หนึ่ง
เปิดโลง
ประตูโรงเก็บศพชั่วคราวถูกแง้มไว้ โคมไฟกระดาษดวงหนึ่งถูกยื่นเข้ามาจากภายนอก
โคมไฟดวงนั้นนำทางแล้วตามด้วยเท้าคู่หนึ่ง
รองเท้าทรงโค้งคู่นั้นยาวราวสามชุ่น1 รองด้วยพื้นขาว ปักลายดอกบัวคู่ เจ้าของรองเท้าเดินๆ หยุดๆ ไปตามโลงศพแต่ละโลง จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าโลงศพที่ทำจากแผ่นไม้บางโลงหนึ่ง
“ดูเถิดว่าที่นี่มีแต่คนจำพวกไหนกัน” เสียงหนึ่งสะอื้นขึ้นมา “คนพลัดถิ่นที่มาตายในต่างถิ่น คนยากจนที่ไม่มีเงินฝังศพ หญิงนางโลมที่ตายก่อนวัยอันควร... พี่หญิง ไฉนพี่กับข้าถึงได้มาเจอกันอีกครั้งในที่แบบนี้”
ชีวิตบางเบาราวกับกระดาษ ยามถึงฆาตแม้กระทั่งโลงศพที่ใช้ไม้หนาพอสักใบยังไม่มี
ภายในโรงเก็บศพที่มิได้ซ่อมบำรุงมานานปี มีโลงศพที่ปิดไม่สนิทหลายโลงวางเรียงราย ทว่ามีก็ยังดีกว่าไม่มี อย่างไรก็ยังคงทนกว่าเสื่อกก ไม่ปล่อยให้หนอนหรือแมลงมากัดแทะก่อนที่จะขุดหลุมฝัง
“พวกเขาบอกว่าไม่สมควรจะฝังพี่ในสุสานของบรรพบุรุษ จึงต้องมาอยู่ที่เดียวกับศพเหล่านี้” มือซีดขาวข้างหนึ่งลูบบนโลงศพอย่างแผ่วเบา พักใหญ่ก็พึมพำออกมา “ข้าไม่เชื่อที่พวกเขาพูดหรอก พี่หญิง ข้าอยากได้ยินความจริงจากปากท่านเอง...”
ปัง!
เสียงฝีเท้าอลหม่านดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นประตูโรงเก็บศพก็เปิดผาง
สิ่งที่ปะทะสายตาพวกเขาคือขวานเล่มหนึ่งที่ถูกชูขึ้นสูง
“อิงลั่ว! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ชายวัยกลางคนตะโกนด้วยความตกใจ
ปัง!
เสียงขวานจามลงไปบนโลงศพตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
“นี่เจ้า... เจ้าจะทำอะไรน่ะ” ชายวัยกลางคนตะลึงงันไปชั่วขณะก่อนพูดเสียงสั่น “นั่นโลงศพของพี่สาวเจ้านะ...”
หญิงสาวในชุดขาวคนหนึ่งยืนหันหลังให้เขากับกลุ่มคนที่ติดตามมา
นางโยนขวานในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วก้มลงไปประคองศพในโลงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“พวกท่านก็บอกว่านางป่วยตาย เดี๋ยวก็บอกว่านางกระทำเรื่องฉาวโฉ่ในวัง จึงอับอายผู้คนจนต้องตัดช่องน้อยแต่พอตัว ดูนี่สิ” นางหันหน้าไปอย่างเชื่องช้า ส่งยิ้มเยือกเย็นให้กลุ่มคนที่มอง
หญิงสาวที่อยู่ในโลงศพพิงไหล่นาง บนลำคอมีรอยจางๆ เหมือนรูปผีเสื้อสีดำ
เมื่อพินิจอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นรอยช้ำที่เกิดจากมือใหญ่สองข้าง รอยมือที่กางออกคล้ายกับสองปีกสีดำ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นการฆาตกรรม
“พวกท่านเห็นแล้วหรือยัง” หญิงชุดขาวซึ่งมีนามว่าเว่ยอิงลั่วกอดหญิงสาวที่อยู่ในโลงศพ แสยะยิ้มกับกลุ่มคนยามค้นพบความจริงในที่สุด ร้อนรนอยากประกาศให้คนทั่วหล้ารู้ใจจะขาด หมายมั่นจะเรียกร้องความยุติธรรมคืนมา “ดูรอยมือบนคอของนางสิ บอกข้าหน่อยเถิดว่าคนคนหนึ่งจะบีบคอตัวเองตายได้อย่างไร”
ไม่มีใครตอบคำถามนาง
ไม่มีใครกล้ามองหน้าพวกนางทั้งสองตรงๆ ด้วยซ้ำ
ใบหน้าที่ช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน... เว่ยอิงลั่วกับเว่ยอิงหนิง
ด้วยรูปโฉมงามพิลาสผุดผาดราวกับดอกบัวของพวกนาง จึงถูกขนานนามว่าเป็นดอกบัวคู่แห่งสกุลเว่ย
บัดนี้ดอกบัวคู่ตายไปหนึ่ง อีกดอกหนึ่งยังมีชีวิต ไม่รู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในโลงนั้นกินยาอายุวัฒนะอะไรก่อนตาย ใบหน้าถึงได้เหมือนปกติ คล้ายจะยิ้มก็ไม่เชิงเช่นนั้น แทบไม่ต่างจากคนเป็น ทั้งยังสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ตอนออกจากวัง
ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แววตากลับเหมือนคนตาย นัยน์ตาดำขลับที่แยกกับตาขาวชัดเจนจ้องตรงไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“หรือว่าวิญญาณแค้นเข้าสิงร่างคนน้องกันนะ” ใครคนหนึ่งอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
“ท่านพ่อ” เว่ยอิงลั่วกวาดตามองไปยังกลุ่มคน ท้ายที่สุดก็จับจ้องใบหน้าของชายวัยกลางคนแล้วหุบยิ้ม “ใครเป็นฆาตกรฆ่าพี่”
“เอ่อ...” ชายวัยกลางคนเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับลังเลเล็กน้อยก่อนกัดฟันพูด “มีฆาตกรที่ไหนกันเล่า นางฆ่าตัวตายเองต่างหาก!”
ตอนนี้เองคนอื่นๆ ก็ได้สติกลับคืนมา จึงพากันส่งเสียงสมทบ
“ใช่ๆ นางฆ่าตัวตายเอง”
“หญิงไม่บริสุทธิ์ที่ถูกขับไล่ออกจากวัง ถ้าไม่ฆ่าตัวตาย แล้วจะให้คนทั้งตระกูลอับอายขายขี้หน้าไปกับนางด้วยหรือไร”
“ใช่ๆ ตายไปก็ดีแล้ว!”
“พี่สาวประพฤติตัวเสื่อมเสีย น้องสาวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย ถึงกับมาทำลายโลงศพเช่นนี้ได้ เว่ยชิงฉิน เจ้าอบรมสั่งสอนมาดีเหลือเกินนะ!”
ชายวัยกลางคนผู้มีนามว่าเว่ยชิงฉินได้ยินเช่นนั้นก็พูดไม่ออก รีบก้าวไปข้างหน้า ตบหน้าเว่ยอิงลั่วฉาดหนึ่ง
“ข้าผิดเองที่สั่งสอนลูกไม่ดี!” เขาผงกศีรษะให้คนที่เหลืออย่างนอบน้อม พลางตีท้ายทอยเว่ยอิงลั่ว “ยังไม่รีบคุกเข่าอีก โขกศีรษะยอมรับผิดกับท่านลุงท่านอาทั้งหลายเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีตอบสนองก็ตีหนักมือขึ้น
“คุกเข่าลงสิ!”
ทว่าเว่ยอิงลั่วไม่ยอมก้มศีรษะหรือคุกเข่าใดๆ ได้แต่ยืนนิ่งขืนตัวอยู่อย่างนั้นประหนึ่งต้นไผ่
“คุกเข่า!” เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาเหล่านั้น เว่ยชิงฉินก็รู้สึกขายหน้ายิ่งนัก อารามร้อนใจจึงยกขาเตะข้อพับของนาง “ไม่ได้ยินหรืออย่างไร”
เว่ยอิงลั่วหน้าคะมำทรุดตัวลงคุกเข่าทันที แต่แล้วก็ตะเกียกตะกายขึ้นมา
“ท่านพ่อดีแต่ให้ข้าคุกเข่า” มือหนึ่งของนางยันพื้น อีกมือประคองพี่สาวของตนลุกขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า เส้นผมดำขลับที่ปรกข้างแก้มทั้งสองข้างปิดซ่อนความรู้สึกของนางในยามนี้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านรู้หรือไม่... ข้าคุกเข่าให้เว่ยหรูฮวา แต่นางก็ยังแย่งชิงปิ่นที่ท่านแม่ให้ข้าก่อนตายไป ข้าคุกเข่าให้เว่ยเสวียตง แต่เขาก็ยังลงมือทำร้ายข้าโดยไม่เห็นแก่ความเป็นญาติ แต่พี่หญิงเป็นคนช่วยเอาปิ่นกลับมาให้ข้า แล้วก็ช่วยไล่เว่ยเสวียตงไป...”
“...ก็แค่ปิ่นเท่านั้นเองไม่ใช่รึ” เว่ยชิงฉินย่นหัวคิ้ว “แค่ปิ่นเคลือบทอง มิได้มีราคาค่างวดอะไรมากมาย ไยต้องทำร้ายความรู้สึกลูกพี่ลูกน้อง แล้วยังเสวียตง... เขาก็แค่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น แต่พี่สาวเจ้าถือเป็นจริงเป็นจัง ทั้งยังไปทำเขาหัวแตกอีก”
“...ที่แท้ท่านก็รู้” เว่ยอิงลั่วเบือนหน้าไปด้านข้าง เผยให้เห็นเค้าความงดงามปานปทุมมาศที่ผุดขึ้นมาจากธารใส ดวงตาชื้นน้ำที่ชุ่มฉ่ำมีหยดน้ำตาคลอจวนเจียนจะหล่น งดงามประหนึ่งน้ำค้างปลายกลีบบุปผาก็มิปาน “ท่านรับรู้ทุกอย่าง แต่ก็ยังบังคับให้ข้ากับพี่คุกเข่าให้คนอื่น”
คนที่ถูกช่วงชิงคือนาง สุดท้ายคนที่ต้องโขกศีรษะขอโทษก็คือนาง
คนที่ถูกล่วงเกินคือนาง สุดท้ายคนที่ต้องโขกศีรษะขอโทษก็คือนาง
“ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้านะ” เว่ยชิงฉินพูดอย่างดึงดัน “เรื่องแค่นี้... เจ้าจะต้องถึงกับ...”
‘เรื่องแค่นี้รึ’
“ไม่ คนที่หวังดีต่อข้ามีแต่พี่หญิงเท่านั้น!” เว่ยอิงลั่วส่งเสียงเยาะหยันตัดบทเขา “ขอบอกให้ท่านรู้ ข้ารอพี่กลับมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก่อนเข้าวัง นางบอกข้าว่านางจะต้องกลับมา แล้วจะพาข้าออกไปจากบ้านสกุลเว่ย ไปจากท่าน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่แห่งใหม่ ไม่ต้องให้ข้าคุกเข่าให้ใครโดยไม่มีเหตุผลอีก...”
“ในวังเป็นสถานที่ที่ต้องคุกเข่าให้คนทุกเวลานั่นละ!” คราวนี้เว่ยชิงฉินเป็นฝ่ายขัดคำพูดนางบ้าง
พระราชวัง
เมื่อย่างเท้าเข้าสู่ประตูวังก็เหมือนจมลงในห้วงสมุทรลึก ไม่ต่างอันใดกับภูเขาที่มีสูงมีต่ำ สายน้ำที่มีลึกมีตื้น เหล่าสตรีในวังก็แยกออกเป็นชนชั้นที่ได้ยืนกับต้องคุกเข่า
สกุลเว่ยมิได้เป็นตระกูลผู้รากมากดีมาจากไหน เป็นแค่ไพร่เท่านั้น แม้ว่าพี่สาวจะมีรูปโฉมงามล่มเมืองปานใด แต่หลังจากเข้าวังก็เริ่มต้นจากงานปรนนิบัติดูแลผู้อื่น หรือพูดอีกอย่างก็คือเริ่มต้นจากการโขกศีรษะให้ผู้อื่นนั่นเอง
“โขกศีรษะให้ใครก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเช่นนั้น... สู้เลือกคนผู้หนึ่งที่เราจะโขกศีรษะให้เพียงคนเดียวดีกว่า”
เขาที่ว่า... หมายถึงผู้ชายหรือผู้หญิงกัน
ภายในวังกับนอกวังดั่งคนละโลก เว่ยอิงลั่วไม่รู้ว่าตอนพี่สาวอยู่ในวังต้องเผชิญกับอะไร และไม่รู้ว่านางไปเลือกโขกศีรษะให้ผู้ใด รู้แต่เพียงว่านางเข้าไปที่นั่นยามที่อยู่ในวัยแรกแย้มงามสะพรั่ง จากนั้นก็กลับออกมาอย่างเย็นชืด
สิ่งที่นำกลับมาด้วยคือรอยมือสีดำที่อยู่บนคอนาง
เจ้าของรอยมือนี้... คือใครกันแน่
“ข้าอยากเข้าวัง...” เว่ยอิงลั่วหลับตาลง เมื่อลืมตาอีกครั้ง สายตาก็แปรเปลี่ยนไป “ท่านไม่ยอมบอกข้าว่าฆาตกรเป็นใคร ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะเข้าวังไปสืบความจริงด้วยตัวเอง!”
“เหลวไหล!” เว่ยชิงฉินโมโหจนหนวดกระดิก “เจ้าจะเดินตามรอยพี่สาวเจ้าหรืออย่างไร”
เว่ยอิงลั่วเหลือบมองพี่สาวที่พิงไหล่โดยสัญชาตญาณ
ตั้งแต่เล็กจนโต พี่สาวก็เฉลียวฉลาดกว่านาง คล่องแคล่วกว่านาง และกล้าหาญกว่านางเสมอ
เมื่อเทียบกันแล้ว นางได้แต่คอยหลบอยู่ด้านหลังพี่สาว เป็นกองหลังที่ต้องให้พี่สาวคอยปกป้อง
แม้แต่พี่สาวก็ยังไม่อาจเอาชีวิตรอดในวังได้ แล้วนางเล่า นางจะมีชีวิตอยู่จนสุดหนทาง สืบหาความจริงให้กระจ่าง แล้วแก้แค้นให้พี่สาวได้หรือไม่
“พอที เรื่องนี้หยุดเท่านี้เถอะ” น้ำเสียงของเว่ยชิงฉินผ่อนคลายลง ยื่นมือออกไปทางเว่ยอิงหนิงที่พิงไหล่เว่ยอิงลั่ว “ให้พี่สาวเจ้าพักผ่อนอย่างสงบเถอะนะ”
‘พักอย่างสงบรึ’
มือของเว่ยชิงฉินกำลังจะเอื้อมมาถึงตัวเว่ยอิงหนิง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมที่เสียดแทงเข้ากระดูก ราวกับถูกคนแทงทะลุอกดังไปทั่วโรงเก็บศพ
“กรี๊ด...!”
คนสกุลเว่ยหลายคนรู้สึกชาวาบไปถึงศีรษะ ยกมือขึ้นปิดหูโดยไม่รู้ตัว ราวกับหากไม่ทำเช่นนี้จะมีเลือดไหลเข้าไปในหูของพวกเขา
เว่ยชิงฉินที่อยู่ใกล้ที่สุดตกใจจนผงะถอยหลังไปหลายก้าว จากนั้นก็จ้องมองเว่ยอิงลั่วซึ่งกรีดร้องเสียงแหลมยาวตรงหน้า ถามอย่างติดอ่างเล็กน้อย “จะ...เจ้าเป็นอะไรไป”
“พักอย่างสงบรึ ไม่มีทาง...!” เว่ยอิงลั่วกอดร่างของพี่สาวที่เย็นเยียบและเริ่มส่งกลิ่นจางๆ พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าเจือสะอื้นหลังจากกรีดร้อง “พี่หญิงคงพักอย่างสงบไม่ได้ ข้าเองก็เช่นกัน!”
นางตะเบ็งเสียงพร่ำพูดอยู่เช่นนั้นท่ามกลางสายตาของหลายคน
“ข้าจะเข้าวัง” เว่ยอิงลั่วคร่ำครวญ “ข้าจะต้องแก้แค้นให้ได้ ท่านจะได้หลับอย่างสงบ... ข้าก็จะได้นอนหลับอย่างสงบ”
ในเมื่อเป็นดอกบัวคู่ก็ย่อมต้องเกิดพร้อมกันตายพร้อมกัน
‘แม้ว่าเจ้าจะจากไปแล้ว เหลือข้ายังคงอยู่ แต่ก็เป็นเพียงศพเดินได้ที่รอวันผุพังไปเท่านั้น’
‘ข้าต้องทำให้เจ้าได้หลับอย่างสงบ ข้าจึงจะได้นอนหลับอย่างสงบด้วย’
“เหลวไหล! เหลวไหลทั้งเพ! ถ้าปล่อยให้เจ้าเข้าวังทั้งที่สติเปิดเปิงเช่นนี้ จะนำพาภัยมาสู่วงศ์ตระกูลเป็นแน่ สู้ให้...” ผู้อาวุโสสกุลเว่ยคนหนึ่งเดินมายืนข้างเว่ยชิงฉิน แล้วยกมือป้องปากกระซิบข้างหู
แววตาของเว่ยชิงฉินสับสน ฟังจนจบก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้า
จากนั้นกลุ่มคนก็เดินเข้ามาห้อมล้อมเว่ยอิงลั่วไว้ นางเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาอย่างงุนงง “พวกท่านคิดจะทำอะไรน่ะ”
มือใหญ่หลายข้างยื่นตรงมาที่นางพร้อมกัน
หลายวันต่อมา ธงผืนหนึ่งที่ร้านสุราโบกสะบัดรับลม เหล้าขาวถูกรินลงในจอก มีกับแกล้มจานเล็กหลายจาน
คนผู้หนึ่งที่กำลังดื่มสุราพูดขึ้นมา “ข้างล่างนั่น... บ้านไหนจะแต่งลูกสาวน่ะ”
สหายร่วมร่ำสุราหลายคนที่นั่งพิงรั้วระเบียงชะโงกหน้าไปดูบนถนน ก็เห็นขบวนรับเจ้าสาวสีแดงสดกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าท่ามกลางเสียงประทัดอื้ออึง
บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ เจ้าบ่าวคนหนึ่งกำลังยิ้มอย่างแช่มชื่น ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังเล็กที่อยู่ด้านหลัง
ลมพัดผ้าม่านเกี้ยวเปิด คนดื่มสุราคนหนึ่งอุทานอย่างแปลกใจแล้วยกมือขึ้นขยี้ตา
“ว่าอย่างไร ลมพัดเข้าตารึ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
“ข้าคงจะดื่มมากไปจนตาลายเสียแล้ว” คนดื่มสุราผู้นั้นลดมือลงแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “เมื่อครู่ตอนลมพัดม่านเปิด ข้าเห็นเจ้าสาว... ถูกมัดมือไพล่หลังน่ะสิ”
1 คือหน่วยวัดของจีน มีขนาดประมาณหนึ่งนิ้ว
ความคิดเห็น |
---|