธอหรือไม่

มันคือความคาดหวังของเด็กหญิงและเด็กสาวที่อยากเจอแม่ เฝ้าคอยจะเจอแม่ทุกคืนวัน...

“ร้องไห้เข้าไปนะมึง อีนางเอก ร้องไห้ให้ตายห่าไปเลย ไปตายที่อื่นด้วย อย่ามาตายในห้องกู!”

เสียงด่ายังคงดังอย่างต่อเนื่องและยิ่งรุนแรงมากขึ้น น้ำอุ่นกำมือแน่น เสี้ยวหนึ่งของความคิดเธออยากลุกขึ้นโต้เถียง อยากจะบอกว่าทุกอย่างในตอนนี้แม่ล้วนทำตัวเอง

‘ทำไมไม่เลิกคิดจะขายลูก ทำไมไม่เลิกเล่นหวยเล่นการพนัน ทำไม...ทำไมไม่เป็นแม่ที่ดีที่รักลูก ปกป้องลูก!’

ทว่าได้เพียงแค่คิด เพราะสิ่งที่ยายพร่ำสอนยังรั้งเหนี่ยวใจเธอไว้ เธอปรายตามองแม่ที่เริ่มหยุดด่าเพราะเหนื่อย มองด้วยหัวใจแหลกสลาย

มอง...พร้อมการตัดสินใจว่าจะพอ

เธอไม่อยากตกนรกทั้งเป็นอีกแล้ว!

แม่ผู้ถูกมองยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ชี้ไปยังลูกสาว “มึงนัดคุยกับผู้ชายเลยนะ ถ้ามึงไม่จัดการให้มันเอาเงินมาขอมึงแต่งงานภายในสามวัน กูจะให้มึงแต่งกับพ่อเฒ่าแก่ๆ ที่กำลังหาเมีย!”

ประโยคสุดท้ายของวิไลดังขึ้นพร้อมกับการเปิดและเหวี่ยงประตูปิดเพื่อออกไปเล่นไพ่ระบายความโมโห น้ำอุ่นลุกขึ้นนั่งกอดเข่า มองประตูที่แม่เดินจากไป แล้วซบหน้าสะอื้นไห้กับหัวเข่า มือสองข้างเริ่มทุบตีพื้น รู้สึกโมโหที่เกิดมาจน โมโหที่ไม่มีเงิน โมโหที่ต้องมีชีวิตเช่นนี้

“กรี๊ดดดด!”

เธอกรีดร้องสุดเสียงระบายความอัดอั้นในใจทั้งหมด ทิ้งกายอันแสนอ่อนล้าลงบนฟูก ดวงตาจับจ้องเพดานสีคล้ำ จ้องมอง...ทว่าสิ่งที่ปรากฏในสมองมีเพียงความว่างเปล่า

ว่างเปล่าเหมือนความรู้สึกของเธอในตอนนี้...

เสียงด่าทอของแม่ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในการได้ยินทำให้เธอลุกขึ้นพุ่งตัวไปยังกระเป๋า คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของเอดิสัน คิดจะประชดประชันด้วยการโทร. หาเขาให้เขามารับ แล้วหนีไปอยู่กับเขาเสียให้สิ้นเรื่อง ทว่านิ้วซึ่งกำลังจะกดโทร. ออกชะงักค้างเมื่อเสียงคำสอนของยายดังแทรก

‘จะทำอะไรต้องคิดให้ดี อย่าตัดสินใจตอนโกรธ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือสติ’

คำสอนนั้นคล้ายสิ่งยึดเหนี่ยว ดั่งฟางเส้นสุดท้ายซึ่งยังรั้งเธอไว้ เธอโยนโทรศัพท์มือถือลงข้างๆ ซบหน้าร้องไห้ ร้อง...จนโล่ง จึงหยิบโทรศัพท์กดเข้ากล่องอีเมล ดูอีเมลตั๋วเครื่องบินกลับไทย

เคราะห์ดีนักที่การเดินทางมาอเมริกาจำเป็นต้องมีตั๋วไป-กลับ น้ำอุ่นรีบโทร. หาสายการบิน อันเป็นเบอร์ให้บริการทั่วโลกยี่สิบสี่ชั่วโมง ทันทีที่เจ้าหน้าที่รับสาย เสียงค่อนข้างสั่นพยายามเอ่ยอย่างนิ่งที่สุด

“สวัสดีค่ะ ถ้าต้องการเลื่อนวันเดินทาง ต้องจ่ายอะไรเพิ่มไหมคะ”

เจ้าหน้าที่ขอเลขการจอง เช็กข้อมูล ตามด้วยการแจ้งค่าเลื่อนวันเดินทางซึ่งมีราคาสูงถึงห้าร้อยเหรียญ น้ำอุ่นกัดริมฝีปาก รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เงินในบัญชีที่เธอมีน้อยกว่านั้นเยอะ เอ่ยขอบคุณเสียงเบาแล้วจึงวางสาย ดวงตาปิดลง นิ้วกดขมับ ความคิดหนึ่งดังขึ้นในใจ

จริงอยู่ที่เธอพอมีเงินเก็บ แต่เธอเลือกแล้วว่าจะมอบเงินนั้นให้แม่ในวันจากลา เธอไม่อาจอยู่ดูแลแม่ได้ก็ให้เงินนี้แทนค่าชีวิตค่าน้ำนมที่แม่บีบคอจะเอาจากเธอทุกวัน ช่างเถอะ...อีกไม่นาน อดทน...

ยังไม่ทันได้ใคร่ครวญมากกว่านั้น ร่างเล็กบางก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อโทรศัพท์ดัง มือเรียวเอื้อมไปคว้ามากดรับ มืออีกข้างเช็ดน้ำหูน้ำตาซึ่งเปรอะเปื้อนเต็มหน้า

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหล อุ่น นี่น้าตรีเองนะ พรุ่งนี้อุ่นเข้ามาร้านเช้าหน่อยได้ไหม มีออร์เดอร์ส่งอาหารแถวไชนาทาวน์ ลูกชายน้ามีสอบไม่ว่างไป เดี๋ยวน้าให้เพิ่มค่ามาเช้าห้าเหรียญ”

“ค่ะ”

น้ำอุ่นตอบรับแล้ววางสาย วางโทรศัพท์มือถือลงที่เดิม ร่างเล็กบางทิ้งตัวลงนอน ดวงตาจ้องมองเพดานสีคล้ำ ในสมองยามนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่โดนด่าเมื่อครู่ ไม่ได้คิดถึงเรื่องจะหนีไปกับผู้ชาย แต่กำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น

ที่พิพิธภัณฑ์...

จนถึงทุกวันนี้ เธอยังไม่สามารถหาคำตอบใดๆ ให้ตัวเองได้ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอต้องการคำตอบเรื่องนี้จริงหรือ ใจหนึ่งร้องบอกให้ออกตามหาความจริง อีกใจร้องบอกให้ปล่อยไป

“มันคืออะไรกันแน่...”

เธอพึมพำกับตัวเอง ดวงตาอันแสนเหนื่อยล้าและบวมจากการร้องไห้ค่อยๆ ปิดลง สมองเริ่มครุ่นคิดเรื่องราวในวันนั้นอย่างหนัก ภาพที่ปรากฏเด่นชัดในความคิดคือภาพของเฉินรุ่ยเซียง สตรีที่เธอพบเจอที่เคาน์เตอร์เช็กอิน

ด้วยเหตุใดไม่อาจทราบ น้ำอุ่นแน่ใจยิ่งนักว่า เธอจะต้องได้พบสตรีผู้นั้นอีกครั้ง...

 

ความคึกคักและเสียงสนทนาภาษาจีนช่างเป็นเอกลักษณ์แห่งไชนาทาวน์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ วันนี้ก็คล้ายวันก่อน เธอจัดแจงส่งอาหาร รับทิปต่ำกว่าที่ควรจะได้ลงกระเป๋า มองไปรอบด้าน ก่อนจะตัดสินใจเดินเล่นสำรวจไปทั่ว แล้วค่อยกลับไปทำงานช่วงบ่าย

ถนนสายนี้อยู่คนละฟากกับที่มาส่งอาหารครั้งที่แล้ว ถนนสายนี้มีร้านค้าร้านอาหารมากกว่านัก ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารจีน มีเป็ดนับสิบตัวแขวนไว้อวดความเงามันของหนังเพื่อกระตุ้นต่อมอยากอาหารของผู้เดินผ่าน เชื้อเชิญให้เข้าไปลิ้มรส น้ำอุ่นมองเป็ดพร้อมกับกลืนน้ำลาย แต่เมื่อเห็นราคาก็จำใจหันหลังเดินจาก

“ไว้เดตคราวหน้าค่อยให้เอดิสันพามากินแล้วกัน ดีเลย จะได้ซื้อไปเผื่อแม่”

น้ำอุ่นก็ยังคงเป็นน้ำอุ่น ไม่ว่าวิไลจะด่าทอรุนแรงสักเพียงใด เธอยังคงรักและหวังจะให้สิ่งดีๆ แก่แม่ของเธอ เธอรู้ว่าหลายคนอาจด่าทอว่าเธอโง่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทว่า...

แม่...ก็คือแม่

อย่างไรก็ตาม น้ำอุ่นในตอนนี้ได้ตัดสินใจแล้วว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งก็คงต้องยอมถอย หญิงสาวนึกถึงอีกหนึ่งคำสอนของยายซึ่งสอนเธอไว้ประหนึ่งท่านคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มันคือคำสอนที่น้ำอุ่นไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเอามาใช้จริง

‘ถ้ามันหนักหนามากก็ช่วยไปแค่เท่าที่เราทำได้ แล้วก็ตัดใจหันหลังจาก อย่าช่วยจนตัวเองเดือดร้อน’

น้ำอุ่นถอนหายใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าสดใสแห่งเหมันตฤดู ลมพัดมาบางเบาแต่ก็พาให้หนาวสั่น เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เลื่อนตั๋วเครื่องบิน จะใช้เวลาที่เหลือจนถึงวันกลับตามตั๋วในการอยู่ดูแลแม่ ให้...เท่าที่สามารถหาให้ได้

เธอถอนหายใจหนัก ก้าวเดินผ่านผู้คนมากมาย กวาดตามองตึกและถนนต่างๆ

คุ้นเคย...

เป็นอีกครั้งที่ความคุ้นเคยจับความรู้สึกของหญิงสาว ไม่ใช่ความคุ้นเคยเช่นเคยมาเที่ยว แต่เป็นความคุ้นเคยอย่างเคยมาอยู่ โดยเฉพาะยามสายตาหยุดลงที่ตึกหลังหนึ่ง ตึกหลังนี้ทาด้วยสีแดงมงคล หน้าทางเข้าแขวนโคม เหนือประตูเป็นป้ายภาษาจีนซึ่งเธออ่านไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธออ่านออกเพราะมันเขียนเป็นภาษาอังกฤษ  

มูลนิธิในมาดามเฉิน ขอไว้อาลัยให้แก่มาดามเฉิน สตรีผู้มีจิตใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ (ตัวเอียง)

น้ำอุ่นก้าวตรงไปยังมูลนิธิด้วยแววตาและท่าทางเหม่อลอย เอื้อมมือออกไปแตะป้ายไว้อาลัยซึ่งติดอยู่ข้างประตู ร่างบางเล็กสะดุ้งสั่น รู้สึกคล้ายกระแสไฟแล่นผ่านร่าง ความรู้สึกคุ้นเคยพลุ่งพล่านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“มาดามเฉิน” เสียงใสทวนแผ่วเบา “มาดามเฉินอีกแล้วเหรอ...”

เธอพยายามเพ่งมองเข้าไปด้านในมูลนิธิ ประตูเป็นกระจกสีชา ยากจะบอกว่าด้านในมีผู้ใดอยู่หรือไม่ ดวงตาฉายแววลังเลเล็กน้อย เม้มปากเพื่อตัดสินใจ ในที่สุดก็ยกมือข้างหนึ่งผลักประตู แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะประตูล็อกไว้

“คุณหน้าตาเป็นยังไงกันนะ มาดามเฉิน จะหน้าตาคล้ายลูกสาวคุณหรือเปล่า”

คำถามนี้แน่นอนว่าผู้ถามต้องการคำตอบ ดวงหน้าจิ้มลิ้มแนบลงกับประตู พยายามเพ่งสายตาผ่านกระจกสีชาเข้าไปด้านใน หวังว่าจะได้เห็นรูปภาพของมาดามเฉิน ทว่า...ผิดหวัง เธอมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น เห็นเพียงสีชาที่ปรากฏในสายตา

เสียงประทัดจุดดังกระหึ่มก้อง ตามด้วยเสียงดนตรีบรรเลง เสียงเหล่านี้ฉุดความสนใจจากผู้ที่กำลังพยายามเพ่งมองและไม่ยอมละความพยายาม ดวงหน้าจิ้มลิ้มเบือนจากประตู มองไปยังถนนเบื้องหน้า ขบวนเชิดสิงโตกำลังเคลื่อนผ่าน แต่สิ่งที่ทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น คือผู้คนซึ่งแต่งกายแตกต่างจากสมัยนิยม

บางคนสวมชุดฉีผาวโดยมีเสื้อโคตคลุมทับ บางคนสวมชุดกระโปรงบานเช่นในทศวรรษ ๑๙๕๐ นอกจากนี้รถที่จอดอยู่ก็ล้วนแต่เป็นรถรูปร่างประหลาด ไม่ใช่รถสมัยปัจจุบัน!

เสียงบีบแตรและเสียงเหยียบเบรกลากยาวทำให้น้ำอุ่นสะดุ้งอีกครั้ง เธอกะพริบตาถี่ ก่อนจะแทบล้มลงไปนั่งกับพื้น เมื่อเห็นว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือภาพการจราจรอันหนาแน่นของไชนาทาวน์

“เป็นไปไม่ได้” เธอเอ่ยพึมพำแผ่วเบา เสียงค่อนข้างสั่น มือกำแน่น ร่างทั้งร่างสั่นไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เพราะความกลัว

ไม่มีขบวนสิงโต

ไม่มีผู้คนแต่งกายผิดจากปี ๒๐๑๘

ไม่มีรถรูปทรงโบราณ

หญิงสาวยกมืออันสั่นเทาทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะ ไม่อาจฝืนยืนอีกต่อไป ในที่สุดก็ล้มลงนั่ง รู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทั้งยังไม่เข้าใจ ตามด้วยอาการคลื่นไส้

มือที่กุมศีรษะข้างหนึ่งเลื่อนมาปิดริมฝีปาก วิ่งไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุด ปล่อยอาเจียนซึ่งมีเพียงของเหลวลงที่โคนต้นไม้ การอาเจียนอย่างรุนแรงและใบหน้าขาวซีดของเธอทำให้ผู้ที่เดินผ่านรีบตรงเข้ามาถามไถ่อย่างมีไมตรี

“เป็นอะไรไหมคะคุณ” คำถามและแววตาห่วงใยมาจากสตรีวัยกลางคน มือข้างหนึ่งถือถุงผัก อีกข้างจูงเด็กชายตัวน้อย เธอเอ่ยถามเป็นภาษาจีน

น้ำอุ่นซึ่งปล่อยความอัดอั้นจนเกลี้ยงท้องยกหลังมือเช็ดปาก เธอฟังไม่ออกว่าสตรีผู้นั้นถามว่าอะไร แต่พอคาดเดาได้ว่าคงถามว่าเธอเป็นอะไรไหม หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมยิ้มแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร เอ่ยขอบคุณสตรีผู้นั้นเป็นภาษาอังกฤษ ยันตัวขึ้นแล้วคว้ายาดมในกระเป๋าออกมาสูด

สตรีผู้อาทรเดินจากไปพร้อมบุตรชาย น้ำอุ่นมองตามสตรีผู้นั้นแล้วเลื่อนสายตาไปยังถนนเบื้องหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก อัดยาดมจนรู้สึกเย็นซ่านทั่วโพรงจมูก ใบหน้าขาวซีดเริ่มปรากฏสีเลือดฝาด อาการจุกแน่นในช่วงอกเริ่มสลายหายไป

“คงตาฝาด สงสัยดูหนังจีนมากไปจนเพ้อ”

หญิงสาวให้เหตุผลแก่ตัวเองเช่นนี้ ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ แต่ก็เลือกจะบีบตัวเองให้เชื่อเหตุผลเดียวที่คิดได้ เธอสูดยาดมอีกครั้งแล้วเก็บลงในกระเป๋า มือค่อนข้างเย็นกระชับกระเป๋าสะพาย อีกข้างหยิบถุงมือขึ้นมาสวมให้ความอบอุ่น พร้อมกับก้าวเดินไปยังป้ายรอรถประจำทาง หางตาอดมองถนนด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้

“ฉันตาฝาด”

น้ำอุ่นย้ำกับตัวเองอีกครั้ง แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ไม่ปล่อยให้สมองคิดเพ้อเจ้อขณะรอรถประจำทาง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น