3

บทที่ ๓

บทที่ ๓

 

ฝัน...ฝัน...มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ

หญิงสาวพลิกตัว แต่ก็ต้องร้องอูยเบาๆ เมื่อมือฟาดขอบเตียงเต็มๆ จึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงนุ่มอย่างที่ควรเป็น เมื่อขยับตัวก็รู้สึกปวดคอและเมื่อยเอวไปหมด

แทนจันทร์ลืมตาแล้วก็ต้องย่นคิ้วกับสภาพตัวเอง หญิงสาวเกาหัวงงๆ นึกอยู่พักใหญ่ว่าทำไมเธอถึงมานั่งคอพับพิงผนังแทนที่จะนอนอยู่บนเตียงดีๆ เมื่อพยายามรำลึกความทรงจำทีละนิด เรื่องราวเมื่อคืนก็กลับมาในสมองทีละส่วน ไล่ตั้งแต่ที่เธอกลับจากหน่วยโดยมีต่อพงษ์มาส่งหน้าปากซอย ความรู้สึกวังเวงตอนเดินเข้าซอย และประหลาดที่สุดก็คือเหตุการณ์ในห้องของเธอนี่เอง

“ฝันเลอะเทอะสุดๆ” เธอสรุปกับตัวเองง่ายๆ มองแสงตะวันยามเช้าที่ส่องสว่างทั้งห้องอย่างอุ่นใจ “เราคงเหนื่อยมากจนนอนฝันแล้วดิ้นตกเตียง” 

“คุณไม่ได้ฝันหรอก”

แทนจันทร์สะดุ้งเฮือกกับเสียงที่มาแบบไม่ได้ตั้งตัว ผงะถอยไปจนหัวโขกขอบเตียงอีกรอบดังโป๊ก ความเจ็บทำให้ตื่นเต็มตาและมั่นใจแน่ชัดว่าไม่ใช่ความฝันแน่นอน มันเป็นความจริงที่อยากจะเป็นลมไปอีกรอบเมื่อค้นพบว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องพัก แขกไม่ได้รับเชิญคนเดิมนั่งกอดอกตัวตรงอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ สายตาของเขาจับจ้องเหมือนกำลังรอเวลาให้เธอตื่น แล้วก็เป็นการจ้องอย่างนี้มานานแล้วด้วย

“ผี! ผี!”

หมวดสาวเกิดอาการลิ้นแข็งขึ้นมาทันที ยังคงจำภาพที่ตัวเองทะลุผ่านตัวเขาไปอีกฝั่งได้เต็มตา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโจรแหกคุกอย่างชาติยังวิ่งหนีตาแหก เพราะกระสุนที่มันลั่นออกไปคงจะผ่านตัวคน...เอ๊ย! ไม่ใช่สิ ผีตนนี้ไปราวกับผ่านอากาศธาตุ ไม่ต่างจากหมัดของเธอ

ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่ชอบเล่นตำรวจจับผู้ร้าย จนโตมาก็เลือกเรียนตำรวจซึ่งผิดวิสัยผู้หญิงหลายคน แทนจันทร์เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เป็นตัวแทนแห่งความกล้าหาญ บ้าบิ่น จนผู้ชายกล้ามโตบางคนยังอาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์บก สัตว์น้ำ โจร ผู้ร้าย อาชญากร เธอล้วนตามจับมาหมดแล้ว เรียกได้ว่าบุกทลายถึงเนื้อถึงตัวไม่เคยกลัวอะไร จนเหล่าลูกน้องชอบบอกว่าต่อมความกลัวของเธอน่าจะพิการตั้งแต่เด็ก แต่จริงๆ แล้วความลับที่ไม่เคยมีใครรู้ของผู้หมวดคนเก่งคือ ความกลัวทุกหยดในตัวมันไปรวมกันอยู่ที่สิ่งไม่มีชีวิตที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น หาคำจำกัดความไม่ถูก

แบบนายคนนี้นี่แหละ!

“ใจเย็นคุณตำรวจ ไม่ต้องกลัวผม จริงๆ แล้วผมคิดว่าผมไม่น่าจะใช่ผี เพราะผมคิดว่าผมยังไม่ตาย”

ปากอ้าค้างแบบหุบไม่ลง ในหัวกำลังคิดว่าชีวิตเธอเดินมาอยู่ในจุดที่ฟังผีอธิบายว่าตัวเองไม่ใช่ผีเพราะยังไม่ตายได้อย่างไรกัน

“ไม่ใช่ผีบ้าอะไร! ตัว...ตัวมันทะลุผ่านได้” หญิงสาวกลั้นใจตอบผีเสียงสั่น

“ก็จริง” ผีชายหนุ่มตนนั้นกลับพยักหน้าเห็นด้วย แถมทำหน้าจริงจังใส่เธอ “ผมหมายถึง ผมคิดว่าตอนนี้ผมน่าจะกำลังอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าวิญญาณ”

แล้ววิญญาณมันไม่ใช่ผียังไงล่ะโว้ย...

แทนจันทร์คิดในใจเพราะพูดไม่ออก แม้แต่จะร้องกรี๊ด เสียงมันก็หายลงไปในคอ ยิ่งมองภาพเขาในตอนกลางวันท่ามกลางความสว่างมันก็ยิ่งชัดเจน ทั้งชุดโรงพยาบาลสีขาว ผ้าพันแผลที่พันปิดรอยแผลตามเนื้อตามตัวดูสยดสยอง ขาสองข้างค่อยๆ หมดแรงลงนั่งพับเพียบ ทำให้หมดทางหนีโดยปริยาย นึกอะไรไม่ออกก็แก้ปัญหาด้วยทางเดียวคือพนมมือท่วมหัว

“นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ คุณพระคุณเจ้า...”

“บอกแล้วว่าไม่ต้องสวดมนต์ ผมไม่ใช่ผี” คนไม่มีร่างแต่กำลังพร่ำบอกคนอื่นว่าไม่ใช่ผีส่ายหัว มองหญิงสาวตรงหน้าแบบท้อใจ “ถ้าจะพิสูจน์ตามหลักความเชื่อของคน คุณลองดูสิ นี่ตอนกลางวันแสกๆ ผมก็ยังไม่หายไปไหน ห้องคุณมีพระเต็มห้อง แต่ผมก็ยังเข้ามาได้”

ผีตนนี้ฤทธิ์มันแก่กล้านัก แสงไม่กลัว พระไม่กลัว เฮี้ยนขนาดออกปากท้าให้เธอลองดู ไม่ต้องพูดถึงคำว่าลองดู ตอนนี้แค่เปิดตาเธอยังไม่กล้าเลย แทนจันทร์นึกไปก็ตัวสั่นพั่บๆ พนมมือแต้

“ฉันขอร้องเถอะนะ อย่ามายุ่งกับฉันเลย เดี๋ยวฉันจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”

“บอกแล้วว่าผมคิดว่าผมยังไม่ตาย ไม่ต้องทำบุญให้ผม ถ้าจะทำบุญให้ผมก็เปลี่ยนมาช่วยผมดีกว่า ผมแค่อยากให้คุณช่วย” แขกไม่ได้รับเชิญยังพยายามเกลี้ยกล่อม “เลิกกลัวผมเถอะ ผมก็เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ แค่ผมไม่มีร่างกาย ร่างกายผมก็เหมือนพลังงานบางอย่าง ต่างจากคุณที่มีมวลร่างกาย”

“ฉันจะช่วยอะไรคุณได้ คุณเป็นผี ฉันเป็นคน เราอยู่คนละโลกกันแล้ว ไปที่ชอบๆ เถอะน้า” คนฟังไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝั่งบรรยายเลยสักนิด

“ผมก็อยากไปหรอกนะที่ชอบๆ” ผีหนุ่มเสียงแห้ง “แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน ผมจำตัวเองไม่ได้ ผมอยากให้คุณช่วยหาว่าผมเป็นใคร พ่อแม่ผมเป็นใคร ผมจะได้ไปหาพวกเขา ได้ไปที่ชอบอย่างที่คุณว่า”

“อยากรู้ประวัติก็ไปสำนักทะเบียนราษฎร์สิ” เธอหลับหูหลับตาตอบแบบขอไปที

“ผมไปไหนไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครมองเห็นผม มีแต่คุณที่คุยกับผมได้ คุณตำรวจ”

โอ๊ย! ชีวิตหนอชีวิต เกิดมาไม่เคยเห็นผี มาวันนี้ก็ดันทั้งเห็นทั้งคุยได้ 

แทนจันทร์รำพึงกับความดวงตกของตัวเอง แอบเหลือบตามองแขกไม่ได้รับเชิญก็เห็นว่าเขายังยืนอยู่ตำแหน่งเดิมและดูท่าทางมั่นคงไม่ยอมไปไหน สมองคิดหาทางรอด ประมวลผลยิ่งกว่าตอนวางแผนจับผู้ร้าย จนนึกไปถึงสร้อยพระในลิ้นชักหัวเตียงอีกฝั่งที่พ่อเคยให้ไว้ 

ถ้าสู้กับผู้ร้ายก็ต้องมีปืน สู้กับผีก็ต้องมีพระนี่แหละ! 

“ฉันช่วยไม่ได้หรอก ถ้าคุณไม่ไปอย่าหาว่าฉันใจร้ายนะ”

“ผม...”

เมื่อเขาเกริ่นพร้อมกับก้าวเข้ามาหาเธอ แค่นั้นแทนจันทร์ก็สติแตก ลุกพรวดขึ้นปีนเตียงอ้อมไปอีกฝั่ง ลงพื้นได้ดังตุ้บก็กระชากลิ้นชักเปิด คว้าสร้อยพระที่อยู่ข้างในสุดขึ้นมาก่อนหลับตาปี๋และยื่นพรวดไปด้านหน้า

“ออกไปนะ ไม่งั้นเจอฤทธิ์หลวงพ่อแน่!”

ลมบางอย่างพัดผ่านหน้าเธอวูบหนึ่ง แทนจันทร์ยังหลับตาปี๋ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง คอยเงี่ยหูฟังเสียง จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าห้องเงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงพูดใดๆ อีกแล้ว

ไปแล้วเหรอ...

เธอค่อยๆ เปิดตาขึ้นดูทีละนิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเปิดครึ่งตาก็ยังไม่เห็นอะไร เลยค่อยๆ ลองเปิดอีกครึ่ง แต่ก็ยังเกร็งเปลือกตาไว้พร้อมปิดลงได้ตลอดเวลาหากมีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ

ว่างเปล่า...

แทนจันทร์ถอนลมหายใจที่กลั้นไว้นานจนแทบขาดใจทิ้งไปเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ยกมือไหว้หลวงพ่อท่วมหัว สาธุอีกเป็นสิบรอบ พร้อมกับสวมสร้อยหลวงพ่อองค์โต 

โกยก่อนโว้ยไอ้จันทร์

กระโจนไปที่ประตูห้อง ต่อให้ผีไป ตอนนี้เธอก็อยู่ไม่ได้แล้ว!

 

“ฮะ! พี่จันทร์! ยังจะไปต่ออีกเหรอพี่”

“เออ มีอีกวัดหนึ่ง เขาว่ากันว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาก ไม่ไกลๆ ไปเร็วๆ”

แทนจันทร์กึ่งหิ้วกึ่งลากแขนลูกน้องคนสนิทที่เริ่มครวญครางเพราะแดดยามเที่ยงวันร้อนเปรี้ยงจนทำให้เหงื่อซึมเปียกไปทั้งตัว 

“นี่พี่ลากผมมาเป็นวัดที่สิบแล้วนะ รถผมจะเป็นตู้น้ำมนต์เคลื่อนที่อยู่แล้ว”

“เออ...อีกที่เดียวจริงๆ” ลูกพี่พยายามชักจูง

“ไม่เอาแล้ว ผมร้อน ถ้าพี่ไม่บอกว่าจะเอาน้ำมนต์พวกนี้ไปทำอะไร ผมก็จะไม่ไปเป็นเพื่อนพี่แล้ว”

“แกขู่ฉันเหรอไอ้ต่อ”

แทนจันทร์เท้าเอว แต่ก็ทำได้แค่ถลึงตาใส่ ไม่กล้าทำอะไรมากกว่านี้เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นรอง ถ้าเป็นสถานที่อื่น เธอจะไม่ยอมขอร้องอ้อนวอนให้มันมายืนบ่นเธอแบบนี้แน่ๆ แต่ช่วงที่อยู่ในสภาวะขวัญหนีดีฝ่อ แถมสถานที่ที่มายังเป็นวัด แม้จะกลางวันแสกๆ แต่วัดก็มีป่าช้า มีเจดีย์ ซึ่งเป็นที่ที่ไม่ควรแก่การมาคนเดียวเป็นอย่างยิ่ง 

“เออๆ บอกก็ได้”

ต่อพงษ์มองลูกพี่ที่มีท่าทีลุกลี้ลุกลนประหลาด พูดจาอ้ำอึ้ง วันนี้กว่าจะอ้าปากบอกแต่ละเรื่องได้นั้นมันยากลำบาก แถมตอนจะเล่ายังต้องทำหน้าหวาดผวา เดินเข้ามาเสียชิดพร้อมกระซิบข้างหูว่า

“ก็ฉันเจอ...ผะ...”

“ฮะ? เจออะไรนะพี่...ผึ้ง?”

“เจอ ผอ สระอี โว้ย”

“เจอผี!”

“เบาโว้ยไอ้ต่อ! เบา! เขาห้ามพูดเรื่องนี้ในวัดกันรู้มั้ย” แทนจันทร์แทบจะกระโดดเอามือไปอุดปาก ก่อนร่ายยาวถึงความสยองที่ตนเผชิญเมื่อคืน “แกต้องเห็นว่าฉันเจออะไรมา ภาพยังติดตาอยู่เลย มันมายืนอยู่ในห้องฉันนะ ใส่ชุดโรงพยาบาลด้วย ตามเนื้อตามตัวนี่มีแต่แผล แล้วตัวมันนะแก ใสอย่างกับแก้ว วิ่งทะลุผ่านได้ด้วย”

ลูกน้องรับฟังเรื่องราวแบบเต็มไปด้วยอินเนอร์นั้นด้วยสีหน้าเหยๆ ไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากลูกพี่ของตนเท่าไรนัก ส่วนมากคำพูดของลูกพี่ก็มักมาในแนวแถไถเพื่อเอาตัวรอดหากตัวเองโดนด่า หรือถ้าโมโหก็จะโหวกเหวกด่าลูกน้อง ตะเพิดผู้ต้องหา กิจกรรมส่วนมากคือจับปืน บุกป่า ทลายบ่อน แต่นี่ตอนกลางวันแสกๆ กลางวัด กลับทำหน้าเหมือนถูกคนอื่นบีบคอมา และสาเหตุนั้นก็มาจากเรื่องที่เขาฟังแล้วยังต้องอ้าปากค้าง

“โอ๊ย! เสียเวลาสุดๆ เลยพี่” ชายหนุ่มโวย “นี่พี่ลากผมไปทั่วเมืองเพื่อหาวิธีปราบผีเนี่ยนะ ไร้สาระจริงๆ ผีเผอมีที่ไหน”

“แต่ฉันเจอจริงๆ นะโว้ยไอ้ต่อ” ตาโตของผู้หมวดสาวเบิกกว้าง ยืนยันเสียงจริงจัง “ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ผี แต่ตอนฉันจะต่อยหน้ามัน ฉันพุ่งทะลุร่างมันไปเลย โอ๊ย! พูดแล้วยังขนลุกอยู่เลยเนี่ย”

“พี่ฝัน” ต่อพงษ์ส่ายหัวสรุปอย่างง่ายดาย ตบบ่ารุ่นพี่คนสนิทสองทีก่อนก้าวขึ้นมอเตอร์ไซค์ ยื่นหมวกกันน็อกให้หญิงสาวแบบไม่สนใจสีหน้าจริงจังนั้น “หยุดงมงายได้แล้วพี่ ขึ้นรถมาเลย เดี๋ยวผมไปส่ง แล้วผมจะได้ไปทำงานต่อที่โรงพยาบาล นี่สายแล้ว พี่จิณณ์ส่งข้อความมาตามแล้ว”

“มีงานไรวะที่โรงพยาบาล”

“ก็ไปสอบปากคำดอกเตอร์เจ้าของเซรุ่มพูดความจริงไง เขาฟื้นแล้วเมื่อวาน” 

และต่อพงษ์ก็อุดปากตัวเองไว้แทบไม่ทัน เมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดเบอร์ใหญ่เข้าแล้วที่เอ่ยเรื่องนี้กับคนที่เพิ่งโดนสั่งพักจากคดีนี้

“เขาพร้อมให้ปากคำแล้วเหรอ” แทนจันทร์ตาโต เมื่อมีเรื่องงานที่น่าสนใจกว่าเข้ามาแทรกก็แทบจะลืมเรื่องผีหรือน้ำมนต์ของวัดต่อไปทันที “ดีเลย งั้นฉันไปด้วย เราไปโรงพยาบาลกันก่อนแล้วค่อยไปวัดทีหลัง” 

เจ้าของรถห้ามไม่ทันเพราะคนซ้อนไวปานวอก สวมหมวกกันน็อกปุ๊บก็คร่อมเบาะปั๊บ เกาะไหล่เขาหมับ

“แต่พี่โดนบอกไม่ให้ยุ่งกับคดีนี้ ถ้าพี่จิณณ์เห็นพี่ไปโผล่ที่โรงพยาบาล พี่จิณณ์เอาผมตายแน่”

“จะไปกลัวอะไร แกก็บอกว่าแกกับฉันไปทำธุระมาด้วยกัน ฉันเลยติดรถแกมา ไม่ต้องกลัวหรอกน่า รับรองว่าฉันจะรออยู่ข้างนอกนิ่งๆ เงียบๆ” คนตอบวางแผนรวดเร็วสมกับที่เป็นดูโอปลาไหลแห่งกองปราบปราม “ส่วนผู้กองจิณณ์ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

‘ถ้าพี่จิณณ์อาจจะแค่โดนด่า แต่ถ้าไม่เอาพี่จันทร์ไปด้วยนี่อาจจะตายคาวัด’ 

ลูกน้องทำการชั่งตวงวัดความเสี่ยงในหัวคร่าวๆ ก่อนจะพยักหน้าเออออ สตาร์ตมอเตอร์ไซค์คันเก่งแล้วขี่ออกไป

 

แทนจันทร์แหงนหน้ามองตึกโรงพยาบาลเบื้องหน้า ที่ต้องแหงนคอตั้งบ่าเป็นเพราะอาคารนี้สูงลิบลิ่ว การตกแต่งตั้งแต่ทางเลี้ยวเข้าทำให้เธอต้องหันกลับไปอ่านป้ายด้านหน้าซ้ำอีกที เพราะดูอย่างไรมันก็ไม่เหมือนโรงพยาบาล แต่ควรจะเป็นคอนโดใจกลางเมืองแสนหรูหราที่พนักงานรักษาความปลอดภัยยังแต่งตัวดีกว่าเธอและต่อพงษ์เสียอีก ไม่ต้องพูดถึงความหรูหราด้านใน ตั้งแต่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์หินอ่อนสีทองอร่าม บันไดเลื่อนสูงทั้งสองฝั่งซ้ายขวา ลิฟต์แก้วสีทองที่เลื่อนปรู๊ดปร๊าดขนานไปกับสวนน้ำตกสุดอลังการราวกับยกป่ามาไว้ในตึก การตกแต่งโดยรวมทำให้เธอต้องก้มหน้าลงมองเสื้อยืด กางเกงยีน และรองเท้าผ้าใบขะมุกขะมอมเขินๆ

“ทำยังไงฉันถึงจะมีบุญได้นอนโรงพยาบาลแบบนี้ตอนฉันป่วยวะไอ้ต่อ” แทนจันทร์กระซิบกระซาบแบบกลัวดอกพิกุลจะร่วง สภาพแวดล้อมผู้ดีนั้นทำให้เธอรู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก สองตากวาดมองภาพด้านล่างขณะที่ลิฟต์แก้วพาพวกเธอขึ้นไปชั้นบน 

“ชาตินี้น่าจะยากแล้วว่ะพี่ คงต้องรอตายแล้วเกิดใหม่” ต่อพงษ์มาในเวอร์ชันตอบตรง ตอบจริง “แต่ต้องไปเกิดเป็นคนระดับดอกเตอร์เขาด้วยนะ เจ้าของศูนย์วิจัยระดับประเทศน่ะพี่ ถึงจะมีเงินมาป่วยในที่แบบนี้ได้”

ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นวีไอพีของโรงพยาบาลที่ไม่ต้องบรรยายความหรูหราเพราะมันยิ่งกว่าโรงแรมระดับหกดาว แต่ต่างกันตรงที่มีพยาบาลชุดขาวเดินไปมา และแปลกขึ้นมาอีกนิดที่ตลอดทางเดินของชั้นวีไอพีในวันนี้เต็มไปด้วยตำรวจทั้งนอกเครื่องแบบและในเครื่องแบบยืนอยู่ตามจุดต่างๆ แสดงถึงความสำคัญของคนเข้ารักษาได้เป็นอย่างดี

เมื่อเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ห้องผู้ป่วยธรรมดา แต่เป็นห้องรับแขกก่อนหนึ่งชั้น ในห้องมีประตูที่คงทะลุไปถึงที่ที่คนไข้นอนพัก ซึ่งตอนนี้ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังออกมา 

“พี่รออยู่นี่แหละ”

แทนจันทร์อิดออด แต่ก็รู้อยู่ว่าสิทธิ์ของตัวเองหมดแค่นี้ แม้จะไม่พอใจแต่ก็ยอมทิ้งตัวลงนั่งรอที่โซฟาหน้าห้อง ปล่อยให้ต่อพงษ์เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยคนเดียว

ตั้งแต่เกิดมายังไม่เห็นห้องคนป่วยที่ไหนใช้พื้นที่ได้เปลืองเท่าที่นี่ แค่ห้องรับแขกวีไอพีนี่ก็ขนาดใหญ่กว่าหอพักที่เธอเช่าอยู่แล้ว มีเคาน์เตอร์ครัวสำหรับประกอบอาหารง่ายๆ ชุดทีวีโฮมเทียเตอร์ชุดใหญ่ แม้ทั้งห้องจะตกแต่งด้วยโทนสีขาวตามแบบฉบับโรงพยาบาลทั่วไป แต่ก็ลดความตึงเครียดในห้องด้วยกระถางต้นไม้สีสันสดใส ภาพวาด ภาพเขียน และเฟอร์นิเจอร์สีอบอุ่น

“คุณบอกว่าคุณขับรถออกมาจากคอนโดช่วงเที่ยงคืนกว่า...”

หูสองข้างกระดิกเปิดรับเสียง ลองเงี่ยหูฟังดูก็พบว่าจริงๆ มันก็ได้ยินเสียงสนทนาจากข้างในถ้าตั้งใจฟัง แทนจันทร์ลองแกล้งเดินเนียนๆ ไปแถวประตูเพื่อทดสอบเสียง เมื่อหันซ้ายหันขวาไม่เห็นใครก็ขยับตัวเอาหูไปแปะกับประตูทันที

“ครับ ผมลืมของไว้ที่ออฟฟิศ ต้องไปเอาด่วน”

คนแอบฟังนึกดีใจที่ได้ยินเสียงค่อนข้างชัดเจนทีเดียว จึงไม่แปะแค่หู แต่ขยับตัวแปะลงไปด้วย

“คุณวีร์พอจะบอกได้มั้ยครับว่าคุณรู้ตัวตอนไหนว่ารถคันนั้นขับตามคุณมา” 

เสียงของคนถาม แม้ไม่เห็นภาพก็จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของผู้กองจิณณ์ วันนี้เขาและเจ้านายใหญ่จากหลายหน่วยลงทุนมาสอบปากคำพยานด้วยตนเอง แสดงถึงความวีไอพีของพยานคนนี้ได้ดี

“ผมรู้สึกเหมือนมีรถขับตามตอนออกจากคอนโดมาสักสิบนาทีได้”

ทำไมเสียงดูหนุ่มจัง

แทนจันทร์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ตอบคำถาม เพราะมันเป็นเสียงของผู้ชายที่อายุยังไม่เยอะแน่ๆ ทั้งที่เธอวาดภาพเอาไว้ว่าดอกเตอร์วีร์ เจ้าของศูนย์วิจัย FORT ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยชื่อดังระดับประเทศและมีผลงานวิจัยโด่งดังไปทั่วโลก คนที่มีความสามารถขนาดนี้ อายุอานามควรจะปาไปมากโข อย่างน้อยต้องรุ่นพ่อเธอ น่าจะหัวหงอกขาว ใส่แว่นหนาเตอะ ดูงกๆ เงิ่นๆ และคงแก่เรียนเหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์ในโทรทัศน์แน่ๆ

จะเป็นแบบนั้นรึเปล่าน้า... 

เพราะวาดภาพไว้เยอะจึงทำให้ใจเริ่มสงสัย ประกอบกับที่ผ่านมาศูนย์วิจัยทำงานประสานงานกับทีมตำรวจชุดปราบปรามมาสักระยะ แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นหน้าเจ้าของโครงการผู้นี้เลย แม้กระทั่งผู้กองจิณณ์ที่เคยอยากขอเข้าพบเพื่อเป็นตัวแทนแสดงความขอบคุณ ก็ถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี เพราะดอกเตอร์ให้ความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัวมาก ความลึกลับและเข้าถึงยากของดอกเตอร์ผู้นี้ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้ให้มันเต้นริกๆ ตามสัญชาตญาณตำรวจที่สงสัยไปเสียทุกเรื่อง

ขอแอบดูนิดหนึ่งดีกว่า...

ความอยากรู้ทำให้ขออนุญาตตัวเอง ค่อยๆ เลื่อนไปจับลูกบิดประตูอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบิดและดึงมันเปิดแบบเงียบที่สุดจนเห็นเป็นช่องเล็กๆ พอที่ลูกตาข้างหนึ่งจะส่องเข้าไปได้

เจ้านายผู้ใหญ่หลายคนมาฟังการสอบปากคำด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่าคดีนี้เป็นคดีที่เบื้องบนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก บั้งบนบ่าของตำรวจผู้ใหญ่หลายท่านนั้นใหญ่พอที่จะทำให้ผู้กองจิณณ์ซึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่ข้างเตียงกลายเป็นเด็กน้อยของรุ่นไปได้ 

“ผมพยายามเร่งความเร็วรถ มันก็ไม่ยอมปล่อย ขับจี้มาเรื่อยๆ แล้วก็ปาดหน้าเพื่อให้รถผมหยุด”

“ถ้าผมเอารูปรถคันนั้นให้ดู คุณจะพอยืนยันได้มั้ยครับ”

คนที่ตอนแรกเป็นจิ้งจกเปลี่ยนมาทำคอเป็นยีราฟ พยายามชะเง้อชะแง้เพื่อจะได้มองเห็นใบหน้าคนบนเตียงให้ชัดขึ้น แต่ขยับอย่างไรก็ไม่ได้มุมเพราะช่องมันแคบเหลือเกิน แถมจิณณ์เองก็ดันมายืนขวางข้างเตียงอีก แทนจันทร์เลยลองเขย่งเพื่อจะมองให้พ้นผู้กองหนุ่มไป แล้วก็เป็นจังหวะโชคดีเมื่อจิณณ์ขยับตัวออกเพื่อจะไปหยิบแฟ้มคดีที่วางอยู่ที่อื่นพอดี

ร่างบนเตียงปรากฏสู่สายตา เขาไม่ใช่คุณลุงแก่หัวหงอกและไม่ได้ใส่แว่นหนาเตอะ แต่เป็นชายหนุ่มวัยไม่ต่างกับเธอนัก เขากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอยู่ในชุดคนไข้สีขาว สามารถพูดคุยกับทีมสอบสวนได้ชัดเจน แสดงให้เห็นว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว แม้ตามเนื้อตัว แขนและขาจะยังพันผ้าพันแผลอยู่หลายที่ โดยเฉพาะแผลบนใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเป็นรอยยาวข้างขมับดูน่าสยดสยอง

เอ๊ะ! แทนจันทร์ฉุกคิดในใจ 

ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นกับแผลแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก

“ผมจำรถพวกมันได้ครับ”

และในวินาทีที่เขาหันหน้ามารับแฟ้มจากผู้กองจิณณ์ แทนจันทร์ก็ได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนเต็มสองตา คำถามในใจที่ได้รับคำตอบทำให้มือเธอหลุดจากลูกบิดเสียงดังแกร๊ก แต่นั่นก็ยังไม่ดังเท่ากับเสียงร้องที่หลุดจากปากดังลั่นห้องว่า

“ผี!”

แน่นอนว่าสิ้นเสียงนั้น ทุกคนในห้องก็หันมามองคนหลังประตูเป็นตาเดียวกัน แต่หญิงสาวไม่สนใจอะไรแล้ว เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่างสิ้น ลืมว่าตัวเองกำลังแอบฟังอยู่ ลืมว่าตัวเองห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ หลังจากประตูหลุดมือและเปิดออกเต็มบาน เข่าสองข้างก็ทรุดลงทันที 

“แทนจันทร์! ทำอะไร!”

จิณณ์เอ็ดเสียงดุ ตอนแรกที่เห็นว่าคนที่จู่ๆ มาทำเสียงดังหลังประตูนั้นเป็นใครก็หงุดหงิดพออยู่แล้ว แต่เมื่อหญิงสาวค่อยๆ ไหลลงไปนั่งแหมะกับพื้น พนมมือไหว้ท่วมหัวท่ามกลางสายตานายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคน ด้วยตำแหน่งเจ้านายจึงทำให้ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากส่งสัญญาณให้เธอหยุดทำเรื่องบ้าๆ ให้เร็วที่สุด

“พุทโธ ธัมโม สังโฆ” หญิงสาวสวดมนต์ระรัว “ไอ้ต่อ! น้ำมนต์อยู่ไหน แกไปเอามาเลย ไปเอามาเดี๋ยวนี้เลย”

คนที่ถูกเรียกไม่ค่อยอยากจะขานรับเท่าไร เพราะดูจากสายตาผู้ใหญ่หลายท่านที่มองแทนจันทร์แบบเอาเรื่องแล้ว ตัวเองก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบแทน

“พี่จันทร์ ลุกก่อนเถอะพี่” ต่อพงษ์หน้าเจื่อนเมื่อเห็นอาการของลูกพี่ พยายามเดินตรงเข้าไปดึงร่างนั้นให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันพูดอะไรก็เจอคนสติแตกพูดกลบเสียหมด

“เอาน้ำมนต์มาก่อน นั่นน่ะ ผี! ผี! ผู้กองถอยออกมา ผู้กองกำลังคุยกับผีอยู่นะ”

บรรยากาศในห้องที่เดิมก็ตึงเครียดอยู่แล้วบัดนี้แทบกลายเป็นสุญญากาศให้น่าอึดอัดเข้าไปอีก จิณณ์ยืนทำหน้าถมึงทึง สั่งด้วยสายตาให้ต่อพงษ์ทำอย่างไรก็ได้ให้หญิงสาวออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด ก่อนหันมามองหน้าเจ้านายคนอื่นในห้องแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบก้มหน้าขอโทษขอโพย

“ขออภัยครับท่าน เธอเป็นทีมงานในหน่วยของเราเอง น่าจะเกิดการเข้าใจผิดอะไรกันบางอย่าง”

“ไม่ผิด ไม่ผิดแน่ๆ ผู้กอง เมื่อวานฉันเจอผีนายนี่หลอกจริงๆ” แทนจันทร์พยายามยืนยัน 

สีหน้าตำรวจผู้ใหญ่หลายท่านก็ว่าน่าอึดอัดแล้ว แต่ที่ทำให้จิณณ์หน้าชาคือสีหน้านิ่งๆ ของดอกเตอร์วีร์ ท่าทางที่ตอกหน้าตำแหน่งหน้าที่การงานและหน่วยงานของเขาได้ดีที่สุดคือการที่ชายหนุ่มทำเพียงก้มมองคนบนพื้นและส่ายหัว กล่าวเสียงเรียบเจือแววรำคาญ 

“ผมไม่ใช่ผี และผมก็ไม่รู้จักคุณ”

“โกหก! ก็เมื่อคืนคุณไปหาฉันถึงห้อง ขอร้องให้ฉันช่วยตามหาว่าคุณเป็นใคร ฉันไล่เท่าไหร่ก็ตื๊อไม่ยอมไป แถมอยู่ในห้องฉันทั้งคืนถึงเช้า”

คราวนี้...สีหน้าที่อึ้งกว่าคนเจอผีเห็นจะเป็นหน้าของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่มองหน้ากันเลิ่กลั่กกับเรื่องเล่าที่ดูล่อแหลมจนนึกเป็นเรื่องอื่นไม่ได้เลย

มีเสียง ‘หึ!’ แบบหมดความอดทนจากคนบนเตียง

“คุณนั่นแหละโกหก” ชายหนุ่มย้อนเสียงเรียบก่อนหันมาหาบรรดาตำรวจชั้นผู้ใหญ่ “นี่ทางหน่วยตำรวจรับคนไม่เต็มเต็งแบบนี้เข้าทำงานด้วยหรือครับ”

แทนจันทร์ถลึงตา ร่างเล็กเด้งพรวดขึ้นมายืนเท้าเอว ทั้งที่กลัวก็กลัว แต่พอได้ยินผีปากดีนี่หยามศักดิ์ศรีของอาชีพที่เธอรักก็เลือดขึ้นหน้าทันที

“หมวดจันทร์ พอเถอะ” จิณณ์ห้ามเมื่อเห็นสัญญาณของท่าทางเอาจริงนั้น

“ทุกคนคะ ฉันพิสูจน์ได้ ฉันจะพิสูจน์ให้ทุกคนดูว่าไอ้นี่มันไม่ใช่คน”

เพราะเป็นที่รู้กันเรื่องความบ้าบิ่น ห้ามไม่ฟัง แล้วก็ไม่ทันได้ห้าม เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ หญิงสาวจะพุ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องจนถึงเตียงที่คนป่วยวีไอพีนอนอยู่ แทนจันทร์จึงคว้าแขนที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลของเจ้าของเตียง

หมับ!

จับหมับเข้าไปที่แขนข้างหนึ่งข้างเต็มแรง

เอ๊ะ...ทำไมไม่ทะลุผ่านไปล่ะ

สีหน้าเปลี่ยน ตกใจเล็กน้อยเมื่อผลไม่เป็นไปตามที่คิดทั้งที่เมื่อคืนเธอทะลุผ่านร่างนี้ไปได้ทั้งตัวเลยด้วยซ้ำ เหมือนยังไม่แน่ใจสิ่งที่ตัวเองสัมผัส แทนจันทร์บีบๆ เค้นๆ คลำไปทั้งแขน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงสัมผัสได้ถึงเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ทั่วไป เมื่อคว้ามือคู่นั้นมาจับมันก็ยังอุ่นอยู่

เป็นไปได้ไง!

สมองยังคงถามตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมผลถึงไม่เป็นอย่างที่คิด ในเมื่อเห็นเขาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ มันใกล้และใช่แบบที่เธอไม่มีทางจำผิด การแต่งตัวแบบนี้ รอยแผลเป็นแบบนี้ เหมือนภาพที่เธอเห็นเมื่อคืนไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตากลมใสเหลือบขึ้นสบตาสีน้ำตาลอัลมอนด์ที่จ้องกลับด้วยสายตาเย็นเยียบ รอบตัวเขาแผ่รังสีอำมหิตราวกับคมมีดที่เชือดเธอให้เป็นชิ้นๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเพียงประโยคเดียวที่ทำให้เธอต้องปล่อยมือออกจากแขนเขาราวกับโดนของร้อน 

“ต้องเอาน้ำมนต์มาสาดผมเลยมั้ย คุณตำรวจ”

แทนจันทร์ได้สติ รู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจดเท้าอีกครั้ง คราวนี้ความสยดสยองไม่ได้อยู่ที่สิ่งลี้ลับ แต่เป็นสายตาเย็นยะเยือกของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ยืนจ้องเธออยู่ต่างหาก 


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น