9

บทที่ ๙

บทที่ ๙

 

‘ตัวเล็ก ตัวเล็ก เข้ามาหลบในนี้ก่อนเร็ว’

เด็กหญิงเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเรียกเพราะมัวแต่ตกตะลึงกับภาพห้องนั่งเล่นตรงหน้าที่ตกอยู่ในกองเพลิง ไฟกำลังไหม้ม่านสีขาวน่ารักที่เคยปลิวไสวยามต้องลม ชุดเก้าอี้หวายตัวโปรดที่เคยนั่งเล่นกลายเป็นเศษซากดำจำภาพเดิมแทบไม่ได้ ตู้โชว์ใส่ของกระจุกกระจิกสวยงามถูกไฟสีส้มกลืนกิน ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ในกองเพลิงที่แผดเผาอย่างไม่ปรานี

แต่ไม่มีเวลาให้มองอยู่นาน มือหนึ่งก็เข้ามาฉุดเธอให้เดินตาม ฝ่าความร้อนระอุของเปลวไฟตรงไปยังส่วนหลังบ้านที่มีประตูทางออกอีกทาง แต่เมื่อเด็กชายตรงเข้าไปกระชาก มันก็ไม่ยอมเปิดออก ไม่ว่าพยายามเขย่าเท่าไรก็มีแต่เสียงของแม่กุญแจที่ล็อกจากด้านนอก

‘ประตูนี้ก็ล็อก’ เด็กชายหันมาบอก

‘ประตูหน้าต่างปิดหมดทุกบานเลย แล้วเราจะออกไปได้ยังไงล่ะ’ เด็กหญิงตั้งคำถามเสียงสั่นเครือ เขม่าควันเปื้อนหน้าจนทำให้ใบหน้าที่มอมแมมอยู่แล้วเลอะเทอะไปกันใหญ่ เธอเดินตรงเข้าไปเกาะแขนพี่ชายแน่น มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่ตกอยู่ในกองเพลิงอย่างหวาดกลัว

อากาศที่น้อยลงรวมถึงเขม่าควันแสบคอ แสบจมูก และร้อนเหมือนจะละลาย ทำให้ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจ เด็กหญิงตัวเล็กเริ่มน้ำตาคลอ ทำให้เด็กผู้ชายอีกคนที่ยืนนิ่งเงียบด้วยแววตาตื่นๆ อยู่ข้างๆ ตลอดเวลาเริ่มใจเสียตามไปด้วย ผู้เป็นพี่ใหญ่สุดเห็นว่าไม่ได้การ ต้องรีบรวบรวมสติน้องๆ กลับมา

‘ใจเย็นๆ นะ มันต้องมีทางออกสิ’ เด็กชายกล่าวอย่างใจดีสู้เสือแม้จะยังนึกไม่ออกก็ตาม

‘ตัวเล็กกลัว ตัวเล็กร้อน ตัวเล็กอยากออกไปจากที่นี่แล้ว’

นัยน์ตาสีน้ำตาลที่แทบจะกลืนไปกับสีแดงเพลิงของไฟเต็มไปด้วยความกังวล พยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนรอดออกไปจากบ้านที่ถูกปิดตายนี้ให้ได้

‘พี่จะเข้าไปในห้องเก็บของดู ที่นั่นมีหน้าต่างอยู่’ คนพี่ว่า ‘เราสองคนรอพี่อยู่ที่นี่นะ’

‘เดี๋ยวก่อน’ เด็กชายอีกคนที่หน้าตาเหมือนเขาทุกประการตามลักษณะของฝาแฝด แต่น้ำเสียงและความมั่นใจไปกันคนละเรื่องเตือนด้วยความหวาดหวั่น ‘แต่พ่อบอกว่าห้ามเข้าไปในห้องเก็บของ ห้องนั้นรกมาก มีแต่ของอันตราย’ 

‘ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ต้องลองไปดู’ เขายืนกรานก่อนหันมาหาคนตัวเล็กอีกคน ‘ตัวเล็กรออยู่กับพี่เขาที่นี่นะ เดี๋ยวพี่กลับมา’

‘พี่รีบกลับมานะ ตัวเล็กกลัว’ น้ำตาใสๆ เริ่มเอ่อคลอ

‘ไม่ต้องกลัว’ เขายกมือขึ้นจับไหล่คู่นั้นไว้ ลูบศีรษะนั้นอย่างแผ่วเบาพร้อมยิ้มด้วยรอยยิ้มประจำตัว ‘พี่สัญญาว่าพี่จะต้องพาตัวเล็กออกไปจากที่นี่ให้ได้’

 

พี่สัญญา...

แทนจันทร์สะดุ้งเฮือกลืมตาตื่น ภาพเปลวไฟในฝันยังติดตา ยังคงรู้สึกร้อนราวกับความร้อนนั้นตามมาแผดเผาเธอทั้งร่างแม้จะเป็นยามตื่น มันคือไฟแห่งความวิตกกังวลที่สุมอยู่ด้านในจนไม่อาจทำให้ใจสงบได้แม้จะเป็นในยามหลับ

ฝันอีกแล้วหรือนี่...

แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ความเหมือนจริงของมันก็ทำให้สับสนทุกครั้งว่านี่คือความจริงหรือความฝันกันแน่ ยิ่งตอนนี้ที่เหมือนจะรู้สึกตัวตื่นแต่สองตากลับลืมไม่ขึ้น ยิ่งทำให้ไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือความฝัน พยายามงัวเงียเปิดตาที่หนักอึ้งเพื่อมองหานาฬิกาปลายเตียง แต่ภาพที่เห็นทำให้ยิ่งมึน เพราะแทนที่จะเห็นนาฬิกาเข็มก๊อกแก๊กที่ห้องเรือนเดิม กลับกลายเป็นนาฬิกาดิจิทัลดูไฮเทคไม่คุ้นตาที่บอกเวลาตีสามกว่าแล้ว

ทำไมง่วงและเวียนหัวแบบนี้

แทนจันทร์ถามตัวเองงงๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สมองตอนนี้เชื่องช้าคิดอะไรไม่ออก ในหัวหนักเหมือนมีเหล็กก้อนโตมาถ่วง สิ่งที่หนักยิ่งกว่าคือเปลือกตาที่พยายามเปิดเท่าไรก็ไม่ขึ้น รู้สึกง่วงมากและอยากนอนตลอดเวลา แต่ด้วยสติอันน้อยนิดที่บอกตัวเองว่าสถานที่นี้มันแปลกตาผิดปกติเกินไป จึงต้องฝืนร่างกายพยายามดันตัวขึ้นมานั่งแม้จะยังรู้สึกว่าโลกหมุนติ้วๆ คล้ายทรงตัวไม่อยู่ก็ตาม

เธอตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนแน่ๆ เป็นเตียงที่นุ่มมากและมีพลังดึงดูดให้อยากล้มตัวลงไปนอนต่ออย่างร้ายกาจ แสงสลัวจากโคมไฟที่เปิดไว้เพียงดวงเดียวที่มุมห้องส่องให้เห็นห้องนอนสีขาวเทา มันหรูหราเกินกว่าจะเป็นห้องนอนห้องเช่าของเธอแน่ๆ ที่ปลายเตียงก็ไม่มีโต๊ะทำงานไม้กะโหลกกะลา แต่เป็นจอโทรทัศน์โฮมเทียเตอร์ขนาดยักษ์บนชั้นติดผนังสวยงาม ชั้นวางของใต้โทรทัศน์ทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือ รูปปั้นหน้าตาประหลาด และกรอบรูปที่เรียงราย

“คุณโกหกผม...”

ตอนแรกเธอคิดว่าหูฝาดที่จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาในความเงียบ สักพักก็คิดว่ามันอาจจะเป็นความฝัน เพราะสถานที่ที่อยู่นี้มันไม่คุ้นตาเลยจริงๆ

“ลักกี้เหรอ” เธอถามเพราะจำเสียงนั้นได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบร่างสูงนั้นยืนอยู่ข้างเตียง ดูไม่ใช่ภาพที่แปลกตาอีกต่อไปแล้วที่เขามักจะปรากฏตัวแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุและกำหนดอะไรไม่ได้ในยามที่ท้องฟ้าด้านนอกไร้แสงตะวันเช่นนี้ “ลักกี้ นายหายไปไหนมา”

ใจพองโต รู้สึกดีใจมากที่ได้พบเขาอีกครั้งหลังจากตามหามาตลอดสัปดาห์ แต่ก็ทำได้แค่ทักทายด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรงเต็มทน พยายามมองหน้าเขา แต่ก็เห็นใบหน้านั้นแยกเป็นสองคนบ้าง สามคนบ้าง บางทีก็เลือนหายไป ยิ่งทำให้มึนหัวจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ต้องคอยพยุงตัวด้วยการยึดโต๊ะหัวเตียงเอาไว้

“ทำไมคุณถึงบอกว่าคุณไม่รู้จักผม”

“รู้จักอะไร นายพูดเรื่องอะไร” หญิงสาวขมวดคิ้ว 

“คุณยังจะโกหกผมอีกเหรอ” ลักกี้ย้อนถามเสียงดังอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “เนี่ยเหรอที่คุณบอกว่าคุณไม่รู้จักผมมาก่อน คนไม่รู้จักกันเขาไม่มานอนอยู่ด้วยกันแบบนี้หรอก”

คนฟังเอียงคองงๆ ปกติจะได้ยินแต่เสียงนุ่มสุภาพ ระบายยิ้มที่ดวงตา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นสายตาแบบนี้จากเขา สายตาคู่นั้นไม่ได้แค่โกรธ แต่มันเหมือนโมโหผิดหวังและไม่คาดคิดกับภาพที่เห็น ตอนแรกแทนจันทร์ไม่เข้าใจสายตาและคำพูดนั้นเลยจนกระทั่งค่อยๆ หันไปข้างตัวตามที่สายตาของลักกี้จับจ้อง และภาพที่เห็นก็ทำให้มึนงงยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีกสิบเท่า กลายเป็นตกใจและยิ่งสับสนหนักกว่าเดิมเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียว

มันเป็นภาพที่ประหลาดที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเห็นมา การที่ตื่นมาแล้วพบว่าพื้นที่ข้างๆ บนเตียงมีผู้ชายนอนอยู่นี่ก็ทำให้ตกใจแล้วในระดับหนึ่ง แต่มันเพิ่มความประหลาดไปอีกที่ชายหนุ่มคนนั้นดันมีใบหน้าเหมือนคนที่ยืนอยู่ปลายเตียงทุกกระเบียดนิ้วราวกับฝาแฝด

การมีลักกี้ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้แทนจันทร์ไม่สงสัยสักนิดเลยว่าคนที่นอนหลับสนิทเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ข้างตัวเป็นใคร แต่ที่เธอสงสัยที่สุดคือ...เธอมานอนอยู่บนเตียงเดียวกับเขาได้อย่างไร

แม้สมองจะไม่สมบูรณ์ แต่ความทรงจำที่ไม่เคยบรรจุเรื่องดีๆ เกี่ยวกับเขาคนนี้ทำให้จิตใต้สำนึกรู้ว่าเขาควรจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่เธอคิดว่าจะลืมตาตื่นมาเจอข้างกายบนเตียงนอนได้ แถมเขายังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ไม่รู้สึกตัวแม้เธอจะขยับลุกขึ้นมานั่งแบบนี้ ดูจากชุดนอนสบายๆ ของเขาก็บอกความพร้อมในการนอนอย่างคนเป็นเจ้าของสถานที่ แต่สำหรับเธอ การตื่นมาในสภาพเสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ทำให้ระลึกไปถึงภาพจำสุดท้าย คือเธอกำลังทำงานอารักขาอยู่ที่โรงแรม

ยิ่งสับสนว่า...แล้วเธอมาอยู่ที่นี่กับคนคนนี้ได้อย่างไร!

“ฉัน...” 

เข้าใจที่มาของเสียงเขียวของลักกี้ทันที และภาพมันก็ทำให้เธอปฏิเสธไม่ออกจริงๆ เสียด้วย ตอนแรกความกลัวขึ้นสมองว่าตัวเองจะถูกวิญญาณตามตื๊อไม่เลิกทำให้เธอตัดสินใจไม่บอกลักกี้ว่าพบเจอคนหน้าเหมือนเขา ประกอบกับยิ่งได้รู้จักกับเจ้าชายนิทราที่นิสัยต่างกันสุดขั้วกับวิญญาณหนุ่ม ก็ยิ่งทำให้เธอไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ แม้จะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องบอกเรื่องนี้กับลักกี้เข้าสักวัน แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะได้มารู้ความจริงจากสถานการณ์บ้าบอที่ทำให้คิดเลยเถิดไปขนาดนี้ได้

ถ้าเป็นเวลาปกติ สมองอย่างผู้หมวดแทนจันทร์คงจะพอหาคำพูดมาแก้สถานการณ์ได้บ้าง แต่ตอนนี้แค่จะลุกขึ้นยืนพูดยังเอาตัวไม่รอด

“ฉันขอโทษ ลักกี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แต่นาย...นาย...ต้องฟัง...”

คำพูดขาดเป็นห้วงๆ เมื่อแทนจันทร์พยายามลุกขึ้นอธิบาย แต่หัวมันคอยแต่จะทิ่มไปข้างหน้า กว่าจะยืนได้ก็ราวกับต้องใช้แรงมหาศาล ค่อยๆ พยุงตัวเองไปตามชั้นหนังสือข้างตัว

“ผมไม่ได้ผิดหวังที่เจอคุณที่นี่ แต่ผมผิดหวังที่คุณโกหกผม”

คำว่าโกหกเหมือนมีดที่กรีดลงบนเนื้อ ติดตราเอาไว้ มันไม่มีรอยแผลแต่ฝังลึก เพราะคนพูดเองก็ปฏิเสธสิ่งที่ตนเลือกกระทำไปโดยไม่ได้คิดไม่ออก อันที่จริงใช่ว่าเธอไม่เคยโดนตราหน้าจากใบหน้าแบบนี้ว่าเธอคือคนขี้โกหก แต่ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้มันเจ็บปวดยิ่งกว่า เพียงแค่เธอได้เห็นลักกี้มองมาแบบผิดหวัง รับรู้ได้ว่าไม่ใช่แค่ตนเองที่เจ็บอยู่ข้างใน แต่สายตานั้นก็รู้สึกไม่ต่างกัน ยิ่งเขาขยับตัวออกห่างอย่างดูรังเกียจเมื่อเธอก้าวเข้าไปหา ยิ่งรู้สึกแย่กว่าตอนดอกเตอร์วีร์เอ่ยคำพูดเหน็บแนมเจ็บๆ พวกนั้นเป็นร้อยเท่า

ยิ่งวิญญาณหนุ่มขยับถอยหนี หญิงสาวก็ยิ่งรีบพยายามพาตัวเองเข้าไปหา สองขาสะเปะสะปะต่อสู้กับอาการง่วงงุนร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคในขณะนี้

“ลักกี้ เดี๋ยวก่อน”

โครม!

โลกหมุนเคว้งก่อนทรุดฮวบลงไป มือที่พยายามคว้าทุกสิ่งรอบตัวเพื่อให้ทรงตัวยืนอยู่ได้กลายเป็นการกวาดทุกสิ่งทุกอย่างบนชั้นวางของให้ร่วงลงมากองระเนระนาดพร้อมกับตัวเองด้วย ใบหน้าของหมวดสาวยู่ยี่อย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง คิ้วเรียวขมวดแน่น เพราะภาพในหัวทั้งหมุน เอียง ซ้อนกันหลายชั้นจนมองไม่เป็นภาพ

“คุณ...”

วิญญาณหนุ่มตกใจหน้าเสียเมื่อเห็นหญิงสาวลงไปกองบนพื้น กึ่งห่วงกึ่งมีทิฐิ ภาพร่างคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังคาตา ทำให้สองขาที่จะก้าวเข้าไปหาชะงัก มือสองข้างยิ่งกำแน่นเมื่อเห็นว่าเธอยังพยายามจะลุกขึ้นมาหา

“ลักกี้...” แทนจันทร์ร้องเรียกแม้รู้ว่าเสียงนั้นทำให้เขามาหาไม่ได้ เธอยังไม่ยอมแพ้ พยายามฝืนตัวลุกขึ้นโดยใช้มือยันพื้นสะเปะสะปะจนไปถูกกรอบรูปกรอบใหญ่ที่ร่วงอยู่บนพื้นปะปนกับของชิ้นอื่นๆ

สิ่งที่สะดุดตาและสะดุดมือไม่ใช่ขนาดของมัน แต่เป็นภาพในกรอบที่ทำให้ต้องหยุดมอง มันคือภาพเด็กชายสองคนที่ยืนกอดคอกันแน่น ความแปลกตาคือทั้งสองมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะชนิดที่คนเห็นครั้งแรกไม่มีทางแยกความแตกต่างได้เลย 

แต่นั่นไม่ใช่สำหรับแทนจันทร์ สาบานได้ว่าเธอเข้ามาในห้องนี้และเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน แถมในขณะนี้สมองก็ยังอยู่ในสภาวะไม่ปกติ แต่เธอมองปราดเดียวก็บอกตัวเองได้ว่าคนไหนเป็นคนไหน

ราวกับภาพยนตร์ถูกฉาย ในหัวมีภาพวิ่งเข้ามาซ้อนภาพรอยยิ้มกว้างของเด็กชายหนึ่งในนั้น ดวงตาของเขาสว่างสดใส ดูสนุกสนาน เปิดเผย จริงใจ ต่างจากอีกคนที่มีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ และสิ่งที่เธอจำได้แม่นยำ สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างก็คือสร้อยคอห้อยแหวนสีขาวที่อยู่บนคอเด็กชายคนที่ยิ้มกว้าง

เธอรู้จักเขา เธอเคยเห็น และจำเขาได้...

ทำไมจะจำไม่ได้! ในเมื่อเขาปรากฏตัวอยู่ในความฝันของเธอทุกคืน เขาคือเด็กชายที่เธอเห็นในฝันหลายๆ วัน

เรื่องราวพวกนี้มันเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่

“ลักกี้” เธอละล่ำละลักรีบร้องเรียกชื่อนั้น ใจเต้นเป็นกลองรัวแบบจับจังหวะไม่ได้ มืออันสั่นเทากำรูปนั้นไว้แน่น “ฉันเจอแล้ว เด็ก...เด็กในรูป ฉันจะบอกนายเรื่องเด็กคนนี้”

เธอรีบคว้ารูปนั้นยื่นไปให้ลักกี้ดู ตอนแรกคิดว่าคงเพราะอาการที่เป็นอยู่ ทำให้สายตาและสมองตัวเองไม่ปกติ เธอเริ่มมองเห็นภาพลักกี้ดูจางๆ เหมือนเป็นหมอกควัน แต่ขยี้ตาเท่าไรภาพก็ยังไม่ชัดเจน กลับยิ่งเลือนรางราวกับเขากำลังจะหายไปต่อหน้าเธอ

“ผม...ผมต้องไปแล้ว” ลักกี้ก้มมองดูร่างอันเลือนรางของตัวเอง

“ไปไหนลักกี้ เดี๋ยวก่อน”

ไม่ใช่แค่หญิงสาวที่ตกใจจนเผลอตะโกนเรียกเสียงดัง ในใจคิดว่าเธออุตส่าห์เจอเขาแล้วและเธอยังไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟังแม้แต่นิด เขาก็กำลังจะหายไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง ยิ่งเห็นว่าร่างตรงหน้าค่อยๆ จางจนเหลือเป็นคล้ายฝ้าขาว แทนจันทร์ก็ยิ่งร้องเรียกดังขึ้น แต่ยิ่งเธอส่งเสียงเรียกเท่าไร เขาก็ยิ่งดูจะจางหายไปเร็วเท่านั้น สีหน้าของวิญญาณหนุ่มเองก็ไม่สู้ดีเหมือนจะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน 

“ที่จริงผมจะมาบอกคุณ ผมเห็นว่ามีคนกำลังเข้ามาที่นี่” วิญญาณหนุ่มย้ำน้ำเสียงร้อนรน เพราะรู้จักอาการนี้ดีว่าเขาจะอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน “พวกเขาไม่ได้มาดีแน่ๆ คุณรีบหนีไป”

ทั้งที่เขาควรจะโกรธ แต่เห็นชัดเจนว่าสายตาแสนพะวักพะวนนั้นไม่ได้ต้องการไปจากตรงนี้เลยสักนิด 

“ลักกี้!”

ด้วยสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย ทำให้แทนจันทร์ทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามตะโกนรั้งอีกฝ่ายไว้ เธอพยายามลุกแต่ไร้ผล กลายเป็นยิ่งกวาดข้าวของทุกอย่างให้หล่นกระจาย ส่งเสียงดังโครมครามลั่นห้อง มือจับรูปนั้นไว้เพราะมันยังติดแน่นไปด้วยคำถาม ยิ่งเธอพยายามดิ้นรนก็ยิ่งรู้สึกว่าอาการเริ่มแย่ เรี่ยวแรงเหือดหาย ในขณะที่สติเลือนรางจนมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป ได้ยินเพียงเสียงสุดท้ายของลักกี้ที่ดังในหัวว่า

“ไม่เป็นไร แล้วผมจะกลับมา”

 

วีร์สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคล้ายของหล่น ตอนแรกยังสะลึมสะลือไม่ยอมลืมตาเพราะคิดว่าตัวเองฝันไป แต่มันก็ชัดเจนและดังไม่หยุด จนสุดท้ายต้องสะดุ้งเฮือกตอนได้ยินเสียงเรียกดังลั่นห้อง

“ลักกี้ ลักกี้! เดี๋ยวก่อน!”

สิ่งแรกที่ทำหลังจากลืมตาคือมองไปข้างๆ ตัว พอเห็นที่นอนว่างเปล่าทั้งที่ก่อนนอนเขาวางร่างหนึ่งที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวไว้ตรงนั้นก็รีบหันขวับไปตามเสียง เจ้าของห้องรีบสะบัดผ้าห่มลุกขึ้นเมื่อเห็นคนที่พากลับห้องมาด้วยลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นแบบคนไม่ได้สติ รอบตัวมีข้าวของหล่นกระจัดกระจาย ชายหนุ่มรีบโผจากเตียงเข้าไปรับเมื่อเห็นว่าร่างนั้นโงนเงนคล้ายจะหน้าคว่ำลงไปกระแทกพื้น

“ลักกี้ ลักกี้”

เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็คว้าตัวเธอไว้ได้ก่อนหน้าจะทิ่มลงไปกระแทกของที่หล่นเกลื่อนพื้นจนบาดเจ็บ มองดูใบหน้านั้นก็เห็นว่ายังลืมตาอยู่แต่มีอาการคล้ายคนสะลึมสะลือ ทั้งที่ตากำลังจะปิดไม่ปิดแหล่ พอเห็นหน้าเขา เธอก็คว้าไหล่เขาหมับเหมือนพยายามกำไว้ให้แน่นที่สุดทั้งที่แทบไม่มีแรง ใบหน้าที่เคยตั้งตรงเถียงคอเป็นเอ็น บัดนี้โอนเอนไร้ทิศทางซบแนบลงบนไหล่อีกข้าง ปากพึมพำเรียกชื่อใครบางคนที่เขาเองก็ฟังไม่เข้าใจ

“ลักกี้ ฉันต้องบอกนายก่อนเรื่องเด็กสองคนนั้น”

“แทนจันทร์ แทนจันทร์” วีร์พยายามตะแคงหูฟังพลางเรียกชื่อนั้นซ้ำๆ “คุณว่าอะไรนะ คุณพูดกับใคร”

“ก็นายไงลักกี้ นาย...”

“ผมไม่ใช่ลักกี้” เขาบอกซ้ำ “ผมวีร์”

แล้วคนปฏิเสธก็ต้องกะพริบตาปริบๆ เมื่อจู่ๆ เจ้าของดวงตาที่แทบจะปิดอยู่แล้วนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขา ตอนแรกเจ้าของตากลมใสเหมือนตุ๊กตาเอียงคอมองเขาเหมือนพิจารณา แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นสายตาผิดหวังที่ทำเอาคนประคองถึงกับทำหน้าไม่ถูก เพราะไม่เข้าใจว่าการโดนมองด้วยสายตาเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร 

“วีร์...วีร์เหรอ” หญิงสาวกล่าวซ้ำๆ คล้ายไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอะไร คิ้วเรียวขมวดบอกความสับสนในตัวเอง “คุณรีบหนีไปก่อน ลักกี้บอกว่ามีคนร้ายกำลังมา ฉันจะไปหาลักกี้”

มือเล็กเกาะไหล่เขา พยายามใช้ร่างสูงเป็นที่ยึดดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล นักวิจัยหนุ่มมองอาการคนในอ้อมแขนอย่างไม่เข้าใจ เธอดูเหมือนจะมีสติแต่ขณะเดียวกันก็สับสน ที่แน่ๆ คือไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ดูจากมือไม้ที่ไร้เรี่ยวแรง ขาแทบยืนไม่ได้ พูดจาอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ สะลึมสะลือคล้ายคนง่วงนอน ดูไปคล้ายคนเมาไม่มีผิด 

คิดประมวลเหตุการณ์ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในงาน ก็ไม่คิดว่าหญิงสาวที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่จะมีเวลาไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดอาการเมาขนาดนี้ได้ จริงๆ ตลอดเวลาก็ไม่เห็นเธอจะดื่มอะไรด้วยซ้ำ 

นอกจาก...น้ำแก้วนั้น!

แก้วน้ำเปล่าที่เธอแย่งเขาไปกระดกรวดเดียวหมด

วีร์กลืนน้ำลายเสียงดังเมื่อนึกถึงแก้วน้ำเปล่าใสแจ๋วแก้วนั้น มองด้วยตาเปล่ามันดูไม่ได้มีอะไรผิดปกติจริงๆ สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ในชีวิตผ่านการวิจัยสารเคมีหรือตัวยาจำนวนมาก อาการแบบนี้ทำให้เขานึกถึงผลจากการใช้ยาประเภทหนึ่ง 

เหมือนโดนพวกยากล่อมประสาท 

แถมเป็นแบบขนานแรงเสียด้วย

“คนร้ายที่ไหน มีใครกำลังมา คุณพูดอีกทีซิ”

เขาจำใจต้องทิ้งคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้และกลับเข้าสู่ปัจจุบันเพื่อแก้ปัญหาตรงหน้าเสียก่อน เริ่มถามย้ำเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ออกจากปากนั้นเป็นความจริงที่เธอต้องการสื่อกับเขาหรือเป็นเพราะฤทธิ์ยาตัวใด เพราะดูเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนเข้ามาในคอนโดของเขาซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดี อีกอย่างทางเข้าห้องก็มีเพียงทางเดียวคือประตูหน้าซึ่งเป็นระบบล็อกอัตโนมัติ อีกทางที่เป็นประตูก็ไม่น่าจะใช้เป็นทางเข้าได้ เพราะมันคือประตูระเบียงห้องนอนนี่เอง

ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้คิดถึงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวว่าเธออาจจะพูดจาเลอะเทอะอะไรอีกแล้ว

 

กริ๊ก...

เสียงปลดล็อกของประตูหน้าดังขึ้นในความเงียบ ด้วยความที่มันเป็นประตูระบบอัตโนมัติ จึงทำให้มีเสียงชัดเจนมากเวลากลอนถูกปลดและผลักประตูออก

จากนั้นเพียงครู่เดียวก็ตามมาด้วยเสียงลูกบิดประตูห้องนอนถูกบิดเปิดจากด้านนอกดังแกร๊ก ประตูเปิดเข้ามาอย่างเบามือ ภายในห้องนอนมืดแต่ไม่สนิท แสงจากนาฬิกาดิจิทัลที่บอกเวลาว่าใกล้ตีสี่คือแสงเดียวที่สว่างรำไรในห้องนี้ ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบอย่างที่ควรเป็นเพราะมันคือเวลาหลับใหลของคนส่วนมาก จึงได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเบาๆ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่แขกไม่ได้รับเชิญอย่างเจ้าของร่างดำมืดใต้หมวกไอ้โม่งต้องการ ฝีเท้าเงียบกริบราวกับเงาค่อยๆ คืบเข้าไปใกล้เตียงนอนกลางห้องอย่างใจเย็น เป้าหมายคือร่างตะคุ่มของเจ้าของห้องบนที่นอน

มีดปลายแหลมถูกดึงขึ้นมาเตรียมพร้อม มันเดินเข้ามาจนชิดเตียง เงื้อเต็มเหยียดและจ้วงลงไปบนเตียงอย่างแรง

สวบ!

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่มันกระหน่ำแทงลงไปไม่ยั้งแบบตั้งใจให้ร่างนั้นหมดสิทธิ์มีชีวิตต่อไป มากกว่าสิบทีที่ปลายมีดแทงทะลุผ่านผ้าห่มหนา จนเมื่อคนแทงพึงใจก็กระชากผ้าห่มออก

ลมแรงที่พัดเข้ามาได้จังหวะพอดีทำให้เศษผ้าและเศษนุ่นของปลอกหมอนหนาที่ถูกวางให้นูนๆ แทนที่คนนอนฟุ้งกระจายปลิวว่อนเต็มหน้า แค่นั้นเสียงคำรามอย่างเคียดแค้นก็ดังลั่นห้อง เขาเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของลมก็เห็นประตูระเบียงเปิดทิ้งไว้กว้าง รีบพุ่งตัวออกไปดูก็ไม่พบใคร แต่เมื่อก้มลงไปมองด้านล่างก็เห็นว่าที่พื้นมีทั้งผ้าห่มและหมอนหลายใบกองอยู่คล้ายทำเป็นเบาะปูรอง ซึ่งความสูงแค่ชั้นสองนี้สามารถกระโดดลงไปได้อย่างปลอดภัย ไม่มีปัญหา

“โธ่เว้ย!” เขาสบถซ้ำ รีบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมา “มันหนีไปทางระเบียงแล้ว รีบตามเร็ว!”

 

ภาพคมมีดที่ถูกแทงลงไปไม่ยั้งทำให้คนที่แอบยืนดูถึงกับกลืนน้ำลาย นึกอยู่ว่าถ้าเป็นตัวเองนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอนนั่นก็คงไม่มีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้วเป็นแน่ วีร์หลับตาหันหน้าหนีถอยออกมาจากประตูตู้เสื้อผ้าทันทีเมื่อเห็นเงาดำขยับเข้ามาใกล้ที่ที่ตัวเองซ่อนอยู่ มันคือวินาทีเส้นตายที่ต้องกลั้นลมหายใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำไปย่ำมาอยู่หน้าตู้ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังเป็นกลองรัวในพื้นที่แคบๆ ของตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยข้าวของจนเหลือช่องให้ยืนคุดคู้ไม่พอแม้แต่จะหมุนตัว แถมมืดจนแม้แต่แขนตัวเองยังมองไม่เห็น เขาอดทนยืนนิ่ง คอยกระชับอีกร่างที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้เข้ามาแนบตัว กอดเธอไว้แน่นเพื่อไม่ให้พากันล้มและเหมือนยึดเธอเป็นที่พึ่งทางใจ

ได้ยินเสียงมือมีดพูดอะไรอีกหลายประโยค แต่เขาไม่ได้สนใจจับใจความหรือฟังว่ามันเป็นใครหรือพูดกับใคร ภาวนาเพียงอย่างเดียวคือขอให้มันออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด เขาอดทนจนเสียงมันเบาและไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะเงียบไปในที่สุด หวังว่าพวกมันจะหลงเชื่อตามแผนที่ตั้งใจเปิดประตูระเบียงทิ้งไว้และโยนหมอนผ้าห่มลงไปบางส่วนเพื่อให้พวกมันคิดว่าเขาหนีออกไปทางระเบียงแล้ว

“ลักกี้ ลักกี้”

“ชู่...” เขาขยับมือไปปิดปากคนที่ยืนอยู่ด้วยกันแทบไม่ทัน แต่ดูเธอไม่ได้สนใจจะให้ความร่วมมือเลย เริ่มดิ้นขลุกขลักจนเขาต้องเอ็ด “อย่าดิ้น!”

ยิ่งดิ้นก็ยิ่งต้องกระชับตัวเข้ามาแน่น ไม่เช่นนั้นเธอจะหล่นลงไปกองกับพื้น พออยู่ในความมืดที่ประสาทสัมผัสทางสายตาถูกตัดออกไป ประสาทด้านการสัมผัสจึงเด่นชัด ตอนเห็นก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนรูปร่างใหญ่ แต่เสื้อผ้าโคร่งหนาที่ชอบใส่พรางตาไว้หมดจนไม่รู้เลยว่าจริงๆ ตัวจะเล็กมากเพียงแขนข้างเดียวก็รวบเอวบางมาแนบตัวได้หมด ยิ่งทำให้ทึ่งว่าผู้หญิงตัวแค่นี้เป็นตำรวจจับปืนผาหน้าไม้ ตีรันฟันแทงกับผู้ร้ายได้อย่างไม่เกรงกลัว สมกับคำว่าเล็กพริกขี้หนูจริงๆ

แต่วันนี้แม่พริกขี้หนูกลายเป็นผักต้มอ่อนปวกเปียก นอกจากจะสู้รบตบมือกับใครไม่ได้ยังกลายเป็นภาระ พยายามดิ้นขลุกขลักด้วยความอึดอัดโดยไม่ได้รู้สถานการณ์เลย

“ลักกี้ๆๆ”

คนที่ปกติไม่ค่อยสนอะไรหน้าบึ้ง ยิ่งได้ยินชื่อนั้นก็ยิ่งหงุดหงิด สงสัยจริงว่าใครคือเจ้าของชื่อประหลาดที่ทำให้แม้ยามที่ร่างกายและสติไม่เต็มร้อย เจ้าของร่างก็ยังดิ้นรนอยากไปหาทุกลมหายใจ และเพราะพื้นที่แคบเหลือเกิน จึงทำให้วีร์ยื้อต่อไปไม่ไหว เขายื่นหน้าออกไปดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนอนจึงเปิดประตูตู้ออกมา 

“อย่าดิ้น” เขากระซิบดุเป็นครั้งที่ร้อยเมื่อคนตัวเล็กพลิกไปพลิกมาด้วยสีหน้าขัดใจ อยู่ไม่เป็นสุข ชายหนุ่มจึงตัดสินใจวางเธอลงบนเตียงเพราะจับไม่อยู่ พอวางปุ๊บแม่ตุ๊กตาล้มลุกตัวเล็กก็เอียงไปแหมะอยู่กับหัวเตียงราวกับไม่มีกระดูก

ดอกเตอร์หนุ่มวิจัยตัวยามามาก ศึกษาวิจัยการออกฤทธิ์ในตำรามาก็เยอะจนท่องจำได้ แต่ไม่คาดคิดว่าในชีวิตจริงจะต้องมาดูแลคนโดนฤทธิ์ยากล่อมประสาทแบบนี้ เขาปาดเหงื่อ ยืนตัดสินใจในความมืดสนิทที่ไม่ต่างจากความคิดในหัวตอนนี้ พยายามตั้งสติบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์จวนตัวครั้งแรกที่เจอ ค่อยๆ วิเคราะห์เหตุการณ์ดูว่า ถึงแม้พวกนั้นจะลงไปข้างล่างแล้ว เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าถ้าพวกมันหาเขาไม่เจอแล้วจะย้อนกลับขึ้นมาข้างบนอีกหรือไม่ ประตูล็อกอัตโนมัติหรือระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่เชื่อถือได้อีกต่อไป เขาบอกตัวเองว่าทางที่ดีเขาควรรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด 

แต่จะออกไปได้อย่างไรนี่สิปัญหา ขนาดตัวเขาเองยังไม่คิดว่าจะเอาตัวเองรอด และคราวนี้ไม่ได้มีแค่เขา ร่างที่นั่งเป็นผักอยู่นี่ละปัญหาใหญ่

“แทนจันทร์ แทนจันทร์” เขาทรุดตัวลงไปนั่งเบื้องหน้าหญิงสาวพร้อมเขย่าตัวเบาๆ “เอาอย่างนี้นะ ผมจะโทร. หาผู้กองจิณณ์ เราไปหาเขากัน”

“ไม่ได้!”

วีร์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ตอนแรกเขาคิดว่าที่เธอพูดเช่นนั้นอาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา เห็นตำรวจสาวพยายามต่อสู้กับตัวเองด้วยการเปิดตาและโงหัวลุกขึ้นมาคุยกับเขา แต่ทรงตัวไม่อยู่ จากที่ตั้งใจจะลุกขึ้นนั่งเลยกลายเป็นว่าหน้าคว่ำ ทำเอาคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าโผไปรับแทบไม่ทัน

ชายหนุ่มชะงักไปเมื่อคนตัวเล็กโถมมาหาเต็มอ้อมแขน หน้าใสเฉียดหน้าเขาไปเพียงนิดเดียวก่อนหมดแรงซบไหล่ แก้มเนียนนุ่มแนบคลอเคลียอยู่ข้างหู สองแขนคล้องคอเขาไว้เหมือนพยายามรั้ง กระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงสับสนแบบคนพยายามตั้งสติ

“ห้ามไปบอกใคร อย่าแจ้งตำรวจ ไม่ปลอดภัย อย่า...”

แม้คำพูดจะขาดเป็นห้วงๆ แต่เพราะความใกล้แบบไม่มีระยะห่างทำให้ได้ยินชัดเจน

“ขอร้อง เชื่อฉันเถอะนะ เชื่อฉันนะ เชื่อฉัน”

รู้ว่าเธอพยายามรั้งเขาสุดแรงด้วยแขนปวกเปียก ตอนแรกก็อ้ำอึ้งเพราะสิ่งที่เธอพูดขัดกับเจตนาที่อยากทำ ถ้าวิเคราะห์โดยหลักการ แม้แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าไม่ควรอย่างยิ่งที่คนมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจะเชื่อและทำตามคำพูดของคนที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยากล่อมประสาท แต่ครั้งนี้สมองเหมือนจะทำคะแนนได้ไม่ดีเมื่อถูกความรู้สึกบางอย่างในหัวใจตีตื้นขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกผิดที่เห็นสภาพคนตรงหน้า ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าเธอไม่ได้เป็นคนรับน้ำแก้วนั้นไป ป่านนี้คงเป็นเขาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่มีโอกาสมีลมหายใจอยู่แล้ว

ยากล่อมประสาทที่มีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับชนิดร้ายแรงนี้ถูกวางไว้สำหรับเขา มันคงกะจะปิดปากเขาอย่างง่ายดายขณะที่เขาหลับสนิท ซึ่งการที่คนวางแผนเกือบทำตามแผนสำเร็จในงานเลี้ยงที่มีตำรวจมากมายมารวมตัวกัน เขาก็ไม่คิดว่ากรมกองตำรวจไหนจะปลอดภัยแล้วเช่นกัน

ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่เขาใช้ใจตัดสินมากกว่าสมอง

“โอเค” เขายอมตามใจแบบไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน “แต่ยังไงเราต้องออกไปจากที่นี่กันก่อนนะ”

 

ดอกเตอร์วีร์ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เซรุ่มพูดความจริงที่ตนตั้งใจค้นคว้าขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคมจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในเวลาตีสี่ที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อน เขากลับเดินลับๆ ล่อๆ อยู่นอกห้องพักโดยประคองหญิงสาวไร้สติคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน จากท่าทางของเขา หากมีใครมาเห็นเข้าคงไม่สามารถคิดเรื่องดีๆ ได้เลยแน่ๆ

จุดหมายตอนนี้คือออกไปจากที่นี่ด้วยรถที่จอดไว้ที่ลานจอดรถใต้คอนโด เมื่อประตูลิฟต์เปิดก็รีบอ้อมมาด้านหลัง บรรยากาศในลานจอดรถเงียบวังเวงจนหายใจไม่ทั่วท้อง ก่อนที่เขาจะออกมาจากตัวอาคาร ชายหนุ่มก็ยื่นหน้าหันซ้ายหันขวา คอยระแวดระวังไม่ให้ไปเจอะคนที่หมายหัวเขาอยู่ จนเมื่อมองดีแล้วว่าไม่มีใครก็พยุงอีกคนออกมา โชคดีมากที่เธอตัวเล็กพอที่จะให้เขาเหลือแรงประคองตัวเอง จึงไม่ทุลักทุเลมากเท่าไรนัก 

เฮ้ย!

อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงรถที่จอดอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่หางตาเหลือบไปเห็นร่างในชุดดำเดินอ้อมมุมตึกเข้ามาในลานจอดรถพอดี วีร์รีบทรุดตัวลงข้างหลังรถคันหนึ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าคนอย่างน้อยสองคนก้าวเข้ามาในลานจอดรถ มั่นใจว่าถ้ายังอยู่ตรงนี้คงไม่รอดพ้นสายตาของผู้ประสงค์ร้ายแน่ๆ สมองของนักวิจัยแม้ไอคิวจะสูง แต่สถานการณ์ที่กดดันขนาดนี้ทำให้มันตื้อตันไปหมด เหลือเพียงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เท่านั้นที่ขับเคลื่อนให้หาทางไปต่อให้ได้

สายตาเหลือบไปเห็นรถกระบะคันเก่าที่ข้างหลังต่อเป็นตู้ทึบจอดอยู่ไม่ไกลหน้าร้านอาหารใต้คอนโด ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ที่ประตูตู้เปิดไว้หนึ่งข้าง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นทางรอดทางเดียวในตอนนี้ เขาตัดสินใจอุ้มตุ๊กตาล้มลุกไร้สติขึ้นมา พยายามมุดๆ ก้มๆ ตรงไปที่รถคันนั้น หันซ้ายหันขวา เมื่อไม่เห็นใครก็อุ้มร่างนั้นเข้าไปวางก่อน แล้วรีบปีนตามเข้าไปหลบในตู้ท้ายรถกระบะคันนั้น 

ด้านในตู้นั้นค่อนข้างรก เต็มไปด้วยตะกร้า กล่อง วางเทินกันสูงท่วมหัวระเกะระกะ แต่ยังพอมีที่ให้เบียดตัวซุกลงไป เขาพาหญิงสาวเบียดตัวเข้าไปหลังบานประตูที่ปิดไว้ อาศัยเงาของกล่องนั้นช่วยบังตัว

“ที่นี่...”

วีร์หน้าเสีย รีบเอามือตะครุบปิดปากเล็กที่จู่ๆ ก็โพล่งถามขึ้นมาแทบไม่ทัน หัวใจเต้นเป็นกลองรัว เพราะไม่มั่นใจว่าเจ้าของเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่รอบๆ นั้นจะได้ยินและสงสัยหรือไม่ว่าเขาหลบอยู่ใกล้ตัวแค่นี้

“มีอะไรมั้ยไอ้หนุ่ม” 

เสียงผู้ชายวัยกลางคนดังขึ้นข้างรถ ก่อนจะมีเงาพาดมาหน้าประตู กล่องโฟมเก็บความเย็นกล่องใหญ่ถูกโยนเข้ามาแบบไม่ได้สนใจตำแหน่ง ก่อนคนโยนจะเอื้อมมือไปคว้าประตูตู้และปิดมันลงโดยไม่ได้สงสัยสักนิดว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่หลังรถตัวเอง หัวใจที่ลุ้นระทึกแทบจะเต้นออกมานอกอก วีร์ก้มหน้านิ่งในความมืด ทำได้เพียงกระชับร่างในอ้อมกอดที่แม้จะไม่มีสติ แต่กลับเป็นที่พึ่งทางใจที่ดีที่สุดที่ทำให้เขามีแรงดิ้นรนต่อไป เพราะรู้ว่าตัวเองจะเป็นคนเดียวที่ปกป้องเธอได้

“เห็นผู้ชายสูงๆ ขาวๆ เดินผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ยลุง”

“โอ๊ย! จะไปเห็นใครวะ ข้าเพิ่งออกมาจากในครัว” 

เสียงชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของรถตอบแบบไม่สนใจ ตามมาด้วยเสียงลงกลอนประตูตู้ดังเอี๊ยดอ๊าด สักพักก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถของคนขับและเสียงสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนที่วีร์จะรับรู้ผ่านช่องหน้าต่างลูกกรงซี่เล็กๆ บนเพดานว่ารถกำลังเคลื่อนตัวออกไป 

หลังจากรถออกตัวมาได้สักระยะก็ดูยังไม่มีอะไรผิดปกติ ชายหนุ่มค่อยๆ ผ่อนลมหายใจที่กลั้นไว้อย่างโล่งอก 

รอดแล้ว...

ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าจะได้ราชรถขนของมาเป็นยานพาหนะฉุกเฉินที่ช่วยให้รอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิดเช่นนี้ โชคดีที่ตู้ท้ายรถกระบะมีช่องหน้าต่างเป็นซี่ตาข่ายยาวอยู่ด้านบนจึงทำให้มีอากาศหายใจสะดวก ด้วยความที่ยังเป็นพื้นที่ในเมือง จึงมีแสงจากไฟถนนเล็ดลอดเข้ามา แต่ก็มองเห็นอะไรไม่ได้มากนักนอกจากสิ่งใกล้ตัวเท่านั้น 

แต่แค่ครั้งนี้รอดมาได้ก็โล่งใจ เขาเป็นนักวิจัย ไม่ใช่ตำรวจ ไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์เสี่ยงตายแบบนี้ ต้องขอบคุณสติและความใจเย็นของตัวเองที่ทำให้รอดมาได้อย่างหวุดหวิด หมดแรงและไม่ได้อยากคิดต่อว่ามันจะพาเขาไปหยุดที่ไหน ตอนนี้นึกเพียงอย่างเดียวว่าอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไป

“ลักกี้”

วีร์ส่ายหัวกับปัญหาเดียวที่เหลือในตอนนี้ นั่นก็คือตำรวจสาวที่วันนี้หมดฤทธิ์สิ้นลาย นั่งคอพับคออ่อนอยู่ข้างๆ 

‘ทำไมต้องเรียกแต่ชื่อนี้ ใครกันลักกี้ แฟนเธอหรือไง’

เขาอดสงสัยไม่ได้ แล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมต้องหงุดหงิดใจเมื่อได้ยินเธอเรียกชื่อนี้ซ้ำๆ ซากๆ ยิ่งได้ยิน...สมองระดับดอกเตอร์ที่มีช่องเก็บข้อมูลมากกว่าคนทั่วไปก็เริ่มรื้อข้อมูล และนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินแทนจันทร์เรียกชื่อนี้ต่อหน้าเขา ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าเธอมักจะชอบเรียกเขาด้วยชื่อนี้และมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ 

จังหวะที่รถเบรก คนคอพับที่ทรงตัวไม่ดีอยู่แล้วก็เลยหัวโขกกองลังดังโป๊ก

“โอ๊ย!”

หยุดสงสัยไปก่อนเพราะต้องรีบไปคว้าตัวอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ก่อนที่เธอจะโวยวายต่อ เขาก็ต้องรีบเอื้อมมือไปปิดปากพร้อมใช้แขนอีกข้างโอบทั้งไหล่ทั้งหัวเข้ามาหาตัวก่อนที่เธอจะเอียงไปฟาดอะไรให้แตกหักอีก

“ฉันเจ็บอะลักกี้”

คนที่กลายเป็นเด็กน้อยไปแล้วงอแงอู้อี้ เขาอยากจะดุก็พูดไม่ออก เพราะเห็นอาการมึนงงคล้ายเด็กที่งัวเงียลุกขึ้นมาจากที่นอนตอนเช้า นั่งคลำหัวตัวเองป้อยๆ ปากเบะแล้วก็นึกสงสาร กระชับร่างนั้นแนบตัว ความมืดซึ่งลดการรับรู้ทางสายตาทำให้เขาไม่รู้สึกเหมือนกำลังโอบไหล่ตำรวจสาวคนเก่ง แต่เป็นการโอบไหล่ปลอบประโลมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เหมือนจะเก่งกาจกล้าหาญ แต่ก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ ความทรงจำวัยเด็กที่แม้ไม่ได้ตั้งใจใส่กุญแจล็อกเอาไว้ แต่กาลเวลาก็ปิดผนึกเก็บมันไว้อย่างดีในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ส่วนที่ไม่เคยมีใครเข้าไปถึง 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกแบบนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้ที่ทำให้ความรู้สึกแบบนี้วิ่งเข้ามาในใจ 

“ลักกี้ เรากำลังจะไปไหน”

เพราะเริ่มกลัวใจตัวเองเหมือนกัน เขาจึงรีบต่อต้าน ทำให้เสียงที่ออดอ้อนแบบเด็กๆ นั้นไม่ได้ผล บวกกับการที่คนฟังไม่พอใจที่ถูกเรียกชื่อเป็นอีกคนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ผมไม่ใช่ลักกี้”

“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็เห็นอยู่ว่าเป็นนาย”

วีร์หน้าเหลอ ขยับตัวหนีแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆ แม่ตัวดีก็ดีดดิ้นโวยวาย เอามือสองข้างมาจับหน้าเขาก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อพิจารณาภาพตรงหน้า 

“ทำไมต้องโกหกด้วย นี่นายตั้งใจจะเอาคืนฉันใช่มั้ย”

ไม่ทันได้เถียงก็ถูกคนพูดเก่งย้อนเข้าให้ แม้สติสตังไม่ปกติ แต่ความสามารถในการจ้อของเจ้าตัวดูจะไม่ได้ลดลง แถมเพิ่มขึ้นหลายเท่าด้วยซ้ำ

“เออ...ใช่ ลักกี้ก็ลักกี้ ผมเอง” ทั้งที่หงุดหงิด แต่วีร์ก็ต้องยอมเออออไปก่อนที่เสียงอ้อแอ้นั้นจะดังไปมากกว่านี้ เขายังไม่อยากถูกไล่ลงจากรถกลางทางทั้งที่เพิ่งหนีออกจากคอนโดมาได้ไม่นาน

คนรับยอมรับแบบส่งๆ แต่กลายเป็นที่ถูกใจของคนได้ยิน พอเขายอมรับปุ๊บ เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างคล้ายเด็กถูกใจของเล่นใหม่ ก่อนจะทำสิ่งที่คนที่เคยประกาศชัดเจนต่อหน้าว่าชอบความเป็นส่วนตัวต้องอึ้ง คือหันหน้ามาสวมกอดเขาไว้แน่นเหมือนเด็กกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรด น้ำเสียงยามถามกลับบ่งบอกความคิดถึงแบบไม่ปิดบัง

“นายหายไปไหนมา ฉันนึกว่านายจะโกรธจนไม่มาหาฉันแล้ว”

นั่นยิ่งทำให้วีร์ถึงกับขมวดคิ้วกับความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างนายคนที่ชื่อลักกี้กับหญิงสาว คิดได้ทางเดียวว่าถ้าคิดถึงกันขนาดนี้คงเป็นมากกว่าคนรู้จักหรือเพื่อนธรรมดาแน่ๆ คนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องคนอื่นถึงกับสงสัยและอยากเห็นหน้าขึ้นมาทันทีว่า นอกจากผู้กองจิณณ์แล้วยังมีคนแบบไหนกันที่ทำใจชอบม้าดีดกะโหลกแบบนี้ได้ 

“ทำไม ผมจะไปโกรธคุณเรื่องอะไร” เขาไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะอยากรู้ตัวตนของคนคนนี้ถึงขนาดใช้โอกาสที่ได้สวมรอยเป็นเขาหลอกถาม 

“ฉันไม่ได้อยากโกหกนายจริงๆ นะลักกี้ ฉันรู้สึกผิดต่อนาย รู้สึกแย่มากจนฉันคิดว่าฉันเก็บเอาไปฝันเลย”

‘หึ...’ ชายหนุ่มนึกในใจ ไม่คิดว่าแม่ตัวดีที่บุกน้ำลุยไฟถล่มคนร้ายจะมีอารมณ์คิดถึงแฟนขนาดฝันถึงกันด้วย

“คุณฝันถึงผมเหรอ ฝันว่าอะไรล่ะ”

วีร์รีบบอกตัวเองว่าที่ถามต่อนั้นไม่ได้อยากรู้ แค่นึกสนุกขึ้นมาเฉยๆ แอบหวั่นใจเล็กน้อยที่ตอนแรกเห็นว่าจู่ๆ เธอก็นิ่งไปไม่ตอบ เริ่มกลัวว่าหากเธอได้สติรู้ตัวขึ้นมาตอนนี้จะทำอย่างไร เพราะเขาเองก็ยังไม่อยากเสียหน้าที่กำลังสืบเรื่องส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ก็ค่อยๆ คลายความกังวลนั้นไปได้ เมื่อเธอคลายวงแขนออกแล้วร่วงมาซบแหมะที่ไหล่ขณะที่ตายังปิดอยู่ 

“ฉันฝันเห็นภาพเหมือนที่นายบอก” แทนจันทร์กระซิบ “ฉันจำได้แล้ว ฉันเห็นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง พวกเขาต้องเป็นคนที่นายเล่าให้ฉันฟังแน่ๆ”

เธอกำลังพูดถึงอะไร

“ฉันรู้สึกคุ้นมาก คุ้นมากจริงๆ คุ้นกับพวกเขาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน ฉันเห็นพวกเขาติดอยู่ในบ้าน บ้านไฟไหม้ทั้งหลัง มันน่ากลัวมาก”

ไฟไหม้หรือ

ชายหนุ่มผู้ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวที่เธอพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจว่าเธอพูดออกมาจากความทรงจำส่วนไหน เป็นเพียงความทรงจำหรือว่าเป็นสิ่งที่พบมาจริงๆ แต่เนื้อหาของเรื่องทำให้เขาต้องหยุดคิดบางอย่าง เมื่อก้มลงมองใบหน้านั้นก็เห็นว่าเธอหลับตาแน่น ขมวดคิ้วคล้ายกำลังดำดิ่งเข้าไปในความฝันอันแสนน่ากลัวเพื่อพยายามนำมาบอกเล่าให้ลักกี้ฟัง นึกสงสัยด้วยความไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเธอต้องพยายามฝืนตัวทำขนาดนั้น 

“แล้วคุณเห็นอะไรอีก”

บางอย่างสะกิดให้เขาถามต่อ จากที่นึกสนุกกลายเป็นอยากรู้จริงๆ เขาอยากฟังเรื่องราวนั้นต่อ ทั้งที่รู้อยู่ว่าความฝันของคนเกิดจากจิตสำนึกที่ฝังแน่นกับอะไรบางสิ่ง ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ว่ากันไปหลายแขนงว่า ความฝันนั้นเป็นกระบวนการจัดการความจำของสมอง ความฝันเป็นผลกระทบจากความคิด ความเครียด อารมณ์ หรือสิ่งที่เคยพบเห็น ความฝันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีและกระแสไฟฟ้าภายในสมอง แต่ไม่ว่าจะด้วยคำจำกัดความใด ก็ไม่ควรเอาความฝันมาเป็นสาระใดๆ ในชีวิตจริงได้

“มันเหมือนฉันสัมผัสได้ ไฟร้อนมาก ร้อนเหมือนจะเผาตัวฉันไปด้วย” เปลือกตานั้นสั่นน้อยๆ อย่างสับสนขณะเล่า “ฉันเห็นเด็กผู้หญิง ฉันรู้ว่าเธอหาทางออกไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน” 

ไหล่นั้นสะท้าน ทำให้รู้ว่าเธอฝังลึกอยู่กับความฝันจนส่งผลเลวร้ายต่อสภาพจิตใจ เป็นครั้งแรกที่วีร์สัมผัสได้ว่าความรู้สึกบางอย่างของตัวเองที่มีต่อคนในอ้อมแขนเปลี่ยนไป จากที่เคยมองว่าแทนจันทร์เป็นผู้หญิงประหลาด ใจกล้าบ้าบิ่น แถมเจ้าเล่ห์ แสบเป็นพริกขี้หนู แต่วันนี้เธอกลับตัวเล็กลงเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ภายในใจก็มีความหวาดกลัว อ่อนแอ และต้องการหาที่พึ่งเมื่อตัวเองเจอสิ่งที่รับมือไม่ได้ เขายกมือใหญ่ขึ้นโอบไหล่นั้นไว้พร้อมลูบปลอบเบาๆ กอดกระชับร่างที่กำลังสั่นเข้ามาไว้กับตัว 

“มันน่ากลัวมากจริง ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย”

“ไม่มีอะไร คุณก็แค่ฝัน” วีร์รู้ตัวว่าควรพอได้แล้วกับการแอบลอบถามข้อมูลในวันนี้ เขายินดีที่จะหยุดเอง ไม่อยากรู้อีกต่อไปแล้วว่าลักกี้เป็นใคร เหตุผลเดียวเพราะไม่อยากเห็นดวงหน้าซีดนั้นทรมานอยู่กับภาพในหัวอีก

“ลักกี้...”

น้ำเสียงแสนอ่อนโยนแบบที่เขาไม่เคยได้ยินจากตำรวจสาวทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เข้าใจว่าคืออะไรเข้าจู่โจมหัวใจ เพราะไม่เคยเกิดอาการแบบนี้จึงหาคำมาบัญญัติไม่ได้ เหมือนปฏิกิริยาทางเคมีชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นจากการทดลองโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดจากสิ่งใด แต่เท่าที่สัมผัสได้ หัวใจเหมือนจะพองโตด้วยความดีใจที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่พึ่งของใครได้ แต่ในขณะที่มันพองเป็นลูกโป่งคับอก ก็มีรูรั่วเล็กๆ จนรู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าคนที่เธอไว้ใจไม่ใช่เขา 

ทำใจยอมรับทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้น 

“นายเชื่อใช่มั้ยว่าฉันพูดความจริง”

“เชื่อสิ” เขาตอบแบบไม่คิดสักนิดราวกับโดนยากล่อมประสาทจากร่างบางนี้ทำลายสติและจิตสำนึกไปจนหมด

“ฉันไม่ได้อยากโกหกใครเลยจริงๆ นะ ฉันไม่ได้อยากเป็นคนขี้โกหก”

“ผมเชื่อ”

“ถ้าคนนั้นเขาเชื่อฉันเหมือนที่นายเชื่อก็น่าจะดีสิเนอะ”

วีร์เลิกคิ้ว รู้ทันทีว่า ‘เขา’ คนนั้นหมายถึงใคร ไม่รู้ว่าควรจะดีใจดีหรือไม่ที่อย่างน้อยก็ยังมีตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ในความทรงจำที่รางเลือนของเธอด้วย 

“ดอกเตอร์นั่นแย่มาก ใจร้าย ใจดำ อำมหิต”

แต่ดูจะเป็นในส่วนของจิตใต้สำนึกด้านลบอย่างไม่ต้องสงสัย

“เขาชอบว่าฉันโกหก ทั้งที่เขาไม่เคยถามฉันสักคำว่าทำไมฉันถึงพูดความจริงไม่ได้”

คำพูดนั้นสะกิดใจดำๆ ให้สะดุ้งแรงๆ ได้เหมือนกัน

“ทำไมเขาไม่ใจดีได้สักครึ่งของนายนะลักกี้”

จากแสงไฟถนนสีส้มที่พอจะเล็ดลอดเข้ามาทางหลังคา วีร์เห็นชัดว่าแทนจันทร์เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มและแววตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือแววตาของความมั่นใจ วางใจ และอุ่นใจ ยิ่งหลังจากรอยยิ้มนั้น หญิงสาวก็ขยับมาทิ้งตัวลงพิงอก มือเล็กวางอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจ ก่อนจะค่อยๆ ถอนหายใจยาวเบาๆ และนิ่งไปราวกับได้วางทุกสิ่งทุกอย่างลงแล้วอย่างอุ่นใจที่สุด

ซึ่งทุกการกระทำทุกอย่าง ทั้งรอยยิ้ม แววตา และการไว้วางใจนั้น เธอไม่ได้มอบให้เขาแน่นอน แต่ทั้งหมดนั้นคือความรู้สึกที่เธอมีต่อคนที่ชื่อลักกี้แต่เพียงผู้เดียว 

“ดอกเตอร์นั่น เขาคงแย่มากสินะ” ชายหนุ่มแค่นยิ้มเย้ยหยันตัวเองในความมืด

“ใช่ แย่มาก มากจริงๆ”

เขาไม่เข้าใจเรื่องราว ยิ่งกว่านั้นคือไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งที่โดนว่าราวกับเอาตะปูมาตอกหน้าแบบนี้ ทำไมถึงยังอยากประคองร่างนั้นไว้ในอ้อมแขนต่ออีก

“ทำไมฉันง่วงนอนขนาดนี้ เวียนหัวมากด้วย” อีกฝ่ายเริ่มบ่นด้วยน้ำเสียงอิดโรย

“พักผ่อนเถอะ” วีร์กล่าวสั้นๆ ตบไหล่ราวกับปลอบเด็กน้อย รู้ว่าเธอคงเหนื่อยมามากแล้วกับการต่อสู้กับฤทธิ์ยา 

“ไม่อยากนอนเลย ไม่อยากฝันร้าย”

ดอกเตอร์หนุ่มซบคางลงกับหน้าผากเธอ ก่อนเอ่ยเบาๆ แบบที่ไม่เคยกล่าวกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน 

“ไม่เป็นไร ผมอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”

ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ลักกี้ แต่ในค่ำคืนนี้...เขาคิดว่าเขาปกป้องเธอได้ดีกว่านายนั่นแน่นอน

“ขอบใจนะ ลักกี้”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น