8

บทที่ ๘

บทที่ ๘

 

แทนจันทร์นั่งกระดิกขาอยู่บนเตียงในชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขายาวย้วย กอดหมอนข้างเท้าคาง สายตาเหลือบมองนาฬิกาปลายเตียงก็เห็นว่าเข้าวันใหม่ไปสักพักใหญ่แล้ว แต่สองตายังเบิกกว้างไม่ง่วง เพราะวันนี้ตั้งอกตั้งใจมากที่จะรอบางสิ่งบางอย่าง 

การรอบางสิ่งบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร กำหนดไม่ได้ยิ่งกว่าลมเพลมพัด ไม่รู้เวลา ไม่รู้วัน มันทำให้ทุกวินาทีดูน่าหงุดหงิด แต่คนรอเป็นคนมีเจตนามุ่งมั่นว่าถ้าทำอะไรก็ต้องลงมือทำให้สำเร็จ ความมุมานะส่งผ่านสายตาพร้อมบอกตัวเองว่าอย่างไรเธอก็ต้องพบเขาให้ได้

ใกล้เวลาแล้ว เวลาประมาณนี้แหละ...

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กลายเป็นว่าพบบ่อยจนพอกะเวลาที่เขาจะมาได้ ไม่รู้เมื่อไรที่คุ้นชินจนตั้งท่ารอรับแบบมั่นใจว่าเขาจะมา 

ท่ามกลางความเงียบสงัดยามดึกที่ผู้คนส่วนมากเข้าสู่นิทราไปแล้ว สายลมอ่อนพัดม่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ให้ขยับไหวเบาๆ พาเอากลิ่นหอมของน้ำหอมผู้ชายที่เป็นกลิ่นประหลาดดูลึกลับ เพราะมันหอมละมุน ไม่แรงหรือฉุนจมูกมาด้วย นั่นจึงทำให้เธอจำได้แม่นและกลายเป็นกลิ่นที่เริ่มคุ้นเคย และเมื่อหันมามองข้างเตียงอีกที ร่างนั้นก็ปรากฏสู่สายตา

“มาแล้วเหรอ นายตัวดี!”

จากที่เมื่อก่อนหญิงสาวจะร้องลั่น ควานหาผ้าห่มมาปิดตา ตอนนี้ความสามารถของเธอพัฒนามาไกลแล้ว เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่การถูกผีหลอกแบบแลบลิ้นปลิ้นตา แต่มันคือการหลอกให้เธอหน้าแตกซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่ต่างหาก

“นี่ผมตาฝาดไปรึเปล่า” ลักกี้อมยิ้มถามเหมือนไม่มั่นใจในภาพที่เห็น “คุณนั่งรอผมอยู่เหรอ”

“ใช่”

“ผมนึกว่าผมมาหาคุณบ่อยๆ แล้วคุณจะเบื่อผมแล้วซะอีก”

หญิงสาวไม่สนท่าทางดีใจอย่างออกนอกหน้านั้น รอยยิ้มนุ่มนวลที่มักเคยชอบแอบมองเพราะดูสบายตาเหมือนคนใจดีก็ถูกเมินไปด้วย เรื่องความกลัวนั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะเห็นหน้ากันจนชินตา ชินจนขนาดย่างสามขุมเข้าไปหาแบบไม่มีความเกรงกลัวใดๆ

“วันนี้นายหายไปไหนมา”

ลักกี้กะพริบตาปริบๆ เมื่อจู่ๆ ก็โดนกระทิงดุหายใจฟืดฟาด เตรียมเอาเขาพุ่งขวิด

“ผมไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นเหมือนเดิมเลย เวลาที่ผมหายไป ผมจะรู้สึกเหมือนมีลมแรงมากๆ พยายามดึงผมไปที่ไหนสักที่” ผีหนุ่มระลึกความทรงจำย้อนกลับไปเมื่อตอนกลางวันที่ตัวเองรู้สึกโดนลมพัดครั้งล่าสุด คิดไปคิดมาก็ร้องเหมือนนึกขึ้นมาได้ “ใช่! คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย ผมจำได้แล้ว ผมเห็น...ผมเห็นรถคันนึงพุ่งเข้ามาใส่คุณ ผมตะโกนบอกคุณแล้วแต่ไม่ทัน”

เขากระวีกระวาดหน้าตื่นเข้ามาหา ตาโตเมื่อเห็นปลาสเตอร์สีขาวตามแขนขาของหญิงสาว

“บาดเจ็บตรงไหนบ้าง ไปหาหมอมารึยัง”

คำถามรัวเร็วยังไม่มากเท่าสีหน้าของผีที่เป็นห่วงยิ่งกว่าคำพูด

“ฉันไม่ได้ไปหาหมอ” แทนจันทร์สวนหน้างอ

“อ้าว! แล้วใครทำแผลให้คุณ”

คำถามที่ว่าใครเป็นคนทำแผลให้เหมือนน้ำมันที่ราดลงไปในกองเพลิง ทำให้ต่อมโมโหพุ่งปรี๊ดขึ้นมาโดยที่คนพูดที่ยืนทำท่าสบายใจไม่ได้รู้ตัว

“แต่ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ตอนแรกผมนึกว่าจะได้ไปเจอคุณที่โรงพยาบาลซะอีก”

“ตัวฉันน่ะไม่เป็นไร แต่หน้าฉันเนี่ยแตกหมอไม่รับเย็บเลย” เจ้าของห้องเริ่มพาลด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นมาตั้งแต่ตอนกลางวัน “เพราะนายคนเดียวเลยรู้มั้ย นายจะมาๆ หายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ” 

ยิ่งเห็นหน้าซื่อๆ ใสๆ ก็ยิ่งโมโห นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายผีนี่จู่ๆ ก็หายไป ทำให้เธอสับสนว่าคนไหนคน คนไหนผี อย่างเช่นเหตุการณ์ในวันนี้ ถ้าลักกี้ไม่มาๆ หายๆ เธอก็คงไม่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อและดูเป็นตัวตลกให้นายดอกเตอร์คนนั้น ความโมโหยิ่งทวีคูณ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอสับสนกับเรื่องบ้าๆ นี่จนเสียงานเสียการโดนพักงานมาแล้ว

ยิ่งพอคิดถึงสีหน้านิ่งเฉยและสายตาที่มองเธอเหมือนตัวตลกแล้วก็ยิ่งโมโห แถมยังบอกคนอื่นหน้าตาเฉยอีกว่าโดนเธอคุกคาม ความโมโหที่สะสมมาทั้งวันพาลมาถึงผีที่ดันหน้าเหมือนกันทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร

“แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะมาหรือจะไปตอนไหน”

“นี่ชีวิตนายรู้อะไรบ้างฮะ” แทนจันทร์เท้าเอว มองหน้าแบบเอาเรื่องด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ “จะมาตอนไหน จะไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตัวเองเป็นใครก็ไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้”

ตาสีอัลมอนด์ที่เมื่อกลางวันมองเธอแบบผู้คุกคาม ตอนนี้กลับเศร้าแบบไม่เข้าใจ ผีหนุ่มหน้าหงอยลง ดวงตาที่เคยเป็นประกายหลุบต่ำ

“ผมขอโทษ คุณตำรวจ ผมพยายามนึกแล้ว แต่นึกอะไรไม่ออกจริงๆ”

“ถ้าวันหลังจะมาๆ หายๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าเลยนะ ประโยชน์อะไรก็ไม่ทำ วันๆ สร้างแต่ปัญหาให้ฉันเนี่ย”

ความเงียบกระจายเป็นเมฆหมอกปกคลุมห้องเล็กๆ มันปกคลุมด้วยบรรยากาศไม่เข้าใจ แต่เต็มไปด้วยอารมณ์และความอ่อนไหว กระทบถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างวิญญาณกับคนที่เชื่อมหากันด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครอาจเข้าใจ รู้เพียงว่ามันเปราะบางมากพอที่จะทำให้ความรู้สึกของแต่ละฝ่ายเปลี่ยนไป

ดวงตาสีอัลมอนด์คู่นั้นหลุบต่ำ ด้วยนิสัยเดิมที่ไม่ได้ถนัดพูด จึงไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาขยับถอยออกไปก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจ

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าผมทำอะไรให้คุณโกรธ” ลักกี้เอ่ย “แต่ถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจขนาดนั้น ผมต้องขอโทษด้วยละกัน”

สายลมอ่อนๆ พัดผ่านใบหน้าอีกครั้ง และแทนจันทร์ก็ไม่เห็นร่างนั้นอีกแล้ว ทิ้งไว้แต่กลิ่นอายของความน้อยใจลอยปะปนอยู่กับความโมโห ปล่อยให้ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนแห่งความขุ่นหมองใจที่คงไม่หายไปโดยง่าย แม้จะเป็นในยามหลับก็ตาม

 

ร้อน ร้อนมาก ร้อน 

รอบตัวคือกองไฟที่กำลังลุกโชนแผดเผาทุกสิ่ง เฟอร์นิเจอร์ในห้องซึ่งส่วนมากเป็นไม้เป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ไฟเริ่มลามไปยังผ้าม่านที่มอดไหม้เป็นจุณภายในพริบตา และลุกท่วมไปถึงคานโครงสร้างที่ทำจากไม้ มันโหมลุกเปลี่ยนทั้งห้องให้เป็นทะเลเพลิงที่ล้างผลาญทุกสิ่ง

เด็กหญิงผมแกละล้มลุกคลุกคลาน สองเท้าวิ่งไปข้างหน้า แต่ดวงตาคู่กลมที่เบิกกว้างและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวคอยหันไปมองข้างหลังตลอดเวลา สองแก้มเต็มไปด้วยเขม่าควันและคราบน้ำตา เด็กน้อยทั้งขวัญเสียและตกใจ ตอนนี้ทางออกถูกไฟปิดไว้ เธอจึงทำได้แค่วิ่งเข้าไปหลบใต้โต๊ะไม้ที่กำลังจะมอดไหม้ในไม่ช้า กอดสองเข่าแน่นและก้มหน้าหนีอย่างน่าเวทนา 

‘ช่วยด้วย’

เสียงเล็กที่ตะโกนจนแหบแห้งถูกกลืนหายไปในกลุ่มควัน และต่อมาก็ถูกกลบด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่า

โครม! 

‘ตัวเล็ก!’

ดวงตากลมโตที่แทบลืมไม่ขึ้นเพราะควันไฟหนาทึบพยายามมองฝ่าความร้อนไปตามเสียงเรียก ทั้งควันไฟและน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความกลัวทำให้ภาพเบลอจนไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าเป็นความจริงหรือไม่ จนกระทั่งเห็นชัดเมื่อมือหนึ่งยื่นเข้ามาหาเธอ

‘ไปเร็วตัวเล็ก พี่มารับแล้ว’

เด็กชายร่างสูงกว่าทรุดตัวลงนั่ง เขาถอดเสื้อคลุมตัวเก่งออกมาคลุมตัวเธอไว้ ใบหน้าของเขาเปรอะเปื้อนเขม่าควัน แต่เธอก็ไม่มีวันจำเขาไม่ได้ เพราะสร้อยสีเงินที่มีวงแหวนสีขาวคล้องห้อยติดคอนั้นเด่นชัด แค่นั้นเด็กหญิงก็ยิ้มแก้มแทบปริ

‘พี่ไปอยู่ไหนมา รู้มั้ยว่าตัวเล็กกลัวแค่ไหน ตัวเล็กนึกว่าพี่จะทิ้งตัวเล็กแล้ว’

คนเป็นพี่โอบไหล่บางพลางดึงให้ลุกขึ้น

‘พี่ขอโทษ พี่จะทิ้งตัวเล็กได้ยังไง’ เขาย้ำพร้อมรอยยิ้ม ‘เรารีบออกไปกันเถอะ’

‘แล้วพี่อีกคนล่ะ เขาอยู่ไหน’ เสียงเล็กถามกลัวๆ เมื่อมองไม่เห็นอีกคนที่ควรตามมาด้วยกัน 

‘พี่จะพาตัวเล็กออกไปก่อน แล้วเราค่อยไปตามคนมาช่วยเขากันนะ’

คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเมื่อได้รับคำอธิบาย แต่ปากเริ่มเบะด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ มองเปลวไฟรอบตัวแล้วก็ขยับเกาะแขนอีกคนแน่น คนเป็นพี่แม้จะไม่แน่ใจในทางรอด แต่ก็กุมอีกมือไว้ เจ้าของดวงตาคู่นั้นหันกลับมาพร้อมพยักหน้าให้ความมั่นใจ

‘ไม่ต้องกลัวนะ พี่สัญญาแล้วว่าพี่จะพาเราออกไปจากที่นี่ให้ได้’

 

รถหรูทยอยเลี้ยวกันเข้ามาจอดที่ประตูทางเข้าอาคารห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูทำเลพันล้านใจกลางเมือง ส่วนมากล้วนเป็นรถยุโรปราคามากกว่าเจ็ดหลัก รถนำเข้ารุ่นพิเศษ หรือรถตู้วีไอพีที่ตราบนกระจกหน้าสามารถผ่านได้ทุกประตูโดยไม่ต้องตรวจสอบ ระดับของรถและความหรูหราของโรงแรมสามารถบ่งบอกฐานะวีไอพีของแขกผู้ร่วมงานได้ดี

ระบบรักษาความปลอดภัยรอบโรงแรมในวันนี้เข้มงวดกว่าทุกวัน ตั้งแต่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่กระจายกันอยู่ทุกประตู รวมถึงมีการขอกำลังและความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย รวมถึงตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบที่กระจายกำลังรอบๆ อย่างเตรียมพร้อม 

แทนจันทร์ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ อีกไม่ถึงสิบนาทีจะสองทุ่ม เธอเงยหน้ามองรถหรูที่วนเข้ามาจอดคันแล้วคันเล่า ขยับชุดสูทสีดำซึ่งเป็นเครื่องแบบสำหรับร่วมงานวันนี้ด้วยความอึดอัดและไม่คุ้นเคย ก่อนจะทำสิ่งที่ไม่น่าทำที่สุดระหว่างการตั้งแถวเพื่อรอรับรถของเจ้านายระดับวีไอพี นั่นก็คือ...

ปิดปาก แล้วหาว

“ถ้าจะหาวขนาดนี้ กลับบ้านไปนอนมั้ยพี่” แม้หน้าจะไม่ได้หันมาเพราะอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องตั้งแถวเป๊ะเป็นระเบียบ แต่เสียงของเจ้าต่อเวรต่อกรรม ลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างตัวก็ลอยมาเข้าหูแบบเข้าใจอาการลูกพี่แม้ไม่ต้องมองหน้ากัน 

“เออ โทษทีว่ะ ง่วงจริงๆ ช่วงนี้เหมือนนอนไม่ค่อยพอ” แทนจันทร์หน้าตรงกระซิบตอบ สะบัดหน้าเรียกสติตัวเองให้ตื่นทั้งที่เมื่อกี้เกือบจะยืนหลับไปแล้ว

“ไปทำอะไรมาพี่ถึงนอนไม่หลับ” ต่อพงษ์ซักไซ้ “นี่พี่จิณณ์ก็ยอมให้พี่กลับมาทำงานได้บ้างแล้ว ยังจะเครียดอะไรอีก” 

หมวดสาวถอนหายใจยาว ไม่ได้คิดจะอธิบายสิ่งที่กำลังเผชิญให้ลูกน้องเข้าใจ เพราะแม้จะสนิทกันมากและรู้ว่าอีกฝ่ายฉลาดแค่ไหน มันก็คงไม่สามารถช่วยเรื่องที่ติดค้างอยู่ในหัวนี้ได้ ก็ในเมื่อตัวเธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่

การหลับตาในแต่ละคืนช่างผ่านไปอย่างยากเย็น ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดภาพซ้ำๆ ซากๆ ในหัวหลังจากที่เธอหลับ จริงๆ ควรจะเรียกว่าความฝัน แต่เธอกลับเห็นและรู้สึกได้ราวกับมันเป็นเรื่องจริง ภาพกองไฟที่ลุกโหมบ้านทั้งหลัง เปลวไฟเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างไม่ปรานี สิ่งที่น่าสงสารคือเด็กสองคนที่กำลังหาทางหนีในกองไฟ เด็กผู้ชายที่มีแววตามุ่งมั่นพยายามพาเด็กผู้หญิงร่างเล็กที่เกาะแขนเขาแน่นฝ่าเพลิงออกมา มันเหมือนจริงกระทั่งเธอคิดว่าเธอสัมผัสไอร้อนได้ทุกอณูและรับรู้ความรู้สึกกลัวจับใจของทั้งสองได้

“เออ สงสัยเครียดเรื่องงานมั้ง” 

หญิงสาวตอบส่งๆ ทั้งที่รู้อยู่ลึกๆ ว่าไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งเดียวที่เธอฝันซ้ำๆ แบบนี้ แต่ภาพเหล่านั้นราวกับเป็นหนังที่ฉายวนในหัวเธอทุกคืน แทบจะทุกคืนที่เธอต้องมองเห็นแววตาดิ้นรนเพื่อหนีจากความตายของเด็กทั้งคู่ และเธอต้องตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมเหงื่อชุ่มตัวราวกับเป็นคนเข้าไปผจญเพลิงนั้นเสียเอง

‘ผมเห็นภาพเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงสองคนยืนคุยกัน’

ทุกครั้งที่ฝันก็อดคิดถึงคำพูดวิญญาณหนุ่มที่เคยเล่าให้ฟังขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบังเอิญหรือเหตุอันใดที่สิ่งที่เธอฝันถึงในหลายๆ วันนี้มันดันคล้ายกับสิ่งที่เขาพยายามบอกเธอตลอดเกี่ยวกับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง แต่ก็พยายามคิดไปอีกทางหนึ่งคือเธออาจจะฟังคำพูดนั้นซ้ำๆ จนเก็บมาฝัน ประกอบกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ศูนย์วิจัย FORT มา เลยยิ่งทำให้เหตุการณ์ผสมปนเปมั่วกันไปหมด

คิดแล้วก็อยากเอาหัวโขกเสา เพราะหาคำตอบไม่ได้ว่าเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นกับชีวิตในตอนนี้คืออะไรกันแน่ ชีวิตวุ่นวายไปหมดตั้งแต่มีผีหนึ่งตนกับคนอีกหนึ่งคนที่นอกจากมีใบหน้าและนิสัยชอบสร้างปัญหาให้เธอเหมือนกันแล้ว ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรให้เธออีก

“ว่าแล้วก็ขอถามหน่อยเหอะพี่ ผมยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมพี่รับงานนี้ ปกติไม่เคยเห็นพี่รับอารักขานาย”

“ไม่มีงานก็ไม่มีเงินสิวะ สภาพแบบนี้แกยังจะให้ฉันกล้าเลือกงานอีกเหรอ”

แทนจันทร์แหวลูกน้อง เพราะไม่อยากโดนจับผิดจึงทำเรื่องปากท้องให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเหตุผลแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น ที่ผ่านมาเธอไม่รับงานอารักขาหรือดูแลเจ้านายคนไหน ไม่ใช่เพราะมีปัญหากับการปั้นหน้าเอาใจใคร แต่แค่รู้สึกว่าเสียเวลา แทนที่จะเอาเวลาไปสะสางคดีที่ค้างกองเป็นภูเขา ช่วยแก้ปัญหาให้สังคมยังดีกว่า 

แต่สำหรับงานนี้เป็นกรณีพิเศษ เธอรีบตกลงทันทีที่ได้ยินว่าจิณณ์กำลังหาคนไปอารักขานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในงานเลี้ยงแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน โดยงานนี้มีพลตำรวจตรีวิธูรที่เพิ่งได้เลื่อนยศเป็นแม่งานหลัก ซึ่งต่อพงษ์ไม่มีทางรู้ว่าสาเหตุที่เธอตัดสินใจมายืนอยู่ตรงนี้ ก็เพราะข้อมูลพิเศษของเจ้านายท่านนี้ที่มันไปเกาะขอบเวทีรู้มาแล้วคาบมาเล่าให้เธอฟัง

‘ผมเพิ่งได้ข้อมูลเด็ดมาพี่ พี่รู้มั้ยว่าท่านวิธูรเป็นใคร’

เธอยังจำได้ บ่ายวันหนึ่งเธอแวะมานั่งเล่นที่สำนักงานแก้เหงา แล้วต่อพงษ์ซึ่งเพิ่งออกจากห้องประชุมก็ระริกระรี้เข้ามา มองหน้าปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าสีหน้าแบบนี้ต้องมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังแน่ๆ

‘ท่านก็เป็นตำรวจสิ จะให้ไปเป็นพ่อแกเหรอ’

‘ไม่ใช่พ่อผม พี่!’ ต่อพงษ์ทำเสียงจึ๊กจั๊กเมื่อลูกพี่ไม่เล่นด้วย ‘พลตำรวจตรีวิธูรที่ท่านเพิ่งได้เลื่อนขั้นมาสดๆ ร้อนๆ และเป็นพ่องานใหญ่ของงานเลี้ยงสุดสัปดาห์ที่พี่จิณณ์กำลังตั้งทีมอารักขาไปดูแลเนี่ย เขาเป็นพ่อของดอกเตอร์วีร์ เจ้าของศูนย์วิจัย FORT ที่พี่ไปแหกหน้าเขาไว้ไง’

เจ้าลูกน้องตบเข่าฉาดอย่างได้ใจเมื่อเห็นลูกพี่นิ่งไปหลังจากได้ฟังข้อมูลล่าสุด

‘ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคำสั่งเด้งพี่ถึงได้รวดเร็วขนาดนั้น พี่เล่นไปขัดหูขัดตาใครไม่ขัด ดันไปขัดตาลูกชายท่านผู้การ’

ข้อสงสัยที่ว่าทำไมตำรวจทั้งกองตั้งแต่ตำแหน่งสูงมายันลูกกระจ๊อกถึงต้องเกรงอกเกรงใจดอกเตอร์คนนั้น ในที่สุดก็ได้รับคำเฉลย ในวันนั้นต่อพงษ์ยังสาธยายอะไรอีกหลายอย่าง แต่เธอไม่ได้จับใจความต่อ เพราะสมองได้จุดเชื่อมโยงคิดถึงเรื่องที่กำลังค้างคาใจ วิเคราะห์ต่ออย่างรวดเร็วว่า 

ในเมื่อเป็นงานแสดงความยินดีที่พ่อได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกชายที่ไม่ใช่แค่ลูกชาย แต่มีฐานะเป็นถึงเจ้าของศูนย์วิจัยที่กำลังร่วมมือกับกองปราบปรามในโครงการใหญ่ก็ควรจะมาร่วมงานด้วยสิ

ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติ เธอคงไม่นึกพิสมัยอยากพบคนไม่น่าเข้าใกล้คนนี้แน่ๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอกำลังนึกถึงและอยากพบไม่ใช่คน แต่เป็นวิญญาณที่หน้าเหมือนคนคนนั้นที่ชอบเอาเรื่องประหลาดมาใส่หัวเธอจนสติหลอน เก็บมาฝันทุกคืนต่างหาก พอต้องการพบตัวเพื่อถามไถ่ก็ดันหายหัวไปเสียอย่างนั้น ไม่โผล่มาให้เธอเห็นหน้าเลยตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องที่โรงเรียนชุมชนสะพานดำ ทิ้งให้เธอเผชิญปัญหาที่หาคำตอบไม่ได้นี้คนเดียว ดังนั้นก่อนที่จะอกแตกตาย สมองจึงเริ่มคิดหาทางตามหาตัวเขา และคนเดียวที่เกี่ยวข้องกับลักกี้ซึ่งเธอพอจะนึกออก ก็คือคนที่หน้าเหมือนกันอย่างลูกชายของท่านวิธูรคนนี้นี่แหละ

“รถท่านเดินทางมาถึงแล้ว ทุกคนเตรียมพร้อม”

เสียงคำสั่งปฏิบัติงานหยุดความคิดเรื่องส่วนตัวทั้งหมดในหัว รีบไล่ความง่วง ยืดตัวตรง สายตาของทีมอารักขาทุกคนจับจ้องรถตู้วีไอพีที่กำลังเลี้ยวเข้ามาในเขตรั้วโรงแรม ทันทีที่รถจอดสนิท ทีมตำรวจฝีมือดีที่คัดมาแล้วก็กระจายกำลังล้อมขบวนรถตามตำแหน่งที่วางไว้ ในขบวนรถสามคัน รถตู้คันแรกมีพลตำรวจตรีวิธูรก้าวลงมาจากรถ ตามมาด้วยรถยุโรปสีดำคันที่สองที่มีคนรุ่นหนุ่มกว่าอีกคนก้าวออกมา และคันที่สามที่เป็นคณะผู้ติดตามของท่าน

“ประตูหน้าเคลียร์ค่ะ” 

แทนจันทร์กรอกเสียงใส่หูฟังสำหรับบอดีการ์ด ยืนยันว่าสถานการณ์เรียบร้อย ขณะที่พลตำรวจตรีวิธูรก้าวเข้ามาในบริเวณอาคาร วัยใกล้เกษียณไม่ได้ลดทอนสง่าราศีของนายตำรวจผู้นี้ลงเลย ร่างสูงใหญ่รายล้อมด้วยผู้ติดตามและแขกเหรื่อที่ออกมาต้อนรับประธานของงาน แม้คนจะเยอะ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคนที่โดดเด่นที่สุดในขบวนวีไอพีนี้เห็นจะเป็นร่างสูงที่มองดูก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกับท่านผู้การอยู่ แต่สำหรับหญิงสาว แม้จะโดดเด่นเพียงใดมันก็ดูไม่น่ามองเสียเลย เพราะใบหน้านั้นเรียบเฉย ปราศจากรอยยิ้ม ทำให้มันยิ่งดูลึกลับไม่ต่างจากสูทสีดำสนิทที่เขาเลือกใส่มาในวันนี้

แทนจันทร์พอจะรู้ตัวว่า ท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนที่กำลังเคลื่อนผ่านประตูไป หางตาของดวงตาสีอัลมอนด์มองผ่านมายังตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ เขาต้องเห็นแน่นอนว่าเธอทำหน้าที่อารักขาอยู่ที่ประตูหน้า และเขาก็ผ่านเธอไปไม่ต่างจากเห็นอากาศธาตุ เธอรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมาเล็กน้อยทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเจอสายตาแบบนี้ แต่ก็ทำได้แค่รีบทำใจยอมรับการเมินเฉยนั้น เพราะในวันนี้เขาคือลูกชายท่านผู้การ และเธอคือตำรวจตัวจ้อยที่ยังอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จึงทำได้แค่กวาดตาดูความเรียบร้อยรอบนอกครั้งสุดท้ายก่อนยืนยันคำสั่งผ่านหูฟัง

“ทีมพร้อม อารักขาท่านวิธูรกับดอกเตอร์เข้างานด้วย”

 

งานเลี้ยงในห้องบอลรูมหรูจัดขึ้นในรูปแบบของงานเลี้ยงค็อกเทล อาหารหลากชนิดตั้งเรียงรายดูสวยงามมากกว่าน่ารับประทาน วงดนตรีชั้นนำบรรเลงเพลงขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติที่ส่วนมากล้วนเป็นข้าราชการผู้หลักผู้ใหญ่ รวมถึงคนมีหน้าตาในสังคมที่เข้ามาแสดงความยินดีกับงานเลื่อนตำแหน่งของหลายท่านที่จัดร่วมกันในคืนนี้

พลตำรวจตรีวิธูร พ่องานหลักรายล้อมด้วยแขกเหรื่อที่เข้ามาทักทายแสดงความยินดีไม่ขาดสาย สมกับฐานะตำรวจน้ำดีที่ไม่ได้ได้ยศมาเพราะแค่บุญ แต่มีบารมีและคุณงามความดีที่สั่งสมมาประกอบด้วย เป็นที่รู้กันว่าท่านวิธูรฝากผลงานใหญ่หลายชิ้นไว้เป็นเกียรติประวัติแก่ตัวท่านเองและวงการตำรวจ งานที่โดดเด่นที่สุดคือการปราบปรามการค้ามนุษย์และยาเสพติด คดีใหญ่หลายคดีปิดลงอย่างสวยงามด้วยฝีมือท่านที่ทุ่มเททำงานเพื่อประชาชน แม้ในตอนนี้ด้วยยศและตำแหน่งจะทำให้ท่านไม่ได้ลงพื้นที่ปฏิบัติงานเอง แต่ก็ทำงานบริหารเบื้องบนด้วยความสุจริต

ในสายตาของตำรวจชั้นผู้น้อยนั้น ความหรูหราหรือดนตรีอันไพเราะไม่ใช่สิ่งที่แทนจันทร์สนใจ สัญชาตญาณตำรวจทำให้เธอต้องคอยพินิจพิจารณาจับสังเกตทุกคนที่เข้ามาใกล้เจ้านาย จ้องราวกับเหยี่ยวที่คอยพุ่งจิกเหยื่อหากมีอะไรผิดสังเกต ทั้งท่าทางการเคลื่อนไหวและสายตายามพูดคุย 

และด้วยหน้าที่นี้เอง ทำให้ชายหนุ่มคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตกอยู่ในสายตาเธอด้วยแม้ไม่ได้ตั้งใจมองก็ตาม ร่างสูงในชุดสูทสีดำนั้นดูโดดเด่นกว่าใครในงานเพราะเป็นคนรุ่นหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบ เขายืนอยู่ในวงสนทนานั้นก็จริง แต่ก็ห่างไกลเกินกว่าจะพูดคุยกับใคร จึงมักเห็นเขาแค่ยืนยิ้มหรือพยักหน้ารับเวลาถูกกล่าวถึง ใบหน้าภูมิฐานนั้นดูดีจากรอยยิ้มที่ตั้งใจปั้นตามมารยาทสังคม แต่ดวงตากลับไม่ได้ยิ้มเลย ขนาดเธอยืนอยู่ไกลยังเห็นชัดขนาดนี้ แล้วคนที่คุยใกล้ๆ นั่นเล่าจะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ 

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาโดนความดูดีนั้นบดบังตาจนหมด ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทุกองค์ประกอบทั้งหน้าตา ฐานะ หน้าที่การงาน มันไร้ที่ติจนตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวหลายคนในงาน แต่สำหรับหมวดแทนจันทร์ที่คิดว่ารู้จักมากกว่าสิ่งที่ตาเห็น เธอสรุปในใจได้ทันทีว่ามันดูดีแต่ไม่น่าดู 

ทั้งที่หน้าเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เห็นดูใจดีเหมือนลักกี้เลย

เป็นเรื่องราวประหลาดที่สุดที่สัมผัสความแตกต่างจากคนสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันราวกับคนเดียวกัน นึกแล้วก็คิดไปถึงท่าทางสุภาพ ดูมีมารยาทของลักกี้ที่ปฏิบัติต่อเธอแบบเกรงใจและให้เกียรติ น้ำเสียงอบอุ่นที่คอยถามไถ่อาจจะดูจู้จี้ในบางครั้งแต่ก็รู้ว่าเป็นห่วงเป็นใย เขาไม่ใช่คนยิ้มง่ายหรือพูดเก่ง แต่สิ่งที่ทำให้น่าดูคือนัยน์ตายิ้มๆ ของดวงตาสีอัลมอนด์ซึ่งเป็นการยิ้มที่จริงใจที่สุด

เป็นผี...แต่น่ากลัวน้อยกว่าคนเป็นๆ ตรงหน้าเสียอีก

ทั้งที่ตัวยืนอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่พอเพลินๆ ใจของหมวดสาวก็ล่องลอยไปอยู่ที่อื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนึกถึงความยากลำบากในแต่ละคืนที่เธอต้องตื่นจากฝันร้าย และพบว่ารอบตัวมีแต่ความว่างเปล่า เริ่มคิดทบทวนว่ากี่วันแล้วที่เธอไม่ได้มีใครมายืนเกาะโต๊ะเกาะเตียงคุยด้วยดึกๆ ก่อนนอน หรือบางทีการตื่นมากลางดึกแล้วเห็นเขานั่งๆ ยืนๆ อยู่ที่โซฟาแบบมีมารยาทก็เป็นอะไรที่เห็นแล้วทำให้เธอปิดตาหลับได้ต่อจนเหมือนกลายเป็นความเคยชินไปเสียอย่างนั้น มารู้ตัวอีกทีก็ชินถึงขนาดที่พอไม่มีก็เผลอถามขึ้นมาว่า

นายหายไปไหนนะ

“หนูๆ มานี่ซิ”

สติวิ่งกลับมาแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆ ได้ยินกลุ่มวีไอพีของท่านเรียก ‘หนูๆ’ เมื่อมองไปรอบตัวไม่เห็นว่าจะมีบริกรอยู่แถวนี้แต่อย่างใด จึงเริ่มเข้าใจว่าตัวเองต้องยอมแปลงร่างจากคนไปเป็น ‘หนู’ เสียแล้ว

“มารับออร์เดอร์เครื่องดื่มให้ท่านหน่อย”

ตำรวจสาวแอบกลอกตามองบน แต่ก็ทำได้แค่เมื่อยังอยู่ในระยะไกล เพราะปากยังต้องยิ้มพร้อมก้าวแบบนอบน้อมเข้าไปหากลุ่มของท่านตามฐานะตำรวจชั้นผู้น้อย 

“เข้าไปบอกแผนกเครื่องดื่มนะ ให้เอาไวน์ที่เตรียมไว้มาเสิร์ฟได้แล้ว” นายตำรวจรุ่นไม่ใหญ่ที่มีหน้าที่เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของท่านจัดแจงสั่ง

“ดีเลย ไวน์ขวดนี้ผมสะสมมานาน เห็นว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสดี เลยเอามาเปิดฉลองร่วมให้ท่านวิธูรกับดอกเตอร์วีร์” หนึ่งในนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ยืนร่วมวงสนทนาที่โต๊ะค็อกเทลเอ่ยเสียงดัง

“ขอบคุณมากครับท่าน แต่ของผมขอรับเป็นน้ำเปล่าจะดีกว่า” คนที่หนุ่มที่สุดในวงกล่าวอย่างสุภาพ

“อ้าว ไม่รับสักนิดหรือครับดอกเตอร์”

“ลูกชายผมเขาไม่นิยมเครื่องดื่มพวกนี้หรอก” พลตำรวจตรีวิธูรกล่าวแทนลูกชายยิ้มๆ 

“ไม่น่าเชื่อ หายากจริงๆ เลยนะคนที่ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่ชอบดื่ม แถมยังสุภาพ ดูไม่จัดจ้านเหมือนพวกเด็กจบนอกคนอื่น”

“ลูกชายผมเขาชอบเรียนน่ะครับ เป็นคนเรียนเก่งตั้งแต่เด็กๆ เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียน ไม่ได้มีเวลาไปเปิดหูเปิดตาเหมือนเด็กคนอื่นเขา” นายตำรวจใหญ่ตอบแทนลูกชาย “นี่ขนาดผมส่งไปเรียนกฎหมาย การปกครอง ตอนเด็กๆ เห็นเขาเคยบอกว่าอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ ไม่รู้ทำไมถึงจบกลับมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้”

“โครงการวิจัยเซรุ่มพูดความจริงของเรากำลังจะถูกนำมาใช้เร็วๆ นี้ ไม่เห็นต้องเป็นตำรวจ เป็นนักวิจัยก็ช่วยให้ตำรวจจับคนผิดมาลงโทษได้ครับ”

แม้ไม่ค่อยอยากสนใจ แต่เพราะต้องยืนฟังอยู่ด้วย ทักษะการเป็นคนช่างสังเกตจึงทำให้แทนจันทร์รู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุแปลกๆ หลังจบประโยคเรียบๆ ด้วยรอยยิ้มของดอกเตอร์หนุ่ม ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอรับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้อาจจะไม่ราบรื่นอย่างที่คิด แต่ไม่ต้องทนยืนอึดอัดกับบรรยากาศนั้นนาน ก็เป็นโชคดีที่นายตำรวจที่เป็นเลขาฯ หันมาพยักหน้าให้เธอ

“ไปๆ จัดการให้ท่านด้วยนะ”

แทนจันทร์เดินหน้ายุ่งออกมาจากห้องครัวหลังจากที่สั่งออร์เดอร์ของ ‘ท่าน’ เรียบร้อย แต่ก็เข้าใจหน้าที่บริการที่มักพ่วงมากับตำแหน่งงานอารักขา แม้เธอจะขึ้นชื่อเรื่องการเล่นละครและการปั้นหน้า แต่ส่วนมากจะมีไว้สำหรับการสืบสวนสอบสวน ไม่ได้มีไว้เพื่อประจบเอาใจใคร แต่การที่ได้ออกมาเดินนี่ก็ถือว่าได้ออกมายืดเส้นยืดสายบ้าง 

“ดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ”

แทนจันทร์หันหลังมาก็พบคนคุ้นเคย ยิ้มแหยให้เจ้านายจนตาหยี

“ฉันไม่ได้อู้งานนะคะผู้กอง ออกมาสั่งเครื่องดื่มให้นาย เลยแวะยืดเส้นยืดสายสักหน่อย”

“หน้าผมดูเหมือนคนจะคอยดุคุณตลอดเวลาขนาดนั้นเลยเหรอ” จิณณ์ย้อนถาม “ผมเห็นคุณยืนตาจะปิดตั้งแต่อยู่ในแถวแล้ว โอเคใช่มั้ย”

“โอเคค่ะ” หญิงสาวรีบตอบ “ฉันแค่นอนน้อยไปหน่อย แต่โอเคมาก ทำงานได้สบาย”

คนตอบรีบตอบเพราะกลัวตกงาน โดยที่ไม่ได้รู้เจตนาคนถามเลยว่าไม่ได้สนใจเรื่องงานเลยสักนิด สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจคือใบหน้าซีดและรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้ดวงตานั้นไม่สดใสเหมือนปกติต่างหาก

“ผมขอโทษนะ” จิณณ์เกริ่นถึงสิ่งที่ทำให้เขามีสีหน้าไม่สบายใจ “จริงๆ ผมก็ไม่อยากให้คุณมาทำงานนี้เท่าไหร่หรอก แต่คงเริ่มช่วยคุณได้จากงานประมาณนี้ อย่างน้อยอารักขานายไปก่อน แล้วเดี๋ยวจะค่อยๆ ขยับคุณกลับไปดูคดี”

“ผู้กองไม่อยากให้ฉันยุ่งกับดอกเตอร์วีร์สินะคะ” หมวดสาวบ่นอุบอิบ

ผู้กองจิณณ์ที่วันนี้มาในฐานะหัวหน้าทีมอารักขาพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง รู้อยู่แล้วว่าแทนจันทร์ต้องคิดว่าเขามีเจตนาเช่นนี้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าเส้นทางความสัมพันธ์ของเธอกับพยานวีไอพีคนนี้ยิ่งกว่าทางบนผิวดวงจันทร์ มันไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆ ต่อทั้งตัวเธอเองและทีมถ้าเธอยังต้องการเข้ามายุ่งเรื่องนี้ แต่สิ่งที่แทนจันทร์ไม่มีวันรู้เพราะเขาเก็บไว้อย่างมิดชิด ก็คือความรู้สึกบางอย่างที่เขาสัมผัสได้เวลาเห็นดอกเตอร์คนนั้นมองลูกน้องตนเอง มันดูไม่เข้าท่าอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกใจเขาอย่างมากเช่นกัน 

หวังเพียงว่าถ้าถึงกำหนดที่ศูนย์วิจัยส่งมอบเซรุ่มให้ทางตำรวจเสร็จ ก็คงหมดธุระกันไปเอง

“ฉันเข้าใจค่ะ แค่กลับมามีงานทำฉันก็ดีใจมากแล้ว” หญิงสาวยิ้ม รู้สึกขอบคุณความช่วยเหลือนั้นจริงๆ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ดีใจที่ตัวเองมีเจ้านายที่เป็นห่วงเป็นใยลูกน้องแบบนี้

“งั้นยังไงวันนี้ก็ทนเป็นบ๋อยไปก่อนนะ” เจ้านายเอ่ย “แล้วก็อย่ามัวแต่ดูแลคนอื่น ดูแลตัวเองด้วย”

ขวดน้ำพร้อมผ้าเย็นถูกยื่นให้ ทำให้คนรับยิ้มกว้างอย่างยินดี

“ผู้กองใจดีที่สุดในโลกเลย ว่าแล้วลูกน้องถึงรักกันจัง”

คนที่อยากถูกรักแบบมากกว่าลูกน้องถึงกับยืนยิ้มเก้อ ยกมือกอดอกแก้อาการทำหน้าไม่ถูก ยิ่งมองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ชื่นอกชื่นใจเวลาเห็นรอยยิ้มซื่อเหมือนเด็กนี่นัก แต่เพราะเป็นเวลางานจึงทำได้เพียงพยักหน้า 

“ไปเถอะ ทำงานต่อ”

หมวดสาวรับคำก่อนเดินแยกจากหัวหน้าออกมา ตรงกลับไปที่ทางเดินเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยง ทันเห็นบริกรถือถาดไวน์ออกมาจากห้องครัว แม้เห็นเพียงข้างหลังก็รู้ว่าต้องเป็นไวน์ที่จะนำไปเสิร์ฟให้แขกโต๊ะวีไอพีแน่ๆ เพราะแค่รูปลักษณ์ขวดและฝาสีทองอร่ามก็บ่งบอกราคาอันสูงลิ่วของมันได้ ยิ่งเมื่อวางไว้ในถังแช่ไวน์สีทองก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูแพงจนแก้วน้ำเปล่าที่วางเคียงข้างอยู่ในถาดดูจืดไปเสียสนิท

แทนจันทร์ซึ่งเดินตามหลังบริกรหนุ่มคนนั้นมาไม่ไกลหยุดเดินโดยอัตโนมัติเมื่อจู่ๆ เห็นเขาหยุดวางถาดลงบนโต๊ะ ตอนแรกเธอคิดว่าถังแช่ไวน์นั้นคงหนักจึงต้องวางลงเพื่อพัก ด้วยความน้ำใจงามก็กำลังจะก้าวเข้าไปอาสาช่วยถือ เพราะรู้ว่าอย่างไรจุดหมายก็เป็นที่เดียวกัน แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นมือที่กำลังจัดของบนถาดขยับไปล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว และแทบไม่ทันกะพริบตาเขาก็หย่อนมันลงไปในแก้วน้ำเปล่า

เอ๊ะ!

สัญชาตญาณบอกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว สายตาคมกริบจับนิ่งที่บริกรคนนั้น พอเริ่มสังเกตก็เห็นรองเท้าผ้าใบสีดำที่ไม่เรียบร้อย กางเกงสแล็กที่เนื้อผ้าต่างจากบริกรคนอื่น เสื้อแสงหลุดลุ่ยไม่สมกับมาตรฐานพนักงานในงานหรูขนาดนี้ แต่ตำรวจสาวผู้มากประสบการณ์ก็ไม่กระโตกกระตาก ยังคงเดินตามหลังไปนิ่งๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อไวน์ขวดหรูถูกนำมารินใส่แก้วให้บรรดาแขกวีไอพีในกลุ่มของพลตำรวจตรีวิธูร ส่วนน้ำเปล่าแก้วนั้นถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะสูงข้างตัวชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม

เมื่อบริกรคนนั้นขยับตัว แทนจันทร์ก็รีบขยับตาม มือเตรียมขยับแตะหูฟังเพื่อจะประสานงานแจ้งความผิดปกติ แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นเสียก่อนว่ามือของดอกเตอร์หนุ่มที่ดูจะไม่สนใจดื่มอะไรตั้งแต่แรกกลับเอื้อมไปแตะแก้วน้ำข้างตัว

ไม่ได้!

“เดี๋ยวก่อนคุณ!”

วีร์หยุดริมฝีปากไว้ที่ขอบแก้ว เหลือบตาก้มลงมองคนในชุดตำรวจอารักขาที่จู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาหา 

“คุณห้ามดื่มน้ำนี่นะ”

มันดูเป็นคำสั่งมากกว่าคำบอก ทำให้คนเป็นดอกเตอร์ต้องมองแก้วน้ำเปล่าใสแจ๋วสลับกับหน้าตื่นๆ แล้วย้อนถามเสียงห้าวว่า

“วันนี้มีละครอะไรมาเล่นให้ผมดูอีกแล้วเหรอผู้หมวด”

คนมาห้ามด้วยความหวังดีถึงกับต้องท่องพุทโธในใจเพื่อสงบสติอารมณ์กับคำทักทายประโยคแรกจากแขกซูเปอร์วีไอพีของงาน พยายามนึกถึงหน้าที่ที่ตนต้องทำก็คือรักษาความปลอดภัยให้เขา แม้ในใจอยากจะส่งมอบอันตรายให้คนแบบนี้มากกว่าก็ตาม

“ฉันเห็นว่าบริกรคนนั้นแอบใส่อะไรก็ไม่รู้ลงในแก้วน้ำคุณ มันผิดปกติแน่ๆ”

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก้มลงมองหน้าหญิงสาว ที่ต้องใช้คำว่าก้มเพราะว่าเธอสูงแค่หัวไหล่ของเขาเท่านั้น ทั้งความสูงและตำแหน่งที่สูงกว่ายิ่งทำให้หมวดสาวที่แม้วันนี้จะหน้าตาจะสะอาดสะอ้านกว่าทุกวัน แต่งตัวดีด้วยชุดสูทเครื่องแบบบอดีการ์ด แต่เธอก็ยังดูตัวเล็กตัวน้อย ไร้ความน่าเชื่อถืออย่างเทียบไม่ได้

“ขอโทษทีนะคุณตำรวจ” ดอกเตอร์วีร์กล่าวสั้นๆ “การที่คนร้ายสามารถเข้ามาก่อปัญหาในงานเลี้ยงที่ตำรวจระดับผู้ใหญ่แทบจะทั้งองค์กรมารวมกันอยู่ที่นี่ ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ คุณไม่คิดบ้างหรือว่าหน่วยงานของคุณควรต้องพิจารณาปรับปรุงอะไรบ้าง”

น้ำเสียงและท่าทางนั้นคือสุภาพบุรุษหนุ่มในงานเลี้ยงสังคมคนชั้นสูง สมกับคำพูดเชือดเฉือนและประโยคต่อท้ายแสนสุภาพสุดแสบทรวง 

“ที่นี่อาจจะไม่ใช่เวทีที่เหมาะให้คุณโกหกอะไรสักเท่าไหร่”

“ฉันไม่ได้โกหก” แทนจันทร์สวนขวับ 

“ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อเฉพาะสิ่งที่มีหลักฐานและพิสูจน์ได้”

ถ้าเป็นคนอื่น แทนจันทร์บอกเลยว่าเธอจะช่วยสงเคราะห์ยกน้ำนี่กรอกปากเสียให้เข็ด แต่นี่เขาดันเป็นคนที่มีผลต่อความก้าวหน้าในโครงการเซรุ่มพูดความจริงที่ทีมงานของเธอทั้งทีมต้องพึ่งพาในการทำคดี จึงทำได้แต่เพิ่มความอดทนในการยืนหยัดครั้งนี้

“ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ นะคุณ มันกินไม่ได้” เธอถือวิสาสะดึงแก้วออกมาจากปากเขา นำมาวางไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม ไม่กล้าโวยวายเสียงดังเพราะกลัวว่าจะมีสายตาจากมุมมืดมองการกระทำนี้อยู่ ขืนเธอเทมันทิ้งตรงนี้หรือแกล้งทำหกคงมีใครไหวตัวทันแน่ๆ

ดวงตาสีอัลมอนด์มีประกายไฟลุกอย่างไม่พอใจ ตั้งใจคว้าแก้วนั้นกลับไป แต่ก็โดนมือเล็กดึงกลับมา ยื้อแย่งกันไปมาราวกับมันเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง

“เอามานี่”

“ผมไม่ให้”

เมื่อเห็นว่าสงครามเริ่มยืดเยื้อ แทนจันทร์ก็รู้ว่าเขาตั้งใจจะกวนและอยากเอาชนะเธอมากกว่าจะอยากพิสูจน์อะไร แต่คนอย่างเธอก็ไม่ชอบให้ใครมองว่าเธอเป็นพินอคคิโอจมูกยาวที่พูดเรื่องโกหก ในเมื่อเขาอยากได้หลักฐาน เธอก็จะพิสูจน์ให้เขาดู

คราวนี้หญิงสาวเรียกได้ว่ากระชากแก้วมาจากมือ ไม่รอให้เขาได้ตั้งตัวก็ยกแก้วขึ้นเทพรวดลงไปในคอ กระดกอึกๆ แป๊บเดียวก็วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะดังปึง

วีร์เผลออ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ อีกฝ่ายจ้องกลับด้วยสายตาท้าทายพร้อมใช้แขนเสื้อปาดน้ำที่ปากออก

“ทำอะไร! ก็คุณบอกว่าในน้ำนี้มียาไม่ใช่เหรอ แล้วคุณกินมันเข้าไปได้ไง!” เขากดเสียงดุให้ต่ำและเบาที่สุด เพราะสังเกตว่าเริ่มมีคนหันมาสนใจมองสงครามย่อมๆ นี้แล้ว

“ก็คุณจะได้รู้ไงว่าฉันไม่ได้โกหก”

คราวนี้คนสงบสติต้องกลายเป็นฝ่ายชายหนุ่ม เหลือทนกับความบ้าบิ่น มุทะลุ ไม่สนใจใครของคนคนนี้ ตำรวจที่ชอบทำตัวประหลาดไม่เหมือนใคร เขาลืมไปเสียสนิทว่าที่ผ่านมาก็เห็นกับตาแล้วว่าเธอใจกล้าขนาดไหน ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นตาสีอัลมอนด์ฉายแววลุกลี้ลุกลน แม้พยายามซ่อนมันไว้ภายใต้บุคลิกนิ่งเฉยก็ยังปิดไม่มิด

ไม่ใช่แค่ชายหนุ่มที่คิดว่าเธอบ้า แทนจันทร์ก็คิดว่าตัวเองบ้าเหมือนกันที่กล้ากินอะไรเข้าไปก็ไม่รู้ เพียงแค่เพราะคิดว่าถ้ามันเป็นยาพิษแล้วเกิดออกฤทธิ์ขึ้นมาจริงๆ เธอจะได้พิสูจน์ให้เขาเห็นคาตาไปเลยว่ามีคนพยายามปองร้ายเขาอยู่

อย่างน้อยตายเพราะยาพิษ แต่ศักดิ์ศรียังคงอยู่ว่าเธอไม่ใช่คนโกหก

ใจนั้นฝ่อไปแล้ว แต่ยังคงเก็บสีหน้าไว้ได้เพราะศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่ ถ้าแสดงออกว่ากลัวคงดูน่าอายมาก จึงได้แต่ยืนนิ่งจับขอบโต๊ะจนเจ็บมือ สมองคิดฟุ้งซ่านไปแล้วว่าพิษคงกำลังวิ่งเข้าสู่ร่างกายและเริ่มกระจายทำลายอวัยวะไปทีละส่วน จึงพยายามยืนเกาะโต๊ะเอาไว้ให้แน่น เวลาล้มจะได้ไม่เจ็บมาก

ยืนลุ้นตัวโก่งอยู่สักพัก หลายพัก หลายนาที จนแล้วจนรอดโลกก็ยังไม่หมุน ไม่ร้อนคอ ไม่ร้อนท้อง ไม่วิงเวียน ไม่รู้สึกอยากอาเจียน ไม่มีอาการใดที่บอกว่าร่างกายกำลังถูกพิษ น้ำที่ผ่านคอไปยังคงทิ้งความรู้สึกเย็นๆ ไว้ที่ปลายลิ้น สีสันน้ำนั้นก็ใส รสชาติก็คือน้ำเปล่าธรรมดาๆ 

ทำไมมันดูปกติไปหมด...ทำไมไม่เป็นอะไรเลย

ใบหน้าเริ่มซีด ไม่ได้ซีดเพราะเกิดอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกาย แต่ซีดเพราะสายตาของอีกคนที่ทำร้ายได้ดีกว่ายาพิษขนานไหนกำลังเริ่มออกฤทธิ์แผ่รังสีอำมหิต อานุภาพทำลายล้างขั้นสูงของมันทำให้เธอเริ่มอึกอัก หันซ้ายหันขวา ทำตัวไม่ถูก และสุดท้ายคือชาที่ใบหน้า เพราะเห็นเศษหน้าตัวเองร่วงกราวเต็มพื้นแบบไม่ต้องตามเก็บ

“ถ้าหิวน้ำก็บอกกันสิ ไม่เห็นต้องมาแย่งผมดื่มแบบนี้เลย” เสียงนิ่มๆ แต่จงใจจิกกัดลอยมาเมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น “จริงๆ คุณก็ไม่น่าหิวน้ำขนาดนี้นะ เพราะเห็นก่อนเข้ามาเจ้านายเขาก็เอาน้ำไปเสิร์ฟให้ถึงที่แล้ว”

ใบหน้าที่ชาอยู่แล้วเหมือนโดนราดด้วยน้ำร้อนเดือดๆ ไม่รู้ว่าเขาไปเห็นเธอคุยกับผู้กองจิณณ์ตอนไหน และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเลือกเอาประเด็นนี้มากัดเธอ ชุดสูทสีดำในวันนี้ยิ่งทำให้คนพูดดูเหมือนปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ ที่สีหน้านั้นเรียบเฉย แต่แววตาตั้งใจเหยียบเศษหน้าที่แตกร้าวของเธอให้แหลกละเอียดขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคปิดท้ายที่เขายืนกอดอกถาม

“ถ้ายังไม่หายคอแห้ง จะรับอีกแก้วมั้ยผู้หมวด”

 

แทนจันทร์กัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น นึกเกลียดที่สุด เกลียดท่าทางดูสุขุม เงียบขรึม แต่จริงๆ แล้วทั้งปากทั้งตานั้นกัดคนได้เก่งเข้าขั้นอัจฉริยะ สมองเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้เขาควรจะเปิดศูนย์วิจัยสอนวิธีทำร้ายจิตใจคน ไม่ใช่ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ คิดไปก็เดินกระฟัดกระเฟียดเตะพื้นไป ตอนนี้แสดงออกได้เต็มที่แล้วเพราะออกมาตรวจความปลอดภัยของอาคารจอดรถชั้นวีไอพีข้างนอก จึงไม่ต้องแคร์สายตาใครหน้าไหนอีกต่อไป

ด้วยความที่ใกล้เวลางานเลิก ลานจอดรถโดยเฉพาะชั้นวีไอพีจึงเริ่มว่าง แต่ก็ยังต้องตรวจตราเพื่อเคลียร์ทางให้บรรดารถลงไปรอรับนายได้โดยไม่มีอะไรติดขัดที่สุด หลังจากเดินสำรวจจนทั่ว มาถึงแถวสุดท้ายก็เห็นรถยุโรปสีดำจอดสนิทที่ช่องจอดริมนอกสุด แม้จะไม่ได้ตั้งใจจำทะเบียน แต่มันฝังอยู่ในสมองเพราะความรับผิดชอบต่องาน มันคือรถคันละหลายล้านของพ่อนักวิทยาศาสตร์จอมทำลายจิตใจนั่นเอง

“ต่อไปขออย่าให้ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกเล้ย สาธุ”

ยืนบนบานศาลกล่าวต่อหน้ารถ แต่ก็ยังแข็งใจกวาดตาสำรวจความเรียบร้อยตามหน้าที่ เมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งผิดปกติใดๆ ก็หันหลังเพื่อจะเดินย้อนกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง 

เอ๊ะ!

แวบแรกแทนจันทร์คิดว่าไฟทางเดินดับ เพราะจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็เหมือนจะมืดไปชั่วขณะ ต้องรีบสะบัดหน้าไล่ความเบลอ แต่พอก้าวต่อไปอีกก้าวภาพก็กลับเอียงวูบ

ใจหายวาบ...

มือรีบเท้ากระโปรงรถคันที่เธอบอกว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป พยายามยืนให้นิ่งเพื่อตั้งสติ คิ้วเรียวขมวดเพราะรับรู้ว่าเกิดอาการแปลกประหลาดขึ้นกับตัวเองแน่ๆ แล้ว ทั้งที่มือเกาะกระโปรงรถไว้แน่น แต่รู้สึกเหมือนตัวจะเอียงวูบล้มลงตลอดเวลา ภาพตรงหน้าโอนเอนคล้ายมันหมุนจับทิศทางไม่ได้ แม้ตอนแรกที่มาทำงานจะรู้สึกง่วงเพราะนอนไม่ค่อยพอ แต่มันก็ผิดปกติเกินไปที่จู่ๆ หนังตาจะหนักขึ้นมาจนแทบเปิดไม่ไหวแบบนี้ ความง่วงรุนแรงเข้าจู่โจมจนไม่สามารถทรงตัวได้อีกต่อไป 

แล้วร่างนั้นก็เหมือนจอดับ เข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นข้างรถคันงามทันที

 

วีร์เดินออกมาจากประตูทางออกด้านหลังที่เชื่อมกับอาคารจอดรถ เพราะสั่งให้คนขับกลับไปก่อนโดยไม่ต้องรอ เขาจึงไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอนว่ารถอยู่ตรงไหน เขากวาดตามองหาในชั้นจอดรถวีไอพีซึ่งมีรถอยู่ไม่มากเพียงครู่เดียวก็เจอรถของตัวเองจอดอยู่แถวนอกสุด 

ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างประหลาดใจ จากที่มองอยู่ไกลๆ ตอนแรกก็เหมือนเห็นใครเดินอยู่แถวรถตนเอง ตอนแรกยังนึกว่าตาฝาด เพราะจู่ๆ คนคนนั้นก็หายวับไปกับตา จนกระทั่งเขาเดินมาถึงตัวรถ ชายหนุ่มก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น

หน้าเสียทันทีเมื่อเห็นว่ามีร่างผู้หญิงคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างรถตัวเอง ชายหนุ่มรีบทรุดตัวลงไปดึงร่างนั้นขึ้นมาประคองไว้ แล้วก็ต้องตกใจเพิ่มเป็นหลายเท่าเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดเจนว่าเธอเป็นใคร

“แทนจันทร์!”

ตอนแรกอดนึกไม่ได้ว่านี่จะเป็นละครฉากใดฉากหนึ่งอีกหรือเปล่า แต่ความระแวงนั้นก็เริ่มหายไป เพราะไม่ว่าจะพยายามเรียกเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าเธอจะฟื้นได้สติ เขารีบสัมผัสชีพจร ใช้ปลายนิ้วแตะปลายจมูกก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจ ทำให้รู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่สองตายังคงปิดสนิทเหมือนแค่หลับไปเท่านั้น

หลับ...งั้นหรือ

สมองนักวิจัยระดับหัวกะทิวิเคราะห์ด้วยความรวดเร็ว หลับนิ่งขนาดนี้ไม่ใช่อาการปกติแน่ๆ แถมมาหลับทรุดอยู่กับพื้นข้างรถแบบนี้มันเหมือนล้มพับลงไปมากกว่า อย่างแรกที่คิดคือพาเธอกลับเข้าไปข้างในและส่งให้เพื่อนตำรวจเอาไปรับผิดชอบ แต่อีกใจหนึ่งก็มีความคิดบางอย่างแย้งเข้ามา ในเมื่อเขาเพิ่งเป็นคนบอกเธอไปว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นในงานที่มีตำรวจผู้ใหญ่อยู่แทบทั้งองค์กร สถานที่นี้ก็อาจจะไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ 

ดอกเตอร์หนุ่มนั่งชั่งใจอยู่สักพักก่อนตัดสินใจ สุดท้ายเขาก็อุ้มร่างนั้นขึ้นรถก่อนปิดประตูปังและขับรถออกไป


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น