บทที่ ๑
น้ำอุ่น - อลิซซ่า
“อลิซ...รับอะไรเพิ่มอีกไหม เอาของหวานไหม”
“อลิซ...อลิซครับ”
เสียงเรียกชื่อสองครั้งติดพาให้หญิงสาวผู้นั่งเหม่อลอยคิดถึงเนื้อหาในหนังสือ หนทางสู่การเป็นโกลด์ดิกเกอร์มืออาชีพ สะดุ้งตกใจ กลับคืนสู่ปัจจุบันขณะ
ดวงหน้าจิ้มลิ้มฉาบด้วยรอยยิ้มงดงามดั่งแสงตะวันในวันพายุหิมะโหมกระหน่ำ รอยยิ้มนี้ทำให้บุรุษผู้นั่งตรงข้ามคลี่ยิ้มตามราวต้องมนตร์สะกด เอื้อมไปกุมมือเล็กซึ่งวางข้างจานสเต๊กที่พร่องไปได้เพียงนิด
“คิดอะไรครับ ใจลอยเชียว”
น้ำอุ่นส่ายหน้าน้อยๆ ค่อยๆ ดึงมือกลับอย่างมีมารยาท ท่าทางไว้ตัวของเธอใช่เพียงกับเขาผู้นี้ แต่เกิดขึ้นกับทุกคู่เดต ไม่ว่าใครก็ไม่เคยได้สัมผัสริมฝีปากเล็กแดงสดตามธรรมชาติ ไม่แม้แต่ได้สูดดมกลิ่นหอมจากแก้มนวลโดยตรง การวางมูลค่าของตัวเองนั้นเรียกได้ว่า เจ้าตัวทำได้ดีเสียยิ่งกว่ากฎข้อที่แปดในหนังสือแนะนำเสียอีก!
“ฉันอิ่มแล้วค่ะ ไม่รู้ทำไมวันนี้รู้สึกเพลียๆ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้เอดิสันเลิกคิ้วเล็กน้อย ตามด้วยการเสนอสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ “ตรวจร่างกายหน่อยดีไหมครับ”
ผู้ได้รับข้อเสนอส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมรอยยิ้มเกรงใจ รีบบอกวิธีแก้ “ถ้าได้พักคงจะดีขึ้นค่ะ สงสัยช่วงนี้นอนน้อย”
“ที่ร้านงานยุ่งหรือครับ”
“ค่ะ งานยุ่งมาก แขกเยอะมากทีเดียวช่วงนี้ ฉันกับแม่แทบไม่มีเวลาพักเลย”
คำตอบนี้หาใช่คำปดไม่ ช่วงนี้ร้านอาหารที่เธอทำงานอยู่งานยุ่งยิ่งนัก ลูกค้าพากันจับจองคิวประหนึ่งทั่วทั้งนิวยอร์กซิตีมีร้านอาหารไทยเพียงร้านเดียว
ชายหนุ่มยิ้มเข้าใจ มองสตรีหน้าตาน่ารักเบื้องหน้าด้วยแววตาเห็นใจกึ่งชื่นชม ตามด้วยการกวักมือเรียกบริกรผู้ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ขยับนิ้วเป็นวงกลมอันเป็นสัญญาณบอกให้เก็บเงิน
“อาหารที่เหลือพวกนี้ฉันเอากลับนะคะ แถวบ้านมีคุณลุงจรจัดท่านหนึ่งชอบเดินผ่าน น่าสงสารมาก ฉันจะเก็บไปให้ท่าน”
เสียงใสเปี่ยมด้วยความเมตตาและเอื้ออาทรของน้ำอุ่นทำให้ดวงตาของผู้ฟังยิ่งปรากฏแววชื่นชมมากขึ้น เขาแจ้งบริกรว่าขอด็อกกีแบ็ก๕ โดยไม่ได้สังเกตว่าเจ้าของประโยคเมื่อครู่หลุบตาต่ำ ซ่อนแววตาละอายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจถูกควบคุมไว้เรียบร้อย
“รอสักครู่นะคะ” บริกรสาวแจ้งแล้วยกจานอาหารทั้งหลายไปจัดการแพ็กให้ในครัว
น้ำอุ่นคั่นความเงียบที่เกิดขึ้นด้วยการแสร้งจิบน้ำเปล่า ส่วนเขายกแก้วไวน์ซึ่งเหลือค่อนแก้วดื่ม ดวงตาสีเทาที่จ้องมองเธอเป็นประกายระยิบระยับ ยามมือใหญ่วางแก้วลง อาหารทั้งหลายซึ่งบรรจุลงกล่องก็ถูกนำมาส่งให้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มลุกขึ้นผายมือนำทาง
“เชิญครับ”
หญิงสาวยิ้มแทนคำขอบคุณ หดมือขาวเล็กที่จะหยิบถุงบรรจุกล่องอาหารเมื่อพบว่าเจ้ามือทำหน้าที่ถือให้ ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำยี่ห้อหรูเดินนำ ร่างเล็กบางจัดจนน่ากลัวจะถูกลมพัดปลิวในชุดเดรสแบรนด์หรูสีขาวเดินตาม ทั้งที่เธอสวมรองเท้าส้นสูงถึงสี่นิ้ว แต่ก็สูงเพียงหัวไหล่ของเขา
ช่างเป็นหญิงสาวผู้แสนบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งนักในสายตาบุรุษผู้เดินเคียงข้าง
จากร้านอาหารแสนหรูในราคาที่มนุษย์เงินเดือนต้องเก็บออมเงินทั้งเดือนเพื่อมาใช้บริการสักครั้ง สู่รถหรูราคาเท่าบ้านหนึ่งหลังในย่านควีนส์ ภายในรถมีเพียงความเงียบ สลับกับการจ้องมองจากดวงตาสีเทา ทั้งที่ถนนโล่งยิ่งนักเพราะขณะนี้เป็นเวลาสี่ทุ่ม แต่เขากลับขับรถอย่างอ้อยอิ่งราวติดอยู่ในการจราจรแห่งชั่วโมงเร่งด่วน
เอดิสันเหลือบตามองคู่เดต ชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ “ดูเหมือนคุณจะเหนื่อยมากจริงๆ วันนี้ไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่”
น้ำอุ่นเบือนหน้าไปหาเขา ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม “คิดว่าถ้าได้นอนเต็มอิ่มคงดีขึ้นค่ะ ขอโทษมากๆ นะคะที่วันนี้ทำให้คุณไม่สนุกไปด้วย”
เขาส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าเรื่องเล็กน้อย สนทนาต่ออย่างไม่ให้ขาดช่วง “ถ้ายังไงคุณลองเพิ่มเด็กเสิร์ฟในร้านดีไหม จะได้เหนื่อยน้อยลง ไม่ต้องไปช่วยเสิร์ฟด้วย”
คำแนะนำทำให้ผู้รับฟังหลุบตาลง กำมือแน่นก่อนจะแบวางบนหน้าขา แล้วจึงเงยหน้าสบตา เอ่ยคำโกหกอย่างแนบเนียน
“กำลังเปิดรับสมัครค่ะ ตอนนี้เห็นว่าแม่กำลังสัมภาษณ์คนอยู่” เอ่ยจบก็รีบชี้ไปทางซ้าย “จอดตรงนี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันจะแวะเยี่ยมเพื่อน”
สิ้นคำกล่าวนั้น รถยนต์ก็ชะลอจอดเทียบหน้าคอนโดแห่งหนึ่ง หญิงสาวส่งยิ้มอำลาให้เขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานรื่นหู
“ขอบคุณสำหรับคืนนี้นะคะ”
เอดิสันพยักหน้า เอี้ยวตัวไปหยิบถุงสีดำแบรนด์ดังอันเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆ ส่งให้ผู้ที่รับไปด้วยแววตางงๆ
“เปิดดูสิว่าคุณชอบไหม สามวันก่อนผมไปประชุมที่ปารีส เห็นวางโชว์แล้วนึกถึงคุณเลยซื้อมาฝาก”
ผู้ได้รับของฝากมีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด เธอกัดริมฝีปาก จ้องมองถุง จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายฉวยถุงคืน หยิบกล่องสีดำออกมาเปิดเพื่อปล่อยให้กระเป๋าหนังสีขาวแบรนด์ดังก้องโลกอันจัดว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้หญิง ‘ต้องมี’ ได้อวดโฉมต่อเจ้าของคนใหม่
“ชอบไหมครับ”
น้ำอุ่นมองกระเป๋าด้วยแววตาวิบวับ ดวงหน้าจิ้มลิ้มฉายความดีใจ เอื้อมไปหยิบกระเป๋าหนังขึ้นมาดู ก่อนจะรีบวางลงด้วยท่วงท่าอาลัย ดันกล่องกระเป๋าคืนให้เขา
“ของราคาแพงขนาดนี้ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
เขายิ้มอ่อนโยน เก็บกล่องลงในถุง แล้วเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กให้กำถุงไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจอันสร้างความละอายใจให้แก่ผู้รับฟัง
“แค่นี้เอง ไม่ได้มากมายอะไร ผมอยากซื้อให้คุณ”
ก่อนที่ผู้ละอายใจอย่างจริงจังจะได้แสร้งเอ่ยสิ่งใด ริมฝีปากหนาของคนที่นั่งเคียงข้างก็ขยับเข้ามาใกล้ ค่อยๆ จดลงบนหน้าผากขาวอย่างแผ่วเบา
ครั้งแรก...เป็นครั้งแรก
ยามเขาถอนริมฝีปากออก ผู้ถูกกระทำก็นั่งตัวชาแข็ง เบิกตากว้างตกใจ สองแขนกอดถุงแน่นพร้อมคว้ากระเป๋า โดยไม่ลืมเอี้ยวตัวไปหยิบถุงอาหาร ประตูรถเหวี่ยงเปิดพร้อมกับที่ร่างเล็กบางกึ่งกระโจนออกจากรถ
เสียงหัวเราะขำขันเจือเอ็นดูดังไล่หลัง ตามด้วยเสียงนุ่มนวลของเขา “กูดไนต์ครับ”
น้ำอุ่นไม่ได้กล่าวตอบ สองเท้ารีบจ้ำก้าวไปหยุดหน้าทางเข้าคอนโดซึ่งมีพนักงานเปิดประตูยืนอยู่ตามหน้าที่ ดวงตากลมโตมองรถคันหรูค่อยๆ เคลื่อนจากไป ไป...จนไกลตา จนกระทั่งเธอแน่ใจว่าเขาไปแล้วจริงๆ จึงหันไปยิ้มให้พนักงานหนุ่มผู้นั้น
“กูดไนต์”
พนักงานหนุ่มยิ้ม ผายมือไปทางถุงใบใหญ่สีดำและถุงใส่อาหาร อาจเพราะท่าทางการหิ้วไร้ความทะมัดทะแมง ทำให้เขารีบเอ่ยถาม
“ให้ผมเรียกแท็กซี่ให้ไหมครับ”
น้ำอุ่นส่ายหน้า นั่งยองๆ ลงต่อหน้าสีหน้าตกใจของผู้ที่มองอยู่ สองมือเล็กจัดแจงนำของมาถือรวมในมือเดียวกันอย่างคล่องแคล่ว แล้วลุกขึ้นหิ้วด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ส่งยิ้มหวานอำลา กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังป้ายรถซึ่งรถประจำทางกำลังจะออก
“ไปด้วยค่ะ!”
เสียงตะโกนเรียกทำให้พนักงานขับรถเปิดประตูรถอีกครั้ง ส่งยิ้มทักทายให้สาวน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู เธอแตะบัตรจ่ายค่าโดยสารแล้วเดินไปนั่ง มองรถประจำทางที่มีผู้ใช้บริการเพียงสามคนแล้วปรายตามองคอนโดเมื่อครู่ รถประจำทางเคลื่อนตัวออกพร้อมกับที่เธอถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
เหนื่อย...กับการโกหกสร้างภาพ
เหนื่อย...กับการหลอกลวง
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง ดวงตาที่ฉาบความรู้สึกผิดค่อยๆ ปิด สมองแสนหนักอึ้งเริ่มดำดิ่งสู่จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายนี้
เส้นทาง...แห่งการเป็นโกลด์ดิกเกอร์
กลุ่มควันสีเทาลอยออกจากปล่องเมรุ พระภิกษุแก่พรรษาเอ่ยกับผู้ที่นั่งร่ำไห้กอดรูปผู้จากไปชั่วนิรันดร์ด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา
‘โยมพูลไปสบายแล้ว อย่าให้น้ำตาของโยมสร้างห่วงให้แก่ยายของโยมเลยนะ’
น้ำอุ่นเงยหน้าสบดวงตาที่ฉายแววปลงต่อทุกสิ่งของหลวงพ่อ ยกมือเช็ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนสองแก้ม ค่อยๆ พาร่างแสนหนักอึ้งลุกขึ้น ขาสั่นจนแทบไม่อาจฝืนยืน ดวงตาบวมแดงมองกลุ่มควันสีเทาซึ่งแผ่ไปทั่วแผ่นนภาสีฟ้า เอ่ยกับความว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยเสียงค่อนข้างเบาและสั่น ปรารถนาให้สายลมที่พัดผ่านร่างหอบเสียงนี้ไปถึงผู้จากไป
‘ยายจ๋า ยายไม่ต้องห่วงนะ อุ่น...อุ่นจะเข้มแข็ง’
สิ้นคำสัญญา เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น มือสั่นเทาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง หมายเลขบนหน้าจอทำให้เธอยิ่งร้องไห้สะอื้นหนักขึ้น กดรับสายพร้อมปล่อยโฮ
‘แม่...แม่จ๋า...แม่...’
‘เออ พอแล้วๆ แม่รู้ว่ายายตายแล้ว’ เสียงปลายสายแสนห้วน ไม่คล้ายอารมณ์ของบุตรีผู้ทราบข่าวมารดาจากไปนัก
‘แม่จ๋า ยาย...’
‘นี่อุ่น อุ่นฟังแม่นะ’
ผู้ได้ชื่อว่าแม่เอ่ยขัดลูกสาว น้ำเสียงจริงจังจนผู้รับฟังต้องนั่งลงกับพื้น เพราะกลัวว่าจะเป็นลมด้วยความเสียใจจากการสูญเสียก่อนฟังจบ
‘แกฟังแม่นะอุ่น ตอนนี้ยายไม่อยู่แล้ว เราเหลือกันแค่สองคนแม่ลูก อุ่นมาหาแม่นะ มาอยู่กับแม่ มาเรียนหนังสือที่นี่ ต่อไปนี้แม่จะดูแลอุ่นเอง’
คำกล่าวของแม่ดั่งน้ำทิพย์ราดรดหัวใจดวงน้อยที่ใกล้แตกสลาย ริมฝีปากซีดแย้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน แววตาที่ทุกข์ทนเพราะการสูญเสียฉาบความหวัง
‘ไปหาแม่...ที่อเมริกาเหรอจ๊ะ’ คำถามเกิดขึ้นพร้อมกับที่ความดีใจเริ่มหม่นแสง
อเมริกา...ไกลขนาดนั้น ไหนจะเรื่องวีซาอีก เธอจะไปได้อย่างไรกัน!
ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ดั่งความคิดของลูกสื่อถึงใจแม่ เสียงของแม่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความแน่ใจ และความแน่ใจนั้นได้ส่งผ่านมาถึงเธอผู้ฟังด้วย
‘มาอเมริกาอุ่นไม่ต้องกลัว เดี๋ยวอุ่นโทร. ไปหาคนคนหนึ่งนะ แล้วเขาจะจัดการทุกอย่างให้ เบอร์นี้นะลูก...’
น้ำอุ่นใช้นิ้วต่างปากกาจดตัวเลขลงบนพื้นดิน ทันทีที่หมายเลขโทรศัพท์ประเทศไทยถูกถ่ายทอดครบ แม่ก็เอ่ยย้ำกับเธออีกครั้ง
ย้ำ...เพื่อปลูกฝังความฝันใหม่ให้หญิงสาวที่ความฝันเดิมสูญสลาย
‘อุ่นต้องตั้งใจให้ดี มาหาแม่นะลูก ต่อไปนี้แม่จะดูแลอุ่นเอง มาเรียนหนังสือที่นี่ มาอยู่กับแม่ที่นี่ แม่รักอุ่นนะ...’
แม่รักอุ่นนะ...ประโยคนี้ดังชัดประหนึ่งเสียงตะโกน
ดัง...จนทำให้ผู้นึกถึงเหตุการณ์ที่ล่วงผ่านสะดุ้งทำของตก เธอรีบก้มลงเก็บของ มือลูบหน้าอกซึ่งหัวใจเต้นรัวราวจะหลุดจากอก ปลอบโยนใจตัวเองให้สงบ ริมฝีปากบางยิ้มเหยียดในคำรัก แววตาอัดแน่นด้วยความขมขื่น
‘น้ำอุ่น’ สาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดปีเดินทางจากประเทศไทยมาสู่สหรัฐอเมริกาพร้อมความฝันอันแสนงดงาม
ฝัน...ที่แตกสลายเป็นเสี่ยงในวันที่สองที่มาถึง
ดวงตากลมโตปิดลงอีกครั้ง ครั้งนี้ปรากฏภาพเหตุการณ์มากมาย...
ภาพแม่คร่ำครวญถึงความลำบากบนแผ่นดินแห่งเสรีภาพ คำบอกเล่าถึงอันตรายของสถานะโรบินฮูด๖ จากที่ร้องไห้จะเป็นจะตายจนเธอร้องไห้ตาม กลายเป็นเริ่มกล่อมเธอเข้าสู่แผน ‘โกลด์ดิกเกอร์’ กล่อมอยู่สามวันทั้งพูดดีพูดหวาน ทั้งด่าทั้งขู่จะฆ่าตัวตาย ในที่สุดน้ำอุ่นผู้เป็นความหวังเดียวของแม่ก็พยักหน้า
ปฏิบัติการปลุกปั้นลูกสาวเป็นโกลด์ดิกเกอร์ ปลูกฝังตัวตนหญิงสาวอีกคนหนึ่งให้แก่เธอเกิดขึ้นทันที
‘ชื่ออุ่นมันบ้านนอก ฝรั่งออกเสียงไม่ได้ ชื่อ...’ แม่เกาหัวแกรกๆ จับคาง แววตาครุ่นคิด ก่อนจะตบเข่าฉาดเมื่อนึกขึ้นได้ ‘อลิซละกัน เอ๊ะ ต้องมีชื่อจริงหรูๆ ด้วย แม่เคยได้ยินมาจากในหนัง อะไรวะ...มันติดที่ปาก อลิซ...อลิซ...อ้อ! อลิซซ่า! แกชื่ออลิซซ่า เรียกสั้นๆ ว่าอลิซ’
น้ำอุ่นในวันนั้นหน้าเหลอพร้อมทวนชื่อ ก่อนจะยิ้มแหยยอมรับชื่ออลิซซ่าอย่างรู้ดีว่าไร้สิทธิ์ขัดขืน
‘จ้ะ อุ่น...เอ๊ย อลิซ...อลิซซ่า’
‘เออ แล้วก็อาชีพ จำไว้นะว่าแม่เนี่ยเป็นเจ้าของร้านอาหาร แกมาที่นี่เพื่อมาเที่ยวและเยี่ยมแม่ นี่แกอย่าหลุดไปนะว่าฉันกับแกเป็นเด็กเสิร์ฟ ท่องไว้ แม่แกเป็นเจ้าของร้าน แกคือลูกสาวเจ้าของร้าน!’
จากน้ำอุ่นเด็ก เสิร์ฟร้านอาหารไทย กลายเป็นอลิซซ่า ลูกสาวเจ้าของร้านอาหารไทย ปฏิบัติการโกลด์ดิกเกอร์เริ่มต้นขึ้นพร้อมความหวังของผู้วางแผน
อาชีพเด็กเสิร์ฟคืออาชีพเสริม ส่วนเรื่องหลักของน้ำอุ่นคือการแต่งตัวสวยไปเดินเตร่ตามย่านคนรวย สำนักงานกฎหมาย โรงพยาบาล เพื่อรอสร้างเหตุการณ์อันดูเหมือนเรื่องบังเอิญที่ได้พบเจอ ระหว่างคุณหนูลูกสาวเจ้าของร้านอาหารจากประเทศไทยกับหนุ่มอเมริกันผู้มีฐานะมั่งคั่งในระดับที่เรียกว่าร่ำรวย
แน่นอนว่าชุดที่เธอสวมใส่แต่ละชุด แม้จะตกรุ่น แต่ก็ล้วนเป็นของแบรนด์มีราคา และแน่นอนอีกที่ว่าชุดเหล่านี้ไม่เคยซ้ำแต่ละวัน เพราะเธอเพียงจ่ายเงินแล้วยืมมาใส่ ก่อนจะนำไปคืนในเงื่อนไขรับคืนอย่างไร้คำถามภายในสามสิบวันของที.เจ.แม็กซ์
ช่างเป็นเคราะห์ดีที่กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกาเอื้ออำนวย ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ภูมิใจนัก ละอายใจทุกครั้งเมื่อเจอสายตาราวจะถามว่า ‘อีกแล้วหรือ’ ของพนักงานที่จำเธอได้
ใช่เพียงชุด ยังมีกระเป๋า รองเท้า เรียกได้ว่าทุกสิ่ง!
และในที่สุดความละอายใจก็ทำให้น้ำอุ่นเลือกเปลี่ยนสาขา ยอมนั่งรถบัสไปไกลถึงอีกฝั่งของเมืองเพื่อการซื้อและคืนยามใช้เสร็จ ทำเช่นนี้วนไปเวียนมา
ความลำบากใจไม่ยาวนานนัก อาจเพราะโชคดีของน้ำอุ่น การสร้างสถานการณ์ของเธอจัดว่าได้ผลดียิ่ง ผู้ชายแต่ละคนที่เธอได้พบเจออย่างจงใจบังเอิญล้วนแล้วแต่เป็นหนุ่มกระเป๋าหนักผู้พร้อมจ่าย การเดตทุกครั้งอย่างน้อยต้องมีของกำนัล เสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า
เมื่อคิดถึงของทั้งหลายที่เคยได้รับ ดวงตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้น มือขยับถุงกระดาษแบรนด์หรู ทอดตามองกล่องราวกับจะทะลุเข้าไปเห็นกระเป๋าหนังแสนงามราคาแพงลิ่วภายใน เป็นอีกครั้งที่เธอถอนใจ
ถ้าให้คิดคำนวณว่าของทั้งหมดที่เธอได้รับมีมูลค่าเท่าไร เจ้าตัวยังขนลุกเมื่อรู้ตัวเลขที่จดไว้ทุกครั้ง หลักล้าน...ของทั้งหมดหลักล้านบาท
ทว่า...เป็นหลักล้านที่มีเพียงความว่างเปล่า เพราะของทั้งหมดถูกนำไปแลกเปลี่ยนจ่ายค่าหวยให้แก่แม่ผู้มีอาชีพหลักคือการเล่นหวย อาชีพรองคือบีบบังคับเธอให้หาเงินมาจ่ายค่าหวย และอาชีพเสริมคือเป็นเด็กเสิร์ฟผู้ใช้เวลาว่างจับกลุ่มเก็งเลขหวยกับเหล่าเด็กเสิร์ฟและแม่ครัว
ไม่รู้ว่าเธอถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวัน ดวงหน้าจิ้มลิ้มเบือนไปทางถนนอันแสนว่างเปล่า มอง...มองความว่างเปล่านั้น ชั่วอึดใจต่อมาจึงล้วงกระเป๋าสะพายหยิบสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งเอดิสันซื้อให้หลังจากเธอแสร้งสร้างสถานการณ์ทำโทรศัพท์มือถือหาย
สถานการณ์นี้มาจากคำสั่งของแม่ที่ว่า ‘ดูซิ มือถือถูกๆ กระจอกๆ มันไม่เหมาะกับคำโกหก แกไปหาทางทำหายต่อหน้าผู้ชายเลยนะ ให้พวกมันซื้อให้ใหม่!’
โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้คือของกำนัลชิ้นแรกในเดตแรกระหว่างเธอกับเอดิสัน กุมารแพทย์หนุ่มหล่อประจำคลินิกอันแสนโด่งดังใจกลางดาวน์ทาวน์ คลินิกที่มีแต่พวกกระเป๋าหนักใช้บริการ
ไม่ต้องคาดเดาให้ยากถึงการพบกันอย่างตั้งใจบังเอิญของเธอและเขา ทุกสิ่ง...เธอล้วนสร้างขึ้นมา และเขาก็ตกหลุม จะว่าไปเขานี่ละคือคู่เดตที่บ่อยที่สุดของเธอ ของที่ได้รับกำนัลกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนมาจากชายผู้นี้
น้ำอุ่นกลืนความสงสารกุมารแพทย์หนุ่มผู้ถูกหลอกลงคอ นิ้วเริ่มพิมพ์คำว่า ‘Good Night’ ส่งให้เขาผู้น่าจะถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ส่งเสร็จก็เก็บโทรศัพท์ ไม่สนใจเสียงข้อความที่ดังตอบกลับมา มือขยับถุงบรรจุอาหาร แง้มดูสเต๊กชั้นดีด้านใน ริมฝีปากบางยิ้มกว้าง
“แม่ต้องดีใจแน่ๆ วันนี้มีสเต๊กของโปรดแม่”
แท้จริงแล้วไม่มีคุณลุงจรจัด เธอเก็บอาหารนี้ให้แม่ของเธอ ส่วนเธอมีของโปรดที่แม่เตรียมไว้ให้ นั่นคือไข่เจียวกับน้ำพริกหนังหมูฝีมือแม่ อาหารโปรด...ที่เธอยินดีสละสเต๊กราคาสองร้อยห้าสิบเหรียญเพื่อแลกมา
รถประจำทางเริ่มชะลอความเร็ว บอกถึงสัญญาณการจอดในป้ายต่อไป สถานที่อันคุ้นตาและชื่อถนนทำให้น้ำอุ่นเตรียมลุก สะพายกระเป๋าและถือถุงทะมัดทะแมง แตกต่างจากท่าทางที่ดูแสนบอบบาง ไม่นานนักประตูรถก็เปิดออก เธอเอ่ยราตรีสวัสดิ์กับคนขับรถ
“Good night to you too.” คนขับรถตอบอย่างมีไมตรี
หญิงสาวเดินฝ่าความมืดกลับสู่ห้องพักอันเป็นห้องเช่าเล็กๆ เจ้าของชั้นที่แท้จริงคือเจ้าของร้านอาหารไทยซึ่งเช่าและกั้นแบ่งเพื่อให้คนงานในร้านอาหารเช่าอยู่อาศัยในราคาถูกกว่าปกติ ซอยซอยนี้แม้จะมืดแต่ก็ไม่ได้น่ากลัว อาจเพราะเธอเคยชินแล้วกระมัง
น้ำอุ่นจำได้ว่าช่วงแรกที่ต้องเดินดึกๆ ตามลำพัง เธอขาสั่นกลัวถูกฉุดถูกปล้นจี้ แต่เมื่อพบว่าไม่มีอะไรก็คลายความหวาดกลัว ถึงกระนั้นก็ไม่เคยประมาท สองเท้าก้าวฉับๆ ประหนึ่งกำลังแข่งเดินเร็ว
ร่างเล็กบางหยุดลงหน้าตึก ใช้มือข้างหนึ่งกระชับของทั้งหมดไว้แน่น มืออีกข้างไขกุญแจ ประตูชั้นที่หนึ่ง...สอง...และสามเปิดออก ไฟทางเดินส่องสว่างช่วยให้มองเห็นชัดแจ้ง สองเท้าเดินไปยังสุดทางเดิน เคาะประตูห้องสีขาวขุ่นเบาๆ ก่อนจะเปิดเพราะรู้ว่าแม่ไม่ได้ล็อกไว้
“อุ่นกลับมาแล้วจ้ะแม่ วันนี้มีสเต๊กจ้ะ”
สิ้นคำบอกของลูกสาว สตรีวัยกลางคนผู้กำลังนั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือทำนายฝันเทียบเลขเด็ดก็วางหนังสือพร้อมกระโจนมารับของ ไม่ใช่สเต๊ก...แต่เป็นถุงแบรนด์หรู เธออุ้มมันประหนึ่งอุ้มทารกน้อยแสนบอบบาง วางลงบนฟูกเก่าซึ่งยุบเป็นแอ่งซ้ายขวา บรรจงหยิบกล่องออกมาจากถุงและเปิดดูของภายในด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
“อู้ย...ดูสิ! ต่ำๆ ก็...” ผู้ประเมินราคาขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วยิ้มกว้างดีใจ “หลายพันเหรียญละวะ ดีมากเลยอุ่นลูกรัก แม่มีเงินใช้หนี้ มีเงินทำทุนใหม่แล้ว เนี่ย ได้เลขเด็ดมาเพียบ”
น้ำอุ่นมองกระเป๋าของเธอด้วยแววตาเศร้า ทั้งเสียดายทั้งอาลัย แต่ก็หักใจเดินไปหยิบจานจากตะกร้า จัดสเต๊กให้แม่ นำอาหารสุดหรูมาวางข้างสมุดจดหวย แววตาเศร้าแทนที่ด้วยความดีใจเมื่อหางตาเห็นว่ามีของโปรดวางรอไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นสีเหมือนไม้เก่าๆ
“กินข้าวเถอะแม่ หิวแล้ว”
เสียงเรียกของเธอทำให้วิไลค่อยๆ วางกระเป๋าลงในกล่อง บรรจงใส่ถุงอย่างดี แล้วลุกมานั่งข้างลูกสาว ขยับท่าทางจับมีดจับส้อม ดูดีมีมารยาทยิ่งนัก สมฐานะคำโป้ปดว่าเป็นเศรษฐินีเจ้าของร้านอาหารไทย
“เอ้า ลืมเลย”
เสียงร้องนี้ดังมาจากน้ำอุ่นผู้รีบวิ่งไปหยิบไอแพดที่เสียบชาร์จไว้ ไอแพดเครื่องนี้เอดิสันเป็นคนมอบให้เช่นกัน ส่วนสาเหตุที่มันยังอยู่ ไม่ได้ถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นค่าหวยของวิไล เพราะเธอร้องไห้อ้อนวอนปางตาย พร้อมสัญญาจะรีบหาของมาแทนที่ วิไลเลยยอมปล่อยมือให้แก่คนหาเงินใช้หนี้
“ดูไอ้หนังเจ้าพ่อมาเฟียอีกละสิ ทำไมไม่ดูหนังฝรั่ง จะได้ฝึกภาษาไปด้วย”
น้ำอุ่นยิ้มให้แม่ผู้มองด้วยแววตาตำหนิ แม้เธอจะมาจากเมืองไทยและเรียนโรงเรียนเล็กๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยไร้ชื่อเสียง แต่ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับดีด้วยความใฝ่รู้และความคิดที่ว่าภาษาจะช่วยให้เธอได้งานดีๆ มีเงินเยอะๆ
ยายจะได้ไม่ต้องลำบาก แม่จะได้กลับมาอยู่บ้าน...
เมื่อคิดถึง ดวงตากลมโตก็แดงเรื่อ ก่อนจะรีบกดความรู้สึกเศร้าและคิดถึงผู้จากไปไว้ในหัวใจดวงน้อย เพราะรู้ดีว่าหากมีน้ำตา แม่จะต้องโมโหและเริ่มด่า นิ้วเรียวกดเปิดซีรีส์จีนที่ดูค้างไว้ ส่งยิ้มน่ารักให้แม่ผู้บ่นอุบอิบในความดื้อเงียบของลูกสาว
“โธ่ แม่ ก็อุ่นชอบแบบนี้ ดูสิ พระเอกล้อหล่อ นางเอกซ้วยสวย เนี่ยแม่...มีหนังอีกเรื่องที่อุ่นดูตอนนั่งเครื่องมา สนุกมาก ชีวิตเมียมาเฟียสบ๊ายสบาย”
วิไลจิ้มเนื้อสเต๊กซึ่งหั่นพอดีคำเข้าปาก ปรายตามองลูกสาวผู้ตักข้าวคลุกน้ำพริกตาแดงหนังหมู โปะด้วยไข่เจียวเคี้ยวตุ้ยๆ เธอส่ายหน้าราวจะตำหนิว่าเพ้อเจ้อ ใช่เพียงเท่านั้น ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงแบบผู้ใหญ่ตำหนิเด็ก
“งั้นก็ไปแถวไชนาทาวน์ ไปจับผัวเศรษฐีมาเฟียจีนมาสักคน ดูซิมันจะสบายแบบในหนังไหม”
น้ำอุ่นหัวเราะขำ ไม่สนใจสายตาตำหนิของแม่ พุ่งสายตาไปจับจ้องซีรีส์จีนแกล้มการรับประทานอาหาร รับประทานไปดูไป แววตาเริ่มเพ้อฝันไปเรื่อย เสียงและความคิดเริ่มดังก้องในห้วงมโน
คงจะดีไม่น้อย...ถ้าเธอได้เป็นคุณนาย เป็นภรรยาหัวหน้ามาเฟียแบบในซีรีส์ ชีวิตที่นอนใช้เงินอย่างเดียว วันๆ ไม่ต้องทำอะไร ไปไหนมีแต่คนก้มศีรษะให้ คงสุขสบายจนไม่รู้จักคำว่าทุกข์เลยทีเดียว!
ความคิดเห็น |
---|