7

บทที่ ๗

บทที่ ๗

 

แทนจันทร์กระโดดลงมาจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วเดินเข้าไปในซอยแคบๆ ที่แค่เริ่มปากซอยก็บ่งบอกถึงความแออัดของสถานที่ บ้านหลังเล็กหลังน้อยไม่เป็นหลังเพราะมันต่อจากสังกะสีบ้าง ไม้บ้าง แล้วแต่วัสดุจะอำนวย เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุดของคนทำงาน ซอยแห่งนี้จึงคึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย ผู้คนที่ออกมาจับจ่ายหาอาหารกลางวัน มอเตอร์ไซค์ จักรยาน คนเดินเบียดกันอยู่บนถนนแคบๆ ที่สุดปลายถนนมีสะพานไม้สีดำเก่าแก่เหมือนจะพังมิพังแหล่

สองเท้าเดินลัดเลาะเข้ามาในชุมชนอย่างคนคุ้นเคย เลี้ยวซ้ายขวาแบบรู้ทาง ตรงเข้ามาจนถึงทางเข้าหน้าอาคารไม้หลังเล็กที่มีป้ายเหนือหัวเขียนไว้ว่า

โรงเรียนชุมชนสะพานดำ

ร่างเล็กในชุดเครื่องแบบประจำตัวคือกางเกงยีนสีซีดของขาลุยและรองเท้าผ้าใบขะมุกขะมอมก้าวเข้าเขตโรงเรียน ก่อนจะเดินมาหยุดใต้ต้นโพยักษ์อายุหลายสิบปีที่แผ่กิ่งก้านให้สนามเด็กเล่นหน้าโรงเรียนได้มีร่มเงาอาศัย ถึงกระนั้นของเล่นที่ตั้งอยู่ก็สีซีดจาง ทั้งเก่าทั้งลอกจากการโดนแดดเผาและผ่านอายุการใช้งานมาอย่างทรหดอดทน เมื่อมองรวมกับบรรยากาศชุมชนที่ไม่ค่อยสบายตาอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้มันเป็นสนามเด็กเล่นที่ดูหดหู่พิกล

แทนจันทร์หยุดนั่งรอริมสนามเด็กเล่น เมื่อก้มดูนาฬิกาก็เห็นว่าเลยเวลานัดมาพอสมควรแล้ว จึงควักโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นมาพร้อมกดเบอร์ที่คุ้นเคย

“ฮัลโหล ไอ้ต่อ อยู่ไหนแล้ว” เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์

“ผมแวะมารับพี่จิณณ์ รถติดอยู่แถวสำนักงานเนี่ยพี่ คงไปถึงสายหน่อย” เสียงเจ้าลูกน้องคนสนิทที่นัดกันไว้ดังมาจากปลายสาย 

“อ๋อ เหรอ” แทนจันทร์ตอบรับข้อมูลใหม่ที่ว่าเจ้านายของตนจะมาด้วยในครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร “งั้นฉันเข้าไปก่อนละกันนะ เผื่อแม่ครูเขามีงานอะไรให้ช่วย แกมาถึงก็รีบเข้าไปล่ะ”

นัดแนะกันเสร็จก็กดวางสายก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้

“ผมเคยมาที่นี่!” 

“โอ๊ย! ตาเถรหกตกแตก!” 

แทนจันทร์สะดุ้งสุดตัว เมื่อจังหวะที่ตัวเองหันหน้ากำลังจะเดินออกไปแทบจะก้าวเข้าไปชิดร่างร่างหนึ่งที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตรงหน้า ทำให้เธอเกือบร้องกรี๊ดกลางสนาม 

“โอ๊ย! วันหลังมาแบบให้สุ้มให้เสียงก่อนได้มั้ย หัวใจจะวาย”

แทนจันทร์กระโดดเหยงออกไปทันที ยกมือกุมอกบริเวณหัวใจที่ไม่เคยเต้นดังเพราะปืนผาหน้าไม้แต่อ่อนไหวง่ายเหลือเกินกับสิ่งไม่มีชีวิตที่หาที่มาไม่ได้แบบนายนี่ หน้าซีดยกแขนปาดเหงื่อ ท่องพุทโธรัวๆ เพื่อเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศกลับคืนมา ยิ่งวันนี้นายผีนี่มาแบบกะทันหัน ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจ จึงไม่ทันได้ปิดตาหรือหันหน้าหนี เรียกได้ว่าเจอผีแบบเต็มๆ ตากันเลยทีเดียว

แต่คงเป็นเพราะความคุ้นชินที่เจอกันบ่อยครั้ง ทำให้ภูมิต้านทานเริ่มแข็งแรง บวกกับยามนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ แดดร้อนเปรี้ยง จึงทำให้ความกลัวเรื่องสิ่งลี้ลับมีน้อยลงและกลับมาตั้งสติได้ไวขึ้น 

“โอ้โห ละวันนี้แต่งตัวซะเต็มยศเลย จะไปออกงานที่ไหนเนี่ย”

แทนจันทร์ลืมความตกใจไปชั่วขณะ กลายเป็นความแปลกใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสภาพคนตรงหน้า ร่างของผีหนุ่มที่วันแรกปรากฏตัวอย่างสยดสยองในชุดโรงพยาบาลทั้งเลือดทั้งแผลเต็มตัว วันนี้กลับมาในชุดเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยชุดสูทสีเทากับกางเกงสแล็กสีเดียวกัน รองเท้าหนังดำมันปลาบ ดูเนี้ยบไปทั้งตัว ทำเอาเธอเผลอมองชนิดหัวจดเท้า เท้าจดหัวไปเสียหลายรอบ

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ แต่มันก็ดูดีเหมือนกันเนอะ” ลักกี้ก้มมองสภาพตัวเองแบบไม่เข้าใจ ก่อนหันมายิ้มเมื่อเห็นสายตาคนจ้อง “แต่ถ้าแต่งตัวแบบนี้แล้วคุณชอบ ผมก็อยากใส่ทุกวันเลยนะ”

แทนจันทร์ทำเสียง ‘หึ’ เบาๆ อย่างเหลือเชื่อกับผีบ้ายอที่ยืนยิ้มเผล่อย่างภาคภูมิใจ แต่ยอมรับว่ามันก็ทำให้เขาดูภูมิฐานและน่ากลัวน้อยลงไปจริงๆ รู้สึกว่าพอเปลี่ยนมาเป็นชุดธรรมดาแบบนี้แล้ว ดวงตาคู่ที่เคยฉายแววนุ่มนิ่มไม่มีพิษภัยก็กลับมีแววระยิบระยับขึ้นมาไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป หญิงสาวที่รู้ตัวว่าเผลอจ้องแบบเสียอาการไปพอตัวรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อยังเห็นว่าดวงตายิ้มๆ นั้นจ้องตนไม่เลิก 

“แล้ววันนี้ทำไมโผล่มาตอนกลางวันได้ล่ะฮะ”

เพราะส่วนมากจะเป็นเวลาดึกเกือบเข้าวันใหม่ทุกครั้งที่เธอจะได้สัมผัสกลิ่นน้ำหอมและการปรากฏกายแบบไม่มีที่มาของเขา จึงไม่คุ้นเลยที่ได้เห็นเขาตอนกลางวัน

“ผมไม่แน่ใจ เหมือนรู้สึกตัวอีกทีก็โผล่มาเจอคุณที่นี่” ผีหนุ่มพยายามนึก แล้วก็เบื่อตัวเองเต็มทนที่ทุกครั้งที่พยายามนึกอะไร สมองจะมีแต่ความว่างเปล่า “แต่...ผมคิดว่าผมกับคุณต้องมีบางอย่างสื่อสาร เกี่ยวข้อง หรือสัมผัสกันได้แน่ๆ เพราะผมคิดว่าผมเคยมาที่นี่นะ ผมคุ้นสนามเด็กเล่นนี่มาก และคุณก็มาอยู่ในที่ที่ผมรู้สึกคุ้นโดยที่ผมไม่เคยบอกคุณเลย”

เขาเอ่ยสีหน้าจริงจังและเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง มองไปรอบๆ อย่างครุ่นคิด

“คุณมาที่นี่ก็เพื่อจะมาสืบเรื่องผมใช่มั้ย คุณตามหาความจริงเกี่ยวกับตัวผมได้แล้วใช่มั้ยคุณตำรวจ ผมขอบคุณคุณมากๆ เลยนะ คุณเป็นคนดีจริงๆ”

คนเป็นตำรวจเจอประชาชนผู้ร้องทุกข์มามาก แต่นี่เป็นผีเจ้าทุกข์รายแรกที่สุดแสนจะมองโลกในแง่ดีและแสนซื่อ ดวงตานั้นมองเธอแบบขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากใจจริง แม้ไม่อยากทำแต่ก็ต้องรีบดับฝันก่อนที่ความเป็นวิญญาณแสนนุ่มนวลจะทำให้เขาวิ่งไปไกลในทุ่งแห่งความฝันอันแสนไกลโพ้น

“เดี๋ยวๆ นายคิดไปเองคนเดียวมั้ย ถามฉันสักคำรึยังว่าฉันมีอะไรอยากสื่อสารหรือข้องเกี่ยวกับนายรึเปล่า วันนี้ฉันไม่ได้มาสืบอะไรเลย แม่ครูเขาชวนฉันมางานโรงเรียนที่นี่ วันนี้มีผู้ใหญ่ใจดีมาจัดกิจกรรมเลี้ยงข้าวกลางวันเด็กๆ” เธอรีบปฏิเสธพร้อมแจกแจง “แล้วอะไรนะ นายบอกว่านายเคยมาที่นี่ สนามเด็กเล่นเนี่ยนะ”

“ใช่ๆ ผมคุ้นกับที่นี่มาก”

แทนจันทร์ส่ายหน้าดิกๆ “สนามเด็กเล่นที่ไหนมันก็เหมือนกันหมดมั้ย มีสไลเดอร์ มีม้าหมุน มีทราย รู้ได้ยังไงว่ามันเป็นที่เดียวกัน”

พอเห็นคนฟังชะงักไปเหมือนเริ่มคิดได้ถึงความเป็นจริงนั้น เขาก็มีท่าทางเหมือนพยายามนึกเรื่องจะเอามาแย้ง แต่เพราะในหัวคงไม่ได้มีความทรงจำอยู่มากจึงเงียบไป แทนจันทร์จึงยักไหล่ หันหน้าหนีกลับมาทำธุระของตัวเองต่อ ออกเดินจากสนามเด็กเล่นตรงเข้าไปยังตัวอาคารไม้หลังเก่าที่เริ่มได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ดังมาไกลๆ 

“แต่ผมคุ้นมากจริงๆ นะ” ลักกี้ยังเอ่ยเสียงอ่อย เดินคอตกตามมาด้วย “ที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังไง ผมเห็นภาพเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงยืนคุยกันอยู่ในสนามเด็กเล่น”

“เด็กก็ต้องคุยกันที่สนามเด็กเล่นสิ จะให้ไปยืนคุยกันหน้ากรมตำรวจเหรอ” เธอหันกลับไปย้อน และนั่นก็เป็นวินาทีที่ต้องหยุดบทสนทนา เพราะเห็นรอยยิ้มกว้างของแม่ครูบังอร ครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งเดียวในชุมชนแออัดสะพานดำส่งยิ้มมาแต่ไกลอย่างคนคุ้นเคย

“สบายดีนะคะแม่ครู คิดถึงแม่ครูจังเลย” หญิงสาวรับอ้อมกอดจากหญิงร่างท้วมหน้าตาใจดี เธอเรียกอย่างสนิทสนมเช่นเดียวกับเด็กๆ ทุกคนที่นี่ 

“หายหน้าไปนานเลยนะหนูจันทร์”

แม้จะทำคดีมาหลายคดี บางคดีต้องเทียวไปเทียวมาสถานที่บางแห่งเป็นปีๆ แต่ก็ไม่เคยมีที่ไหนที่เธอเลือกที่จะมาโดยไม่ใช่เรื่องงานเหมือนที่ชุมชนสะพานดำแห่งนี้ การได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่กับชุมชนทำให้เธอได้รู้จักหลายๆ สิ่งที่นี่ ทั้งวิถีชีวิต สมาคมหมากรุกริมคลอง ร้านส้มตำป้าแดงปากซอย หัวหน้าวินมอเตอร์ไซค์ คุณครูทุกคนที่โรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้ จากตอนแรกที่ต้องทำความรู้จักกับคนกลุ่มนี้เพราะงาน ตอนนี้จากคนคุ้นหน้าก็กลายเป็นคนรู้จัก มากเข้าก็เป็นคนสนิทกันไป 

มันจึงยิ่งทำให้เธอรู้ว่า ถ้าไม่มียาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาหลักของชุมชน พวกเขาก็จะเป็นชุมชนหนึ่งที่แม้เงินจะน้อย อยู่ในสังคมที่คนอื่นเหยียดว่าเป็นสังคมชั้นล่าง แต่พวกเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากท้องไม่ต่างจากคนทั่วไป นั่นจึงยิ่งทำให้เธออยากช่วยให้เด็กๆ รุ่นลูกหลานของคนพวกนี้มีอนาคต มีสังคมที่ดี ได้ก้าวเดินไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ต้องมาหมดอนาคตหรือใช้ชีวิตดำมืดอยู่กับการถูกล่อลวงโดยยานรกพวกนี้

“ช่วงนี้งานยุ่งน่ะค่ะ” หญิงสาวเลือกตอบแบบยิ้มหน้าชื่นตาบานแม้จะถูกพักงานมาร่วมเดือนแล้ว “แม่ครูสบายดีนะคะ”

ตลอดเวลาของการสนทนา แม่ครูพูดคุยอย่างออกรสตามประสาคนแก่ใจดีเหมือนทุกครั้งที่เจอเธอ จากการสังเกตทำให้แทนจันทร์รู้เลยว่าแม่ครูบังอรไม่ได้มองเห็นการมีตัวตนของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนยิ้มตาใสฟังอย่างมีมารยาทอยู่ข้างๆ แทบไม่ห่างจากตัวแม่ครูเลย

“แล้วเด็กๆ ทานข้าวกันแล้วเหรอคะ ได้ยินเสียงเคาะถาดกันมาแต่ไกลเลย”

โรงเรียนชุมชนสะพานดำเป็นโรงเรียนเล็กๆ กลางชุมชนแออัดหลายพันหลังคาเรือนที่จัดตั้งขึ้นเนื่องจากปัญหาผู้ปกครองยากจน ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำไม่มีเวลาดูแลเด็ก และไม่มีทุนสำหรับส่งเล่าเรียน มีครูประจำเพียงไม่กี่คนรวมกับครูจิตอาสาจากหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือบ้างในบางที โดยเปิดโอกาสให้เด็กที่ขาดโอกาสทางการศึกษาในชุมชนได้มีโอกาสเรียนหนังสือ รวมถึงสอนด้านวิชาชีพ ฝึกทักษะที่จำเป็นสำหรับเลี้ยงชีพในอนาคต อย่างงานฝีมือ

“ใช่จ้ะ ทีมงานของทางผู้ใหญ่ใจดีเขามากันแต่เช้าแล้ว”

เป็นที่รู้กันว่า ‘ผู้ใหญ่ใจดี’ คือคำที่ใช้กล่าวถึงหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ ที่ให้โอกาสเข้ามาบริจาคหรือจัดกิจกรรมการเรียนรู้สนับสนุนเด็กๆ ในโรงเรียน ซึ่งไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก

“ดีใจแทนเด็กๆ จังเลยนะคะ ที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้แต่ก็ยังมีคนดีๆ คอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่”

บังอรพยักหน้า “ครั้งนี้ท่านบริจาคของจำเป็นให้เราเยอะเลย ทั้งอุปกรณ์การเรียนของเด็กๆ อุปกรณ์กีฬา งบอาหารกลางวัน และท่านยังบอกว่าท่านจะทำสนามเด็กเล่นใหม่ให้เด็กๆ ด้วยนะ”

“จริงเหรอคะ” แทนจันทร์ตาลุกวาว นึกในใจว่าองค์กรหน่วยไหนหนอที่ใจดีและทุนหนาพอที่จะช่วยเหลือเด็กๆ ได้เยอะขนาดนี้ “เด็กๆ ต้องดีใจมากแน่ๆ เลยที่จะได้มีที่วิ่งเล่นสวยๆ กันแล้ว”

“ใช่จ้ะ เด็กๆ ดีใจกันใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องสนามเด็กเล่น ครูเองก็ดีใจ เพราะของเล่นพวกนั้นตั้งมาเป็นสิบปีได้แล้วมั้ง เก่ามีแต่สนิม กลัวว่าเด็กๆ เล่นแล้วจะได้รับอันตราย” แม่ครูกล่าวตามสภาพความเป็นจริงที่ตนเห็น แต่ก็ไม่มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ “งานนี้เด็กๆ เลยช่วยกันจัดห้องนิทรรศการ วาดรูปขอบคุณท่านเต็มไปหมดเลย แล้วก็มีซ้อมร้องเพลงกับซ้อมการแสดงให้ท่านด้วย หนูจันทร์รอพบท่านด้วยกันนะ อีกสักพักคงจะมาถึงแล้วละ”

แทนจันทร์พยักหน้า รู้สึกอิ่มใจไปด้วยเมื่อเห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของแม่ครู

“ได้เลยค่ะ งั้นจันทร์ขอไปเดินดูงานนิทรรศการรอนะคะ แม่ครูไปดูเด็กๆ ต่อเถอะค่ะ” ตำรวจสาวอมยิ้มพร้อมสำทับ “ไม่ต้องเป็นห่วงจันทร์ จันทร์น่ะเด็กที่นี่อยู่แล้ว”

ที่เธอกล่าวนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอมาบ่อยราวกับว่าที่นี่คือโรงเรียนของตนไปแล้ว มาช่วยงานแม่ครู มาเล่นกับเด็กๆ จนรู้จักทุกซอกทุกมุมของโรงเรียนดี หลังจากขอตัวจากแม่ครู แทนจันทร์เดินแยกออกมายังลานต้นไม้ใหญ่ติดกับสะพานไม้ยาวเลียบคลองที่ใช้เป็นทางสัญจรเล็กๆ ของคนในชุมชน มันเป็นลานกิจกรรมแห่งเดียวในพื้นที่โรงเรียนอันแสนจำกัดแห่งนี้ ใต้ต้นไม้จัดบอร์ดขนาดใหญ่ หรือจริงๆ คือเศษไม้อัดหลายแผ่นนำมาต่อกัน บนแผ่นไม้เต็มไปด้วยรูปวาดของเด็กๆ ที่มีทั้งสีน้ำ สีไม้ สีชอล์ก ตามแต่ใครจะถนัด สีสันสดใสตามจินตนาการของแต่ละบุคคล ลายเส้นฝีมือเด็กๆ อาจจะดูโย้เย้บ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าออกมาจากความตั้งใจ

แทนจันทร์ไล่ดูความน่ารักของจินตนาการเด็ก แม้จะชื่นชอบ แต่ความไม่คุ้นกับงานศิลปะเธอจึงกวาดตามองภาพรวมอย่างชื่นชมและยอมรับว่าไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก จึงทำให้ถึงกับงุนงงเมื่อหันไปพบคนที่ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง และกำลังดูภาพวาดเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลินเป็นพิเศษ สังเกตได้จากสีหน้าสว่างสดใส ปกติเธอไม่ค่อยได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ด้วยความเป็นคนนุ่มนวล สุภาพ ไม่ใช่คนเปิดเผยโวยวาย อารมณ์ดีใจและยินดีจึงมักจะสื่อออกมาทางดวงตาเสียมากกว่า แต่ตอนนี้เขากลับยิ้มกว้างขณะพิจารณาฝีมือเด็กๆ ทีละชิ้นอย่างประณีตและตั้งใจราวกับดูภาพของศิลปินระดับโลก

“ผมชอบภาพพวกนี้นะ รู้เลยว่าเด็กๆ ทุกคนตั้งใจวาดมาก” ลักกี้หยุดยืนหน้าภาพวาดสีชอล์กภาพหนึ่งที่เป็นรูปลูกโลกโย้เย้สีเขียว ข้างๆ มีจรวดสีส้มแปร๊ดกับยานอวกาศ วิ่งตัดไปบนดวงจันทร์เสี้ยวสีเหลือง “ภาพวาดเป็นสิ่งที่สะท้อนความคิด ความฝัน จินตนาการของเด็กๆ ได้อย่างบริสุทธิ์ที่สุด”

แทนจันทร์เผลอมองอีกฝ่าย โดยที่คนที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับภาพวาดของเด็กๆ ไม่รู้ตัว และไม่ได้เห็นสายตาของหญิงสาวที่มองเขาเปลี่ยนไป

“ดูนายชอบผลงานเด็กๆ มากเลยนะ”

“ถ้าผมเป็นคนและมีเงิน ผมก็จะเลือกสนับสนุนเด็กๆ ที่นี่” ลักกี้เอ่ย “เด็กพวกนี้มีความฝัน มีจินตนาการไม่ต่างจากเด็กทั่วไป พวกเขาขาดแค่โอกาส ควรจะมีคนสนับสนุนพวกเขา”

สายลมเย็นพัดมาพร้อมเสียงดนตรีจากเด็กๆ ที่เริ่มซ้อมด้วยอุปกรณ์เท่าที่หาได้ตามมีตามเกิด อย่างถังปี๊บแทนกลองให้จังหวะและด้ามไม้กวาดแทนไม้กลอง ฝาน้ำอัดลมเขย่าเสียงกรุ๋งกริ๋ง ประสานกับเสียงร้องใสๆ ของเด็กที่เริ่มดังคลอ มันไพเราะจากความตั้งใจและความสวยงามของดวงตาใสซื่อทุกคู่ที่กำลังซ้อมอย่างขะมักเขม้นเพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณ

นอกจากมองการซ้อมอย่างตั้งอกตั้งใจของเด็กๆ แทนจันทร์ยังแอบลอบมองสิ่งไม่มีชีวิตข้างๆ ตัวที่เธอสัมผัสได้ชัดเจนว่าดวงตาคู่นั้นเป็นประกายไม่ต่างจากของเด็กๆ เลย ดูเขาในวันนี้จะเพลิดเพลินไปกับศิลปะและเสียงดนตรีเป็นอย่างมาก 

เป็นผีที่มีอารมณ์สุนทรีย์สุดๆ 

ทำไมคนที่หน้าเหมือนกันถึงไม่ใจดีได้สักครึ่งของผีนี่นะ

แล้วแทนจันทร์ก็ต้องรีบสะบัดหัวเรียกสติตัวเอง ไม่เข้าใจและไม่พอใจตัวเองอย่างแรงที่เผลอไปนึกถึงดวงตาที่ฉายแววเหี้ยมโหดสังหารแบบนั้นได้ แต่ยิ่งพิจารณามองคนข้างๆ เท่าไร ความเหมือนนั้นก็ยิ่งทำให้เธอสงสัยและหยุดนึกถึงต่อไม่ได้ ยิ่งย้อนกลับไปยังเหตุการณ์วันนั้นที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้ วันที่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ฉายแววเฉยชา แต่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับสติหลุด

“นี่ ลักกี้ ฉันถามอะไรนายหน่อยสิ”

ผีหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาวข้างๆ ก่อนพยักหน้า

“สำหรับคุณ ถ้าผมช่วยอะไรได้ ผมยินดีช่วยเสมอ”

คนที่คุ้นเคยแต่กับผู้ชายอึกทึกอย่างหมู่ๆ จ่าๆ ที่กองปราบปราม หรือไม่ก็ปลาไหลตัวพ่อแบบลูกน้องตัวแสบ พอมาเจอรอยยิ้มและคำพูดนุ่มๆ แสนสุภาพจากผู้ชายที่จะเรียกว่าคนก็ไม่เต็มปากเพราะดันไม่ใช่คนก็ทำให้ถึงกับชะงักไปบ้าง แต่สักพักก็ทึกทักคิดเอาเองว่าความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นนั้นคงเป็นเพราะนึกละอายในเจตนาตั้งใจจะหลอกถามของตัวเอง

“นายเคยมีความรู้สึก...กลัวอะไรบ้างมั้ย”

“กลัวสิ” ลักกี้รีบตอบ “กลัวคุณไม่ช่วยผมตามหาว่าผมเป็นใคร”

“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แบบนั้น” แทนจันทร์เกาหัว ทำเสียงจึ๊กจั๊กในปากเมื่อได้ยินคำตอบที่สมกับเป็นวิญญาณซื่อตาใส แถมยังเอียงคอทำหน้างงใส่เธอ “เอาความกลัว กลัวแบบเจอแล้วทำตัวไม่ถูก แบบนั่งตัวแข็งทื่อ ตาค้าง ควบคุมตัวเองไม่ได้”

คนพยายามนึกคำตอบเอียงคอไปอีกทางแบบครุ่นคิดอย่างจริงจัง 

“จริงๆ มันก็อาจจะมีนะ...” ลักกี้ทำหน้าพยายามทบทวนอย่างหนัก “แต่ผมจำไม่ได้”

คนตัวเล็กเหลือบตามองบน รู้ว่าพลาดเองที่คิดจะล้วงถามอะไรจากผีความจำเสื่อม

“พยายามนึกหน่อยสิ แบบ...”

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! โจรวิ่งราว!”

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังตัดบทสนทนาล้วงความลับนั้น มันดังมาจากทางเดินไม้นอกรั้วโรงเรียน แต่เพราะทั้งคู่ยืนอยู่ริมรั้ว จึงทำให้แทนจันทร์ซึ่งตาไวตามอาชีพมองเห็นความวุ่นวายของเหตุการณ์มาแต่ไกล 

เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาตามทางแคบๆ ถือกระเป๋าคาดเอวสีดำเหมือนกระเป๋าที่แม่ค้าชอบใช้ ก่อนจะพุ่งเป็นจรวดผ่านหน้าเธอไปทางถนนใหญ่ ตามมาด้วยคุณป้าร่างท้วมที่พาร่างอุ้ยอ้ายวิ่งอย่างยากลำบากตามหลังมา สิ่งเดียวที่ล้ำหน้าเด็กหนุ่มไปคือพลังเสียงอันใหญ่สมร่าง สามารถแหกปากประกาศได้ยินกันไปสามบ้านแปดบ้าน แต่โชคร้ายที่แถวนี้เป็นเขตโรงเรียน จึงไม่มีคนได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอ

“เดี๋ยว คุณ!”

สัญชาตญาณตำรวจไวกว่าเสียงเรียกของลักกี้ แทนจันทร์กระโดดข้ามรั้วเหล็กไปบนทางเดินแล้ววิ่งตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป ผู้หมวดสาวเรียกได้ว่าใส่เกียร์หมา ล็อกเป้าหมายวิ่งตามโจรวิ่งราวที่เห็นหลังอยู่ไวๆ มันลัดเลาะไปตามซอยอย่างเชี่ยวชาญ ระหว่างทางก็ชนโอ่งอ่างกระถางไหแตกระเนระนาด ผู้คนแตกฮือ เสียงแปดหลอดของคุณป้าเจ้าทุกข์ที่ตะโกนไล่หลังมาเริ่มห่างออกไปทุกทีเพราะคนวิ่งตามเริ่มหมดแรง 

“ทางนู้น คุณตำรวจ”

หญิงสาวที่แม้จะไม่ได้อยู่ในเวลาราชการแต่ก็ทำหน้าที่ตามโจรกระชากสร้อยอย่างไม่ลดละออกมาถึงถนนใหญ่ที่ทางเข้าชุมชนด้านหน้า ขณะหันซ้ายหันขวาเพราะหาอะไรไม่เจอก็เห็นลักกี้ปรากฏตัวข้างๆ พลางตะโกนพร้อมชี้ ทางผีบอกที่เห็นโจรวิ่งเข้าไปคือซอยเล็กๆ ที่อ้อมไปยังตลาดด้านหลังชุมชน ทันทีที่ล็อกเป้าหมายได้อีกครั้ง แทนจันทร์ก็ใส่เกียร์สุนัขเต็มเหยียด

“ระวัง คุณ!”

เสียงที่ได้ยินคือเสียงผีบอกตามเดิม แต่บอกด้วยความตกใจสุดเสียง เพราะมัวแต่มุ่งมั่นอยู่กับการจับโจร เธอจึงไม่ได้เงยหน้าดูอะไรทั้งสิ้น แทนจันทร์ไม่เข้าใจอะไรจนกระทั่งพอหันหน้ามาอีกที ไฟหน้ารถคันหนึ่งก็มาจ่ออยู่ตรงหน้า แต่เพราะเสียงเตือนทำให้เธอถีบตัวออกจากตำแหน่งอันตราย กระโดดหลบแบบไม่ตั้งตัวจนกลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนไปกลางถนน

เอี๊ยดดด

เสียงเบรกล้อตายยาวดังลั่นซอยแคบๆ 

‘อูย...’

ยัง! ยังไม่โดนชน!

ในหัวคิดภาพไปแล้วว่าตัวเองคงโดนชนกลิ้ง แต่พอลืมตาเงยหน้าขึ้นมาได้ก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้โดนชน แค่ไถลไปกับพื้นอย่างแรงจนกางเกงยีนตัวเก่งที่ว่าเป็นแบบหนาขาด กระเทือนไปถึงเข่าทั้งสองข้าง เลือดไหลซิบ แต่แผลถลอกแค่นี้สบายมากสำหรับคนที่เคยเจอเหตุการณ์เลือดสาดมาเยอะกว่านี้ พอขยับเนื้อตัวเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายก็รีบเด้งดึ๋งผุดลุกขึ้นมา แทบไม่ได้สนใจรถคันนั้น สมองของตำรวจที่เคร่งครัดในหน้าที่กลับไปยังเป้าหมายที่ล็อกไว้ตั้งแต่แรกทันที 

แทนจันทร์ออกวิ่งจนมาหยุดอยู่กลางทางแยก ข้างหน้าคือกำแพงทึบสูงมิดหัวที่ต้องมีมือเป็นกาวเท่านั้นถึงจะไต่ข้ามไปได้ สองข้างแบ่งเป็นซ้ายกับขวาที่ชะโงกหน้าไปดูทั้งซ้ายและขวาก็เห็นมีแต่ทางเดินยาวแคบเลียบกำแพง อีกฝั่งที่ไม่ใช่กำแพงเป็นบ้านโทรมๆ ที่เก่าและอับยิ่งกว่าโซนด้านนอก มั่นใจว่ามองเห็นหลังไวๆ ของโจรร้ายวิ่งมาในซอยนี้ และเธอก็ตามมันมาแบบไม่คลาดสายตาเลย แต่ทำไมพอมาถึงทางแยกนี้กลับไม่เห็นมันแม้แต่เงา

ใช้สมองผสมกับประสบการณ์บวกด้วยสัญชาตญาณในอาชีพที่สั่งสมมานานนับสิบปี มีอะไรบางอย่างบอกเธอว่าไม่ใช่สองทางซ้ายขวานั้นที่มันจะหนีรอด

ดังนั้นก็จะเหลือแต่...

เปรี้ยง!

เพียงแค่ครั้งเดียว ซากกองไม้ กองถังพลาสติกเก่าๆ ที่วางสุมท่วมหัวจนกลายเป็นกองขยะรกรุงรังข้างถนนก็แตกกระจายถล่มทลายด้วยฝีเท้าเล็กแต่หนักสมกับที่เป็นผู้นำฝ่ายบู๊ของกองปราบปราม เพียงฟาดโครมลงไปเพียงครั้งเดียวมันก็กระจายว่อน

คราวนี้ได้ยินชัดเจนว่ากล่องไม้ร้องเสียงดังโอ๊ย คนรอจังหวะอยู่แล้วจึงกระโดดไปยืนจังก้าขวางทางหนีและคว้าคอคนที่อยู่หลังกองไม้หมับ กึ่งหิ้ว กึ่งลาก กึ่งกระชากขึ้นมาอย่างไม่ปรานี

“โอ๊ย! พี่ตำรวจ ผมเจ็บ! ผมยอมแล้ว ยอมแล้ว!”

แทนจันทร์ลดระดับแรงลง เพราะเสียงที่ได้ยินฟังคุ้นหู และมันรู้หน้าที่การงานของเธอราวกับรู้จักกันมาก่อน ได้ยินชัดว่าเป็นเสียงอู้อี้ที่ฟังเหมือนเสียงแหลมของเด็กวัยรุ่นที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่มดีนัก เจตนาของคำพูดก็ยอมจำนนมากกว่าจะขัดขืน จึงตัดสินใจยังไม่จัดการขั้นเด็ดขาด แต่หิ้วคอมันออกมาจากเงามืดของซากขยะแล้วหมุนตัวมันมาเพื่อมองให้เต็มตา

แล้วหญิงสาวก็ต้องทำหน้าเหลอ เมื่อคนที่ติดมือเธอขึ้นมาไม่ใช่โจรร่างใหญ่โฉดชั่ว จากโจรห้าร้อยกลายเป็นแมวขโมยตัวน้อย เบื้องหน้าเธอคือเด็กชายที่อายุเพิ่งจะเริ่มเข้าวัยรุ่น เจ้าของใบหน้ามอมแมมยกมือชูหรา มองเธอตื่นๆ พร้อมแหกปากสารภาพบาปลั่น กระเป๋าที่เพิ่งวิ่งราวมาแกว่งอยู่เหนือหัว เมื่อเห็นหน้าชัดเต็มสองตาก็ไม่แปลกใจที่เขาจะเรียกเธอได้อย่างถูกต้อง

“ไม้! มาได้ยังไงเนี่ย”

ไม้คือเด็กในชุมชนวัยไม่เกินสิบห้าปี ลูกศิษย์ตัวแสบของแม่ครูบังอรยกมือไหว้เธอปลกๆ ที่จำชื่อจำหน้าได้ก็เพราะเจอกันบ่อย ทุกทีที่เธอมาเยี่ยมแม่ครูบังอรก็มักจะมีเจ้านี่เป็นศิษย์หลังห้อง เรื่องเรียนไม่มุ่ง แต่เรื่องช่างเสนอหน้ามาต้อนรับแขกนี่ถนัดนัก

“อย่าจับผมเลยนะพี่ตำรวจ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

แทนจันทร์เองก็ไม่เข้าใจ ไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็น รู้กิตติศัพท์ความแสบของเจ้าตัวน้อย แม้จะเป็นเด็กชอบเสียงดังโหวกเหวก แต่เธอก็ไม่เคยเห็นวี่แววว่าจะมีพฤติกรรมขโมยหรือหยิบของโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนมากมักจะเป็นคนช่วยงานแม่ครูอย่างดีมาตลอด

“ทำไมทำเเบบนี้ไม้” ตำรวจสาวย้อนถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “รู้ใช่มั้ยว่าขโมยของมันไม่ดี”

“ผมรู้พี่ ผมรู้ แม่ครูสอนทุกวันว่าขโมยของมันไม่ดี” ไม้โอดครวญ หน้าหดเหลือสองนิ้ว “ผมก็ไม่อยากทำ แต่พ่อบังคับผม พ่อบอกว่าถ้าไม่หาเงินไปให้พ่อ พ่อจะตีแม่ ตีน้อง”

คนฟังถึงกับสะอึกไปกับคำตอบที่แสนจะหดหู่ ยิ่งเห็นเด็กน้อยคุกเข่าอ้อนวอนพร้อมสบตาเธอ จากประสบการณ์จับผิดคนร้ายมามาก มองปราดเดียวก็รู้ว่าดวงตาใสซื่อนั้นไม่มีแววโกหก มันกะพริบปริบๆ แบบคนไม่มีทางไป และมองเธอแบบขอความช่วยเหลือมากกว่าจะหาเรื่องอย่างพวกแววตาคนคิดร้ายคนอื่นๆ 

“แล้วพ่อไม้จะเอาเงินไปทำอะไร ทำไมต้องรีบขนาดนั้น”

“ผมก็ไม่รู้ พี่ตำรวจ พ่อบอกพ่อป่วย ออกไปทำงานไม่ได้ พ่อต้องเอาเงินไปซื้อยารักษา ผมอยากให้พ่อหายพี่ ผมกลัวพ่อตาย”

“ป่วย? เป็นอะไร” แทนจันทร์ซักเด็กน้อย

“ผมก็ไม่รู้พี่ หลังๆ พ่อเป็นอะไรไม่รู้ วันๆ นั่งอยู่คนเดียว พ่อชอบบอกว่ามีคนจะฆ่าพ่อ แม่ก็พูดอะไรไม่ได้ แม่เคยถูกพ่อตีเกือบตายตอนทะเลาะกับพ่อครั้งที่แล้ว”

จากคำพูดของเด็กวัยสิบกว่าขวบที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและครอบครัวของตน ทำให้คนผ่านโลกมามากกว่าสะท้อนใจและสะเทือนใจ แค่ฟังก็รู้ทันทีว่ามันเป็นโรคที่หมอคนไหนก็รักษาไม่ได้ แต่ตำรวจเช่นเธอรู้จักและคุ้นเคยกับอาการนี้มานาน อาการป่วยที่ว่านั้นคงหนีไม่พ้นอาการหลอนทางประสาทซึ่งเป็นผลจากการเสพยานรก 

“พี่ ผมขอร้อง” ไม้กะพริบตาปริบๆ อ้อนวอนเสียงอ่อย “อย่าจับผมไปขังคุกเลยนะ ผมไม่อยากติดคุก ถ้าผมติดคุกแล้วแม่กับน้องจะทำยังไง”

แทนจันทร์แทบอยากจะเบือนหน้าหนีจากภาพและเรื่องราวที่ต้องรับฟัง เพราะยานรกที่ระบาดอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ชุมชนแออัดที่ถูกใช้เป็นทั้งที่ค้าและกระจายสินค้า จึงทำให้เด็กตาดำๆ ที่เลือกที่เกิดไม่ได้พวกนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัญหาทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว พบเห็นการลักเล็กขโมยน้อยเป็นเรื่องปกติ ร้ายแรงมากก็กลายเป็นปล้น ทำร้ายร่างกายคนอื่นเพื่อเอาเงินไปหาซื้อยา มันเป็นปัญหาที่กำลังฝังรากลงในสังคมแบบนี้ สาเหตุหลักที่ฉุดชีวิตผู้คนให้ตกต่ำ

เธอดึงกระเป๋าเงินนั้นมาแล้วตัดสินใจ

“เอากระเป๋าคืนมาแล้วรีบกลับบ้านไปซะ”

ไม้ตาโตกับคำพิพากษาที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ โดยเฉพาะตอนรู้ว่าคนที่จับตนได้เป็นพี่ตำรวจที่มาที่โรงเรียนบ่อยๆ ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสรอดอีกแล้ว ยกมือไหว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากครับพี่ตำรวจ” 

แทนจันทร์พยักหน้า แต่ก่อนจะปล่อยตัวไป เธอก้มหน้าลงไปมองตาเด็กน้อยก่อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม้อยากให้พ่อหายป่วยมั้ย”

ดวงตาใสซื่อจ้องตอบเธออย่างมีความหวัง รีบพยักหน้าโดยเร็ว

“ถ้าอยากให้พ่อหายป่วย ไม้กลับบ้านไปเฝ้าพ่อไว้นะ ดูแลพ่อให้ดี แล้วพี่จะส่งเพื่อนพี่ไปคุยกับพ่อนะ”

“พี่จะให้ตำรวจมาจับพ่อผมเหรอ” เจ้าหนูไม้รีบถามตาเหลือก

“ไม่หรอก ถ้าพ่อเราอยากหายป่วย พวกเพื่อนพี่ช่วยได้ เพื่อนพี่อาจจะแค่ถามอะไรพ่อนิดหน่อย ถ้าพ่อยอมตอบคำถามตามที่เพื่อนพี่ถาม เพื่อนพี่ก็จะพาพ่อไปรักษา”

เธอตัดสินใจอธิบายเท่าที่เด็กอายุเท่านี้ควรจะรู้ แค่นั้นเจ้าแมวขโมยน้อยก็มีสีหน้าดีขึ้น กลับเป็นเธอเองที่รู้สึกแย่ที่มีทางเลือกให้เด็กชายได้แค่นี้ ยิ่งคิดว่าเธอจะต้องปล่อยให้เขากลับไปเจออะไร คนที่ตั้งใจเลือกมาเป็นตำรวจเพราะตั้งปณิธานในชีวิตว่าอยากช่วยเหลือคนที่ไม่มีทางไปให้มากที่สุดก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ แต่ก็ทำได้แค่ตบบ่าเจ้าเด็กน้อยก่อนกำชับ

“ไปเถอะ รีบกลับบ้านไปดูแม่กับน้องไป”

ไม้ยกมือไหว้เธอปลกๆ เป็นครั้งที่ร้อยอย่างลนลาน ก่อนจะวิ่งจู๊ดเลี้ยวหายไปยังทางแยกขวามือ ช่างเป็นโชคดีของเจ้าเด็กน้อยที่หายตัวไปได้ทันก่อนที่เสียงฝีเท้าของกลุ่มคนจะดังขึ้นจากด้านหลัง

“ทางนี้ๆ ป้าแต๋ว ทางนี้ มาเร็วๆ”

เสียงโหวกเหวกของชาวบ้านห้าหกคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาดังลั่นซอย แทนจันทร์ประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าคนกลุ่มนั้นมีต่อพงษ์และผู้กองจิณณ์ เพื่อนร่วมงานของตน เดินนำหน้ามา วงข้างหลังคือกลุ่มชาวบ้านที่กลางวงช่วยกันหอบหิ้วป้าแต๋วร่างอ้วนที่วิ่งไล่ตามกระเป๋าเงินมาตั้งแต่หน้าโรงเรียน จนในที่สุดก็เดินอุ้ยอ้ายมาถึงที่นี่ได้จากการช่วยพยุงปีกของเพื่อนบ้าน

“กระเป๋าอยู่นี่จ้ะป้า ฉันได้คืนมาแล้ว” แทนจันทร์รีบเสนอหน้าออกไปรับขบวน หวังว่าจะช่วยถ่วงเวลาให้เจ้าหนูไม้ออกไปไกลที่สุดด้วย

เสียงวิจารณ์แซ่ดของชาวบ้านยังดังไม่เท่าเสียงของป้าแต๋วที่เมื่อมาถึงก็ตะครุบกระเป๋าไปดู เมื่อเห็นว่าสิ่งของข้างในยังอยู่ครบถ้วนดีก็ถอนหายใจเสียงดังอย่างโล่งอก พรั่งพรูเรื่องราวออกมาอย่างโล่งใจ

“โอ๊ย! นังหนู ขอบใจ ขอบใจเอ็งมากเลย ป้านึกว่าป้าจะไม่ได้คืนซะแล้ว”

“แล้วโจรล่ะพี่จันทร์ อยู่ไหน จับตัวได้รึเปล่า” ต่อพงษ์ถามหน้าเริดไม่แพ้ป้า

“เออ มันอยู่ไหนนังหนู ไอ้โจรเวร ไอ้คนพวกนี้ ไอ้พวกนรกส่งมาเกิด สร้างแต่ความเดือดร้อน ต้องจับมันมาให้ได้เลยนะ ป้าจะให้คุณตำรวจเขาลากมันเข้าคุกซะให้เข็ด”

สีหน้าป้าแต๋วเอาเรื่อง ฟังจากการก่นด่าถึงบรรพบุรุษก็รู้ว่าแกโมโหแค่ไหน ดูอาการแล้วคงจะเคียดแค้นโจรวิ่งราวอย่างจริงจังที่ทำให้แกต้องลากสังขารจนหอบเกือบแย่มาถึงที่นี่

“อ๋อ! ไอ้โจรนั่นเหรอป้า” เมื่อดูอาการแล้วป้าแต๋วไม่ยอมแน่ๆ แทนจันทร์เลยปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นอีกสองเท่า “มันวิ่งไวมาก น่าจะเป็นโจรมืออาชีพเลยนะป้า ฉันแย่งกระเป๋ากับมันเกือบแย่ พอคว้ากระเป๋าป้ามาได้มันก็ผลักฉันหน้าทิ่ม นี่แข้งขาเจ็บไปหมด วิ่งตามมันต่อไม่ไหว มันเลยหลุดมือไปได้ เสียดายจริงๆ”

เมื่อเจอคนที่ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังกว่า ป้าแต๋วก็ตบเข่าฉาดจนกระเพื่อมไปทั้งตัว

“กะแล้วเชียว ช่วงนี้เห็นไอ้พวกมอ’ไซค์หน้าปากซอยมันพูดกันอยู่ว่ามีคนมาเดินลับๆ ล่อๆ อยู่ในชุมชนเรา ต้องเป็นไอ้โจรนี่แน่เลย ไม่ได้เลยนะคุณตำรวจ ต้องตามไปจับมันให้ได้”

“ใช่เลยป้า มันอันตรายมาก เอาอย่างนี้ดีมั้ย...” หญิงสาวยกมือแตะปากทำท่าครุ่นคิดก่อนหันไปหาเจ้านาย “ผู้กองไปตรวจดูให้ชาวบ้านหน่อยดีกว่ามั้ยคะ ฉันเห็นมันวิ่งเลี้ยวไปทางซ้ายมือนู่น แต่ฉันไปต่อไม่ไหวแล้ว อาจจะต้องฝากผู้กองแล้ว”

“ได้สิ” จิณณ์รีบพยักหน้า ไม่เคยนึกปฏิเสธแม้จะไม่ใช่ในเวลาราชการ ตามหน้าที่ตำรวจไทยที่ความเดือดร้อนของชาวบ้านต้องมาที่หนึ่ง “ผมจะไปตามมันให้ ยังไงฝากทุกคนไปแจ้งหัวหน้าชุมชนไว้หน่อยนะครับว่าให้ระวังตัวกันไว้”

หลังจากยืนวิเคราะห์วิจารณ์โขมงโฉงเฉงกันอยู่สักพัก ก็เริ่มได้เวลาแยกย้ายกลับไปทำมาหากินต่อ ทางที่หนึ่งเคลียร์โล่ง เมื่อทั้งจิณณ์และต่อพงษ์หายลิ่วไปยังฝั่งตรงข้ามกับที่เจ้าแมวขโมยน้อยหนีไป ส่วนทางที่สองก็ค่อยๆ เคลียร์ไปช้าๆ ตามอัตราการเคลื่อนที่ของป้าแต๋วและร่างอันเต็มไปด้วยไขมันของแก 

พอมองรอบตัวเห็นว่าเคลียร์สถานการณ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีใครอยู่ในรัศมีแล้ว แทนจันทร์ที่ปั้นหน้าอยู่นานก็หมดแรง ทรุดตัวลงนั่งบนถังพลาสติกที่ล้มระเกะระกะอยู่บนพื้น ปาดเหงื่อบนหน้าก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เฮ้อ...”

“ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคุณเป็นมิจฉาชีพหรือเป็นตำรวจกันแน่ ถึงเล่นละครโกหกได้เก่งขนาดนี้”

คนหัวยุ่งตากลมนั่งก้นไม่ทันร้อนรีบหันขวับไปมองตามเสียง เห็นเจ้าของเสียงยืนกอดอกพิงเสามองเธออยู่ไม่ไกล คงเพราะตอนแรกคนวุ่นวายเธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นเขา ดวงตาทรงลูกแก้วหรี่ลงแบบวิเคราะห์ คิดว่าสาเหตุที่เขากล้าพูดแบบนี้คงเพราะเขาได้ชมการแสดงละครของเธอตั้งแต่เริ่มต้นจนจบบริบูรณ์เลยทีเดียว

“ฉันก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผีขี้แอบฟังแบบนี้ทุกตัวรึเปล่า” เธอย้อนกลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน “แต่เสียใจด้วยนะ ถึงนายจะรู้ว่าฉันโกหก นายก็เอาเรื่องนี้ไปบอกใครเขาไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าไม่มีใครมองเห็นนาย”

แทนจันทร์ยักไหล่ลอยหน้าลอยตาอย่างไม่แคร์ เพราะรู้ว่ามีแค่เธอที่มองเห็นเขา ผุดลุกขึ้นยืนแล้วก็ต้องคราง เพราะเข่าที่ยืดอย่างรวดเร็วทำให้แผลที่ถลอกอยู่แยกออก นึกขึ้นมาได้ว่าคงได้แผลนี่มาตอนกลิ้งหลบรถคันนั้น มัวแต่วุ่นวายจึงลืมความเจ็บไปเสียสนิท มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเจ็บจนหน้านิ่ว ต้องรีบงอเข่ากลับไปนั่งแทบไม่ทัน 

“อูย...เจ็บ”

ตำรวจสาวก้มลงมองแผลถลอกสีแดงสดพลางร้องอู้ แม้มันจะไม่ได้ลึก แต่ความกว้างและแสบนั้นเอาเรื่องอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องอมยิ้มขำๆ เมื่อเห็นว่ามีมือมือหนึ่งแสดงน้ำใจ ยื่นออกมารับเหมือนเสนอความช่วยเหลือให้เธอเกาะเพื่อลุกขึ้น 

“อะไร! จะเล่นตลกอะไรอีก จะให้ฉันทะลุตัวนายให้ประสาทหลอนเล่นเหรอ ไม่เอาหรอก”

คิดเอาเองว่านายผีนี่คงจะอยากแกล้งเธอเล่น จึงเมินมือนั้นอย่างไม่ไยดี คนเก่งยังพยายามยืนอีกครั้งแบบทุลักทุเลจนสำเร็จ ค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง บวกกับอยากโชว์ว่าไม่เป็นอะไร แต่ยังไม่พ้นสองสามก้าวดีก็เซทำท่าจะล้ม

ยังไม่ทันได้เอนไปทางไหน ก็ได้มือที่ปฏิเสธไปเมื่อครู่เอื้อมมาจับแขนเธอหมับเหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ก่อนจะช่วยดึงให้ทรงตัวได้อีกครั้ง

แต่...

แทนจันทร์ก้มลงไปมองมือใหญ่ที่จับแขนเธอไว้แน่น แรงบีบชัดเจนที่แขนทำให้เธอหน้าเหลอ ตอนแรกถึงกับขยี้ตานึกว่าตาฝาด แต่ภาพก็ยังชัด จึงอนุญาตตัวเองให้เอื้อมมือไปจับไล่ตั้งแต่มือ แขน ไหล่ แล้วก็สัมผัสได้ถึงเนื้อหนังอุ่นๆ ของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ซึ่งเธอไม่มีทางทำแบบนี้กับลักกี้ซึ่งเป็นวิญญาณไร้ชีวิตได้

“คุณวีร์! คุณมาจากไหน” หญิงสาวโพล่งขึ้นมาแบบเหลือเชื่อ “มาได้ยังไง ทำไม...ทำไมถึงเป็นคุณ”

เธอทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะลำดับเรื่องราวในสมองไม่ถูก ตอนนี้สับสนที่สุดว่าคนตรงหน้าเป็นใครกันแน่ เมื่อครู่เธอเจอนายผีลักกี้ที่มาเดินตามเธอไปทั่วโรงเรียนแต่ไม่มีใครเห็น ทำไมพอมาเจออีกทีถึงกลายเป็นคนมีเนื้อมีหนังขึ้นมาได้ 

วีร์เองก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่คิดว่าจะเป็นหญิงสาวที่ควรทำหน้างง ควรเป็นเขามากกว่าที่จู่ๆ ก็โดนตำรวจประหลาดคนนี้พูดคุยด้วยท่าทางสนิทสนมราวกับเห็นว่าเขาเป็นใครอีกคน แต่พอเอามือมาจับเนื้อตัวเขาก็กระโดดโหยงทำเหมือนเห็นผี แถมถอยห่างราวกับกระโดดหนีแมลงสาบ 

“ถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใคร” เขาย้อนถามอย่างนึกสงสัยท่าทางนั้น 

แทนจันทร์อึ้งไป ไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร วีร์เองเห็นอาการอ้ำอึ้งนั้นก็พอจะรู้อยู่ว่าเขาคงไม่ได้คำตอบ

“ก็จู่ๆ คุณวิ่งมาตัดหน้ารถผมกลิ้งกระเด็นไปขนาดนั้น ผมกลัวว่าคุณจะแข้งขาหักแล้วเดี๋ยวจะมาเป็นเรื่องกันทีหลัง เลยเดินตามมาดู” 

วีร์เล่าตามความจริง ที่เขาต้องสะดุ้งเฮือกตื่นจากที่กำลังงีบพักสายตาในรถ เพราะว่าคนขับรถเหยียบเบรกอย่างแรงจนของทุกอย่างในรถเทกระจาดไปรวมกันข้างหน้า ตัวเขาเองก็คงจะไปด้วยถ้าไม่ติดเข็มขัดนิรภัยที่รัดไว้ ไม่ทันต่อว่าอะไรกัน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นคนกลิ้งหลุนๆ อยู่หน้ารถ ถึงกับอึ้งไปที่ลูกขนุนที่เด้งกลับขึ้นมาคือแม่ตำรวจตัวดี ที่พอลุกขึ้นยืนแล้วก็วิ่งต่อได้ราวกับมนุษย์เหล็ก

“พอตามมาดูเลยได้เห็นคุณเล่นละครฉากใหญ่หลอกทั้งเจ้านายทั้งชาวบ้าน”

หนึ่งในดูโอปลาไหลแห่งกองปราบปรามหน้าเสีย ก้มหน้างุดหลบตาอย่างที่ไม่ค่อยทำกับใครมาก่อน นึกสงสัยว่ารถมีเป็นหมื่นเป็นพันคัน ทำไมต้องไปกลิ้งเป็นลูกขนุนหน้ารถคันนี้ ทำไมถึงมีแต่เหตุการณ์ที่พร้อมใจจะทำให้เธอโป๊ะแตกต่อหน้าดอกเตอร์คนนี้ทุกที จะมีครั้งไหนบ้างที่เขาได้เห็นและเข้าใจเธอในภาพจำของตำรวจที่ดี ครั้งแรกที่เจอกันยังตามเก็บเศษซากใบหน้าตัวเองมาต่อไม่สนิท ครั้งที่สองกลางกองไฟก็เต็มไปด้วยคำถามกับการปรากฏตัวของเธอ ยิ่งครั้งนี้เขาดันเห็นละครฉากใหญ่ที่เธอสร้างขึ้นเพื่อหลอกคนเป็นสิบคนอีก ต่อให้เธอพูดแก้ตัวอะไรก็คงไม่ทันกาล โดนตีตราว่าเป็นคนขี้โกหกไปแล้ว 

งานนี้โทษใครไม่ได้นอกจาก...

ลักกี้ ผีบ้า! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การไปไม่ลา มาไม่ไหว้ของนายผีนี่ทำให้เธอหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ แถมไม่มีโอกาสได้เก็บเศษซากหน้ามาต่อให้ติดอีกแล้ว

“นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่ คุณตำรวจ”

ตำรวจที่เคยได้แต่สอบปากคำคนอื่นถึงกับไปไม่ถูกเมื่อโดนสายตาเครื่องจับเท็จตัวพ่อตามจี้ ครั้งนี้ใบหน้านั้นไม่บอกอาการว่าเขาจะปล่อยเธอไปง่ายๆ ซึ่งแทนจันทร์ก็พอจะเข้าใจ เพราะในสายตาเขาตอนนี้ เธอเป็นคนที่มีทั้งพฤติกรรมโกหกและทำตัวประหลาด มีลับลมคมใน ทั้งหมดคงจะทำให้ดอกเตอร์ที่ระดับสมองอยู่ในชั้นหัวกะทิของประเทศเริ่มคลางแคลงสงสัยในตัวเธอแน่นอนอยู่แล้ว

มั่นใจว่าเขาต้องสงสัยอยู่สองอย่าง คือสงสัยว่าเธอประสงค์ร้าย และสงสัยว่าเธอบ้า 

“ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกังวลนะ รถคุณยังไม่ทันชนฉันหรอก ฉันวิ่งไม่ดูทางเอง” หญิงสาวพยายามฉีกยิ้มแหย พูดไปนู่น หวังเปลี่ยนประเด็นให้เขาลืมไอ้ที่เธอพูดกับเขาเมื่อครู่ไปให้หมด 

สีหน้าเย็นชา แววตาไม่สื่อความหมาย ไม่สามารถอ่านอะไรได้เลยจากดวงตาคู่นั้น รู้อย่างเดียวคือเสียวสันหลังวาบเมื่อเขาก้มมองเธอที่นั่งตัวลีบอยู่บนถัง พร้อมออกคำสั่งที่ไม่กล้าเถียง

“ไปหาที่ทำแผลก่อน”

 

ชุดปฐมพยาบาลชุดเล็กสำหรับเด็กในโรงเรียนถูกยกออกมาให้ผู้ใหญ่ร่างโต มันจึงดูกระจุ๋มกระจิ๋มไม่เหมาะกับขนาดบาดแผล ที่หลังจากถลกขากางเกงขึ้นมาแล้วก็ดูแย่เอาเรื่อง เข่าสองข้างเป็นแผลเปิดเห็นเนื้อสีแดงเถือก เลือดไหลซิบ ยังไม่นับรอยถลอกหนังเปิดที่ท้องแขนและตามข้อศอกอีก

ผู้ใหญ่ตะกุยตะกายรื้อของทุกอย่างออกมากองตามนิสัยมือห่างไม่สมหญิง หยิบนู่นหยิบนี่เละเทะ เอาสำลีออกมากอง เทแอลกอฮอล์หยดบ้างเลอะบ้าง ขวดยาทาแผลเอียงหก จนผู้ใหญ่ตัวโตกว่าอีกคนที่ยืนมองอยู่นานรู้สึกขัดใจ จึงคว้าซองสำลีมาถือไว้เสียเอง

“คุณทำอะไร ไม่ต้องๆ” แทนจันทร์ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นอีกคนคว้าสำลีและขวดยาทาแผลไปจากมือพร้อมทรุดตัวนั่งตรงหน้าเธอ 

ตอนแรกแทนจันทร์จะรีบอ้าปากปฏิเสธ ตกใจเพราะไม่คิดว่าคนแบบเขาจะมานั่งทำแผลให้ใคร และมั่นใจว่าคนแบบนี้ไม่มีทางทำแผลเป็น แต่ดูจากสีหน้าเรียบๆ ที่อาจจะไม่มีการปรานีถ้าเธอยังทำตัวปัญหาเยอะ ผู้หมวดสาวจึงยอมสงบปากสงบคำ นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาปล่อยให้เขาจัดการ เมื่อยื่นหน้ามองไปมองมาก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแทบไม่เชื่อสายตา เพราะเห็นเขาทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว จับนู่นเทใส่นี่จนคนมองก็ชักจะเพลินๆ

กลางสนามเด็กเล่นที่พระอาทิตย์เริ่มตรงหัว ภาพคนแต่งตัวเนี้ยบหัวจดเท้ากลายเป็นภาพที่ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่แม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นรั้วผุพัง เครื่องเล่นสนิมเขรอะ หรือตัวอาคารไม้เก่าๆ สถานที่ร้อนอบอ้าวเพราะไร้เครื่องปรับอากาศทำให้เริ่มมีเหงื่อซึมบนผิวขาวซีดอย่างคนที่มักอยู่แต่ในห้องแอร์ เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกพับแขนขึ้นมาลวกๆ หนึ่งข้างเพื่อให้คล่องต่อการเคลื่อนไหว รองเท้าหนังมันปลาบเลอะฝุ่นทรายของสนามหญ้าตะปุ่มตะป่ำ เช่นเดียวกับกางเกงสีเทาที่เจ้าของนั่งคุกเข่าลงไปบนฝุ่นอย่างไม่เสียดายความแพงของแบรนด์ที่ใส่ แต่ดูเหมือนเขาจะตั้งใจทำแผลจนไม่ได้สนใจสภาพตัวเองสักเท่าไร กลายเป็นคนมองที่เกิดอาการเห็นใจขึ้นมาเอง 

ดูๆ ไปเขาก็ไม่ได้แย่

เพราะอยู่ในระยะใกล้ เธอจึงเห็นว่าดวงตาสีอัลมอนด์นั้นไม่ได้ดูดุไปเสียทีเดียว แต่ที่ไม่น่าเข้าใกล้เพราะสีหน้าเรียบเฉยที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาดูอึมครึม

ไม่รู้ว่าเพราะความทรงจำหรือเศษเสี้ยวสมองส่วนใด ทำให้แทนจันทร์เผลอคิดขึ้นมาว่า

‘ทำไมดูคุ้นๆ กันนะ’

ขณะที่มองใบหน้านั้น มือที่เคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาบนแผลและสายตาที่จับจ้องยามทำแผลอย่างตั้งใจเหมือนจะเรียกภาพบางอย่างให้เข้ามาซ้อนทับในหัวของแทนจันทร์ แต่ก็แนบกันไม่สนิท บางทีก็รางเลือน หญิงสาวเอะใจ เพราะมันคุ้นอย่างน่าตกใจราวกับว่าเคยมีคนทำแบบนี้ให้ จนทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง

เหมือนเธอเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหน

“ทำไมทำหน้าเหมือนโดนบีบคอ เจ็บแผลเหรอ”

ภาพความทรงจำที่กำลังพยายามต่อในหัวแตกกระจาย คนที่ไม่ได้ถูกบีบคอทำหน้าเหยยิ่งกว่าเก่า นึกตำหนิตัวเองที่ดันไปคิดอะไรเพ้อเจ้อ ถึงอย่างไรคนตรงหน้าเธอก็คือดอกเตอร์วีร์ นักเรียนนอกเจ้าของศูนย์วิจัยชื่อดังระดับประเทศ เธอจะไปคุ้นเคยอะไรกับเขาได้

สิ่งที่เธอควรกังวลไม่ใช่เรื่องบ้าในหัว แต่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันตรงหน้าที่เขาเพิ่งได้เห็นว่าเธอเล่นละครฉากใหญ่ตบตาคนทั้งชุมชนแถมหลอกเจ้านายตัวเอง ขนาดครั้งที่แล้วเธอเผลอทำเรื่องไม่เข้าท่ากับเขา เขายังทำเสียเธอโดนเด้งออกจากงาน และครั้งนี้เขาคนนั้นก็ไม่รู้กำลังเล่นตลกอะไรถึงมานั่งทำแผลให้เธอ แทนจันทร์จึงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าอนาคตของตัวเองกำลังจะไปอยู่ตรงไหน งานนี้ถึงแม้จะเจ็บแค่ไหนก็ต้องกัดฟันบอกไปว่า

“เปล่า”

“แล้วตอนที่คุณเห็นผมครั้งแรก คุณคิดว่าผมเป็นใคร”

แทนจันทร์เม้มปากเงียบเมื่อเจอคำถามนี้รอบสอง แค่นี้เขาก็มองเธอว่าสติสตังไม่เต็มแน่ๆ แล้ว ถ้าเธอบอกเขาว่าตอนนี้ชีวิตเธอกำลังโดนวิญญาณหน้าตาเหมือนเขาตามตื๊อไม่เลิก แถมเป็นผีไม่มีมารยาท ไปไม่ลา มาไม่ไหว้จนทำให้เธอสับสนไปหมดว่าอันไหนผี อันไหนคน เขาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์คงได้จับเธอส่งโรงพยาบาลบ้าแน่ๆ 

“ไม่มีอะไรหรอก”

ขนลุกซู่ยิ่งกว่าตอนเจอลักกี้ เพราะทันทีที่ตอบแบบส่งๆ จบ คนที่หน้าเหมือนลักกี้แต่แววตาโหดกว่าสิบเท่าก็ช้อนตาขึ้นจ้องหน้าเธอ 

“คุณก็รู้ใช่มั้ยว่า เซรุ่มพูดความจริงที่ทางศูนย์วิจัยจะส่งมอบให้หน่วยงานของคุณเป็นงานวิจัยที่ผมทำด้วยตัวเอง” จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยเรื่องที่ดูไม่เกี่ยวกับที่คุยกันอยู่สักนิดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เรียบๆ ตามบุคลิกของเขา “การคิดค้นหรือทำงานวิจัยเซรุ่มตัวหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่การเอาสารเคมีหลายอย่างมาผสมๆ กัน เขย่าสองสามครั้ง หยดสารทีสองทีแล้วจะสำเร็จเหมือนในหนังวิทยาศาสตร์”

คนเล่าเล่าเหมือนแชร์ความรู้ทั่วไป

“โดยเฉพาะเซรุ่มพูดความจริง มันเป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะเราต้องทำงานเกี่ยวกับสมองและจิตเบื้องลึกของมนุษย์ซึ่งเป็นระบบการทำงานที่ซับซ้อนและเข้าใจยากมากระบบหนึ่ง ก่อนที่จะมาเป็นเซรุ่มตัวนี้ได้ ผมจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีในการศึกษาพฤติกรรมการโกหกของมนุษย์ เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์และประเมินผลหลังจากได้รับเซรุ่ม ว่าเขาพูดความจริงหรือโกหก หรือมีพฤติกรรมอย่างไร” 

จิตของมนุษย์นั้นซับซ้อน แล้วจิตของมนุษย์ที่ศึกษาจิตของบุคคลอื่นนั้นจะยากแท้เกินหยั่งถึงขนาดไหน...

“ซึ่งจากความรู้ที่ผมมีทั้งหมด ผมบอกได้เลยว่าตั้งแต่ที่คุณพูดกับผมมา คุณยังไม่ได้พูดความจริงกับผมเลยสักคำ”

คนฟังกลืนน้ำลายเอื๊อกเพราะถูกแทงใจดำแบบไม่ต้องหลบ เหมือนโดนไล่จี้ด้วยเครื่องจับเท็จ และตอนนี้เครื่องมันดันร้องฟ้องสัญญาณการถูกจับผิดดังลั่น สมองของตัวแสบแห่งกองปราบมันตื้อ งัดแผนการใดๆ ออกมาใช้ไม่ทัน เหมือนตันไปชั่วขณะเมื่อโดนจ้องด้วยตาสีอัลมอนด์คู่นั้น มันเหมือนเขากำลังใช้จิตวิทยาบางอย่างกับเธอ การที่เธออ่านสายตานั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกเหมือนตกเป็นรอง บวกกับฐานะของเขาที่อยู่เหนือสภาพจิตใจเธอตลอดเวลายิ่งกดดันให้ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาดอีก

และที่หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยก็คือ ชายหนุ่มจับความหลุกหลิกนั้นได้ทั้งหมด

“ฉันไม่ได้โกหกอะไร”

ขณะที่มือนั้นกำลังทำความสะอาดแผลอย่างบรรจงเกินความจำเป็นราวกับจะยื้อเวลา เสียงเรียบก็ยังบรรยายผลงานวิจัยของตนต่อเรื่อยๆ 

“จากงานวิจัยทั่วโลกสรุปได้ว่า คนเรามักจะมีพฤติกรรมที่ชอบทำขณะโกหกโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นบางคนจะชอบหลบตา”

ผู้หมวดสาวเงยหน้าขึ้นจ้องตาสีอัลมอนด์ตาแทบถลน 

“บางคนจะพูดจาตะกุกตะกัก บางคนลมหายใจติดขัด บางคนกะพริบตาถี่ๆ แต่คุณเป็นคนที่ชอบยกมือขึ้นกอดอกเวลาโกหก”

“ไม่จริง” เธอมือรีบคลายออกจากท่ากอดอกราวกับต้องของร้อน ส่ายหัวดิกๆ 

“ใช่ ไม่จริง ผมโกหก” วีร์ตอบพร้อมยักไหล่ พยักหน้าง่ายๆ “จริงๆ คุณไม่ได้ชอบกอดอก แต่คุณชอบเผลอเอามือจับปากเวลาโกหก ผมเห็นคุณทำตั้งแต่ตอนอยู่ต่อหน้าชาวบ้าน ตอนนี้ก็ด้วย”

แทนจันทร์ชะงักค้างไปกับการโดนนักวิจัยหลอกตุ๋นจนเปื่อย ยิ่งปฏิเสธไม่ออกเมื่อมือข้างขวายังแตะปากอยู่จริงๆ เรียกได้ว่าเป็นพฤติกรรมที่เจ้าตัวเองไม่เคยรู้ตัวมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ดอกเตอร์ที่สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรนั้นกลับจับสังเกตเธอได้หมด ตอนแรกเธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าคนที่อายุน้อยขนาดนี้จะเป็นถึงผู้อำนวยการหรือดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัยระดับประเทศได้อย่างไร แต่ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจความเจ้าเล่ห์สุดแสบภายใต้สีหน้าเรียบเฉยและภาพลักษณ์สุขุมนั้นได้อย่างลึกซึ้งแล้ว

นอกจากหน้าแตกจนชา การกระทำของเขายังทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว มือใหญ่แต่แสนเบาค่อยๆ เทแอลกอฮอล์ลงบนสำลีเพื่อเช็ดทำความสะอาดโดยรอบ ก่อนจะเทน้ำเกลือเพื่อทำความสะอาดตัวแผล ท่าทางดูคล่องแคล่วชำนิชำนาญ การกระทำที่ดูอ่อนโยนนั้นค้านกับสีหน้าไร้ความรู้สึกสุดๆ จนตำรวจสาวที่มักไม่ไว้ใจใครถ้าโดนหลอกเริ่มกลัวว่าเขากำลังแกล้งอะไรเธออยู่อีกรึเปล่า 

“คุณหลอกฉัน”

“แล้วมันต่างอะไรกับที่คุณหลอกคนอื่น”

ปากย้อนคำพูดเจ็บแสบแต่สีหน้ายังคงนิ่งเรียบยิ่งทำให้แทนจันทร์กัดฟันกรอด นึกโมโหว่าผียังไม่เคยหลอกเธอขนาดนี้ แต่นี่คนกลับหลอกเธอเสียเปื่อย

คนคนนี้น่ากลัวกว่าผีจริงๆ 

“โอ๊ย! เจ็บ!” คนเจ็บร้องลั่น ทั้งเจ็บทั้งโมโหเมื่อยาใส่แผลชุดแรกแต้มลงบนแผล ตัวยาอาจจะไม่แสบ แต่เพราะความสดของแผล ทำให้ไม่ว่าจะขยับอย่างไรก็เจ็บไปหมด หญิงสาวเผลอถลึงตาใส่ด้วยความเจ็บและหดแขนกลับอย่างเร็ว แต่ก็ดึงแขนกลับมาไม่ได้เพราะโดนอีกมือดึงไว้

“ก็ถามว่าเจ็บแผลมั้ย เห็นบอกว่าไม่เจ็บ”

“เบาๆ โอ๊ย! คุณ” คราวนี้ร้องลั่นเพราะยาทาแผลแต้มลงไปบนแผลจังๆ 

“ก็คุณบอกว่าไม่เจ็บ ผมเลยทำแผลให้แรงๆ จะได้สะอาดไวๆ”

แทนจันทร์เอี้ยวตัวหลบเมื่ออีกฝ่ายมือหนักขึ้น นึกขึ้นได้ว่าคำพูดนั้นคือการย้อนคำพูดของเธอที่ตั้งใจปฏิเสธและโกหกเขาทุกเรื่องตั้งแต่แรก ทำให้รู้ว่าใต้ใบหน้าคมคายดูดีแต่นิ่งๆ นี้คือแหล่งรวมความเจ้าเล่ห์ดีๆ นี่เอง

“เจ็บสิคุณ” แทนจันทร์หน้าคว่ำ เป่าแผลยาวที่ทั้งแสบทั้งร้อนเบาๆ

“แล้วทำไมต้องโกหกว่าไม่เจ็บ” 

แค่นั้น...เป็นครั้งแรกที่แทนจันทร์ต้องยกมือยอมแพ้ เธอประมาทระดับมันสมองของดอกเตอร์ไปจริงๆ เขาตั้งใจค่อยๆ บีบให้เธอพูดความจริงกับเขาทีละนิด ปิดทางหนีทีละทางจนเธอถูกเขาไล่ต้อนจนมุม ดิ้นไม่หลุดแบบนี้

ได้แค่ถอนหายใจแล้วทิ้งไหล่ลง ลดป้อมปราการทั้งหมดอย่างกองโจรที่โดนทหารต้อนจนมุม สมกับที่เขาเป็นคนวิจัยเจ้าเซรุ่มพูดความจริง ความน่ากลัวที่แท้จริงไม่ใช่เซรุ่ม แต่เป็นเขาที่สามารถบีบเธอได้โดยไม่ต้องใช้เซรุ่มใดๆ ทั้งสิ้นต่างหาก

“โอเค! ก็ได้ ฉันยอมแล้วคุณดอกเตอร์” เมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนีก็ต้องยอมแพ้ เสียแรงและเสียเวลาที่จะสู้เมื่อศัตรูกำธงแห่งชัยชนะไว้แล้ว ทางรอดเดียวคือยอมแพ้และสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อให้มันเป็นคำสารภาพที่ทำให้ตัวเองเดินสู่แดนประหารก็ตาม 

ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่บนพื้นช้อนตาขึ้นมอง นับถือความกล้าหาญของเธอที่เมื่อโดนจับได้ก็ยืดอกยอมรับผิด เห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของคนโดนต้อนแล้วก็ต้องซ่อนยิ้มไว้ข้างใน สีหน้าแม่จอมแสบตอนนี้เหมือนเด็กโดนครูดุ หมดเรี่ยวแรง ไหล่ตก คอตก ยกป้อมที่เคยป้องกันตัวออก ปากที่เคยเจรจาฉอดๆ เริ่มบ่นอย่างขัดใจ

“ไม่ว่าเรื่องอะไรฉันก็ไม่ได้อยากหลอกคุณหรือหลอกใครหรอก” หญิงสาวว่า “อย่างไอ้แผลเนี่ย ถ้าบอกว่าเจ็บก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหายสักหน่อยนี่ ถูกมั้ย”

มือที่กำลังเทขวดแอลกอฮอล์ชะงัก ทำอะไรต่อไม่ถูก ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกย้อนถามด้วยประโยคนี้ วูบหนึ่งมีแววตาบางอย่างปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่มตอนเผลอเงยหน้าขึ้นมองคนพูด และอาจจะเป็นโชคร้ายของคนที่ชอบบอกว่าดวงตาคู่นั้นมีแต่ความดุ ที่คราวนี้ไม่ได้เห็นแววตาแบบอื่น เพราะเจ้าตัวมัวแต่ก้มหน้างุดๆ อย่างคนยอมแพ้

“ส่วนเรื่องเด็กนั่น ฉันแค่พูดความจริงไม่ได้เฉยๆ” หญิงสาวสารภาพอ้อมแอ้มด้วยคำแถที่ไม่ต่างกับคำว่าโกหก “ฉันรู้ว่ามันไม่ดี แต่คุณจะให้ฉันทำยังไง ฉันรู้จักเด็กนั่น เขาไม่ใช่เด็กไม่ดี และเขาก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น ที่เขาทำเพราะโดนพ่อบังคับ เด็กพวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่การซ้ำเติมด้วยการทำโทษหรือจับเข้าคุกเข้าตะราง”

แทนจันทร์ว่า สีหน้าไม่คลายกังวล แต่ไม่ได้กังวลเรื่องตัวเองแม้แต่น้อย เธอนึกห่วงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เด็กชายต้องเผชิญและปัญหาสังคมที่ตัวเองต้องช่วยแก้ไข

“พวกเขาไม่มีคนพึ่ง ไม่มีทางไป มันเหมือนพวกเขาเดินอยู่ในความมืดน่ะคุณ พวกเขาต้องการคนชี้นำ ต้องการแสงสว่าง คุณลองนึกดูสิว่าถ้าคุณต้องไปเดินบนถนนที่มืดมากๆ แต่ถ้าคืนนั้นแค่มีแสงจันทร์พอส่องให้เห็นทางรางๆ ก็ยังดีกว่ามองไม่เห็นอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

คำอธิบายที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน และสัมผัสได้ว่าไม่มีคำโกหกแน่นอน ทำให้ดวงตาสีอัลมอนด์เปลี่ยนไปอย่างยากที่จะมีใครได้เห็น

“การโกหก...บางทีมันไม่ได้สำคัญที่เนื้อหาหรอกนะคุณ แต่สำคัญที่ว่าทำไมเราต้องโกหกต่างหาก”

ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบ บนที่นั่งกลางสถานที่โทรมๆ ชายหนุ่มในชุดสูทเต็มยศกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหญิงสาวตัวเล็กที่สภาพมอมแมม เนื้อตัวเปื้อนฝุ่น ผมมัดรวบหนายุ่งเหยิง ดูเป็นสิ่งที่ไปกันไม่ได้และหาคำตอบไม่ได้เหมือนเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่นี้ 

ชายหนุ่มที่ทุ่มเทเวลาและแรงกายเพื่อจะทำให้คนพูดความจริง

กับหญิงสาวที่ขอพูดโกหก เพื่อขอแค่เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้องเป็นพอ

ไม่มีคำตอบจากคนคาดคั้นว่าคำอธิบายนั้นผ่านการประเมินหรือไม่ วีร์แกะปลาสเตอร์ปิดแผลเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้นยืน สีหน้าไม่บ่งบอกความเห็นใดๆ เช่นเดิม แค่นั้นก็ทำเอาคนที่นั่งอยู่ไหล่ตก ตัวเล็กลงกว่าเดิม รู้ว่าการแสดงความรับผิดชอบอันสูงเท่าภูเขาจากการที่รถเขาชนเธอกลิ้งเป็นลูกขนุนจบลงแล้ว และเขาก็เค้นให้เธอพูดความจริงกับเขาได้แล้ว เธอพ่ายแพ้และทุกอย่างเข้าทางเขาไปหมด ตอนจบของเรื่องก็คงตามมาด้วยการที่เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้กองจิณณ์ฟัง และเธอก็หนีไม่พ้นโดนผู้กองจิณณ์สวดยับอีก

“ผมคิดว่าคุณน่าจะมีอะไรพูดกับผู้กองจิณณ์อีกเยอะนะ”

“ดอกเตอร์วีร์ ฉันขอร้องละนะ อย่าบอกผู้กองได้มั้ย” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อย ส่งสายตาเว้าวอน 

วีร์หันหน้าหนี แต่อีกคนก็รีบลุกมากระโดดเกาะแขนหมับ ทั้งที่ขายังเดินได้ไม่คล่อง แต่ก็กระโดกกระเดกเข้ามาพันแข้งพันขาไม่ให้ชายหนุ่มเดินหนี

“ขอร้องละนะ ฉันไม่อยากตกงานแบบไม่มีกำหนด ฉันจะพยายามไม่โกหกอะไรแล้วนะ...น้า อย่าบอกผู้กองจิณณ์น้า ฉันไม่อยากถูกบ่นหูชาแล้ว”

คนตัวเล็กดักหน้าดักหลัง จ้องตาสีอัลมอนด์นั้นแบบเว้าวอน พอชายหนุ่มหันซ้ายก็เอียงคอไปดักทางซ้าย พอหันขวาก็รีบสลับมาด้านขวา ม้วนไปม้วนมาแบบไม่ได้ดูสังขารจนทำท่าจะหงายหลัง ลำบากคนสูงที่ตาดี พอเห็นเข้าก็ต้องเอื้อมไปคว้า หิ้วเจ้าหล่อนขึ้นมาเกาะแหมะเป็นปลิงอยู่ที่แขน

“ผมรู้แล้วว่าทำไมผู้กองจิณณ์ถึงต้องตามบ่นคุณ คนอะไรไม่รู้จักสังขารตัวเอง ไม่รู้จักดูแลตัวเอง”

แทนจันทร์ทำหน้าไปไม่เป็น เพราะคำพูดที่ได้ยินนี้ราวกับภาพฉายซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าขย้ำคอเสื้อเขาไว้และจับได้ว่ามีเนื้อมีหนัง เธอคงจะนึกว่าคนตรงหน้าเธอไม่ใช่คนแล้ว ก็ขนาดเป็นคน แต่ทั้งเสียงและประโยคมันดันเหมือนที่เธอได้ยินนายผีลักกี้พูดเมื่อคืนชัดๆ

ไม่ว่าจะคนหรือผี แต่เรื่องดุเธอนี่จริงจังทั้งคู่

“ทำไมมองหน้าผมแบบนั้น”

“เปล๊า...” เสียงตอบนั้นสูงกว่าปกติ ก่อนผู้หมวดสาวจะรีบยืนตัวตรงแต่ไม่ได้เอามือจับปาก เพราะยังต้องเอามือจับแขนนั้นไว้อยู่เนื่องจากยังยืนไม่ได้ด้วยตัวเอง 

“นอกจากไม่ระวัง ไม่ดูแลตัวเองแล้ว ยังไม่รู้จักฟังคนอื่นให้จบ” ดอกเตอร์หนุ่มร่ายยาว “ผมหมายถึงให้คุณไปคุยกับผู้กองจิณณ์เรื่องหาวิธีช่วยพ่อของเด็กนั่น”

แทนจันทร์ทำหน้าเหลอในทีแรกเหมือนไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นค่อยๆ ยิ้ม จนยิ้มกว้างแทบจะถึงใบหู เหมือนดวงหน้านั้นติดไฟสว่างวาบ โดยเฉพาะลูกแก้วสองลูกที่เป็นประกายวาววับ 

“ดอกเตอร์วีร์” เธอเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มใจ “คุณพูดจริงๆ ใช่มั้ย คุณจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้กองนะ คุณสัญญานะว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสองคน”

คนที่จู่ๆ โดนจับเซ็นสัญญายังไม่ทันได้ตอบก็โดนคว้ามือไปเขย่าราวกับทำพันธสัญญาระดับชาติ

“สัญญาแล้วนะ สัญญานะ ขอบคุณคุณมาก”

เพราะมัวแต่ดีใจที่ตัวเองเอาตัวรอดได้ในครั้งนี้ จึงไม่ได้เห็นสายตาของอีกคนที่คำว่า ‘สัญญา’ สื่อความหมายมากกว่าที่ตนคิด สีหน้าของวีร์นิ่งไปเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างขณะมองตำรวจสาวอย่างมีข้อสงสัย สองจิตสองใจกับคำถามที่ค้างอยู่ในใจ กำลังตัดสินใจว่าจะเอ่ยคำถามออกไปดีหรือไม่ แต่เมื่อกำลังจะตัดใจเอ่ยปากด้วยความอยากรู้ขั้นสุด ก็โดนขัดด้วยเสียงเรียกที่ดังมาแต่ไกล 

“แทนจันทร์!”

เสียงทักของบุคคลที่สามทำให้ทั้งสองคนหันไปมองโดยพร้อมเพรียง 

“ดอกเตอร์...วีร์”

จิณณ์และต่อพงษ์ปรากฏตัวหน้าทางเข้าโรงเรียน ทั้งคู่ดูประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าร่างสูงที่อยู่กับแทนจันทร์นั้นเป็นใคร 

“แล้วดอกเตอร์มาอยู่กับพี่จันทร์...ได้ยังไงครับนี่”

ต่อพงษ์รักษาอาการอยากรู้อยากเห็นไว้สุดหัวใจ ไม่ต้องมีใครบอกก็ออกตัวถามแทนเจ้านายคนข้างๆ แต่เพราะความละเอียดอ่อนที่อีกฝ่ายเป็นถึงพยานวีไอพีที่ต้องให้เกียรติ คำพูดที่เลือกถามจึงตะกุกตะกักแบบเลือกไม่ถูก ต้องเลือกพูดใช้คำว่า ‘อยู่’ ทั้งที่ภาพที่เห็นมันมากกว่านั้น ก็เห็นอยู่คาตาว่าทั้งสองคนยืนตัวติดกันแน่น ไหนจะมือของดอกเตอร์หนุ่มที่โอบเอวลูกพี่ตัวเอง แถมลูกพี่ตัวเองก็ยังเกาะแขน จับมือเขาเสียแน่น

วีร์พอจะเข้าใจสีหน้าประหลาดของสองตำรวจหนุ่มที่จ้องเขาและแทนจันทร์เขม็ง เข้าใจทันทีว่าอะไรทำให้ผู้กองจิณณ์เสียงเขียวและมีสีหน้ามึนตึงแบบนั้น เดาไม่ยากสักนิดว่าต้นเหตุก็คงมาจากคนหน้าบานที่ยืนเกาะแขนเขาอยู่นั่นเอง จึงรีบปล่อยมือที่ประคองเอวนั้นไว้และดันเธอออกไปยืนห่างตัว 

“ไอ้ต่อๆ มาช่วยพยุงฉันหน่อยเร็ว เจ็บจะตายอยู่แล้ว”

แทนจันทร์กวักมือเรียกลูกน้องคนสนิทหย็อยๆ แต่ต่อพงษ์ยังไม่ทันเดินไปถึง คนที่ใกล้กว่าก็ขยับเข้าไปรับตัวหญิงสาวต่อจากการที่ถูกอีกคนหนึ่งผลักไสออกมาทันที 

“นี่เจ็บขนาดนี้ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่แรก” จิณณ์ดุ ทั้งที่ไม่แน่ใจตัวเองว่าอยากดุเรื่องนี้หรือเรื่องไหนกันแน่ 

“ไม่เป็นไรค่า ทำแผลเรียบร้อยแล้ว” แทนจันทร์ยิ้มให้เจ้านายเป็นคำตอบ

คงจะมีแต่แม่คนยิ้มแหยที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว ไม่แม้แต่เข้าใจสายตาที่เจ้านายมองตัวเอง วีร์ส่ายหัวกับความไม่ประสีประสานั้น ทั้งที่เรื่องงานก็ดูฉลาด เจ้าเล่ห์ แสบเป็นพริกขี้หนู แต่ทำไมกลับทึ่มทื่อมะลื่อจนไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ไปเสียได้ เริ่มวิเคราะห์จากสถานการณ์ได้ว่าความซื่อตาใสนั่นเองที่อาจก่อปัญหาให้เขาได้ในอนาคตที่ต้องร่วมงานกับนายตำรวจทีมนี้ แถมเป็นปัญหาเล็กน้อยน่ารำคาญใจที่ถ้าไม่รีบแก้ก็คงสะกิดให้รำคาญไปไม่จบไม่สิ้นเสียด้วย

“วันนี้ทางศูนย์วิจัยจัดโครงการอาหารกลางวันให้เด็กๆ ผมเลยมาร่วมงานกับพนักงานของผม”

ไม่รู้ว่าทำไมทันทีที่ชายหนุ่มตอบจบ นายตำรวจทั้งสองจึงหันขวับไปมองหญิงสาวคนเดียวของกลุ่มที่เบิกตาโต

“ฮะ! แสดงว่าผู้ใหญ่ใจดีวันนี้ก็คือศูนย์วิจัย FORT เหรอ”

รู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว แทนจันทร์ร้องด่าตัวเองอย่างเจ็บใจ นึกตำหนิตัวเองที่ไม่ถามแม่ครูบังอรให้ดี และทั้งที่เห็นรูปวาดของเด็กๆ ที่ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองวิทยาศาสตร์ เธอก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร จนเมื่อเงยหน้าขึ้นเจอะสายตาของเพื่อนร่วมงานสองคนก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้กำลังจะกลายเป็นปัญหาในอีกไม่ช้า ต้องรีบโบกไม้โบกมืออธิบายเป็นพัลวัน

“ฉันเปล่านะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าศูนย์วิจัย FORT เป็นคนจัดงานนี้ แม่ครูบังอรโทร. บอกข่าวฉันก็เลยมา จริงๆ นะคะผู้กอง จริงๆ นะไอ้ต่อ”

คดีที่ก่อไว้ก่อนหน้านี้ยาวเป็นหางว่าวดูจะทำให้การพูดความจริงครั้งนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ไม่ผิดที่ทั้งจิณณ์และต่อพงษ์จะคิดว่าเธอมาที่นี่ในวันนี้เพราะอยากหาเรื่องมาข้องเกี่ยวกับดอกเตอร์วีร์ผู้ผลิตเซรุ่มพูดความจริงและคดียาเสพติดของชุมชนสะพานดำ เหตุการณ์ทุกอย่างมันลงตัวเป็นหลักฐานมัดแพะอย่างเธอแน่นหนา

“ผมว่า...ผู้กองควรจะควบคุมพฤติกรรมคนของผู้กองหน่อยนะ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคาม” 

“อ้าว คุณ! ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ” แทนจันทร์หน้าเหลอเมื่อพยานปากเอกให้การบิดเบือน “ใครไปคุกคามคุณ คุณ...”

ไม่มีช่องให้เธอพูดจบ ทุกอย่างถูกตัดสินจากท่าทางกอดอกและสายตาเอือมระอาของคนที่มีดีกรีเป็นถึงดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัยระดับประเทศ 

“ผมคิดว่าผมบอกพวกคุณไว้แล้วนะว่าผมชอบความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้มีตำรวจคนไหนมาตาม ไม่ว่าตำรวจคนนั้นจะอยู่หรือไม่อยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม”

หญิงสาวแทบจะกระโดดเต้นเร่าๆ “ฉันไม่ได้ตามคุณจริงๆ นะ ให้ตายสิ! ทำไมคุณพูดโกหกหน้าตายได้ขนาดนี้”

“แทนจันทร์”

เสียงต่ำกำราบของศาลสูงสุดเป็นคำตัดสินให้จำเลยต้องเงียบปากทั้งที่อยากจะยื่นอุทธรณ์เพื่อกู้ศักดิ์ศรีตัวเอง เหลือเพียงดวงตาที่ไฟโมโหกำลังลุกโหม มองร่างสูงอย่างเคียดแค้นที่จู่ๆ ก็หาเรื่องใส่ความเธอหน้าตาเฉย โยนภาพจำที่เขานั่งทำแผลให้เธอด้วยท่าทางใจดีขยี้ลงบนพื้น ตอนนี้จำแต่ภาพใบหน้าหยิ่งยโสไม่สนใจใครตรงหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีอาการแบบนี้สักนิด

“ถ้างั้นผมขอตัวไปร่วมกิจกรรมกับเด็กๆ ก่อนนะ ผมเสียเวลามามากแล้ว”

แล้วเขาก็เดินจากไปแบบไม่รู้ไม่ชี้ ทิ้งคำว่า ‘คุกคาม’ แปะลงบนหน้าตำรวจสาวแน่นชนิดลบไม่ออก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น