3

ไชนาทาวน์ นิวยอร์ก


 

บทที่ ๓

ไชนาทาวน์ นิวยอร์ก

 

น้ำอุ่นถอดนาฬิกาออกจากข้อมือด้วยแววตาเสียดายยิ่ง ยังไม่ทันที่นาฬิกาจะพ้นจากปลายนิ้ว วิไลก็เอื้อมมาคว้าไปเชยชมด้วยแววตาแพรวพราวระยิบระยับ ก่อนจะวางลงในกล่องไม้ที่ภายในบุกำมะหยี่อย่างทะนุถนอม คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดค้นหาราคาของกำนัลชิ้นใหม่ของลูกสาว

“จุ๊ๆๆๆ สวยมากๆ เลยอุ่นลูกรัก”

กดไปก็เอ่ยคำหวานประโลมใจลูกผู้มีสีหน้าขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด จนเมื่อเจอราคาที่แท้จริง มือข้างที่เป็นอิสระก็ตบเข่าเสียงดังอย่างไร้ความรู้สึกเจ็บ ดวงตาเป็นประกายยิ่งกว่าเดิม

“หมื่นห้าพันเหรียญ! เป็นบุญเป็นกุศลของแกเหลือเกินนะนังอุ่นลูกรัก ตายๆๆๆๆ นาฬิการาคาเท่ารถหนึ่งคันเลยนะเนี่ย”

วิไลเอ่ยเสียงระริกระรื่น วางโทรศัพท์ลงแล้วเริ่มต้นค้นหาใบเสร็จ เมื่อพบว่ามีเพียงกล่องนาฬิกาและตัวนาฬิกา ดวงตาที่ระยิบระยับก็หม่นแสงลงเล็กน้อย ปรายตามองไปยังน้ำอุ่นผู้นั่งลูบกล่องนาฬิกาด้วยแววตาอาลัยและเจ็บปวด

“เอ้า! ไหนล่ะใบเสร็จ”

น้ำอุ่นส่ายหน้าเบาๆ ตอบสิ่งที่รู้ “ไม่มีจ้ะ แต่มันของแท้นะแม่”

วิไลตบเข่าอีกครั้ง ครั้งนี้รุนแรงกว่าเดิม เช่นเดียวกับน้ำเสียงแสนดุกร้าว ดวงหน้าฉายแววไม่พอใจ

“โอ๊ย! อีโง่ ไม่มีใบเสร็จแบบนี้จะเรียกราคาได้ยังไง โอ๊ย...อีอุ่น แกนี่มันโง่จริงๆ!”

ผู้ถูกด่าทอไร้คำตอบโต้ ดวงตาจับจ้องนาฬิกาด้วยแววตาหลงใหล นาฬิกาเรือนนี้งดงามยิ่งนัก อาจกล่าวได้ว่างดงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นและเคยสวมใส่ มือเรียวขาวค่อยๆ เอื้อมไปหมายจะหยิบมาใส่อีกครั้ง ทว่าต้องสะดุ้งเมื่อแม่เอื้อมมาตบมือเธออย่างรุนแรง

“โอ๊ย! แม่ตีอุ่นทำไม”

วิไลตวัดสายตาดุไปยังลูกสาว ปิดกล่องนาฬิกาพร้อมกับเก็บกล่องไม้ล้ำค่าไว้ จัดแจงเก็บใส่ถุงกระดาษ แข็งใจเบือนหน้าหนีแววตาน่าสงสารของลูก ดึงเรื่องหนี้หวยก้อนโตซึ่งต้องชำระในวันพรุ่งนี้เข้ามากลบความรู้สึกทั้งหมด คิดอย่างน่ารังเกียจว่า

ถึงเวลาแล้ว...ที่น้ำอุ่นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตอบแทนบุญคุณเธอ

บุญคุณที่ให้กำเนิด...

บุญคุณที่ส่งเงินให้ใช้ ถึงแม้จะแค่เดือนละสามพันบาท แต่ก็ยังส่ง

วิไลคิดอย่างใจร้ายว่า เฉพาะบุญคุณที่ให้กำเนิดก็สูงเทียมฟ้า จนต่อให้เธอสั่งให้น้ำอุ่นไปหลอกผู้ชายทั้งโลกเอาเงินมาให้เธอใช้ น้ำอุ่นก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นก็เตรียมถูกตราหน้าว่าอกตัญญูได้เลย!

คิดแล้วความสงสารที่แวบเข้ามาเมื่อครู่ก็สลายหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความอยากได้อยากมีอยากสบายของตน เธอลุกขึ้นหิ้วถุงนาฬิกาไปวางข้างฟูก ปรายตามองไปยังลูกสาวซึ่งกำลังก้มหน้าเช็ดน้ำตา

“นี่แกจะร้องไห้ไปทำไม เดี๋ยวไอ้ผู้ชายมันก็ซื้อให้ใหม่”

“แต่แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาเองเป็นถึงหมอ ไม่ได้โง่นะแม่ ถ้าวันหนึ่งเขารู้ความจริง...”

“โอ๊ย...อีลูกโง่!” วิไลร้องขัด พุ่งเข้ามาบิดแขนลูกสาว “โง่! แกมันโง่จริงๆ มารยาหญิงน่ะใช้เข้าไป ขนมาใช้ให้หมด ผู้ชายน่ะเวลาที่มันหลง ต่อให้ฉลาดแค่ไหนความหลงมันก็บังสติบังตาไว้ แกนี่ไม่เคยดูข่าวบ้างรึไง ผู้หญิงที่มันหลอกเอาจากผู้ชายได้เป็นสิบๆ ล้านก็เพราะมารยาหญิงผสมความหลง!”

น้ำอุ่นไม่ได้โต้แย้งสิ่งใดอีก ดึงแขนหนีแล้วยกมือปาดน้ำตา วิไลถอนหายใจอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยต่อ

“แกน่ะรู้ดีกว่าใครว่าความหลงมันทำให้สมองและสายตาถูกบดบังได้ง่ายแค่ไหน ไม่อย่างนั้นผู้ชายพวกนั้นไม่พากันซื้อของแพงๆ ให้ แต่ความหลงมันก็มีขีดจำกัด เหมือนไอ้พวกที่ถอยห่างไป เพราะฉะนั้น...” ดวงตาดุมองไปทางลูกสาว เสียงหนักแน่นย้ำชัด “แกต้องจับเขาแต่งงานก่อนที่ความหลงมันจะหมดแล้วเขาเริ่มฉลาด!”

เอ่ยจบก็คว้าสมุดจดหวยข้างหมอนมาเปิด จดเลขไปเรื่อยสลับกับปรายตามองน้ำอุ่นซึ่งทำใจกับการเสียของที่ชอบได้แล้ว เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก ร่างเล็กบางลุกขึ้นนำอาหารไปจัดใส่จานพร้อมให้แม่รับประทาน

ทั้งที่เมื่อครู่แม่ใจร้ายกับเธอ แต่สุดท้ายคำว่ากตัญญูก็ทำให้เธอผู้กำลังถูกบีบคอจำต้องหลับตาและหลอกตัวเอง 

วิไลเกาศีรษะพร้อมกับหันหน้าไปทางลูกสาว “เออนี่ นังอุ่น เดี๋ยวแกต้องเดตหลอกเอาของผู้ชายมาเพิ่มนะ นาฬิกานี่น่าจะพอแค่ใช้หนี้หวยของฉัน”

คำกล่าวของแม่ทำให้ผู้ได้รับคำสั่งถึงกับทำจานหล่น ดวงตาเศร้ามองไปทางนาฬิกา “แม่...แต่...แต่นาฬิกานั่นตั้งหมื่นห้าพันเหรียญเลยนะแม่”

“โอ๊ย...อีโง่! มันไม่มีใบเสร็จไปยืนยัน พวกเจ้ามือมันกดราคาแน่ๆ แกนี่พูดเหมือนไม่เคยเห็นว่าอีพวกหน้าเลือดพวกนั้นมันจ่ายให้แค่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาของ” นิ้วเรียวที่เคลือบเล็บสีส้มสดชี้ไปยังถุงนาฬิกา “หมื่นห้าได้แค่พันห้าเท่านั้นแหละ! หึ!”

น้ำอุ่นกลืนก้อนความขมขื่นลงคอ เจ็บปวดในความไม่รู้และไร้เดียงสาของตัวเองในอดีต ก่อนเธอจะมาอเมริกา เธอเคยคิดฝัน วาดฝันว่าที่นี่จะงดงามอย่างประเทศเจริญแล้ว ผู้คนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายหรืออบายมุข คนไทยจะช่วยเหลือกัน ทว่าเมื่อมาถึงก็พบความจริงที่ว่า...

ความโหดร้ายของมนุษย์โดยเฉพาะที่ขึ้นชื่อว่าคนไทยด้วยกัน ในบางครั้งบนแผ่นดินต่างแดนก็โหดร้ายอย่างที่ในไทยไม่อาจเทียบได้ อย่างไรก็ตามคนไทยที่ดีนั้นก็มี ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ล้วนมีทั้งดีและเลวปะปน เหนือสิ่งอื่นใด ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้น หากแม่ของเธอไม่เลือกกระโดดลงสู่กองไฟด้วยความเต็มใจเสียเอง

หญิงสาววางจานอาหารลงบนโต๊ะ เดินไปนั่งคุกเข่าข้างแม่ผู้เริ่มเก็งหวยเลขใหม่ แตะแขนท่านเบาๆ อ้อนวอนเสียงสั่นเครือ

“แม่จ๋า แม่หยุดเล่นหวยบ้างเถอะนะ อุ่นเหนื่อย...อุ่นไม่อยากทำแบบนี้อีกแล้ว”

ผู้ถูกอ้อนวอนไม่ได้ตอบสิ่งใด ปากกายังคงขยับเขียนตัวเลขไปเรื่อยๆ น้ำอุ่นเว้าวอนด้วยน้ำเสียงบอกชัดว่าเธอเหนื่อยเพื่อตอกย้ำคำพูด

“แม่จ๋า ถ้าแม่ไม่เล่นหวยเราก็ไม่ลำบากขนาดนี้ แม่เลิกเล่นหวยเล่นไพ่เถอะนะ ของที่อุ่นได้มา ถ้ารวมๆ กันแล้วเราเอาไปซื้อบ้านอยู่ที่ไทยได้เลยนะแม่ แม่จ๋า...แม่สงสารอุ่นเถอะนะ...”

คำอ้อนวอนของเธอหยุดลงเมื่อวิไลตวัดมองลูกสาวด้วยแววตาเกรี้ยวกราด สะบัดแขนอวบขาวให้พ้นจากการเกาะกุม จิ้มหน้าผากมนของลูก ออกแรงดันจนผู้ถูกกระทำหงายล้มฟุบกับพื้น

“หน็อย...อีเนรคุณ กูเลี้ยงมึงส่งเงินให้มึงมาได้ตั้งยี่สิบปี กูให้มึงเลี้ยงกูบ้างแค่นี้มึงยังมีปัญหา! มึงก็รู้ว่าเล่นหวยเล่นไพ่มันความสุขของกู มึงยังจะบอกให้กูเลือกมีความสุข อีอุ่น! อีเนรคุณ! อีอกตัญญู!”

ผู้ถูกด่าทอยกมือกดปากกลั้นเสียงสะอื้น น้ำตานองแก้ม สะดุ้งเมื่อแขนถูกบิด ปิดเปลือกตาลงราวต้องการหนีจากสิ่งที่กำลังเผชิญ ทว่าหูไม่อาจปิดกั้นเสียงที่ได้ยิน

“มึงรู้ไหม ถ้ากูไม่ท้องมึง ป่านนี้กูเรียนจบมีงานทำ แต่งงานกับคนดีๆ รวยๆ ไปแล้ว มึงคิดถึงบุญคุณกูบ้างไหมที่กูไม่เอามึงออกตั้งแต่แรก ที่กูแบกความอับอายคลอดมึงออกมา มึงคิดบ้างไหม ถ้ากูไม่มีมึง ป่านนี้กูแต่งงานกับฝรั่งหล่อๆ รวยๆ ไปแล้ว แต่พวกเขาไม่แต่งกับกูเพราะกูมีลูก!”

แรงหยิกที่แขนหนักขึ้นจนน้ำอุ่นต้องผลักมือแม่ออก ถัดตัวหนีไปยังมุมห้อง คู้ตัวนอนตะแคง ร้องไห้เสียงดัง ทว่าเสียงด่าของวิไลยังไม่หยุด ยังคงพ่นออกมาราวก๊อกแตก

“ถ้ากูไม่ต้องส่งเงินให้มึงทุกเดือน ป่านนี้กูใช้เงินสุขสบายนอนใส่ทองเต็มตัวไปแล้ว อีเนรคุณ! มึงหัดดูลูกสาวป้าสมัยบ้าง เห็นไหมว่าเขารักแม่เขา เขากตัญญู แต่งงานกับคนรวยๆ ให้เงินแม่เล่นหวยเดือนเป็นหมื่นเหรียญ มึงนี่นะ...มันอกตัญญูจริงๆ มึงละอายใจบ้างไหม พูดอะไรออกมาแต่ละอย่าง!”

ทุกคำด่าจากบุพการีผู้ยื่นดาบจ่อคอด้วยคำว่า ‘บุญคุณ’ และ ‘กตัญญู’ ทำให้น้ำอุ่นตกอยู่ในสภาพเดียวกับหญิงสาวหลายคนที่ถูกสองคำนี้มัดลมหายใจไว้ ไร้การโต้ตอบใดๆ จากน้ำอุ่น มือเล็กกำแน่น ทั้งเสียใจทั้งโมโห ริมฝีปากบางยิ้มเย้ยต่อความจริง

ส่งเงินทุกเดือน...เดือนละแค่สามพัน! แม่เคยรู้บ้างไหมว่าที่ผ่านมาเธอมีชีวิตมาได้ด้วยการหาเงินทำงานหนักของยาย และการทำงานหนักของตัวเธอเอง เงินสามพันของแม่อย่าว่าแต่จะใช้เลี้ยงสองชีวิต แค่จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังแทบไม่พอ!

แม้จะมีคำตัดพ้อโต้เถียงมากมายเพียงใด แต่ทุกคำดังเพียงในใจ ไม่มีแม้หนึ่งคำหลุดออกจากปาก คำสอนของยายดังก้องในสมองราวจะตอกย้ำผู้ชอกช้ำให้ไม่สติหลุดโต้เถียง

‘อุ่นเอ๋ย แม่ก็คือแม่...จะผิดจะชั่วยังไงก็คือแม่ จะด่าจะว่ายังไงก็คือแม่ เถียงเขาเราก็บาป ถ้าเขาด่าเอ็งก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ คิดว่าเสียงนกร้องไปซะ’

คำสอนของยายแน่นอนว่าเธอจดจำ แต่ก็อดมีคำถามไม่ได้ แล้วแม่เล่า...ทำกับเธอเหมือนเธอไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเช่นนี้ แม่บาปบ้างหรือไม่

แล้วหากเธอหันหลังจากไป ตัดใจจากแม่ที่ไม่รักเธอเล่า บาป...หรือไม่ อกตัญญูหรือไม่ หรือชีวิตของเธอต้องเป็นของแม่ไปจนตายเพราะแม่ให้กำเนิด ให้ชีวิต

บางครั้งคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเธอไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา แต่ไม่มีทางเลือก เพราะถูกบรรทัดฐานทางสังคมและคำสอนที่กรอกใส่สมองอย่างฝังลึกกดทับไว้ จนกลัวที่จะฉีกกรงขังแล้วเดินจากไปพร้อมการถูกตราหน้าว่าเนรคุณ 

บางครั้งคำว่า ‘กตัญญู’ มันก็กำลังฆ่าเธอช้าๆ อย่างเลือดเย็น!

มือเรียวกุมจี้ที่คออันเป็นจี้ซึ่งบรรจุอัฐิของยายไว้ กุมแน่นใช้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ดวงตาอันแสนชอกช้ำปิดลง ท่ามกลางเสียงด่าของวิไล น้ำอุ่นเริ่มสร้างเรื่องขึ้นมาในสมอง จินตนาการวาดฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อยๆ ในความคิดซึ่งหลุดออกจากโลกอันแสนทุกข์ทรมาน

เธอจะมีความสุขแค่ไหนกันนะ...ถ้าเธอได้เป็นคุณนายแห่งไชนาทาวน์แบบในหนัง

 

ร้านอาหารรสไทยเนืองแน่นด้วยผู้ใช้บริการตั้งแต่ร้านเปิด ยิ่งช่วงเที่ยงยิ่งอัดแน่นจนแถวยาวไปเกือบสุดช่วงตึก ช่างเป็นภาพที่แตกต่างจากร้านอาหารร้านอื่นละแวกนี้อย่างยิ่ง เพราะร้านเหล่านั้นมากสุดก็มีเพียงคนรอคิวสองสามคน

จะว่าไปกิจการของร้านเริ่มขายดิบขายดีเช่นนี้เมื่อสามเดือนที่แล้ว อีกหนึ่งสิ่งอันแสนแปลกจากเมื่อก่อนคือ เดือนนี้ออร์เดอร์ใช้บริการส่งอาหารจากทางร้าน ผู้สั่งส่วนใหญ่ล้วนมาจากฝั่งไชนาทาวน์

อาจเป็นเพราะเด็กสุด ทะมัดทะแมงสุด ทำให้น้ำอุ่นได้รับหน้าที่ส่งอาหาร การส่งอาหารใช้วิธีขึ้นรถสาธารณะ ต่างจากร้านอื่นที่ร้านมีรถหรือจักรยานให้ใช้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของผู้รับหน้าที่นี้นัก เพราะเธอขับรถไม่เป็นและไม่ชินกับการขี่จักรยานในนิวยอร์กซิตี

“อุ่น อุ่น อุ่น!”

เสียงเรียกจากหน้าร้านทำให้น้ำอุ่นผู้กำลังรับประทานอาหารอยู่ในครัวรีบวางช้อนแล้วเดินออกไปยังผู้เรียกหา ส่งยิ้มน่ารักให้พร้อมเอ่ยถาม

“จ๊ะ น้าตรี”

ตรีประดับ คือสตรีอายุอ่อนกว่าวิไลราวห้าปี เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยแห่งนี้ ร่างอวบอิ่มผิวสีน้ำผึ้ง สวยคมสะดุดตา และความสวยคมนี้ได้ไปสะดุดใจเศรษฐีชาวอเมริกันอายุแก่กว่าสิบปีตอนที่ฝ่ายชายไปเที่ยวเมืองไทย ทั้งคู่คบหากันได้ราวหนึ่งปี เขาก็ขอเธอแต่งงานและพาเธอย้ายมาอยู่ที่นี่ เปิดร้านอาหารไทยให้บริหารเล่นแก้เหงา

“เดี๋ยวเราจะไปเดตใช่ไหมตอนเย็น แวะเอาของไปส่งให้น้าก่อนไปเดตด้วยนะ”

“ได้ค่ะ ส่งที่ไหนเอ่ย”

ตรีประดับหยิบกระดาษที่จดที่อยู่ไว้ให้สาวน้อย “แถวไชนาทาวน์ ไปส่งตอนสี่โมงเย็นนะ”

“แถวไชนาทาวน์เหรอน้า”

น้ำเสียงตื่นเต้นของน้ำอุ่นทำให้ตรีประดับเลิกคิ้ว “ทำไม แถวนั้นทำไม”

น้ำอุ่นเก็บกระดาษที่อยู่ลงในกระเป๋ากางเกง ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการตัดบทสนทนา ก่อนจะหันหลังกลับไปรับประทานอาหารต่อ รับประทานไปครุ่นคิดไป

ทั้งที่เธอมาอยู่นิวยอร์กนานเกือบครึ่งปี แต่แปลกนัก...เธอกลับไม่เคยไปแถวไชนาทาวน์ เช่นเดียวกับที่เธอไม่เคยไปส่งอาหารแถวนั้น เพราะโซนนั้นผู้ส่งประจำคือลูกชายของตรีประดับ

คิดแล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้ม วันนี้คงเป็นวันโชคดีของเธอกระมัง เพราะลูกชายของตรีประดับไปเที่ยวลาสเวกัสกับแฟนสาว วันนี้เธอจึงได้ไปเหยียบถิ่นไชนาทาวน์ ที่ที่เธอตั้งใจไว้ว่าต้องไปสักครั้งก่อนกลับประเทศไทย

 

ภาพของหญิงสาวแต่งตัวดี หิ้วถุงอาหารพะรุงพะรังเต็มสองมือ เป็นภาพแสนสะดุดตายิ่งนักสำหรับผู้พบเห็น

เนื่องจากหลังการส่งอาหารคือการออกเดต น้ำอุ่นจึงแต่งตัวสวยเต็มยศ ภาพลักษณ์ของเธอดูบอบบางน่าทะนุถนอม ขัดกับการหิ้วของเต็มสองมือและก้าวเดินอย่างทะมัดทะแมงยิ่ง

เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง น้ำอุ่นกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้าน รออยู่อึดใจหนึ่ง ผู้สั่งอาหารก็เดินออกมาเปิดประตู รับอาหาร ชำระเงินและให้ทิปเธอ ทิปที่ได้รับเรียกว่าน้อยกว่าการส่งอาหารให้ฝรั่งกว่าครึ่ง๑๐ ถึงกระนั้นน้ำอุ่นก็ไม่ได้มีสีหน้ากระด้าง เพียงยิ้มหวานพร้อมเอ่ยขอบคุณ ยัดเงินทิปสิบเหรียญลงกระเป๋า กอดอกกวาดตามองไชนาทาวน์

ไชนาทาวน์มีเอกลักษณ์ต่างจากเขตอื่น อาคารส่วนใหญ่โดยเฉพาะร้านอาหารนิยมแขวนโคมสีแดงไว้สองข้างของทางเข้า ทั้งยังมีเสียงสนทนาเป็นภาษาจีน ประหนึ่งว่าที่นี่คือแผ่นดินจีน ไม่ใช่แผ่นดินอเมริกา

“ไปทางนั้นดีกว่า”

น้ำอุ่นบอกตัวเองเมื่อพบว่ายังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดหมาย ร้านอาหารที่เอดิสันนัดอยู่ไม่ไกลจากไชนาทาวน์นัก และแถวนั้นก็ไร้สิ่งน่าสนใจให้ทำฆ่าเวลา เธอจึงถือโอกาสนี้เดินสำรวจไชนาทาวน์

ทางนั้น...คือทางซ้ายมือจากจุดที่เธอยืนอยู่ หญิงสาวเดินไปเรื่อยอย่างไม่รีบร้อน มองผู้คนเดินผ่านสวนไปสวนมา เสียงภาษาจีนที่ดังทั่วทุกพื้นที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ยังมีชื่อถนน...คุ้น...คล้ายกับว่าเธอเคยมา...ไม่สิ คล้ายกับว่าเธอเคยอยู่แถวนี้

เธอสะบัดใบหน้าจิ้มลิ้มเบาๆ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มขันในความคิดของตน เธอจะเคยมาที่นี่ได้อย่างไรกัน ยิ่งเรื่องเคยอยู่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ข้อสรุปที่ดูจะเข้าท่าที่สุดสำหรับความรู้สึกแปลกทั้งหลายคือ คงเป็นเพราะเธอดูหนังดูซีรีส์จีนมากเกินไป สมองเลยเกิดความคุ้นเคยกับภาษาและบรรยากาศของที่นี่กระมัง

การเดินเรื่อยเปื่อยหยุดลงหน้าอาคารหลังหนึ่ง อาคารหลังนี้คือพิพิธภัณฑ์จีนแห่งนิวยอร์ก สิ่งที่ดึงดูดใจเธอยิ่งนักคือป้ายสีขาวเขียนด้วยตัวอักษรจีนและอังกฤษสีดำ

พิพิธภัณฑ์จีนแห่งนิวยอร์ก ขอไว้อาลัยให้แก่การจากไปของมาดามเฉิน สตรีอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน (เอียง)

ดวงตากลมโตเพ่งมองคำว่ามาดามเฉิน ทวนชื่อนั้นแผ่วเบา

“มาดามเฉิน...”

มาดามเฉิน...ทำให้เธอหวนคิดไปถึงสตรีผู้นั้น เฉินรุ่ยเซียง ดูท่ามาดามเฉินที่ทุกคนพากันไว้อาลัยคงเป็นมาดามเฉิน มารดาของเฉินรุ่ยเซียงซึ่งเธอเจอที่เคาน์เตอร์เช็กอิน

น้ำอุ่นก้าวเข้าสู่พิพิธภัณฑ์อย่างไร้ความลังเล เช่นเดียวกับการควักเงินสิบเหรียญจ่ายค่าเข้าอย่างง่ายดาย มือรับแผ่นพับแนะนำพิพิธภัณฑ์ สองตากวาดมองรอบด้าน สองเท้าก้าวเดินไปเรื่อย และไปหยุดลงที่แผ่นป้ายบอกเล่าประวัติศาสตร์ชาวจีนบนแผ่นดินอเมริกา

 

ชาวจีนโพ้นทะเลเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี ๑๘๒๐ โดยเข้ามาเพื่อเป็นแรงงานในยุคตื่นทองที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเป็นแรงงานขุดทองและแรงงานเหมืองแร่๑๑ ผู้อพยพเข้ามาส่วนใหญ่คือกลุ่มคนไร้การศึกษาหรือมีการศึกษาต่ำ มาจากมณฑลกวางตุ้ง

ต่อมาในปี ๑๘๕๕ รัฐบาลอเมริกันได้มีคำสั่งห้ามชาวจีนอพยพเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ถึงกระนั้นก็มีแรงงานผิดกฎหมายแอบลักลอบเข้ามาพอสมควร และการอพยพอย่างผิดกฎหมายมีเข้ามามากที่สุดในปี ๑๘๖๕ อันเป็นช่วงที่สหรัฐอเมริกาออกกฎหมายเด็ดขาด มีนโยบายส่งแรงงานผิดกฎหมายออกจากแผ่นดินอเมริกา

ในปี ๑๘๘๐ พระราชบัญญัตินั้นถูกยกเลิก เสรีภาพในการอพยพของชาวจีนกลับมาอีกครั้ง ในครั้งนี้กลุ่มคนอพยพส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้มีการศึกษาสูง จากฮ่องกง ไต้หวันเป็นส่วนใหญ่ ทว่าเสรีภาพนี้ก็อยู่เพียงชั่วระยะเวลาสองปี ในปี ๑๘๘๒ สภาคองเกรสได้อนุมัติ Chinese Exclusion Act๑๒ ซึ่งเป็นช่วงตกนรกทั้งเป็นของชาวจีนในแคลิฟอร์เนีย

 

ดวงตาซึ่งทอแววใคร่รู้ไล่อ่านรายละเอียดต่างๆ ไปเรื่อย จนมาหยุดที่ป้ายที่สองอันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามครั้งใหญ่ของไชนาทาวน์แห่งนิวยอร์ก

 

ช่วงทศวรรษ ๑๘๙๐-๑๙๓๐ ทั้งที่ชาวจีนฝั่งแคลิฟอร์เนียอยู่ในสถานะวิกฤติ แต่สำหรับนิวยอร์กช่างแตกต่างอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนทรงอิทธิพลเรืองอำนาจในนิวยอร์ก แก๊งมาเฟียจีนมีอำนาจเหนือรัฐบาล แม้แต่ตำรวจหรือศาลก็ไม่กล้าแตะต้อง

ช่วงเวลานี้คือช่วงที่ชาวนิวยอร์กตกอยู่ภายใต้เงาชาวจีน ความวุ่นวายและสงครามภายในเกิดขึ้นทุกวัน เพราะแก๊งย่อยทั้งหลายซึ่งแบ่งอำนาจกันคุมนิวยอร์กซิตีห้ำหั่นทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ แย่งชิงความเป็นผู้นำหนึ่งเดียว

ปี ๑๙๒๕ คือปีที่มาเฟียจีนรุ่งเรืองที่สุด เป็นช่วงเวลาที่นึกอยากจะสังหารผู้ใดก็ได้ ไชนาทาวน์ในเวลานั้นถูกเรียกขานว่า ‘นรกขุมสุดท้าย’ ช่วงทศวรรษ ๑๙๒๐ คือช่วงที่มาเฟียจีนฮึกเหิมถึงขนาดประกาศใช้กฎหมายจีนแทนที่กฎหมายอเมริกันบนแผ่นดินนิวยอร์ก แน่นอนว่าไม่ว่าตำรวจหรือศาลล้วนพากันปิดปากเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าขัดข้อง

 

เนื้อหาด้านมืดที่ได้รับรู้ทำให้น้ำอุ่นหรี่ตาเพ่งอ่านรายละเอียดต่อไปด้วยความสนใจยิ่งนัก

 

สงครามสู้รบแย่งอำนาจสิ้นสุดลงในปี ๑๙๔๐ ผู้ชนะคือเฉินตง ผู้นำตระกูลเฉินปฏิรูปไชนาทาวน์ทั้งด้านภาพลักษณ์และทุกสิ่ง จับมือเป็นมิตรกับรัฐบาล ต่อรองกับนายกเทศมนตรีให้ไชนาทาวน์เป็นเขตแผ่นดินพิเศษ อยู่ภายใต้กฎหมายจีนซึ่งควบคุมโดยเฉินตง ตระกูลเฉินกลายมาเป็นผู้นำชาวจีนอันดับหนึ่งแห่งยุคนับตั้งแต่ปี ๑๙๔๙ จนถึง...

 

เสียงของตกแตกทำให้คนที่คร่ำเคร่งกับการอ่านสะดุ้ง ความตกใจนั้นรุนแรงจนหน้าอกกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง น้ำอุ่นเบือนหน้าไปทางต้นเสียง คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ สิ่งที่ปรากฏรอบด้านมีเพียงความเงียบ ไม่มีแม้คนเดินผ่าน ไม่มีร่องรอยของสิ่งใดตกแตก

“หรือเราหูฝาด”

เธอพึมพำกับตัวเอง หลังกวาดตามองสามครั้งแต่ไม่พบสิ่งใด ในที่สุดจึงตัดสินใจว่าหูฝาด หันกลับไปยังป้ายรายละเอียดเพื่อจะอ่านต่อ ทว่า...เป็นอีกครั้งที่ดวงตาเบิกกว้างตกใจ

เรื่องราวที่เธออ่านเมื่อครู่หายไป...ไม่มี! ไม่มีแม้เพียงหนึ่งคำที่ได้อ่าน มีเพียงประวัติการอพยพพื้นๆ ไม่มีการกล่าวอ้างถึงด้านมืดของไชนาทาวน์ ไม่มีการกล่าวถึงช่วงเวลาอันแสนโหดร้าย!

“เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้ยังอ่านอยู่เลย!”

น้ำเสียงของเธอแตกตื่น ดวงตากลมโตกะพริบถี่ราวจะปรับสายตาให้ชัดเจน ตามด้วยการไล่อ่านอีกครั้งตั้งแต่บรรทัดแรกของป้ายแรก ทว่า...ไม่มี...สิ่งที่เธออ่านเมื่อครู่ไม่มี...ไม่มีปรากฏ!

น้ำอุ่นขนลุกซู่ไปทั่วร่าง รู้สึกเสียวสันหลัง ค่อยๆ ถอยออกจากห้องนี้ ใจครึ่งหนึ่งหวาดกลัว อีกครึ่งหนึ่งสงสัย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่

สองเท้าซึ่งถอยหลังหยุดลงเมื่อหูแว่วเสียงหัวเราะมีความสุข มือเล็กกำแน่น ริมฝีปากเม้ม ความลังเลบังเกิดขึ้นในใจ เท้าข้างหนึ่งอยากก้าวจากไป แต่อีกข้างอยากเดินตามเสียง

“เอาเถอะ เป็นไงเป็นกัน”

สิ้นการตัดสินใจ หญิงสาวค่อยๆ ก้าวตามเสียง ก้าว...ที่แสนสั่นแต่มั่นคง ก้าว...ด้วยหัวใจหวาดหวั่นและอยากรู้ ก้าว...ตามเสียงที่ดังขึ้น...ดังขึ้น

เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ห้องนี้ตกแต่งอย่างงดงาม ผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกกับตะวันออกอย่างลงตัว กลางห้องคือโซฟาหลุยส์สีแดงตัวใหญ่ ข้างโซฟาคือโต๊ะไม้ บนโต๊ะไม้มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบโบราณซึ่งเธอเคยเห็นในหนัง

เสียงสนทนาดังมาจากที่ใดสักแห่ง เป็นบทสนทนาภาษาจีนซึ่งเธอฟังไม่ออก คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะมองรอบห้องราวจะขุดคุ้ยว่าเสียงมาจากที่ใด

แล้วก็ได้คำตอบ...

สตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เธอเป็นผู้หญิงสวย...สวยและดูหยิ่งยโส ท่าทางบอกชัดว่าคงเกิดมาบนกองเงินกองทองและอิทธิพล

สตรีผู้นี้แต่งตัวงดงามยิ่ง เสื้อโคตขนมิงก์ฟูฟ่องสีขาวคลุมทับฉีผาว๑๓ยาวสีเดียวกับเสื้อโคต ตัวฉีผาวปักลายดอกเหมยด้วยด้ายสีชมพูบานเย็นเหลือบทอง เรือนผมดัดเป็นลอนยาวประบ่า สร้อยคอมุกคั่นด้วยเพชรประดับอยู่บนลำคอระหง ยังมีมือขาวเรียวซึ่งแต่ละนิ้วสวมอัญมณีล้ำค่ามากมายไว้เกือบสิบนิ้ว

แสงสะท้อนจากอัญมณีส่องเข้าตาน้ำอุ่น เธอหลับตาเพราะไม่อาจสู้แสงนั้น ยามลืมตาขึ้น ร่างทั้งร่างก็แข็งค้างประหนึ่งถูกแช่แข็ง

เธอตกใจ...ตกใจอย่างมาก ตกใจจนลืมวิธีการหายใจ!

ห้องห้องนั้นและสตรีผู้นั้นหายไป มีเพียงห้องว่างเปล่า บนพื้นไม้สีเข้มมีป้ายเขียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนว่า ‘ปิดปรับปรุง’

น้ำอุ่นยกมือขึ้นกุมหน้าอก รู้สึกถึงแรงหอบที่รุนแรงขึ้น ร่างเล็กบางสั่นด้วยความกลัว ตัดสินใจหันหลังและเริ่มวิ่งออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ โดยมีเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนตำหนิว่าห้ามวิ่ง

หญิงสาวหยุดลงหน้าพิพิธภัณฑ์ ขาสั่นจนไม่อาจฝืนยืนได้อีก ค่อยๆ พาร่างโซซัดโซเซไปนั่งยองๆ ข้างกำแพงตึก มืออันสั่นเทาเปิดกระเป๋า หยิบยาดมขึ้นมาสูดสุดแรง อัดกลิ่นยาดมเข้าเต็มปอด ทำเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนอาการเริ่มดีขึ้น

ดวงตาอันมากล้นด้วยความหวาดกลัวและความสงสัยทอดมองไปยังทางเข้าพิพิธภัณฑ์ มอง...เพ่ง...ประหนึ่งกำลังสแกนหาคำตอบให้สิ่งที่เห็น แต่ไร้คำตอบใดๆ

ความลังเลเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอควรเดินกลับเข้าไปถามหรือรีบไปจากที่นี่ดี

ยังไม่ทันได้คำตอบ ร่างเล็กบางก็สะดุ้งอีกครั้งเมื่อเสียงข้อความดังขึ้นแทรกความคิด เธอสูดหายใจลึกแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นข้อความและเวลาที่ปรากฏ

‘ผมมาถึงแล้วนะครับ คุณให้ผมรอหน้าร้านหรือรอที่โต๊ะ’ (เอียง)

น้ำอุ่นไม่ได้กดตอบในทันที เธอกดดูเวลา...ถึงเวลานัดหมายแล้ว!

หญิงสาวเบนสายตากลับไปยังพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง ส่ายหน้าจิ้มลิ้มน้อยๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ ทั้งที่เธอรู้สึกว่าอยู่ในนั้นไม่ถึงยี่สิบนาที แต่ทำไม...เวลาจริงกลับผ่านไปถึงหนึ่งชั่วโมง

“ช่างเถอะ”

เป็นอีกครั้งที่น้ำอุ่นดึงคำนี้ขึ้นมาตัดความสงสัย เธอลุกขึ้นยืน จัดแจงสำรวจความเรียบร้อยของชุด เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมากมายบนใบหน้า ปรายตามองพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไปขึ้นรถประจำทางที่ป้ายรถที่ใกล้ที่สุด พร้อมกับคำถามซึ่งดังก้องในใจ

เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น