10

บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

 

แทนจันทร์เริ่มรู้สึกตัวเมื่อแรงกระแทกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอขยับตัวอย่างหงุดหงิด พลิกไปพลิกมาแบบหาท่าสบายไม่ได้ทั้งที่หมอนที่หนุนอยู่ก็ไม่ได้แย่นัก แต่ที่นอนนี่สิ ทั้งเเข็งทั้งกระเทือน ทั้งที่ง่วงจนอยากนอนต่อ แต่สมองที่หลับมาหลายชั่วโมงจนสะสมพลังงานเพียงพอที่จะคิดวิเคราะห์อะไรได้ก็เริ่มคิดว่า ถ้านี่เป็นที่นอนปกติจริงๆ มันก็ไม่ควรสั่นและกระแทกตลอดเวลาขนาดนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเลยลืมตาขึ้นดู งงเล็กน้อยที่เพดานห้องนอนวันนี้คล้ายโครงเหล็กทรงโค้งที่มีหน้าต่างลูกกรงซี่ๆ อยู่ด้านบน แค่นั้นก็รู้แล้วว่าแปลก นึกถามตัวเองว่าทำไมตื่นมาแต่ละวันถึงได้อยู่ในสถานที่ไม่ซ้ำกันสักครั้ง ราวกับตัวเองเป็นขนนกที่ถูกพัดไปพัดมาไม่เป็นที่เสียอย่างนั้น

และขนนกที่ไม่รู้ที่ไปที่มาก็ต้องกะพริบตาถี่ๆ หลังคาทรงโค้งไม่ใช่ความแปลกอีกต่อไปเมื่อเห็นว่าตัวเองนอนหนุนอะไรอยู่ ซึ่งสิ่งนี้ละที่แปลกของจริงจนทำให้เธอรีบเด้งผึงขึ้นมานั่ง เพราะจะมีอะไรน่าตกใจเท่ากับการลุกขึ้นมาจากตักของคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่เธอคิดจะตื่นขึ้นมาเจอในยามเช้า

แวบแรกคิดว่านี่เป็นความฝัน แต่เมื่อหยิกตัวเองดูก็เจ็บ จึงรีบเปลี่ยนความคิดว่ามันคงไม่ใช่ความฝัน ฉะนั้นก็ต้องเป็นอย่างที่สองคือ เขาต้องไม่ใช่คนที่ตนกำลังคิด

นี่...ลักกี้หรือ 

นึกสงสัยทั้งที่ใจรู้คำตอบว่าไม่น่าจะใช่ แต่ก็ยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง จึงค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะแขนนั้นเพื่อพิสูจน์ ทันทีที่สัมผัสจับต้องได้ก็รีบดึงมือกลับราวกับโดนของแหลมทิ่มแทง อ้าปากหวอ ถอยกรูดไปฝั่งตรงข้าม

ดอกเตอร์วีร์! เขาคือดอกเตอร์วีร์ตัวจริงเสียงจริง 

รูปร่างหน้าตานั้นใช่แน่ๆ แต่สภาพและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่โดยสิ้นเชิง ดอกเตอร์วีร์ เจ้าของผลงานวิจัยเซรุ่มพันล้านตอนนี้กำลังหลับสนิท ผมเผ้ายุ่งเหยิงปิดหน้าปิดตา เสื้อยืดสีเทาและกางเกงผ้าขายาวทำให้เขาดูไร้ซึ่งความเนี้ยบ กลายเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ยิ่งเมื่อเขาอยู่ในสภาพนั่งพิงกองลังรกๆ ในสถานที่ที่แทนจันทร์สำรวจและฟังเสียงจากภายนอกคร่าวๆ แล้วว่าน่าจะเป็นท้ายรถสักคันที่กำลังเคลื่อนที่ไปบนถนน ก็ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้ใหญ่

เริ่มนึกว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ในที่แบบนี้กับเขาได้ จำได้แค่รางๆ ว่าเธอกำลังทำหน้าที่อารักขาอยู่ในงานเลี้ยง เดินตรวจความปลอดภัยอยู่ดีๆ ภาพก็ตัด จากนั้นก็ใช่ว่าสติจะดับลงร้อยเปอร์เซ็นต์ มันหลับๆ ตื่นๆ รู้สึกเหมือนตัวเองตัวเบาและถูกหิ้วลอยไปลอยมาหลายที่จนลำดับไม่ถูก แต่สิ่งที่จำได้แม่นยำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อครู่คือเธอได้เจอลักกี้แน่ๆ จนทำให้คิดมาตลอดว่าภาพคนที่เห็นในหัวรางๆ ตลอดนั้นคือลักกี้ จึงอดตกใจไม่ได้ เพราะไม่คิดเลยว่าจะตื่นมาอยู่กับคนคนนี้ แถมเธอยังยึดเขาเป็นหมอนทั้งคืนเสียด้วย

นึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขณะนั่งจ้องใบหน้านั้น ตาก็ไวพอที่จะเห็นว่าคอนั้นพับลงไปหาขอบลังไม้ข้างตัว เธอรีบยกตัวขึ้นไปนั่งคุกเข่า เอื้อมมือไปรองรับศีรษะไว้ทันท่วงทีก่อนที่มันจะกระแทกลังไม้จนได้รับบาดเจ็บ สองมือเกร็งแทบแย่เพราะกลัวว่าเขาจะตื่น แต่เมื่อเห็นว่าดวงตายังปิดสนิทก็ค่อยๆ จับศีรษะนั้นพิงผนังอีกฝั่งที่ดูจะนุ่มนิ่มกว่า

เป็นครั้งแรกที่ได้จ้องใบหน้านั้นเต็มตา ความคิดแรกที่เข้ามาทำให้แทนจันทร์นึกประหลาดใจตัวเอง เพราะไม่คิดว่าตนจะมีความรู้สึกเช่นนี้ต่อเขาได้ นั่นก็คือรู้สึกสงสารสภาพอดหลับอดนอนนั้น เจ้าของใบหน้าได้รูปหลับเป็นตาย แม้กระทั่งรถกระแทกก็ไม่ตื่น เพียงคอพับคออ่อน เอียงเปลี่ยนข้างไปมาตามทิศทางการเลี้ยว

นี่นรกหรือสวรรค์กำลังเล่นตลกอะไรกับเธออยู่...

อดคิดไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้เธอและเขาที่ชีวิตต่างกันสุดขั้วต้องมาเผชิญเหตุการณ์อะไรแบบนี้ด้วยกัน เขาและเธอที่ไม่ควรจะมีเส้นทางชีวิตมาบรรจบกันได้ กลับต้องมาหนีตายด้วยกันหลายต่อหลายครั้งท่ามกลางเรื่องราวประหลาดมากมายที่พัวพันไม่อาจแก้ 

ขณะครุ่นคิดสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบนคอชายหนุ่ม สายโซ่สีเงินซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดสีเทา จากที่เธอเคยเห็น มันเป็นโซ่สีเงินดูแน่นหนาและมีมูลค่า ต่างจากจี้ที่เป็นวงกลมคล้ายแหวนพลาสติกดูไร้ราคา เธอไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าเขาใส่มันติดตัวตลอดเวลา แต่พอเห็นก็จำได้แม่น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นมีความรู้สึกขึ้นมาได้ 

สร้อยเส้นนั้นเหมือนมีรังสีดึงดูดอะไรบางอย่างอย่างไม่รู้สาเหตุ ยิ่งมองก็ยิ่งหยุดจ้องไม่ได้เพราะรู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน จนอยากจะหยิบมันขึ้นมาดู นึกวนอยู่ในใจว่าถ้าได้เห็นชัดๆ อีกรอบก็น่าจะดี

ตากลมโตเริ่มฉายแววลังเล แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอจะไม่มีวันได้เห็นมันชัดๆ เวลาตื่น แล้วก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนมารยาทงามหรืออยากไปประกวดมารยาทที่ไหนอยู่แล้ว จึงไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของสร้อย ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปคุกเข่าข้างหน้าเขา โชคดีที่เขาหลับสนิทจริงๆ แม้เธอจะเอื้อมมือเข้าไปใกล้ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนแตะจี้นั้นแล้วเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว

มันมีรูปลักษณ์เหมือนแหวน แต่เป็นแหวนพลาสติกคล้ายแหวนของเล่นเด็ก เพราะมันวงเล็กมากเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะใส่ได้ ดูไม่ได้มีค่ามากพอที่จะเอามาคล้องติดตัวเลย หญิงสาวยกขึ้นส่องใกล้ๆ เพื่อดูลวดลายที่ขีดๆ แบบไร้ซึ่งความสวยงาม ซึ่งมันก็ดูไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ที่เธอยังไม่ยอมปล่อยมันลงไปเพราะยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหน

เอี๊ยด!

เฮ้ย!

ไม่คิดว่าจู่ๆ รถจะเบรกเอาดื้อๆ คนที่ไม่ได้ทรงตัวดีอยู่แล้วเพราะกำลังลักลอบทำสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตถึงกับหน้าเหลอ เพราะตัวเองหน้าทิ่มตามแรงเบรกลงไปหาคนที่กำลังนอนหลับสนิท

ซวยแล้ว!

ดวงตาสีอัลมอนด์ค่อยๆ ขยับเปิด ประสานสายตากับตากลมใสเหมือนลูกแก้วที่ตอนนี้เบิกกว้างเป็นสองเท่าด้วยอารามตกใจ จะไม่น่าแปลกใจอะไรเลยถ้าการสบตากันนี้ไม่ได้อยู่ในระยะใกล้ ใกล้จนเรียกได้ว่าห่างกันแค่ฝ่ามือ ใกล้เกินกว่าจะเป็นการอยู่ใกล้กันของคนปกติ ยังดีที่มือเล็กของหญิงสาวเท้าหน้าอกแน่นนั้นไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่เหลือระยะฝ่ามือระหว่างใบหน้าทั้งสองเลย

แทบจะเห็นทุกอณูบนใบหน้านั้น ผมสีดำที่ตกลงมาปรกขนคิ้วหนา เห็นขนตาบนดวงตาสีอัลมอนด์ที่ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งเป็นสีน้ำตาลราวกับใส่คอนแทกต์เลนส์ เห็นแม้กระทั่งไรหนวดเล็กๆ บนผิวขาวแต่ก็ยังคงความไม่ละเอียดของผิวผู้ชาย ริมฝีปากบางเฉียบที่ไม่เคยมีรอยยิ้มค่อยๆ ขยับเป็นคำถามว่า

“คุณทำอะไร”

ไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวที่ยังอยู่ในท่าโถมทับลงไปบนตัวชายหนุ่มได้อธิบายตัวเอง เสียงปลดล็อกกลอนประตูดังเอี๊ยดก็ดังขึ้นแทนคำตอบและประตูเหล็กที่ปิดไว้ทั้งคืนก็เปิดออก

แสงสว่างแรกของวันที่สะท้อนเข้าตาแบบไม่ได้ตั้งตัวทำให้หนุ่มสาวทั้งสองคนที่อยู่ในความมืดมาตลอดคืนต้องหันหน้าหนีแสง จึงมองไม่เห็นหน้าผู้ที่เปิดประตูอิสรภาพให้แก่ทั้งคู่ ได้ยินแต่เสียงตะโกนลั่นด้วยความตกใจ

“เฮ้ย! พวกเอ็งเป็นใครวะ!”

 

ลุงศรและป้าสาย เจ้าของรถกระบะส่งของไม่รู้ตัวเลยว่าตอนที่ตัวเองจอดรถเพื่อส่งของให้ร้านอาหารใต้คอนโดนั้นจะได้รับแขกขึ้นรถมาด้วยแบบไม่ได้ตั้งใจ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนจอดพักรถที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งหลังขับออกห่างจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วโมง

“เอ้อ! ไอ้คนสมัยนี้นี่หัวจิตหัวใจมันทำด้วยอะไรกัน มันถึงได้โหดเหี้ยมแบบนี้ กะอีแค่ติดหนี้ไม่กี่หมื่นถึงกับต้องตามตีตามฆ่ากัน” ลุงศรผู้มีเอกลักษณ์คือพูดจาโผงผางเสียงดังตามประสาพ่อค้าตบเข่าฉาดหลังจากฟังเรื่องเล่าจบ มองชายหนุ่มและหญิงสาวอย่างเห็นอกเห็นใจ

บทสนทนาระหว่างลุงศรกับหญิงสาวตัวเล็กเป็นเรื่องเป็นราว ยิ่งคุยแล้วก็ยิ่งเข้าอกเข้าใจกันตามประสาคนหาเช้ากินค่ำ มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าดิกๆ เพราะรู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องคนสู้ชีวิตที่อดทนลำบากทำงานหนัก แต่เพราะพิษเศรษฐกิจทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากเจ้าหนี้นอกระบบมาลงทุน แต่ก็ล้มไม่เป็นท่า จนถูกทวงหนี้โหดจากเจ้าหนี้หน้าเลือด ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเข้ามาหลบหลังรถของป้าและลุงตอนไปจอดส่งของใต้คอนโด

นี่มันเนื้อเรื่องละครหลังข่าวชัดๆ 

“แล้วนี่เอ็งกับผัวจะเอายังไงกันต่อล่ะ”

นักแสดงตุ๊กตาทองที่ตอนนี้สวมบทคนหนีหนี้แทบสะดุดเวทีหน้าทิ่มเมื่อโดนถาม แต่ก็รีบยิ้มตอบแบบเจื่อนที่สุด อันที่จริงเธอไม่ได้อยากโกหกคุณลุงคุณป้าทั้งสองเลยสักนิด แต่จำยอมต้องแต่งเรื่องชีวิตแสนรันทดนี้ขึ้นมาเพราะคิดว่ามันคงทั้งปลอดภัยและสบายใจกว่าการบอกว่าเธอเป็นตำรวจ และกำลังหนีคนร้ายที่ต้องการฆ่าปิดปากนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานสำคัญอย่างยิ่งต่อการสืบคดียาเสพติดระดับชาติ ถ้าเธอและเขาอยากจะโดนไล่ฆ่าให้ดูธรรมดาที่สุด บทบาทที่เหมาะที่สุดก็คือคนหนีหนี้นี่แหละ แต่คงเพราะภาพที่พบกับครั้งแรก เลยไม่สามารถเรียกความเข้าใจของลุงและป้ากลับมาได้ จึงกลายเป็นเรื่องผัวเมียหนีหนี้ไปโดยปริยาย

คนที่น่าโกรธไม่ใช่ลุงศรและป้าสายผู้ใจดี แต่เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่แทนที่จะเดือดร้อนออกมาช่วยแก้ไข ครั้งนี้กลับกอดอก ยืนลอยหน้าลอยตาอยู่เงียบๆ แถมมีรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากนิดๆ ซึ่งแทนจันทร์มองปราดเดียวก็เข้าใจทันทีว่าที่เขายอมเล่นตามน้ำโดยไม่คิดจะโวยวายอะไร ทั้งที่เขามักจะต่อว่าและตีตราเสมอว่าเธอเป็นคนขี้โกหก ก็เพราะเขาคงอยากรอดูความสามารถของเธอว่าจะเล่นละครต่อไปได้อย่างไรเมื่อบทบาทที่ถูกมอบให้เปลี่ยนเป็นยากขึ้นเช่นนี้ 

“คงต้องหลบไปอยู่บ้านต่างจังหวัดสักพักก่อนน่ะจ้ะ” แทนจันทร์เลือกตอบอ้อมๆ 

“แล้วจะไปกันยังไง หนีมากันตัวเปล่าแบบนี้ มีเงินมีทองรึเรา”

แทนจันทร์ก้มลงมองสภาพตัวเองที่สวมเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ที่อยู่ในชุดนอน แล้วก็เข้าใจสายตาลุงศรที่มองมาแบบสงสาร ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรืออะไรที่สภาพชุดยับๆ หน้าตามอมๆ เพราะต้องหนีคนร้ายหัวซุกหัวซุนกลายเป็นองค์ประกอบอย่างดีที่ทำให้ภาพตำรวจและหนุ่มไฮโซถูกลบหายไปอย่างไม่เหลือเค้าเดิมโดยไม่ต้องแกล้งทำ แล้วก็ยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อทั้งเขาและเธอมัวแต่หนีตายจนไม่มีใครมีเวลานึกจะหยิบกระเป๋าเงินหรือโทรศัพท์มือถือมาด้วย คำว่า ‘ตัวเปล่า’ และแววตาสังเวชใจจึงเป็นอะไรที่เหมาะที่สุดที่จะได้รับตอนนี้

“ไม่มีจ้ะ” หญิงสาวส่ายหน้า ยิ้มแห้ง 

“เอ้า! งั้นพวกเอ็งเอานี่ไปก่อน” ป้าสายควักธนบัตรสีเทาออกมาจากกระเป๋าคาดเอวยื่นให้ทั้งคู่

“ไม่ได้หรอกจ้ะป้า ไม่ได้ๆ แค่ป้าช่วยพวกฉันติดรถมานี่ก็เป็นบุญคุณจะแย่แล้ว” แทนจันทร์รีบปฏิเสธน้ำใจของทั้งคู่ รู้สึกผิดขึ้นมาเต็มหัวใจที่ต้องโกหกคนดีๆ แบบนี้ 

“เออ ไม่เป็นไร เอาไปเถอะ ถือว่าช่วยกัน” ลุงศรคะยั้นคะยอ “พวกข้าเห็นเอ็งสองผัวเมียสู้ชีวิตแบบนี้แล้วก็นึกถึงข้ากับเมียสมัยสาวๆ ตอนนั้นลำบากไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ มีรถเก่าๆ คันเดียวตระเวนขายของ ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง อดมื้อกินมื้อบ้าง”

“พวกป้าก็เคยลำบากแบบพวกเอ็งเนี่ยแหละ เข้าใจว่ามันเหนื่อยขนาดไหน”

ลุงป้าพยักหน้า มองคนรุ่นลูกรุ่นหลานทั้งสองแล้วก็หวนคิดถึงความลำบากเมื่อครั้งก่อน

“ยิ่งเป็นผัวเมียกันยิ่งต้องอดทน ชีวิตน่ะมันมีทางไปเสมอแหละ พวกข้าก็อยู่กันมา สู้กันมา ทะเลาะกันมาจนตอนนี้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

แทนจันทร์หันซ้ายหันขวาเริ่มทำตาล่อกแล่ก เพราะกลัวจะซ่อนสีหน้าแห้งๆ ของตัวเองไม่มิด สายตาที่มองมาแบบระลึกถึงอดีตยิ่งทำให้เธอยิ้มแหย อยากเอาหัวโขกประตูรถเมื่อลุงศรเริ่มพูดไปถึงลูกถึงหลาน เริ่มสงสัยว่าฝีมือการเล่นละครของเธอน่าจะแย่มาก ถึงได้ทำให้คนดูเข้าใจผิดคิดไปเลยเถิดได้ขนาดนั้น

“ดิ้นรนกันมาจนตอนนี้ก็พอมีกินมีใช้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก อะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กันได้ก็แบ่งปันกันไป” ลุงศรสรุป “ถ้าไม่มีเงิน พวกเอ็งจะไปต่อกันยังไง ไหนจะต้องเดินทาง ต้องกินข้าว”

เกรงใจก็เกรงใจ แต่ที่คุณลุงพูดมามันก็ถูกทั้งหมด เธอไม่สามารถไปต่อตัวเปล่าเช่นนี้ได้

“งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่าจ้ะ” ดวงตากลมใสเหมือนลูกแก้วเป็นประกายเมื่อไอเดียบางอย่างแวบเข้ามาในหัว ปลดนาฬิกาข้อมือตัวเองออกและส่งให้ป้าสาย “นาฬิกาเรือนนี้อาจจะไม่ได้แพงอะไรมาก แต่ก็พอมียี่ห้ออยู่ เอาไปขายคงพอได้ราคา ป้ารับไว้นะจ๊ะ”

ไม่ใช่แค่ลุงกับป้าที่มีสีหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่หญิงสาวมอบให้ คนที่ประหลาดใจยิ่งกว่าคือชายหนุ่มด้านหลังที่ยืนเงียบๆ อยู่ไกลๆ ตลอดเวลาเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่หญิงสาวเลือกทำ ทั้งที่คุณลุงคุณป้าก็ให้ด้วยความยินดี และตัวเองก็อยู่ในสภาพของผู้รับได้อย่างไม่น่าเกลียดอะไร แต่เธอกลับเลือกไม่รับน้ำใจจากผู้มีพระคุณเปล่าๆ และยังตอบแทนด้วยสิ่งของที่มีมูลค่ามากกว่าอย่างไม่เสียดายอะไร นั่นทำให้ดวงตาสีอัลมอนด์คู่นั้นมีประกายบางอย่างสะท้อนออกมา บอกไม่ถูกว่าสายตานั้นมีความรู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่ามันเป็นประกายที่เริ่มมองหญิงสาวคนเดิมด้วยมุมที่ไม่เคยมองมาก่อน 

ลุงกับป้าแม้อึกอัก แต่ในที่สุดก็ยอมรับนาฬิกาเรือนนั้นไว้เพราะถูกคะยั้นคะยออย่างหนักจากหญิงสาวผู้ช่างเจรจา รวมถึงวาจาจ๊ะจ๋าน่าเอ็นดูนั้นก็ทำให้ทั้งคู่ยิ่งเกิดความเมตตา

“งั้นไปๆ ขึ้นรถ เดี๋ยวข้าแวะไปส่งเอ็งสองคนที่ท่ารถละกันนะ ไปไหนจะได้ต่อรถง่าย”

แทนจันทร์ยิ้มกว้างอย่างยินดี สบายใจไปเปลาะหนึ่งที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รับน้ำใจของลุงกับป้ามาโดยไม่มีสิ่งตอบแทน รีบเดินตามหลังผู้ใหญ่ใจดีทั้งสองคนที่กวักมือให้ไปขึ้นรถที่ที่นั่งด้านหน้า ขณะเดียวกันก็ต้องฟังลุงป้าเล่ามหากาพย์ชีวิตตัวเองต่อได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น

“ตอนหนุ่มๆ รถแบบนี้ก็ไม่มีขับ ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขายของเอา” ลุงว่าต่อขณะปิดประตูตู้พาหนะทำมาหากินพลางหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท้ายรถพอดี “เอ็งก็ดูแลเมียเอ็งให้ดีๆ หนักนิดเบาหน่อยก็ยอมไป คนที่จะทนสู้ชีวิตด้วยกันแบบนี้หายากนะรู้มั้ย”

แทนจันทร์กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ยิ่งทำหน้าไม่ถูกเมื่อไม่มีคำพูดใดๆ จากชายหนุ่ม ยกเว้นรอยยิ้มที่ยิ้มตอบคุณลุง ซึ่งบอกได้คำเดียวว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจที่สุด

“เอ็งก็เหมือนกันนังหนู ดูท่าแล้วน่าจะดื้อกับผัวพอตัว อย่าดุเขามาก มีอะไรก็ให้อภัยกัน มันถึงจะอยู่กันได้ยาว”

คนโดนสั่งสอนหน้าที่เมียยืนอึ้งอยู่ข้างรถ มือเปิดประตูค้างเติ่ง ไปต่อไม่ถูกเพราะสมองกำลังลนลานว่าควรจะตอบคำพูดนั้นอย่างไรให้ดูไม่ปลอมจนโดนจับได้ แต่ปรมาจารย์ชีวิตคู่ก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ เดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับเพื่อเตรียมออกรถเสียแล้ว

แทนจันทร์หน้าคว่ำ เมื่อชายหนุ่มที่เดินตามมาหยุดยืนมองท่าทางค้างเติ่งของเธอด้วยสีหน้าเฉยๆ ทั้งที่หน้านิ่ง แต่เธอได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นจากดวงตาที่เป็นประกายแสนเจ้าเล่ห์คู่นั้น เลยต้องรีบเปลี่ยนเป็นโมโหเพื่อกลบเกลื่อนความเหวอของตัวเองแทน

“เอ้า! มองอะไรคุณ ขึ้นรถสิ”

ชายหนุ่มสบตาคนที่รู้ว่าแสร้งทำหน้าดุ ก่อนตอบพร้อมอมยิ้มนิดๆ

“ก็รอเมียขึ้นก่อนไง” 

แค่นั้น...ใบหน้าของผู้กำกับละครฉากใหญ่ก็เปลี่ยนสีจากซีดขาวเป็นแดง สลับขึ้นลงอยู่หลายรอบ ถ้าเป็นกาต้มน้ำก็คงได้เห็นไอน้ำพวยพุ่งจากกาที่ตั้งไฟไว้จนเดือดได้ที่ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากนายดอกเตอร์คนนี้ คำพูดที่ตั้งใจย้อนแถมกวนแบบแสบสนิท และเป็นการย้อนที่เขารู้ว่าเธอจะเอาคืนไม่ได้ เพราะผู้กำกับย่อมไม่มีวันทำลายละครที่ตัวเองสร้าง 

มันทำให้เธอรู้ทันทีว่ามาดนักวิจัยแสนเคร่งขรึมมันก็แค่บทบาทที่เขาสวมไว้เท่านั้น ตัวตนที่แท้จริงของนายนี่คือปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ตัวจริงเสียงจริง

หมวดสาวในบทบาทคู่สามีภรรยาหนีหนี้ทำได้แค่เก็บเสียงปรี๊ดไว้ในใจ ก่อนก้าวขึ้นรถแล้วหันไปยิ้มหวานให้ลุงกับป้าที่รออยู่บนรถแทน 

 

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น