5

คัดเลือก


ห้า

คัดเลือก

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานหลวงเป็นดั่งหินก้อนเล็กที่ตกลงในท้องทะเล เขย่าระลอกคลื่นเล็กๆ แล้วก็กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว พวกคนใหญ่คนโตมองเห็นทว่าไม่รับรู้ ถึงรับรู้แต่ก็ไม่สนใจ

มีเรื่องสำคัญกว่านั้นรอให้พวกเขาไปทำ

“เหนียงเหนียง ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ” ภายในเขตตำหนักฉางชุน นางกำนัลที่มีนามว่าหมิงอวี้วิ่งกระหืดกระหอบมา พยายามพูดเท่าที่หายใจทัน “อีกเดี๋ยวจะคัดเลือกแล้ว ทรงเตรียมตัวได้แล้วนะเพคะ”

ทั้งตำหนักกว้างใหญ่มีเพียงดอกมะลิผลิบาน

กลีบดอกสีขาวซ้อนหลายชั้นแต่งแต้มท่ามกลางใบเขียวสด ในหมู่นั้นมีหญิงสาวในชุดสีขาวคนหนึ่งถือกรรไกรสีทองตัดแต่งกิ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ

สายลมพัดผ่าน มีเพียงเสียงใบไม้ไหว รวมถึงเสียงสวบสาบยามขยับตัว

พระนางไม่ได้ยินหรือสดับแล้วแสร้งทรงทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ หมิงอวี้ก็ไม่มั่นใจนัก ได้แต่ขยิบตาให้นางกำนัลหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง

นางกำนัลผู้นี้สวมชุดสีขาวเช่นกัน ถือกาน้ำทองเหลืองอยู่ในมือ มองเผินๆ ไม่สะดุดตา คล้ายนางกำนัลปัดกวาดที่เพิ่งเข้าวังมาใหม่ ทว่าความจริงนั้นคือนางกำนัลใหญ่เอ่อร์ฉิงที่รับใช้ฮองเฮา มีตำแหน่งฐานะสูงส่งอย่างที่หาได้ยากยิ่งในหมู่นางกำนัล

ฉะนั้นถ้อยคำที่หมิงอวี้มิกล้าพูด นางพูดได้ เรื่องที่หมิงอวี้มิกล้าทำ นางทำได้

เอ่อร์ฉิงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “เหนียงเหนียง?”

ฉับ!

กิ่งมะลิกิ่งหนึ่งหลุดออกจากต้น สตรีชุดขาวถือช่อมะลิหันหน้ามา สีสันเขียวชอุ่มทั่วทั้งสวนพลันจืดจางลงทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้านาง บุปผาที่ทอดยาวไร้ที่สิ้นสุดราวกับเป็นเพียงฉากหลังให้นาง

กล้วยไม้ป่าในหุบเขาจริงแท้ ปลีกวิเวกลำพังจากโลก... คือหญิงสกุลฟู่ฉา ฮองเฮาองค์ปัจจุบัน

“วันนี้พวกซิ่วหนี่ว์จะแข่งขันประชันความงามกัน ข้าต้องเตรียมตัวอะไรด้วยหรือ” ฟู่ฉาฮองเฮาหลับตาก้มหน้าดมกลิ่นดอกไม้ในมือแล้วยิ้มละไม “สู้ดูดอกไม้อยู่ที่นี่ดีกว่า”

ดังประโยคที่ว่า ‘ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ แต่ขันทีร้อนใจแทบตายแท้ๆ’ หมิงอวี้เกาหูเกาแก้มให้วุ่นประหนึ่งลิงไม่ได้กินกล้วย “ได้อย่างไรล่ะเพคะ เหนียงเหนียงไม่เสด็จไป ก็เท่ากับทรงปล่อยโอกาสให้ตำหนักฉู่ซิ่วเลยนะเพคะ”

“หมิงอวี้ ระวังคำพูดหน่อย!” เอ่อร์ฉิงเหมือนพระถังซัมจั๋งปราบหงอคง เพียงแค่ปรายตาที่ไม่สบอารมณ์มองมาก็ทำให้หมิงอวี้สงบลง จากนั้นนางก็พูดกับฟู่ฉาฮองเฮาด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“เหนียงเหนียง การคัดเลือกหน้าพระพักตร์เป็นเรื่องใหญ่ ทรงไปดูสักหน่อย มิเช่นนั้นหากไทเฮาทรงทราบ จะตำหนิว่าเหนียงเหนียงไม่สนพระทัยงานในวังนะเพคะ”

 

ต่างพูดกันว่าย่างเข้าวังลึกล้ำดั่งมหาสมุทร เป็นจริงเช่นนั้น ในมหาสมุทรปลาใหญ่กินปลาเล็ก ในวังศีรษะหนึ่งกดศีรษะหนึ่ง ผู้ที่ทำให้ฟู่ฉาฮองเฮาวางกิ่งดอกไม้ลงได้ก็มีเพียงไทเฮาเท่านั้น

“เฮ้อ” ฟู่ฉาฮองเฮาลุกขึ้นอย่างเสียมิได้ ปัดเศษดินบนกระโปรงออก “อายุเท่านี้ก็ขี้บ่นเหลือเกิน ไปดูหน่อยก็ได้”

หมิงอวี้ดีใจจนออกนอกหน้า ดีดเท้ากระโดดสูงสามฉื่อ “เหนียงเหนียง หม่อมฉันจะไปเตรียมฉลองพระองค์นะเพคะ”

พูดจบก็หมุนตัววิ่งไป พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงา เหลือเพียงฝุ่นฟุ้งตามหลังนาง

“ทำตัวเหมือนลิงไปได้” ฟู่ฉาฮองเฮาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

“นางก็เป็นลิงจริงๆ นะเพคะ อ้อนี่...” เอ่อร์ฉิงก้าวเข้าไปหยิบดอกมะลิกระจิริดที่ตกลงบนเส้นพระเกศาของฮองเฮาอย่างระวัง

ฮองเฮายิ้มบางๆ ในทีแรก จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

 

สถานที่คัดเลือกหน้าพระพักตร์ กำหนดให้จัดขึ้นที่หอเหยียนฮุยในอุทยานหลวง

ที่กล่าวว่าเตรียมฉลองพระองค์นั้น แท้จริงแล้วก็เพียงเปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาดขึ้นหน่อย จากนั้นก็ใช้น้ำล้างดินที่เปื้อนมือออก แต่แม้ว่าจะมิได้ผัดหน้าทาปากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฟู่ฉาฮองเฮาก็ยังคงอยู่เหนือหมู่สตรีทั้งปวง เหตุหนึ่งเป็นเพราะรูปโฉมของนาง อีกเหตุหนึ่งเป็นเพราะฐานะของนาง

ทว่าก็มีบางคนมิได้เห็นฐานะของนางอยู่ในสายตา

“เกากุ้ยเฟยเสด็จ!”

สิ้นเสียงขานแจ้งของขันที พระสนมผู้หนึ่งที่ผัดแป้งทาหน้าค่อนข้างเข้มก็เดินนวยนาดเข้ามาในหอเหยียนฮุย โดยมีนางกำนัลช่วยประคอง

สตรีบางคนไม่เหมาะกับแต่งหน้าทาปาก หากแต่งโฉมเข้มหน่อยก็จะดูธรรมดาสามัญเช่นฟู่ฉาฮองเฮา

แต่ก็มีสตรีบางคนจำต้องแต่งผิวประทินโฉม สวมเครื่องประดับระยิบระยับจับตาเช่นเกากุ้ยเฟยตรงหน้านี้ ต่างหูไข่มุกตะวันออกทั้งสองข้างทอประกายแวววาว รอบข้อมือคล้องด้วยสร้อยประคำที่ร้อยด้วยไข่มุกสิบแปดเม็ดและแร่ทุรมาลีสองเม็ด โดยเฉพาะมาลาใหญ่เหนือศีรษะนั้นหรูหรายิ่ง ประดับด้วยผีเสื้อเงินและดอกโบตั๋นสีทับทิม ซึ่งทั้งสองอย่างต่างงดงามราวกับมีชีวิต ยามนางเยื้องกราย ผีเสื้อก็โบยบินเช่นเดียวกับดอกโบตั๋นที่สะท้านไหว

เครื่องประดับทั้งหลายเหล่านี้ หากนำไปสวมบนตัวคนอื่น เกรงว่าคนผู้นั้นคงกลายเป็นตู้เก็บเครื่องประดับไปแน่แท้ คนรอบข้างล้วนจ้องมองแต่เครื่องประดับ มิได้จ้องมองตัวคน ทว่าพระสนมเกากุ้ยเฟยต่างออกไป รูปโฉมงามวิลาสดุจดอกโบตั๋นที่สยบมวลหมู่ผกาของนาง โดดเด่นเหนือรัศมีแพรวพราวทั่วกาย

นางเดินอ้อยอิ่งมาย่อตัวถวายความเคารพเบื้องหน้าฮองเฮา ไม่ว่าจะเป็นกิริยาหรือน้ำเสียงก็ล้วนกระทำอย่างขอไปทีแบบเห็นได้ชัด “หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮา”

เอ่อร์ฉิงมีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนหมิงอวี้ทำหน้าไม่พอใจ ขอเพียงแค่ฟู่ฉาฮองเฮาตรัสคำเดียวเท่านั้น ลิงตัวนี้ก็สามารถกระโดดไปตบหน้านางสักฉาดได้ ทว่าฟู่ฉาฮองเฮาเพียงแย้มพระสรวลบางๆ

“ไม่ต้องมากพิธี”

คำว่า ‘พิธี’ ยังไม่ทันสิ้นเสียง เกากุ้ยเฟยก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านล่างฮองเฮา ยกมือรับน้ำชาที่นางกำนัลยื่นให้มาจิบช้าๆ จากนั้นก็วางถ้วยลงบนถาดน้ำชา เริ่มต้นวิพากษ์วิจารณ์ซิ่วหนี่ว์ที่อยู่ด้านนอก “ซิ่วหนี่ว์รอบนี้ใช้ได้ทีเดียวนะเพคะ หน้าตางามโดดเด่นกันหลายคน”

ฮองเฮามีสีหน้าเรียบนิ่ง “ต้าชิงของเราคัดเลือกนางสนมไม่เหมือนราชวงศ์ก่อน ต้องคัดเลือกสตรีที่มีชาติตระกูลดี พรั่งพร้อมด้วยคุณธรรมและกิริยามารยาทมาถวายงานข้างพระวรกายฝ่าบาท รูปโฉมภายนอกมิใช่เรื่องต้องพูดถึง”

เกากุ้ยเฟยปิดปากหัวเราะ เป็นรอยยิ้มดุจโบตั๋นแย้มบาน เฉิดฉายในแผ่นดินกลิ่นหอมจรุงใจ อย่าว่าแต่บุรุษเลย แม้จะเป็นสตรีก็ยังหวั่นไหวกับกิริยาแช่มช้อยของนาง

“แต่ก็คงเลือกพวกเถาแตงโย้มาไม่ได้หรอกเพคะ ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วคงอึดอัดพระทัยแย่ อีกอย่าง... ก็มีผลถึงรูปร่างหน้าตาของรัชทายาทด้วยไม่ใช่หรือเพคะ”

เหมือนบทสนทนาทั่วไป แต่แท้จริงกลับซุกซ่อนรังสีอำมหิต คนที่อยู่รอบด้านต่างเงียบกริบดุจจักจั่นจำศีล บรรดาซิ่วหนี่ว์ยิ่งก้มหน้าต่ำจ้องมองพื้น ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจ

แม้ว่าดอกกล้วยไม้กับดอกโบตั๋นต่างก็งดงามเหมือนกัน แต่เมื่อสองบุปผาประชันกัน ย่อมต้องมีฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ฟู่ฉาฮองเฮาคล้ายจะยอมเป็นฝ่ายถอย ก่อนพูดเสียงเรียบ “พวกซิ่วหนี่ว์งดงามแค่ไหนก็เทียบกุ้ยเฟยที่โดดเด่นเหนือหมู่ผกาไม่ได้หรอก”

เมื่อเห็นฮองเฮายอมถอยให้ เกากุ้ยเฟยก็ยิ่งลำพอง หัวเราะเสียงใสราวกับกระดิ่งก่อนเอ่ย “เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว หม่อมฉันละอายมิกล้ารับ แต่โบตั๋นเฉิดฉายในแผ่นดินกลิ่นหอมจรุงใจ มิใช่ใครๆ จะไขว่คว้าหรือเป็นได้จริงๆ!”

“ท่าน...” หมิงอวี้โมโห กำลังจะหลุดถ้อยคำต่อว่าออกไป พลันเห็นฮองเฮาโบกพระหัตถ์ให้ แม้ในใจจะอึดอัดคับข้องเพียงไหน ก็จำต้องกำหมัดพลางถอยกลับไปแต่โดยดี

“ฝ่าบาทเสด็จ!”

เสียงขานแจ้งนั้นขัดจังหวะการปะทะของสตรีทั้งสอง อึดใจหนึ่งบุรุษร่างสูงใหญ่หน้าตาคมคายก็เดินเอามือไพล่หลังเข้ามา เมื่อเทียบกันแล้ว การแต่งกายของเขาคล้ายคลึงกับฟู่ฉาฮองเฮา บนตัวทั้งคู่ไม่มีเครื่องประดับมากนัก ชุดสีดำดูเรียบง่าย บริเวณแขนเสื้อมีกลิ่นหมึกจางๆ คล้ายว่าก่อนจะมาที่นี่ เขายังคงวุ่นอยู่กับเครื่องเขียนหน้าโต๊ะหนังสือ

คนผู้นี้ก็คือหงลี่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

“ถวายพระพรฝ่าบาท”

“ลุกขึ้น” หงลี่รีบเข้าไปประคองฟู่ฉาฮองเฮาขึ้นมา ใบหน้าคมคายฉายแววอ่อนโยน “ฮองเฮาไม่ต้องมากพิธี”

ประโยคก่อนหน้านี้เอ่ยกับทุกคน แต่ประโยคหลังนี้เอ่ยกับนางเพียงคนเดียวเท่านั้น

เกากุ้ยเฟยเขม้นมองมือของทั้งคู่ที่เกาะกุมกันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววอิจฉาวาบผ่านในดวงตาเพียงแวบเดียว

หงลี่ไม่เคยเห็นแววอิจฉานั้น สำหรับเขาแล้วการคัดเลือกนางสนมครั้งนี้ก็เหมือนงานราชการตามกิจวัตรมากกว่า เขาประคองฟู่ฉาให้นั่งลง จากนั้นก็เดินไปนั่งที่ของตน ยกมือหนึ่งเท้าคาง เอ่ยอย่างไม่มีพิธีรีตอง “เริ่มเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีใหญ่ประกาศ “บุตรีของสั่วชั่วลัวเต้าจิ้น ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ สั่วชั่วลัวอวี้หลี อายุสิบห้าปี”

ซิ่วหนี่ว์ร่างสูงโปร่งผอมบางคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา

หงลี่หรี่ตามองนางแล้วเอ่ย “วันนี้ลมแรงมาก คงยืนลำบากสินะ”

“ไม่... ไม่ลำบากเพคะ” ซิ่วหนี่ว์รีบตอบ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะของพระสนมเกากุ้ยเฟย

“จริงเพคะฝ่าบาท หญิงผู้นี้ผอมเกินไป แค่ลมพัดแรงก็ทำให้คนปลิวไปโน่นแล้ว”

หงลี่ไม่เอ่ยวาจาอื่น เม้มปากก่อนจะเผยยิ้มบางๆ

ขันทีใหญ่เชี่ยวชาญการอ่านสีพระพักตร์อย่างยิ่ง เมื่อเห็นรอยแย้มพระสรวลนั้นก็รีบเอ่ยทันที “ประทานดอกไม้”

ขันทีน้อยคนหนึ่งประคองกระถางเงินที่เต็มไปด้วยดอกไม้เข้ามา ซิ่วหนี่ว์ร่างผอมสูงไม่มีทางเลือก จำต้องหยิบดอกไม้แล้วทูลลากลับไป

“บุตรีของกานถังหลิน ผู้บัญชาการสำนักอาชาหลวง กานหรูอวี้ อายุสิบหกปี”

ซิ่วหนี่ว์คนหนึ่งที่รูปร่างมีน้ำมีนวล สัดส่วนค่อนข้างกลมเดินเข้ามา

หงลี่เพียงเหลือบตามองก็หัวเราะ “วันหนึ่งกินกี่มื้อรึ”

ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสถามจึงเลี่ยงตอบมิได้ ซิ่วหนี่ว์ร่างอวบตอบด้วยใบหน้าแดง “สามมื้อเพคะ”

“ไม่ใช่แค่นั้นแน่” หงลี่เอ่ย “อย่างน้อยก็ต้องห้ามื้อกระมัง ไม่อย่างนั้นทำไมรูปร่างเป็นอย่างนี้ เกือบเท่าคนเลี้ยงหมูในวังแล้ว”

ในวังไม่ต้องการคนเลี้ยงหมูมากกว่านี้แล้ว ตำหนักในยิ่งไม่ต้องการ

“ประทานดอกไม้!” ขันทีใหญ่พูดขึ้นทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา “บุตรีของจางเจียซือ ผู้ตรวจราชการเขตซุ่นเทียน จางเจียหรูหง อายุสิบห้าปี”

ซิ่วหนี่ว์ผิวดำคล้ำคนหนึ่งก้าวเร็วๆ เข้ามา

ก่อนหน้านี้มีซิ่วหนี่ว์สองคนไม่ผ่านการคัดเลือกติดๆ กัน บรรดาซิ่วหนี่ว์ทั้งหลายต่างก็ตัวสั่นงันงก กลัวว่าฮ่องเต้จะตรัสถาม

“เจ้าอาบซีอิ๊วแล้วเดินตากแดดทุกวันเลยหรือ” และแล้วหงลี่ก็เอ่ยถาม

ทว่าคำถามนี้ออกจะประหลาดพิสดารไปสักหน่อย ซิ่วหนี่ว์ผิวเข้มอุทานออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างงุนงง “ไม่นะเพคะ หม่อมฉันอยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่ค่อยออกไปตากแดด...”

“คิกๆ” เกากุ้ยเฟยหัวเราะ “ฝ่าบาทตรัสว่าเจ้าดำต่างหากล่ะ เอ๊ะ! แล้วยังมีไฝด้วยนะ”

ซิ่วหนี่ว์ผิวเข้มหน้าแดงก่ำเพราะถูกเกากุ้ยเฟยหัวเราะเยาะ น้ำตาคลอเบ้า หลังจากหยิบดอกไม้แล้วก็รีบวิ่งออกไป ด้านหลังมีเสียงขันทีขานชื่อ

“คนต่อไป... บุตรีของอูหย่าสยงซาน ผู้บัญชาการไท่ฉาง อูหย่าชิงไต้ อายุสิบเจ็ดปี”

ชั่วอึดใจสตรีโฉมสะคราญผู้หนึ่งก็เดินออกมา

แตกต่างจากท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่ในอุทยานหลวงก่อนหน้านี้ ยามนี้นางสงบเสงี่ยมซ่อนเร้นรัศมีเกรี้ยวกราด สิ่งที่แสดงให้คนภายนอกเห็นมีเพียงด้านที่งดงามที่สุดของนาง... ท่ายามเยื้องกราย

สตรีแต่ละนางล้วนมีเอกลักษณ์ของตน ฟู่ฉาฮองเฮาคือกล้วยไม้ป่าในหุบเขา เกากุ้ยเฟยคือโบตั๋นงามวิลาส หากเทียบเคียงรูปโฉม อูหย่าชิงไต้ย่อมสู้ทั้งสองนางมิได้ ทว่าท่วงท่ายามเยื้องกรายช่างพลิ้วไหวละเอียดลออยิ่ง หากมีสิบคนเดินด้วยกัน ใครๆ ก็ต้องสังเกตเห็นนางเป็นคนแรกแน่นอน

แม้จะไม่สังเกตท่าเดินของนาง ก็ต้องสังเกตเห็น...

“เอ?” เกากุ้ยเฟยพลันเลิกคิ้วขึ้น “บนพื้นคืออะไรน่ะ”

ทุกคนมองตามเสียง ก็เห็นว่าบนพื้นที่อูหย่าชิงไต้เดินผ่านมีรอยประทับรูปดอกบัวเรียงเป็นสองสาย เริ่มตั้งแต่ในกลุ่มซิ่วหนี่ว์ไล่มาจนถึงใต้ฝ่าเท้าของอูหย่าชิงไต้

เสียงของหงลี่ดังขึ้น “ใต้เท้าเจ้าคืออะไรน่ะ”

ฮ่องเต้ทรงสังเกตเห็นจริงๆ...

อูหย่าชิงไต้ลิงโลดใจ แม้จะพยายามระงับไว้ แต่ก็ยังแสดงออกมาทางสีหน้า แม้กระทั่งเสียงพูดก็สั่นด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาท นี่เรียกว่าทุกย่างก้าวผุดดอกบัวเพคะ”

“เช่นนั้นรึ” หงลี่หัวเราะ

ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ แต่อูหย่าชิงไต้รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนั้นค่อนข้างเย็นชา เกิดประหวั่นขึ้นมาในใจ ชั่วขณะต่อมานางก็ได้ยินฮ่องเต้รับสั่งอย่างเยือกเย็น

“ถอดรองเท้านางมาให้เจิ้นดูที!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น