บทที่ ๒
คุ้นเคยและคล้ายคลึง
ฉากการประชดประชันของนางเอกและนางอิจฉาบนหน้าจอไอแพด ทำให้ผู้ที่ชมด้วยอารมณ์ร่วมขยับตัว จากนั่งพับเพียบเป็นนั่งขัดสมาธิ สองตาเพ่งมองหน้าจอ มือข้างหนึ่งถือปูจากส้มตำปูปลาร้า อีกข้างถือแก้วจิงเจอร์เอล
ทันทีที่นางร้ายจัดการนางเอกจนน้ำตานอง แก้วน้ำแก้วนั้นก็ถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนน้ำกระฉอก มือที่เป็นอิสระตบหน้าตักเสียงดัง
“โอ๊ย...สู้เขาสิสู้เขา!”
น้ำอุ่นรู้สึกขัดใจยิ่งนัก ถึงขนาดวางปูดองที่ตั้งใจจะเคี้ยวลงในชามตามเดิม หยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ เปลี่ยนละครอันแสนขัดใจไปเป็นอีกเรื่องซึ่งเธอดูค้างไว้เมื่อวานเพราะผล็อยหลับ
ฉากที่ปรากฏแทน คือฉากนางเอกรับรู้ความจริงเรื่องที่ถูกพระเอกหลอกลวงเรื่องฐานะที่จนแสนจน ทั้งที่แท้จริงแล้วรวยล้นฟ้า มือข้างหนึ่งของผู้ชมหยิบปูตัวเดิมขึ้นมาฉีกขา ส่งเข้าปากเคี้ยวเสียงเอร็ดอร่อย ยิ่งฉากในละครขัดใจมากเพียงใด เสียงเคี้ยวก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น
จนในที่สุดเมื่อนางเอกบอกเลิกพระเอก ผู้รับชมถึงกับโยนปูที่เหลืออยู่ไม่กี่ขาลงในชามอย่างรุนแรง ฟาดมือฟาดไม้ไปมาในอากาศ ตามด้วยการทุบพื้น
“โอ๊ย...นางเอกนะนางเอก ทำไม ทำไมมมม!”
คนอินจัดถอนหายใจ ตัดสินใจปิดละครด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง มือเอื้อมไปยกแก้วน้ำขึ้นกระดก แล้วกระแทกแก้วลงรุนแรงไม่ต่างจากครั้งแรก ตามด้วยการเท้าคาง บ่นเรื่องละคร
“ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมนางเอกจะต้องโกรธที่แท้จริงแล้วพระเอกรวย มันน่าโกรธตรงไหน ถ้าจนแล้วบอกว่ารวยนี่สิน่าตบ!” เธอบ่นแล้วถอนหายใจอีกรอบ ตักส้มตำเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ เคี้ยวหมดปากจึงเริ่มบ่นต่อ
“หรือบางทีนางเอกอาจจะแกล้งโกรธเพื่อรักษาภาพนางเอก แต่จริงๆ ในใจกำลังระริกระรี้จะได้ผัวรวย”
ผู้วิเคราะห์เอียงคอไปมาสลับกับการจัดการปูที่เหลือ เมื่อเหลือเพียงซากปู ริมฝีปากบางก็ยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตฉายแววรื่นเริงขบขัน
“นี่ถ้าเป็นเรานะ ทันทีที่รู้ว่ารวย จะเอาไม้ทุบหัวลากไปจดทะเบียน!” กล่าวแล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างไม่สมความเป็นกุลสตรีที่ยายเคยเฝ้าสอน ก่อนที่เสียงหัวเราะนั้นจะถูกขัดด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ
เป็นอีกครั้งที่เธอดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดมือ ตามด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏรูปภาพและชื่อของคู่เดตอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เอดิสัน
คู่เดตคนนี้ทำอาชีพทนายความ เธอสร้างสถานการณ์บังเอิญพบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคยเดตกันไปได้หนึ่งครั้ง และในครั้งนั้นนอกจากกุหลาบช่องาม ยังมีของกำนัลเป็นสร้อยคอแบรนด์ดัง
นิ้วเรียวกดรับสายอย่างไร้ความลังเล แม้ดวงตาจะฉายความเหนื่อยหน่าย แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนหวานและสดใส ทั้งยังมีรอยยิ้มกว้างประหนึ่งผู้โทร. มากำลังสนทนาอยู่เบื้องหน้า
“ฮัลโหล อลิซค่ะ”
“ฮัลโหล อลิซ ผมมาร์คนะครับ คุณสบายดีไหม”
หญิงสาวแสร้งทำท่าครุ่นคิด ทวนชื่อเขาเบาๆ แบบตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “มาร์ค...มาร์ค...”
“เราเคยออกเดตกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมกับคุณพบกันหน้าสำนักงานกฎหมายแถวเมดิสันอเวนิว ผมทำกาแฟคุณหก”
แม้อีกฝ่ายจะตกหลุมกับดัก แต่ผู้วางกับดักยังไม่รีบเฉลย ทำเสียงอืมลากยาว จนในที่สุดจึงร้องอ้อ ตามด้วยการเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ที่แท้ก็คุณนี่เอง คุณทนายแสนยุ่ง ฉันสบายดีค่ะ ว่าแต่คุณยังจำฉันได้อีกหรือคะ”
ผู้ถูกย้อนถามหัวเราะเบาๆ จริงอยู่ที่เขาหายเงียบ ไม่ได้ติดต่อไปถึงห้าวัน แต่นั่นเป็นเพราะเขาต้องทำคดีสำคัญ อยู่แต่ในสำนักงานกฎหมายตลอด แทบไม่มีเวลาแม้แต่รับประทานอาหาร ไม่ได้กลับบ้าน จนกระทั่งเมื่อเช้าทุกสิ่งจบลงเรียบร้อย ภาพรอยยิ้มสดใสของสาวน้อยผู้นี้สว่างวาบในใจชายหนุ่มจนเขาต้องรีบโทร. มาทันทีที่ตื่นนอนช่วงบ่าย
“ผมผิดเองที่ลืมโทร. บอกคุณ ให้ผมไถ่โทษด้วยดินเนอร์ค่ำนี้นะครับ”
น้ำอุ่นไม่ได้ตอบตกลงทันที เธอทวนคำว่าค่ำนี้เบาๆ อย่างให้อีกฝ่ายได้ยิน รีบลุกไปหยิบสมุดมาเปิดเสียงดังคล้ายกำลังเช็กว่าว่างหรือไม่
“นะครับอลิซ ให้ผมไถ่โทษนะครับ”
การย้ำของมาร์คทำให้ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพึงใจในความกระตือรือร้นของเขา ถึงกระนั้นก็ยังไม่ตกปากรับคำในทันที แสร้งถอนหายใจเบาๆ ปิดสมุดแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะตอบตกลงเมื่อคิดว่าทิ้งระยะเวลาพอควรแล้ว
“ตกลงค่ะ ที่ไหนดีคะ”
“คุณอยากทานอะไรครับ คุณเลือกร้านได้เลย เดี๋ยวผมโทร. นัด”
ผู้ได้รับข้อเสนอให้เป็นฝ่ายเลือกใช้นิ้วเขี่ยแก้วน้ำ สมองครุ่นคิดชื่อร้านอาหารแสนหรูทั้งหลาย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงน่ารัก “คุณเป็นเจ้าถิ่น คุณควรแนะนำร้านอร่อยให้ฉันไปลองชิมสิคะถึงจะถูก”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมนัดร้านได้จะเท็กซ์ที่อยู่ไปให้คุณนะครับ ว่าแต่ให้ผมไปรับที่...”
“เจอกันที่ร้านดีกว่าค่ะ อ้อ...ขอเป็นตอนห้าโมงครึ่งนะคะ กลับบ้านดึกมากแม่เป็นห่วง”
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น...แล้วพบกัน ขอบคุณอีกครั้งที่ให้โอกาสผม”
หญิงสาวผู้ให้โอกาสวางสาย แน่ใจยิ่งนักว่ามาร์คจะต้องมาพร้อมดอกไม้ช่อโต ทั้งยังมีของแทนคำขอโทษที่มูลค่าน่าจะสูงกว่าสร้อยแบรนด์หรูครั้งก่อน มือเรียวเริ่มจัดแจงเก็บชามบนโต๊ะ นำไปล้างทำความสะอาด ดวงตาเหล่มองนาฬิกาบนผนัง
สี่โมงห้าสิบ
เสียงข้อความเข้าดังขัดการดูเวลา ร่างบางเล็กในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีส้มอ่อนเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์มาดู ข้อความมาจากว่าที่คู่เดตในค่ำคืนนี้ เขาส่งที่อยู่ร้านมาให้พร้อมกับข้อความที่ว่า
‘ผมรอคอยจะพบคุณอย่างใจจดใจจ่อ’ (เอียง)
ทั้งที่ข้อความชวนให้ยิ้ม แต่ผู้ได้รับถอนหายใจยาว เดินนำโทรศัพท์มือถือไปชาร์จแบตเตอรี่ ส่งข้อความบอกแม่ผู้กำลังหมกมุ่นอยู่ในวงไพ่ที่ห้องเจ้ามือคนใหม่บนชั้นสามของตึกหลังนี้
‘อุ่นมีเดตนะแม่ น่าจะกลับไม่เกินสี่ทุ่ม’ (เอียง)
ข้อความถูกส่งไป เธอโยนโทรศัพท์ลงที่เดิมอย่างแน่ใจว่าไม่มีการตอบกลับเร็วๆ นี้ เพราะแม่กำลังติดพันกับการเล่นไพ่ มองโทรศัพท์มือถือด้วยแววตาเบื่อหน่ายในสิ่งที่ทำ ตามด้วยการถอนหายใจแรงอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัว แปรงฟันบ้วนปาก กำจัดกลิ่นส้มตำปูปลาร้าที่แสนจะรุนแรงติดลมหายใจ ทำตัวให้พร้อมสำหรับการเป็นคุณหนูอลิซซึ่งจะออกเดตกับทนายความหนุ่มหล่ออนาคตไกลที่ร้านอาหารหรูย่านเมดิสันอเวนิวในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ภาพหญิงสาวในชุดโคตขนเป็ดสีขาวแบรนด์หรูราคาสามหมื่นห้าพันเหรียญวิ่งขึ้นรถประจำทาง ช่างเป็นภาพแสนขัดตายิ่งนักสำหรับผู้เพิ่งเคยพบเห็น แน่นอนว่าจากเสื้อโคต กระเป๋า รองเท้าบูต และถุงมือ กะด้วยสายตาสามารถบอกได้คร่าวๆ ว่าเจ้าของเครื่องแต่งกายเหล่านี้ไม่น่ามีปัญหาในการซื้อรถหรือใช้บริการรถแท็กซี่
แววตาสงสัยจากผู้คนไม่ได้ทำให้ผู้ถูกมองกระดากเขิน เธอทักทายคนขับรถซึ่งพบเจอกันบ่อย เดินไปนั่งเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ว่าง ยิ้มกราดให้ผู้ที่มองมา รอยยิ้มสดใสดั่งแสงตะวันเจิดจ้าพาให้ผู้มองเห็นยิ้มตาม
รถเคลื่อนตัวออกเมื่อผู้โดยสารขึ้นลงครบ น้ำอุ่นเปิดกระเป๋าหยิบพาสปอร์ตขึ้นมาดู พลิกไปยังหน้าประทับตราขาเข้าประเทศอเมริกา จากวันที่บอกให้รู้ว่าเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนที่เธอจะอยู่ที่นี่ได้อย่างถูกกฎหมาย อีกเพียงหนึ่งเดือนที่เธอต้องเลือก
จะหาคนแต่งงานด้วยแล้วให้เขาขอกรีนการ์ดให้...ตามที่แม่พร่ำย้ำเตือน
ปล่อยสถานะถูกกฎหมายให้ขาด ทำตัวเป็นโรบินฮูดรอหาคนแต่งงานด้วย
หรือ...เดินทางกลับประเทศไทย
ไม่ว่าทางไหนก็เป็นทางที่แสนหนักใจสำหรับผู้ครุ่นคิด ที่หนักใจไม่ใช่เพราะไม่อยากกลับไทย แต่เพราะมีห่วงเสี้ยวสุดท้ายที่ไม่อาจทิ้งไปได้ นั่นคือแม่
ยิ่งได้อยู่ด้วยและได้เห็นอะไรต่ออะไร ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าแม่...อาการหนักกว่าที่คาดคิดไว้ แต่เพราะเนื้อในอันมากล้นด้วยความหวังว่าแม่จะรัก จะได้อยู่กับแม่ผู้เป็นญาติคนเดียวในโลกอันแสนกว้างใหญ่ใบนี้ ทำให้น้ำอุ่นไม่อาจตัดใจจาก ยอมเดินไปตามทางที่แสนขื่นขม ทางที่ใครหลายคนล้วนประณาม ด่าว่าไร้ศักดิ์ศรี
นั่นเพราะเธอรักแม่ แม้ว่าแม่ไม่ได้เลี้ยงดูเธอ และหวัง...ว่าแม่จะรักตอบ
หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เก็บพาสปอร์ตลงในกระเป๋าตามเดิม เหลือบตามองชื่อสถานีหน้าที่รถจะจอด จากการคำนวณคร่าวๆ อีกเกือบสิบป้ายกว่าจะถึงที่หมาย ยิ่งยามนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเลิกงาน เธอยังต้องอยู่ในรถคันนี้อีกนานเลยทีเดียว
เมื่อรู้แล้ว ดวงตาที่แต่งแต้มด้วยอายไลเนอร์และมาสคาราจนขับดวงตากลมโตให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นก็ค่อยๆ ปิดลงช้าๆ พร้อมกับที่สมองเริ่มย้อนคิดไปถึงวันแรกที่ก้าวเท้าออกจากประเทศไทย
การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต...
น้ำอุ่นในวันนั้นนั่งรถทัวร์จากจังหวัดบ้านเกิด พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางถึงสองใบใหญ่และหนึ่งใบเล็ก ของมากมายที่บรรจุมาล้วนไม่ใช่ของเธอ แต่เป็นของที่วิไลสั่งให้ซื้อและขนมาให้ หากว่ากันตามจริง ของของเธอนั้นเพียงแค่กระเป๋าใบเดียวยังเหลือด้วยซ้ำ
กว่าจะมาถึงเคาน์เตอร์เช็กอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ช่างเป็นการเดินทางอันแสนทุลักทุเล เธอมาถึงก่อนเวลาเกือบห้าชั่วโมง จึงฆ่าเวลาด้วยการนอนรอเวลาเคาน์เตอร์เปิด แต่การนอนรอก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะในใจมัวแต่กังวลว่าของจะหาย ในที่สุดจึงเปลี่ยนเป็นนั่งจับรถเข็นและคิดฝันถึงช่วงเวลาที่จะได้เจอแม่
เมื่อเคาน์เตอร์เช็กอินเปิด น้ำอุ่นเข็นรถเข็นบรรทุกกระเป๋าตรงไปที่เคาน์เตอร์ ดวงตาซุกซนเหลือบมองเคาน์เตอร์ข้างๆ อันเป็นเคาน์เตอร์เช็กอินของผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาเช็กอินเหลือบมองมาทางเธอเช่นกัน
คุ้นเคย...
ความรู้สึกคุ้นเคยบังเกิดขึ้นในความรู้สึกของสตรีทั้งสอง ดวงตาสองคู่สบกัน ต่างฝ่ายต่างเบิกตากว้าง ดวงตาฉายแววตกใจและแปลกใจ
คุ้นเคย...ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย น้ำอุ่นแน่ใจว่าเธอไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้น
แต่...แต่ทำไมกันนะ...
ทำไมเธอรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนว่ารู้จัก ทั้งยังมีความรู้สึกรัก...และ...ผูกพัน
ความรู้สึกนี้ใช่เพียงเกิดกับเธอ แต่กับสตรีปริศนาผู้นั้นก็เช่นกัน สตรีทั้งสองต่างส่งยิ้มให้ตามมารยาทเพื่อกลบความขวยเขิน ช่างเป็นรอยยิ้มแสนคล้ายคลึงยิ่งประหนึ่งกำลังส่องกระจกสะท้อน
‘Madam.’
เสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่เช็กอินผู้โดยสารชั้นหนึ่งทำให้สตรีผู้นั้นหันไปสนใจบอร์ดดิงพาสของตน หยิบบอร์ดดิงพาสทั้งสองใบมา จบความรู้สึกคุ้นเคยด้วยการมอบรอยยิ้มอำลาให้น้ำอุ่น เดินไปโดยหันกลับมามองพร้อมคลี่ยิ้มอีกครั้ง แล้วจึงเดินจากไปตามทางของตน
น้ำอุ่นค่อยๆ ถอนสายตาคืนตามเสียงเรียกของเจ้าหน้าที่เบื้องหน้าเธอผู้แสนจะทำงานเชื่องช้ายิ่งนัก แต่ความเชื่องช้านี้กลับเป็นความเชื่องช้าที่ไม่น่าขัดใจ เพราะเรื่องราวที่เจ้าหน้าที่สองสาวแห่งสายการบินกำลังกระซิบกระซาบสนทนากันช่างน่าสนใจสำหรับผู้ยืนรออย่างยิ่ง
‘นั่นไงคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉิน’
‘อ้อ...ลูกสาวคนโตของมาดามเฉินใช่ไหม’
‘ใช่ๆ เห็นว่ามาเที่ยวเมืองไทยอาทิตย์ที่แล้ว นี่รีบบินกลับนิวยอร์กเพราะมาดามเฉินเสียชีวิตเมื่อวาน’
‘รวยจนน่าอิจฉาเนอะ เห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าตระกูลนี้รวยเป็นหมื่นล้าน ไม่รู้จะเอาเงินไปใช้ที่ไหน’
‘เออ...ว่าแต่คุณหนูใหญ่คนเมื่อกี้ชื่ออะไรนะ’
‘เฉินรุ่ยเซียง’
เฉินรุ่ยเซียง...
ชื่อเฉินรุ่ยเซียงดังจับใจของน้ำอุ่นยิ่งนัก เธอทวนชื่อนี้พร้อมมองไปตามทางที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินผู้นั้นเดินไป มอง...ด้วยความรู้สึกอยากจะวิ่งตามไปถามว่า
คุณรู้สึกแบบเดียวกับฉันไหม...
ทว่าไร้โอกาสนั้น เพราะตลอดเวลาที่เธอเดินเตร็ดเตร่รอเครื่องออก หญิงสาวไม่มีโอกาสได้พบสตรีผู้นั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
สิ่งเดียวที่ยังจารในใจจนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้ลืมเลือนไปตามเวลาเกือบครึ่งปี คือชื่อของสตรีผู้แสนคุ้นเคย
เฉินรุ่ยเซียง
เมื่อคิดถึงการเดินทาง ดวงตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้น กวาดมองผู้คนมากมายซึ่งอัดแน่นเต็มรถโดยสาร นึกถึงการนั่งเครื่องบินอันแสนยาวนานกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงจากกรุงเทพมหานครสู่ดูไบ ก่อนจะเดินทางต่อมาจนถึงสนามบินนานาชาติเจเอฟเค
ยี่สิบสี่ชั่วโมง...ช่างเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน เมื่อย อึดอัดยิ่งนัก เบาะนั่งซึ่งขยับตัวได้อย่างจำกัด กลิ่นกายของคนข้างๆ การพยายามข่มตานอนครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะมีคาถาเร่งเวลาให้ตื่นขึ้นมาถึงนิวยอร์กในทันที ความรู้สึกในวันนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจเธอ
“คงจะดีถ้าได้นั่งเฟิสต์คลาส”
เธอเอ่ยเบาๆ ด้วยความอิจฉายามนึกถึงช่วงเวลานั้น ตามด้วยการอมยิ้มเมื่อนึกถึงหนังจีนที่เธอรับชมระหว่างการเดินทางเพื่อฆ่าเวลาอันแสนทรมาน หนังจีนทั้งหมดล้วนเป็นหนังมาเฟีย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในวันนั้นจึงมีเรื่องราวเหล่านี้มากมาย ทั้งที่ปกติแล้วไม่ควรมีซ้ำแนวเกินสองเรื่องและไม่ควรมีมาก เพราะสายการบินที่โดยสารมานั้นไม่ใช่สายการบินสัญชาติจีน
แต่...น้ำอุ่นผู้ไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนในชีวิตไม่รู้ในจุดเหล่านี้ เธอคิดเพียงว่า...
สงสัยหนังจีนแนวมาเฟียกำลังเป็นที่นิยม
การดูหนังในครั้งนั้นดั่งตัวจุดประกายความคิดเพ้อฝันของหญิงสาว เธอดูหนังไปบิดหมอนไป แววตาฝันเฟื่อง อิจฉาความสบายของชีวิตเหล่าคุณนายมาเฟีย อิจฉาความเป็นผู้หญิงของมาเฟีย ปรารถนาจะมีวาสนาเช่นนั้นยิ่งนัก
‘คงเป็นชีวิตที่สุขสบายและน่าอิจฉามาก!’
คิดแล้วก็เริ่มตั้งคำถามและเริ่มเพ้อฝัน เช่นที่เธอมักจะทำหลังการดูหนังหรือซีรีส์จีนเกี่ยวกับมาเฟียจบทุกครั้ง
‘ถ้าฉันได้แต่งงานกับมาเฟียจริง...ฉันจะทำอะไรบ้าง ชอปปิงที่ไหนบ้างในแต่ละวัน’
นิวยอร์กซิตี ค.ศ. ๑๙๕๕
ภาพหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ คือภาพอาคารที่ถูกถล่มยับเสียหายและผู้เสียชีวิตมากมาย ในภาพนั้นมองเห็นได้ว่าผู้เสียชีวิตมีทั้งชาวเอเชียและเม็กซิกันปะปนกัน ใต้ภาพคือข้อความสีดำขนาดใหญ่
เฉินเว่ยต้า หรือ แอนดี้ เฉิน บุตรชายคนโตของเฉินหม่าไท้ หรือ หลุยส์ เฉิน นักธุรกิจจีนสัญชาติอเมริกัน ประธานสมาคมชาวจีนในนิวยอร์ก ผู้นำธุรกิจเฉินตง๗ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุที่เมืองบรองซ์ สภาพศพพบรูกระสุนเกือบสิบนัดทั่วร่างกาย สภาพที่เกิดเหตุเสียหายหนัก ตำรวจรัฐนิวยอร์กเชื่อว่านี่เป็นการปะทะกันระหว่างแก๊ง (เอียง)
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับวางเรียงเต็มโต๊ะไม้ เสียงร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจดังมาจากสตรีชราผมสีหมอกซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะ หลังโต๊ะคือบุรุษวัยกลางคน เขาถอดแว่นวางลงบนโต๊ะด้วยมือสั่นเทา ดวงตาดุมากล้นด้วยอำนาจแดงรื้น แต่ไร้น้ำตาแม้เพียงหยดหลั่งริน
“อาตี๋ อาตี๋ของอาม่า๘...” เสียงคร่ำครวญดังมาจากสตรีชราซึ่งบัดนี้หยิบรูปภาพผู้จากไปขึ้นมากอดแน่น “ลื้อต้องจัดการ อั๊วไม่ยอม!” การคร่ำครวญเปลี่ยนเป็นความกราดเกรี้ยว ร่างเล็กบางเริ่มหอบเพราะความเสียใจ
“ใจเย็นอาม้า๙ อั๊วจะจัดการเรื่องนี้แน่นอน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก ลุกขึ้นไปผลักประตูบานพับออกพร้อมตะโกนก้อง
ตะโกน...อันเป็นการทดแทนการกรีดร้องที่ดังอยู่ในใจ
“หายไปไหนกันหมด!”
สิ้นเสียงตะโกน สตรีสองคนหน้าตาหมดจดอายุราวยี่สิบปีรีบวิ่งตรงเข้ามาในห้อง ประคองสตรีสูงวัยผู้ไร้เรี่ยวแรงจะลุกให้กลับไปพักผ่อนในห้องพักส่วนตัวอย่างรู้หน้าที่
เฉินหม่าไท้มองภาพมารดาถูกประคองจากไป มือทั้งสองกำหมัดแน่น เขาเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ ดวงตาจ้องมองบุรุษในชุดเสื้อคอจีนสีดำกางเกงสีเดียวกันทั้งสองคนซึ่งกำลังเดินเข้ามา ทั้งสองอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน กล่าวได้ว่าเติบโตและผ่านอะไรหลายอย่างมาร่วมกัน
“เรื่องนี้...”
เฉินหม่าไท้ยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของบุรุษผู้ยืนทางซ้าย ค่อยๆ ลดมือลงรวบรวมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดตั้งเป็นกอง มองภาพถ่ายในกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ในภาพนั้นคือตัวเขาเมื่อยี่สิบปีก่อน สตรีหน้าตางดงามอ่อนหวาน และเด็กชายตัวน้อยทั้งสองคน
“ให้คนไปตามอาเฉินกลับมา เรียนจบแล้วก็กลับมาได้แล้ว ดีแต่เที่ยวไม่ยอมทำงานทำการ อ้อ...” เขาหยุดคำพูดลงชั่วขณะหนึ่งก่อนจะถอนหายใจหนัก แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ให้คนจับตาดู...เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้อาเฉินยกพวกบุกไปเอาคืน ไอ้นิสัยใจร้อนอั๊วรู้ดี ถ้าพูดดีๆ ไม่รู้เรื่องก็จับมัดขังไว้ในห้องจนกว่าอั๊วจะจัดการเรื่องทั้งหมดจบ!”
แสงไฟสลัวจนน่าปวดตา เสียงบรรเลงไวโอลินดังเอื่อยๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอมปรับอากาศยี่ห้อหรูลอยกำจายปะปนกับกลิ่นอาหารอันประดับตกแต่งอย่างงดงามวิจิตรจนลังเลที่จะรับประทาน ไวน์ราคาแพงที่บริกรกำลังรินลงในแก้วชั้นดี เนื้อแก้วใสดั่งน้ำต้นลำธาร
ทั้งหมดนี้...ล้วนไม่ใช่สิ่งน่าตื่นเต้น ล้วนเป็นสิ่งที่พบเจอจนเคยชินสำหรับน้ำอุ่นผู้ออกเดตบ่อยยิ่งนักจนผู้จัดการร้านและบริกรคุ้นเคยหน้าเธอ
ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งปี หากจะนับว่าเธอออกเดตไปแล้วกี่ครั้ง ตัวเลขเฉียดสามหลักคือคำตอบ แน่นอนว่าทุกครั้งคือร้านหรูหราราคาสำหรับคนกระเป๋าหนัก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ครั้งหนึ่งเธอเคยสงสัยและใฝ่ฝัน
อาหารจะอร่อยไหมหนอ การบริการจะเป็นเช่นไร คงรู้สึกดีและมีความสุขไม่น้อย...
น่าแปลกใจนัก คำตอบข้อสุดท้ายช่างแตกต่างจากที่เคยวาดฝัน หญิงสาวไร้ซึ่งความรู้สึกดี ห่างไกลจากคำว่าความสุข เธอรับประทานอาหารพอเป็นพิธี สวมหน้ากากกระตือรือร้น พูดคุยด้วยน้ำเสียงเริงร่าน่ารัก ต่างจากหัวใจที่ห่อเหี่ยว
‘เมื่อไหร่จะจบ...’
คำถามนี้ดังวนเวียนไปทั่วสมอง ดวงตาเหลือบมองนาฬิกายี่ห้อหรูราคาหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญซึ่งเธอได้รับเป็นของกำนัลจากเอดิสันในการเดตครั้งนี้ เข็มนาฬิกาช่างเดินช้ายิ่ง เธอปรารถนาให้ถึงเวลากลับเร็วๆ ปรารถนา...จะกลับบ้าน
“สี่เดือนแล้วสินะ”
คำกล่าวลอยๆ ของคู่เดตดึงสายตาซึ่งเหลือบมองนาฬิกาให้เบนขึ้นไปยังเขา ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวาน “คะ?”
เอดิสันยิ้มตามรอยยิ้มของสตรีตรงหน้า “เรารู้จักกันมาได้สี่เดือนแล้ว”
“ค่ะ สี่เดือนแล้ว เวลาผ่านไปไวมาก เหมือนฉันเพิ่งได้พบคุณเมื่อวาน”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือเล็ก แรงขยับใต้ฝ่ามือคล้ายจะดึงมือออกทำให้เขาชิงดึงมือกลับก่อน ดวงตาสีเทามองสตรีเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกเสน่หา กึ่งชื่นชมในความไว้ตัวและดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอ
น่าแปลกยิ่งนัก ทั้งที่สตรีผู้นี้แสนจะหวงเนื้อหวงตัว แม้จะเดตกันมาเกินยี่สิบครั้งและยาวนานถึงสี่เดือน ทว่าไม่เคยมีแม้แต่การโอบกอดทักทาย ทุกครั้งเมื่อได้พบจะได้รับเพียงรอยยิ้มหวาน ยามนึกถึงรอยยิ้ม สายตาของเขาก็มองไปยังริมฝีปากบาง
อยากรับรู้ใจจะขาดว่าริมฝีปากของเธอจะหอมหวานสักเพียงใดหนอ เขายังจำการฉวยจูบหน้าผากเธอครั้งก่อนนั้นได้ไม่ลืม
คือครั้งเดียวที่เกิดขึ้น...
เธอโมโห...เธอโกรธ
เธอบอกฝันดีเขาตามมารยาท แต่ปฏิเสธการชวนเที่ยวและเดต
เขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ขอโทษเธอ รับปากว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก
และในที่สุดเธอก็ให้โอกาส พร้อมกับชี้แจงต่อเขาด้วยแววตาแน่วแน่เด็ดขาด แตกต่างจากท่าทางนุ่มนิ่มอย่างยิ่ง
‘ถึงที่นี่จะเป็นอเมริกา แต่ฉันเป็นคนไทย ถ้าคุณล่วงเกินฉันอีกครั้ง เราสองคนจะไม่มีวันได้พบกันอีก’
นับจากนั้นมาเอดิสันระวังทุกการสัมผัส ทั้งที่ในอดีตกับผู้หญิงคนอื่น การเดตล้วนจบลงบนเตียง แต่กับน้ำอุ่นคือความแปลกใหม่ และก็น่าแปลกใจยิ่งนักที่เขาไม่รำคาญใจ
เขาทนได้ เขารอได้ และเขารู้สึกว่า...เขาอยากให้เกียรติเธอ
“พันช์ร้านนี้อร่อย”
เสียงใสซึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงวางแก้วพันช์ลง ทำให้บุรุษผู้กำลังตกอยู่ในความคิดกลับสู่การเดตเบื้องหน้า เขามองแก้วพันช์ซึ่งยังเหลือเกินครึ่ง ยกมือเตรียมสั่งเพิ่ม แล้วก็เป็นดังที่คิด เจ้าของเสียงชื่นชมเมื่อครู่ร้องห้ามทันที
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แก้วเดียวก็พอ ฉันอิ่มแล้ว”
เอดิสันพยักหน้ารับ ส่งกระดาษทิชชูให้เธอเช็ดคราบน้ำซึ่งเปื้อนเหนือปาก ท่าทางยิ้มเขินของสาวน้อยทำให้เขาอยากดึงเธอมากอดพร้อมเช็ดให้ ทว่าทำได้เพียงมองและชวนคุยเพื่อกลบความต้องการภายใน
“คุณอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้ว ชอบที่นี่ไหมครับ”
“ที่นี่ก็ดีค่ะ ฉันชอบ”
“ถ้าชอบก็มาอยู่ถาวรสิ”
คำชวนของเขาทำให้ผู้ถูกชวนหยุดมือซึ่งกำลังเช็ดปาก ค่อยๆ ลดกระดาษทิชชูลง ยิ้มเศร้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ
“ถ้ามีโอกาสค่ะ”
น้ำอุ่นตอบตามที่แม่เคยสอน ถ้ามีโอกาส...ถ้าได้แต่งงาน ถ้าเขาทำกรีนการ์ดให้...
ตอบแล้วก็จ้องดวงตาสีเทาของกุมารแพทย์หนุ่มหล่อ เขาเอื้อมมือออกมาคล้ายจะกุมมือเธอ แต่ก็เลือกที่จะหยุดและหดมือกลับ เธออมยิ้มกับการรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัดของเขา อยากจะให้รางวัลด้วยการเอื้อมไปจับมือใหญ่
ทว่า...อย่าดีกว่า กลัวว่าเขาจะเหลิง!
“จริงด้วยอลิซ กระเป๋าใบสีขาวที่ผมซื้อให้คุณ ที่คุณบอกว่าแม่บ้านทำสีหกใส่ ผมสั่งใบใหม่มาให้คุณแล้วนะ น่าจะได้วันมะรืนนี้”
คนสร้างเรื่องโกหกยิ้มเกรงใจ มันคือยิ้มอย่างไม่ได้เสแสร้ง “จริงๆ แล้วคุณไม่จำเป็น...”
“ผมเต็มใจ”
รอยยิ้มจริงใจของเขาทำให้หญิงสาวผู้กำลังลวงหลอกรีบหลุบตาต่ำ กะพริบตาถี่ขับไล่น้ำตาแห่งความละอายใจและเสียใจ จนกระทั่งแน่ใจว่าน้ำตาทั้งหลายกลับคืนแล้วจึงเงยหน้าขึ้น แววตาเปี่ยมล้นด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณนะคะ ฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคุณ”
“ไม่ใช่คุณที่โชคดี ผมต่างหากโชคดีที่ได้พบคุณ”
คำตอบนี้ทำให้ผู้ฟังแทบกรีดร้อง มุมปากขยับ เย้ยหยันคำว่าโชคดีซึ่งเขาเลือกใช้ ก่อนจะสลัดความรู้สึกแง่ลบทั้งหลายออก เอื้อมไปหยิบแก้วพันช์ขึ้นมาดื่มจนหมด ให้น้ำพันช์พัดพาความรู้สึกผิดทั้งหลายลงคอไป ดวงตาจ้องมองหน้าปัดนาฬิกา
หวังเหลือเกินว่านาฬิกาเรือนนี้จะทำให้แม่ผู้คร่ำครวญจะขาดใจถึงยอดหนี้หวย...ได้มีความสุข ได้ยิ้มดีใจ ได้กอดเธอ...เรียกเธอว่าอุ่นลูกรัก
น้ำอุ่นรู้ว่าผิด รู้ว่าควรปล่อยและเดินหนี ทว่าเธอเป็นเพียงหญิงสาวที่รักแม่ อยากมีแม่ อยากอยู่กับแม่ และมีความหวังว่าแม่จะรักเธอ รัก...เหมือนที่ยายรักเธอ
น้ำอุ่นวางแก้วน้ำลง หลับตาและโกหกตัวเอง...
แม่รักเธอ...
รักอย่างไร้เงื่อนไขเหมือนที่ยายรักเธอ...
ความคิดเห็น |
---|