บทที่ ๒
หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำก้าวลงจากรถยนต์คันโต ใบหน้ากลมมนน่าเอ็นดูกับดวงตาที่กลมพอกันนั้นตกแต่งด้วยเครื่องสำอางสีจัด ปากสีแดงแปร๊ดทำให้ดูเฉียบเปรี้ยว รับกับความขาวผ่องของผิวจริงในส่วนที่มักถูกปิดด้วยร่มผ้าอย่างแผ่นหลังและช่วงคอ แตกต่างจากผิวออกสีแทนที่แขนและขาอย่างชัดเจน เสื้อหนังเกาะอกมันปลาบเข้าชุดกับกางเกงขาสั้นที่โชว์เรียวขาเนียนได้รูป ไม่มีแม้แต่ไขมันส่วนเกินตามประสาคนชอบออกกำลังกาย
ทุกส่วนบนร่างกายนั้นดูยั่วยวนชวนให้ชายหนุ่มหลายคนเหลียวมองน้ำลายสอ ถ้าไม่ติดที่ว่าเมื่อไล่มองเจ้าหล่อนลงมาเรื่อยๆ แล้วคนมองต้องสะดุดโครม เพราะไปเจอะกับรองเท้าผ้าใบคู่มอมที่เจ้าหล่อนใส่อยู่ และเมื่อมองสิ่งรอบๆ กายเธอก็ยิ่งทำให้คนมองถึงกับช็อกคูณสอง เพราะรถที่เธอก้าวลงมาคือรถตำรวจคันโตที่วนเข้ามาจอดหน้ากองปราบปราม
เจ้าหล่อนเดินอาดๆ อย่างไม่ให้เกียรติชุดสุดเปรี้ยว ตรงขึ้นบันไดสำนักงานกองปราบปรามอย่างคุ้นเคยกับสถานที่ เพียงแค่เหยียบก้าวแรกก็ได้ยินเสียงผิวปากหวีดหวิวจากจ่าและหมู่ที่อยู่เวรดึก แรกๆ เธอก็พยายามทำหูทวนลม แต่ในเมื่อเสียงพวกนั้นยังดังไล่หลังมาไม่หยุดแม้กระทั่งตอนกำลังจะเดินขึ้นชั้นสอง เจ้าตัวจึงต้องหันขวับ กระแทกปืนลงบนโต๊ะตำรวจเวรดึกดังปึ้ก!
“จ่ายอดขา...” เอ่ยเสียงหวาน แต่นัยน์ตาคมยิ่งกว่ามีดตวัดมองอย่างอาฆาต
“คะ...ครับหมวด” จ่ายอดหันรีหันขวาง ตะเบ๊ะรับอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ฉันฝากให้จ่าเอาปืนไปใส่กระสุนทีสิ รู้สึกคืนนี้เสียงเปรตร้องขอส่วนบุญมันเยอะเหลือเกิน จะเอาไปยิงให้มันหยุดร้องสักหน่อย”
เจ้าของเสียงหวานหยดย้อยสะบัดเสียงก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไป แค่นั้นเสียงหวีดหวิวก็เงียบหายไปโดยปริยาย ทั้งจ่าทั้งหมู่รูดซิปปาก ก้มหน้าก้มตาทำงานงุดๆ จ่ายอดเดินเข้ามาเกาะราวบันได มองตามร่างนั้นไปพลางส่ายหัว อดหันมากระซิบกระซาบกับเหล่าตัวที่มาขอส่วนบุญไม่ได้
“เอาละสิวะ! หมวดจันทร์โดนเรียกตัวด่วนจากภารกิจแถมอารมณ์บูดกลับมาแบบนี้ สงสัยงานนี้จะได้เรื่องว่ะ”
ผู้หมวดคนงามแห่งกองปราบปรามเดินขึ้นชั้นสองมาหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ท่าทางของเธอลังเล แต่สุดท้ายก็กลั้นใจผลักประตูบานนั้นเข้าไปเพราะรู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น
“เข้ามาสิแทนจันทร์”
เพราะรออยู่แล้ว เจ้าของห้องจึงหันกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู และภาพเบื้องหน้าก็ทำให้เขาถึงกับชะงัก อาการไม่ต่างกับตำรวจหนุ่มอีกสี่คนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะประชุมกลางห้อง
“มาตามเรียกแล้วค่าผู้กอง” แทนจันทร์ทักทายเสียงใสเพื่อกลบความฝ่อในใจ
เธอทรุดตัวลงนั่งติดกับต่อพงษ์ ลูกน้องจอมแสบคนสนิทที่จ้องเธอตาค้างตั้งแต่ก้าวเข้ามา ชนิดที่ว่าถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติละก็จะต้องได้เอื้อมมือไปตบกะโหลกมันสักทีเหมือนที่ชอบทำ แต่ความตึงเครียดของบรรยากาศทำให้เธอได้แค่นั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม เมื่อเข้าที่ก็เงยหน้าขึ้นสบตาผู้กองหนุ่มตรงหน้า เธอไม่ได้มีท่าทางประดักประเดิดหรือรู้สึกอะไรกับสายตาคนรอบข้าง ต่างกับตัวเจ้านายที่ดูอึกอัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นผู้ร่วมประชุมจับจ้องหญิงสาวคนเดียวในห้องไม่วางตา
“เรียกตัวฉันกลับมาด่วนเลย มีอะไรรึเปล่าคะ”
ผู้กองหนุ่มไม่ตอบ หมุนซ้ายหมุนขวาแล้วก็หันไปคว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่ยื่นให้
“อ้อ” หญิงสาวรับคำสั้นๆ เข้าใจเจตนาของอีกคนได้อย่างรวดเร็ว รับเสื้อตัวใหญ่มาสวมทับ “ขอโทษทีค่ะ แต่งตัวไม่เรียบร้อย ยังไม่ทันเคลียร์พื้นที่ทางนู้นเสร็จ ผู้กองเรียกก็เลยรีบมา ไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย”
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ดวงตากลมใสซึ่งเป็นสิ่งที่เด่นที่สุดบนเครื่องหน้าก็สบเข้ากับเจ้านายที่ดูจะมองเธอได้อย่างสบายตาและสบายใจมากขึ้น
“ทีนี้ก็พร้อมให้บ่นละค่ะ ผู้กองจิณณ์”
ร้อยตำรวจเอกจิณณ์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ดูท่าทางคนที่ถูกเรียกมาจะไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวเขาแม้แต่น้อย
“คุณรู้อยู่แล้วแทนจันทร์ ว่าทำไมผมเรียกตัวคุณกลับมาด่วน” จิณณ์เสียงเข้ม สีหน้าตึงเครียด ไม่ได้มีท่าทีเล่นๆ เหมือนอีกฝ่าย
“ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันไม่ได้ทำตามแผน ฉันขอยอมรับผิดค่ะ”
แทนจันทร์รีบชิงรับสารภาพ อันที่จริงเธอแกล้งถามในตอนแรกทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าความตึงเครียดของบรรยากาศในห้องนี้มีที่มาจากอะไร จึงลองใช้มุกยอมรับผิดเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้นมาบ้าง
“แต่ที่ฉันทำไปก็เพราะว่ามีเหตุผลนะคะผู้กอง จู่ๆ โอกาสทองมันก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า ถ้าฉันปฏิเสธข้อเสนอของเจ๊หมวย ก็เท่ากับปฏิเสธที่จะเข้าไปถึงรังของไอ้ชาติ”
“แต่ตามแผนของเราคือให้คุณปลอมตัวเข้าไปเป็นเด็กที่ร้านเจ๊หมวยเพื่อสืบข้อมูลและส่งที่อยู่ของไอ้ชาติให้ทีมของหมวดสิงห์ ไม่ใช่ให้คุณตามเข้าไปถึงที่ซ่อนตัวมันแบบนี้”
“แต่ยังไงเราก็จับตัวมันมาได้ไม่ใช่หรือคะ” แทนจันทร์ว่าต่อ ยังมั่นคงในเจตนาและความคิดของตน
“แต่ตามที่เราวางแผนกัน มันไม่ใช่ด้วยวิธีการที่คุณเอาตัวเข้าไปเสี่ยงแบบนี้” หัวหน้ายังคงค้าน “คุณปฏิเสธเจ๊หมวยได้ แต่คุณก็เลือกที่จะไป ไปให้นักโทษหนีคดีมันเอาปืนจ่อหัวเป็นตัวประกัน แล้วถ้าปืนกระบอกนั้นมีกระสุน คุณคิดว่าสภาพคุณตอนนี้จะเป็นยังไง”
“แล้วหมวดสิงห์ได้รายงานผู้กองรึเปล่าคะ ว่าฉันเป็นคนเสนอแผนนี้กับไอ้ชาติเอง และฉันก็ฉลาดพอที่จะหาจังหวะที่ไอ้ชาติมันเมาสลับปืนเป็นปืนไม่มีกระสุน แล้วถึงกล้าให้มันลากออกมาอย่างนั้น”
เธอเตรียมแผนการอันแยบยลในใจไว้พร้อมแล้วตั้งแต่รู้ว่าแม่เล้าขาใหญ่ของซ่องสะพานดำเลือกเธอให้ไปบริการลูกค้าวีไอพีอย่างนักโทษหนีคุก เมื่ออธิบายการเตรียมพร้อมให้เจ้านายฟังเรียบร้อยก็กอดอกยืดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจที่เอาตัวรอดมาได้ แต่กลับยิ่งทำให้เจ้านายหนุ่มต้องหลับตาท่องพุทโธซ้ำไปซ้ำมาเพื่อสงบสติอารมณ์
“ยังไงไอ้ชาติก็ต้องถูกเราจับกุม ฉะนั้นก็ไม่เห็นต้องแคร์เลยว่าจะด้วยวิธีไหน”
“แทนจันทร์!”
น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบ ไม่ดุ ไม่ขึ้นเสียงหรือโวยวาย สีหน้านั้นก็ดูยังเรียบเฉย แต่แววตาอันเยียบเย็นบ่งบอกความเหลืออดจนทำให้อุณหภูมิในห้องดิ่งลงเป็นติดลบ คนที่เคยเถียงจึงเพิ่งรู้ตัว เลยหุบปากลง ค่อยๆ หลบตาอีกฝ่ายอย่างจำใจ เพราะเริ่มรู้ว่าแผนการนี้ไม่ถูกใจเจ้านายเสียแล้ว
“นี่แหละ! เพราะความคิดของคุณมันผิดแบบนี้ ผมถึงต้องเรียกตัวคุณกลับมาด่วนทั้งที่ภารกิจยังไม่เสร็จ”
แทนจันทร์ยอมเงียบ เพราะทำงานด้วยกันมาหลายปี ทำให้รู้ดีว่าเสียงเข้มระดับนี้เป็นระดับที่ไม่ปกติแล้วสำหรับเจ้านายของเธอคนนี้ ปกติจิณณ์ไม่ใช่คนใจดี แต่ก็ไม่ใช่คนดุ เสียงเช่นนี้จึงเป็นเกณฑ์วัดระดับความโมโหนั้นได้ดี
“คุณมีแผนในใจอยู่แล้ว แต่คุณโกหกผม ปิดบังทุกคน คุณก็รู้ พวกเราทำคดียาเสพติดที่ชุมชนสะพานดำมาด้วยกันหลายปี ไอ้ชาตินี่มันมือปืนร้อยศพ มือขวาเจ้าพ่อยาเสพติดระดับประเทศ ฝีมือของมันโหดแค่ไหนคุณก็รู้ มันหลุดการล้อมจับของเราได้ทุกครั้งก็เพราะว่ามันเหลี่ยมจัดสุดๆ ทั้งคุณ ผม และทีมของเราถึงต้องวางแผนกันเป็นเดือนๆ เพื่อวันนี้”
หญิงสาวก้มหน้างุด คราวนี้ผู้หมวดสาวคอตกยอมรับผิดในข้อนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง งานนี้ถือว่าเป็นงานครั้งสำคัญของทีม ถึงแม้จะจับตัวชาติได้ แต่การที่เธอไม่ยอมทำตามแผนก็เท่ากับเป็นการทำลายสิ่งที่ทุกคนในทีมร่วมแรงกันคิดมานานนับเดือนจนหมด ตอนที่เจ๊หมวยบอกว่าจะส่งเธอไปให้ชาติ เธอนึกแต่อยากจะบุกจับตัวมันจนไม่ได้คิดถึงข้อนี้เลยแม้แต่นิดเดียว คิดเพียงว่าต้องไม่ปล่อยให้ไอ้เศษสวะสังคมคนนี้รอดมือไปได้อีก จึงรีบตกลงโดยที่ไม่ได้แจ้งทีม
“ผมรู้ว่าคุณจริงจังกับคดีนี้มากนะจันทร์” จิณณ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ “คุณอยากช่วยคนในชุมชน อยากล้างบางแก๊งค้ายา แต่เพราะความใจร้อนของคุณ มันจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด”
“ฉันขอโทษค่ะทุกคน” แทนจันทร์เอ่ยเสียงอ่อยกับเพื่อนร่วมทีม
“แล้วถ้าทุกอย่างมันไม่เป็นตามที่คุณคิด ถ้าเกิดคุณสลับปืนไม่ทันจนมันทำร้ายผู้บริสุทธิ์คนอื่น คุณจะทำยังไง เรารับผิดชอบความเสียหายกันไม่ไหวหรอกนะ”
แม้เจ้านายคนนี้จะอายุห่างกับเธอไม่มาก แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำให้เขามีความคิดความอ่านแตกต่างกับชายหนุ่มทั่วไป เป็นที่รู้กันดีว่าผู้กองจิณณ์คือหนึ่งในตำรวจที่จริงจังและทุ่มเทกับงานที่สุด เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตนั้นก็มาเป็นที่หนึ่ง แม้จะมีเงินเท่าภูเขามากองอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่เคยแม้แต่เหลียวตามอง ถ้าเงินนั้นต้องการให้เขาทำผิดต่ออาชีพและเกียรติอันมั่นคงของตำรวจ ความรู้จบจากเมืองนอกและความสามารถรอบด้านของเขาทำให้เธอทั้งเกรงและเคารพเขา
ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เธอนับถือ นึกขอบคุณอยู่ที่แม้ความผิดของเธอครั้งนี้จะร้ายแรง แต่เขาก็ยังคุมสติ ไม่ไล่ตะเพิดเธอออกจากห้องไปเสียก่อน
“แล้วก็ยังมีอีก!”
หญิงสาวทำคอย่น หลับตาปี๋ เตรียมรับคำบ่นอีกระลอก
“ถ้าเกิดคุณพลาดท่าถูกมันทำร้ายขึ้นมา ผมจะทำยังไง”
แม้จะโกรธมากเพียงใด แต่จิณณ์ก็ขึ้นเสียงไม่ลงเมื่อเห็นตาใสๆ ของคนตรงหน้า ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ว่าความโมโหของเขามาจากสาเหตุที่เธอไม่เชื่อฟังเพียงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาจากความรู้สึกที่พอคิดว่า ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ แล้วหญิงสาวตรงหน้าเอาตัวไม่รอดหรือโดนทำร้ายได้รับบาดเจ็บ เขาจะโมโหมากเพียงใดที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเธอไว้ได้
ผู้กองหนุ่มถอนหายใจหนักๆ แสร้งหันหน้าเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานเพราะกลัวจะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ไหวและเผลอพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ซึ่งทุกคนในห้องก็ต่างเข้าใจทั้งน้ำเสียง สายตา และท่าทางนั้นได้ดีโดยไม่ต้องพูดกัน แต่คนเดียวที่ไม่เข้าใจและยังคงทำหน้าซื่อตาใสก็เห็นจะเป็นคนต้นเรื่อง ที่ยังคงมองว่าสายตาและท่าทางนั้นคือการที่เจ้านายโมโหที่ตนฝ่าฝืนคำสั่งราชการแค่นั้นเอง
แทนจันทร์กะพริบตาปริบๆ มองแผ่นหลังนั้นอย่างไปต่อไม่ถูก จนต้องหันไปพยักพเยิดขอความเห็นจากลูกน้องคนสนิท เห็นต่อพงษ์รีบพยักหน้าเป็นทำนองว่าให้ยอมๆ ไปก่อน เช่นเดียวกับสายตาของคนอื่นๆ ในทีม แทนจันทร์จึงลงความเห็นว่าเธอคงต้องยอมรับความผิดครั้งนี้แต่โดยดีจริงๆ เมื่อโดนประชามติเช่นนั้นหญิงสาวก็หน้าม่อย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรีบยกมือขอยอมแพ้
“รับทราบค่ะ วันหลังฉันจะไม่ทำอะไรโดยพลการแบบนี้อีก”
“คงไม่มีวันหลังแล้วละแทนจันทร์”
“หมายความว่าไงคะผู้กอง” แทนจันทร์หันขวับไปถาม
“ผมคงต้องย้ายคุณไปดูคดีอื่น พักการดูคดีนายชาติไว้ก่อน การสอบสวนนายชาติผมจะเป็นคนดูแลเองโดยตรง”
“ผู้กอง!”
“ผมทำแบบนี้เพื่อตัวคุณเองนะแทนจันทร์ ผมไม่อยากให้ความจริงจังเกินไปของคุณส่งผลต่อรูปคดีและต่อความปลอดภัยของตัวคุณเองด้วย หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
แทนจันทร์กำลังจะอ้าปากเถียง แต่ต่อพงษ์สะกิดเธอยิกๆ เป็นรอบที่สอง ขยิบตายิบๆ จนตีนกาแทบขึ้น พร้อมยกนิ้วขึ้นมาจุปากเป็นสัญญาณให้เงียบ สายตาของต่อพงษ์บอกชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เวลามาวีนแตก ด้วยความที่เป็นลูกน้องคู่ใจมานาน แม้ฝีมือทั้งยิงปืนและต่อสู้ของหมอนี่จะห่วยเป็นอันดับต้นๆ ของหน่วย แต่ถ้าเรื่องบุ๋นและแผนการต่างๆ นั้น เจ้าต่อนี่ฉลาดและเจ้าเล่ห์ชนิดตามจับไม่ทัน การที่เจ้าตัวพยักพเยิดกับเธอแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
“ค่ะ ผู้กอง”
สุดท้ายแล้วผู้หมวดสาวก็ต้องยอมรับเสียงอ่อย แม้ในใจยังต่อต้านอยู่ก็ตาม แต่คำพูดอันเต็มไปด้วยเหตุผลของเจ้านายก็ทำให้เธอปฏิเสธไม่ออก แม้เสียงนั้นจะนิ่งเรียบ แต่ก็ไม่ได้ดุด่าหรือต่อว่า นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเคารพผู้กองจิณณ์และเป็นฝ่ายยอมผ่อนให้เขาเสมอ
“เอาเป็นว่าวันนี้พี่จันทร์ก็ยอมรับผิดแล้ว เรื่องก็จบลงด้วยดีนะครับ” เจ้าตัวแสบค่อยๆ สอดขึ้นเสียงแห้งเพื่อประสานรอยร้าว ลดบรรยากาศอึดอัด “ถึงพี่จันทร์จะไม่ได้รับงานนี้ ก็ยังมีงานอื่นรออยู่อีกเพียบเนอะ พี่จันทร์เนอะ เนอะทุกคน”
คนในห้องรีบสนับสนุนคำพูดของต่อพงษ์ จนทำให้แทนจันทร์พยักหน้ารับคำส่งๆ ไปด้วย
“อย่างน้อยวันนี้ทีมเราก็มีเรื่องดีๆ ไม่ใช่หรือครับ”
‘ไอ้ต่อ’ ที่แทนจันทร์มักจะตั้งชื่อเต็มให้ว่า ‘ต่อเวรต่อกรรม’ หรือร้อยตำรวจตรีต่อพงษ์ซึ่งอายุน้อยที่สุดในทีมเริ่มทำหน้าที่สร้างบรรยากาศตามที่ตัวเองถนัด
“วันนี้เราจับไอ้ชาติได้ แถมเป็นบุญตาได้เห็นพี่จันทร์แปลงโฉมแต่งตัวซะเซ็กซี่จนไอ้ชาติหลงเรียกตัวไปเป็นสาวเสิร์ฟ อย่าว่าแต่ไอ้ชาติเลย พี่จิณณ์เองก็ตาค้างไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”
ปลายเสียงหันไปกระเซ้าเจ้านายอย่างไม่กลัวโดนด่า เพราะรู้ดีมานมนานว่าจิณณ์รู้สึกอย่างไรกับหญิงสาว แม้จะเรียกรอยยิ้มจากจิณณ์ไม่ได้ แต่ก็ทำให้พอมีเสียงกิ๊วก๊าวให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายลงไปได้บ้าง จะมีก็แต่คนโดนชมที่ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ปกติแล้วฉลาดและไหลลื่นพอๆ กับลูกน้องจนถูกจับเป็นดูโอคู่แสบแห่งกองปราบปราม แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้ไม่รู้ทำไมถึงสมองตัน ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่ลูกน้องคนสนิทพูดแม้แต่น้อย
“อย่างนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับทีมของเรานะครับพี่จิณณ์ ว่าแต่พี่จันทร์หมดค่าแต่งหน้าไปกี่หมื่นพี่”
“หน็อย...ไอ้คุณต่อ” แทนจันทร์ที่ยังหงุดหงิดอยู่แทบจะหันไปเคาะกะโหลกลูกน้อง “คนอย่างฉันแต่งนิดแต่งหน่อยก็สวยแล้ว แต่ที่ฉันจับมันได้เพราะนี่โว้ย กำลังกับสมอง”
ถ้าเรื่องความในใจของผู้กองจิณณ์จะมองออกด้วยสายตากันทั้งหน่วย ความแสบสุดทรวงของผู้หมวดแทนจันทร์นั้นก็เป็นที่รู้ดีกันทั้งกองปราบปรามเช่นกัน นอกจากทักษะการเอาตัวรอดที่สูงปรี๊ด บวกด้วยคะแนนภาคปฏิบัติที่สูงลิ่วกว่าเพื่อนร่วมชั้นตั้งแต่สมัยเรียน ยังมีแฟ้มคดีสูงเป็นตั้งที่ปิดด้วยมือแบบบางคู่นั้น อีกทั้งรายชื่อนักโทษยาวเหยียดที่ผู้หมวดแทนจันทร์คนนี้ตามล่ามาเข้าตะราง เรื่องฝีมือในการทำงานนั้นเรียกว่าเป็นมือต้นๆ ของชุดปราบปรามยาเสพติดจนผู้ชายบางคนยังต้องยกให้หญิงสาวตัวเล็กๆ คนนี้เป็นที่หนึ่ง
“เอ้อ พี่จิณณ์ครับ แล้วจะให้เราส่งตัวไอ้ชาติไปที่ศูนย์วิจัยเมื่อไหร่ครับ”
“อ้อ ใช่ ที่บอกว่า...”
ต่อพงษ์รีบหันมาถลึงตา จุปากใส่ลูกพี่คนที่เพิ่งโดนสั่งย้ายไม่ให้ดูคดีนี้ ก่อนจะชิงพูดแทน
“คดีนี้จะเป็นคดีแรกที่เราร่วมมือกับศูนย์วิจัย FORT ที่ทำโครงการเซรุ่มพูดความจริงขึ้นมาสำหรับงานสอบสวน เท่าที่ผมได้อ่านจากรายงานของโครงการ เห็นว่างานวิจัยเซรุ่มตัวนี้ดีมาก ออกฤทธิ์ไว ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ฝีมือนักวิทยาศาสตร์ไทยแต่ผลงานระดับเมืองนอก ถ้าโครงการนี้สำเร็จจะต้องเป็นประโยชน์ต่อทางการมากๆ เลยนะครับ”
อันที่จริง แผนลอบจับตัวชาติที่ซุ่มวางแผนกันมานับเดือนในครั้งนี้ เป้าหมายของทีมจับกุมยาเสพติดคือจับเป็น เพื่อนำตัวนักโทษเข้าร่วมโครงการของศูนย์วิจัย FORT ศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ชื่อดังระดับประเทศซึ่งสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ให้กองปราบปรามในการใช้ Truth serum หรือเซรุ่มพูดความจริง กับนักโทษคดีร้ายแรงเพื่อข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งหลังจากที่ได้ทดสอบเบื้องต้นแล้วไม่พบผลข้างเคียงใดๆ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อทางการมาก จึงถือว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของการใช้เทคโนโลยีร่วมกับความสามารถของตำรวจไทย
แต่เมื่อพูดเรื่องน่ายินดีนี้ขึ้นมา สีหน้าที่มักจะเคร่งขรึมอยู่แล้วของผู้กองจิณณ์กลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดกว่าเก่า
“นี่ก็เป็นข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่งที่ผมต้องแจ้งให้พวกคุณทราบ” จิณณ์ว่าด้วยสีหน้าไม่ดีนัก “สองวันก่อน หน่วยจราจรได้รับแจ้งข่าวอุบัติเหตุแถวถนนนอกเมือง คนขับขับรถตกข้างทาง พอตำรวจเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าผู้บาดเจ็บคือดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัย FORT คนที่คิดค้นเซรุ่มพูดความจริงให้เรา”
“โชคเข้าข้างมันอีกแล้ว” แทนจันทร์กำมือแน่น กัดฟันกรอด
“ไม่ใช่โชคหรอก” ผู้กองหนุ่มส่ายหน้า “รถของเขามีรอยกระสุนเจาะหลายที่ พอเปิดดูกล้องวงจรปิดก็พบว่าเขาถูกสะกดรอยตามและหวังฆ่าปิดปากแน่นอน”
ทั้งทีมตกอยู่ในอาการเคียดแค้น รู้ดีว่าคนที่กล้ากระทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้กลางเมืองมีน้อยคนนัก เพราะเท่ากับเป็นการหยามศักดิ์ศรีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ชนิดเหยียบจมูกกันเลยทีเดียว และคนที่จะเสียผลประโยชน์จนหมดอนาคตจากความสำเร็จของโครงการนี้เป็นรายแรกๆ ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเจ้านายของชาติ เจ้าพ่อค้ายาเสพติดเจ้าใหญ่อย่างกษิณ ที่ทำให้ชุมชนแออัดหลายที่กลายเป็นแหล่งกระจายยานรก อาชญากรตัวการใหญ่ที่ตำรวจตามล่ามานาน แต่ก็เหมือนกับวิ่งไล่จับเงามาตลอด
“เกือบจะสำเร็จแล้วเชียว” ต่อพงษ์ตบเข่าอย่างขัดใจ “ถ้าเราได้เซรุ่มตัวนี้มาแล้วทำให้ไอ้ชาติสารภาพทั้งหมดได้ เราก็จะมีหลักฐานทุกอย่างไปจับตัวไอ้กษิณ ทำไมสวรรค์ถึงได้เข้าข้างคนชั่วนักนะ”
“ยังดีที่ดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัยกระดูกเหล็ก เขารอดตายมาได้ แต่ก็บาดเจ็บหนักพอตัว โครงการวิจัยเซรุ่มพูดความจริงก็คงต้องเลื่อนไปจนกว่าเขาจะดีขึ้น เพราะเห็นว่างานนี้เขาเป็นคนลงทุนดูแลเองทั้งหมด เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้สูตรและวิธีการใช้” ผู้กองหนุ่มกล่าวตามรายงานที่ได้รับ “นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอยากขอให้พวกคุณช่วย สิ่งเดียวที่เราทำได้ตอนนี้คือส่งคนไปคุ้มกันไม่ให้พวกมันกลับมาปิดปากเขาได้อีก”
แทนจันทร์ลุกพรวดอย่างยินดี แต่ก็ต้องทำปากเบ้เพราะโดนเบรกจนหน้าแทบทิ่ม
“แน่นอนว่าไม่ใช่คุณ แทนจันทร์”
“แต่แค่เฝ้าคนป่วยเองนะผู้กอง” หญิงสาวโอดครวญ
“ไม่มีแต่ ผมไม่ต้องการให้คุณเข้ามาเกี่ยวกับคดีนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นในทางไหนก็ตาม”
“เอาน่าๆ” ต่อพงษ์ที่กลายเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเจ้านายทั้งสองรีบเข้ามาทำหน้าที่ หันไปขยิบตาให้ลูกพี่คนยศน้อยกว่าเพื่อขอให้ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน “วันนี้ดึกแล้ว เราแยกย้ายกันกลับดีกว่า ตอนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว กลับไปนอนสวดมนต์ให้ท่านดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัยเขาหายเร็วๆ ละกันเนอะ”
“แน่ใจนะพี่ว่าจะให้ส่งแค่นี้”
ต่อพงษ์ถามย้ำกับลูกพี่อีกครั้งหลังจากที่เธอบอกให้เขาจอดหน้าปากซอย และลงจากมอเตอร์ไซค์พร้อมถอดหมวกกันน็อกคืน
“ก็แกไม่ใช่เหรอที่ชอบบ่นว่าห้องฉันอยู่ซอยลึก ขับเข้าซอยแต่ไกลเหมือนขับข้ามจังหวัด” หญิงสาวทวนประโยคที่คนปากดีเคยวิจารณ์เกี่ยวกับห้องพักเธอ
“ก็มันทั้งลึกทั้งเปลี่ยว บอกพี่กี่ทีแล้วก็ไม่ยอมย้ายออกซะที”
“เออน่า ฉันเป็นคนอยู่ แกเป็นคนมาส่ง จะบ่นอะไรมากมาย”
ถ้าแทนจันทร์เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ เหมือนที่เธอเป็นภายนอก ต่อพงษ์จะไม่มีทางปล่อยให้สุภาพสตรีเดินเข้าซอยเปลี่ยวกลับบ้านคนเดียวในเวลาตีสองเกือบตีสามแบบนี้แน่ๆ แต่ด้วยเขารู้ว่าภายในร่างนั้นคือผู้หมวดแทนจันทร์ หมวดหญิงที่เป็นฝันร้ายของโจรทุกหย่อมหญ้า เขาจึงพยักหน้า
“แล้วก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องคดีนะพี่ เชื่อผม พี่จิณณ์เขาทำถูกแล้วที่บอกจะดูแลคดีนี้เอง”
จากการสันนิษฐานของมือบุ๋นแห่งหน่วยปราบปราม ต่อพงษ์คิดว่าการที่จิณณ์ตัดสินใจแบบนี้ส่งผลดีต่อทุกฝ่ายอย่างที่สุด จากเหตุการณ์นี้แน่นอนว่าย่อมมีผู้ใหญ่เบื้องบนบางคนไม่พอใจการกระทำของแทนจันทร์ ยิ่งผสมกับความเป็นคนมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อความถูกต้องและไม่เคยก้มหัวหรือไว้หน้าคนที่คิดจะกลับผิดให้เป็นถูก จนบางทีก็ทำให้แทนจันทร์ไปขวางหูขวางตาใครหลายๆ คนเข้า จิณณ์จึงต้องสั่งย้ายเธอเพื่อให้พ้นอำนาจเบื้องบน และเสนอให้ตัวเองขึ้นมาดูแลคดีนี้โดยตรง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาได้ดีที่สุด เพราะแทนจันทร์ก็ยังสามารถเข้ามาทำงานเบื้องหลังได้โดยที่ไม่ผิดสังเกต ผู้กองจิณณ์อ่านเกมออกและวางแผนได้อย่างรอบคอบที่สุดเสมอ
“พี่จิณณ์เขาเป็นห่วงพี่มากนะ” ต่อพงษ์ย้ำ หวังให้เจ้านายสุดทึ่มของตนเข้าใจสิ่งที่ผู้กองทำทุกอย่างเสียที
“เออ ฉันเข้าใจผู้กองว่าเขาหวังดีต่อฉัน”
ต่อพงษ์รู้ว่าแทนจันทร์ไม่ใช่คนโง่ เธอก็คงจะเข้าใจแผนการและเจตนาดีของจิณณ์อยู่รางๆ
“ผู้กองจิณณ์เขาดูแลลูกน้องดีมากจริงๆ”
คนเป็นลูกน้องถอนหายใจหนึ่งเฮือกอย่างระอาใจพลางเกาหัวแกรกๆ มั่นใจว่าลูกพี่ตัวเองไม่ใช่คนโง่ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เคยฉลาดกับเรื่องแบบนี้เลย
“ไปๆ รีบกลับไปพักผ่อน กลับบ้านดีๆ เถอะแกน่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” แทนจันทร์ตบบ่าลูกน้องก่อนจะแยกย้ายกัน
ร่างเล็กเดินทอดน่องเข้าซอยไปอย่างเคยชิน ตามความคิด ระยะทางจากปากซอยไปยังห้องพักก็ไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้น ที่บรรดาเพื่อนๆ บ่นกันทุกครั้งที่มาส่งเป็นเพราะพวกเขาไม่ชินทางต่างหาก ราคาห้องที่ถูกกับเงินในกระเป๋าทำให้เธอตัดสินใจอยู่ที่นี่อย่างมั่นคง ไม่ยอมย้ายไปไหน แม้ทุกคนจะบอกตรงกันว่ามันทั้งเปลี่ยวทั้งมืดและน่ากลัว แต่เธอก็ไม่สนใจ ไม่เคยคิดกลัว เพราะมั่นใจในฝีมือการป้องกันตัวของตัวเอง
ด้วยซอยนี้เป็นซอยตัน จึงทำให้แม้แต่ในเวลากลางวัน ถนนเล็กๆ สายนี้ก็ไม่ใช่ถนนหลักที่มีรถผ่านคึกคัก ดังนั้นมันจึงเริ่มเงียบตั้งแต่หัวค่ำ และกลายเป็นซอยเปลี่ยวทันทีในเวลาตีสองเกือบตีสามเช่นนี้ ไฟตามทางที่ตั้งอยู่ห่างกันยังคงติดๆ ดับๆ เช่นเดิม และหญ้าข้างทางก็ไม่ค่อยมีคนถาง บ้านเรือนรั้วสูงที่ตั้งอยู่ห่างกันต่างปิดไฟนอนมืดสนิท แสงสว่างข้างทางที่พอมีก็คงจะเป็นจากร้านค้าเล็กๆ ที่เปิดไฟหน้าร้านเอาไว้
ปกติแทนจันทร์ก็ไม่ได้มองว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวแบบนี้น่ากลัว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หญิงสาวเลิกงานดึกและเดินกลับเข้าซอยคนเดียวเช่นนี้ เมื่อเดินไปก็คิดถึงเรื่องต่างๆ นานาซึ่งส่วนมากหนีไม่พ้นเรื่องงานและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งเรื่องภารกิจ การโดนสั่งย้ายจากคดีชุมชนสะพานดำ และโครงการเซรุ่มพูดความจริงที่ต้องเลื่อนเพราะอุบัติเหตุไม่คาดฝัน แต่เรื่องที่คิดหนักวนไปวนมาอยู่ในหัวก็เห็นจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดหาที่มาไม่ได้ที่เธอเจอหลังตึกแถวร้างนั้น ซึ่งก็ยังไม่กล้าบอกให้ใครรู้ เพราะคิดว่าเล่าไปคงไม่พ้นโดนหมู่จ่าปากเปราะทั้งหลายแซวว่าบ้า
‘อาจจะไม่มีอะไรหรอกแทนจันทร์ ไอ้ชาติคงจะยิงพลาดเอง’
‘ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เขาหายไปได้ยังไง หรือผู้ชายคนนั้นอาจจะมีทักษะการหลบขั้นเทพ’
‘แล้วทำไมไอ้ชาติถึงโวยวายว่าผีหลอก หรือมันอาจจะตาฝาด’
สารพัดคำถามและคำตอบผลัดกันวนเข้ามาในหัว ยิ่งนึกก็ยิ่งคิดไม่ออก ภาพติดตาในหัวที่กวนใจเธออย่างหนักคือสภาพชาติที่นั่งพนมมือไหว้ท่วมหัว แม้กระทั่งตอนตำรวจเข้าไปจับกุมตัวก็ไม่มีการขัดขืนราวกับสติไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตัวมันสั่นเทิ้ม ตาปากอ้าค้าง พูดวนไปวนมาได้คำเดียวว่า
‘ผีหลอก! ผีหลอก!’
ผีหลอกอย่างนั้นหรือ
ขนแขนลุกชันเมื่อนึกถึงคำนี้ หมวดสาวไม่ชอบคำพูดอะไรแบบนี้ เพราะสิ่งที่กล่าวถึงเป็นสิ่งที่อยู่เหนืออำนาจที่เธอควบคุม รู้สึกว่าอากาศรอบตัวเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ความมืดวังเวงที่เคยชินก็ดูไม่เป็นมิตรเสียเลย เริ่มคิดเลยเถิดไปว่ารู้สึกถึงสายตาบางคู่ที่กำลังจับจ้องเธอจากความมืดนั้น
รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดๆ เมื่อเห็นหอพักเปิดไฟสว่างตั้งอยู่ไม่ไกล จึงรีบก้าวเร็วขึ้น ทันทีที่มาถึงหอพักหญิงสาวก็เดินจ้ำขึ้นบันได ระหว่างทางตั้งใจก้มหน้าไม่มองสองข้างทาง เพราะกลัวว่าจะหันไปเจอะอะไรที่ไม่สมควรเห็น ขณะเดินก็พยายามไม่คิดถึงบรรยากาศรอบตัวที่วิเวกวังเวงแปลกจากทุกวันอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่หอพักจะเปิดไฟสว่างเช่นเดิม แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติ จนเมื่อถึงห้องพักชั้นบนสุดเธอก็รีบไขกุญแจ ผลักประตูและผลุบเข้าไปข้างในให้เร็วที่สุด
เฮ้อ...ถึงแล้ว
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ แม้เข้ามาอยู่ในห้องแล้ว แทนจันทร์ก็ยังต้องยืนลูบขนแขนที่ยังลุกชันอยู่เบาๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกแปลกๆ คล้ายกับเย็นวูบวาบไปทั้งตัวแบบนี้เลย
“เปิดหน้าต่างไว้ลมก็เข้าสิ ไอ้จันทร์เอ๊ย”
เห็นสาเหตุของความเย็นแล้วก็รีบเดินอ้อมเตียงเพื่อจะไปปิดหน้าต่างที่หัวเตียง ทันทีที่ยื่นมือออกไป ลมเย็นยะเยือกก็พัดผ่านหน้าเธอ...
คราวนี้ไม่ใช่แค่ขนแขน แต่มันลุกชันทั้งตัว เมื่อในลมหนึ่งวูบนั้นมีกลิ่นคล้ายกลิ่นน้ำหอม แถมเป็นน้ำหอมผู้ชายลอยปะทะเข้าจมูก แทนจันทร์จึงรีบปิดหน้าต่างดังโครมและหันกลับเข้ามาในห้อง แต่ภาพเบื้องหน้ากลับทำให้เธอช็อกยิ่งกว่า
หญิงสาวร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ ถอยกรูดไปกระแทกหน้าต่าง ตาเบิกกว้าง สมองเหมือนจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ คำพูดที่หลุดออกมาจึงตะกุกตะกักไม่เป็นคำ
“กะ...กะ...แกเป็นใคร” นึกอะไรไม่ออกแล้วนอกจากคำถามนี้ “เข้ามาทำไม เข้ามาได้ยังไง ต้องการอะไร แก...แก...”
เรียกได้ว่าลิ้นพันกันจนพูดไม่เป็นประโยค สัญชาตญาณของตำรวจทำให้มือคว้าหมับไปที่เอว แต่ตาก็มองไปเห็นซองปืนที่วางไว้บนโต๊ะตรงประตูห้อง เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีปืน หญิงสาวเลยรีบยกหมัดขึ้นตั้งการ์ดทันที
ผู้ชาย! ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้อง ประตูห้องที่เธอมั่นใจว่าปิดและลงกลอนเองกับมือ แสงไฟสว่างจ้าของห้องนอนจับต้องร่างนั้นเต็มตา ร่างสูงโปร่งของเขายืนนิ่ง สายตามองเธอเหมือนจับจ้องมานานแล้ว
“ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!” แทนจันทร์ตวาด จ้องร่างนั้นไม่วางตา แต่เขาก็ยังมีท่าทางนิ่งๆ ดูไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายหรือบุกเข้ามา “ถ้าไม่ตอบอะไร ฉันจะซัดแกให้ตายคามือตรงนี้แหละ”
“เดี๋ยวก่อน” เสียงห้าวของเขาฟังดูทุ้ม และที่ชัดเจนคืออีกฝ่ายตอบกลับอย่างสุภาพมาก ตรงข้ามกับเสียงของเจ้าของห้องโดยสิ้นเชิง “ผมมาขอให้คุณช่วย”
“ช่วยอะไร! ฉันไม่รู้จักแก ฉันจะไปช่วยอะไรแกได้”
“ผมอยากให้คุณช่วย คุณตำรวจ”
“แกรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นตำรวจ!” แทนจันทร์ร้องลั่น “แกสะกดรอยฉันมาใช่มั้ย แก๊งไหนส่งแกมา ไอ้กษิณรึเปล่า หรือไอ้...”
ชายหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้ว จากนั้นก็พยักพเยิดไปที่กรอบรูปหลังตู้เย็น ซึ่งเป็นรูปเธอในเครื่องแบบตำรวจ ตั้งอยู่พร้อมประกาศนียบัตรโรงเรียนตำรวจ จากนั้นเขาก็มองเธอด้วยสายตาที่แทนจันทร์ไม่ชอบเลยสักนิด เพราะมันคือการมองแบบหัวจดเท้าด้วยสายตาสงสัยใน ‘สภาพ’ ซึ่งสภาพและชุดเกาะอกแสนไม่สุภาพที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ก็ทำให้เธอดูห่างไกลกับสัมมาอาชีพจริงๆ
“ผมทำร้ายใครไม่ได้หรอก คุณไม่ต้องกลัว”
จู่ๆ คนคนนี้ก็โผล่ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีเสียง ไม่มีแม้แต่สัญญาณอย่างที่สิ่งมีชีวิตเขาเคลื่อนไหวกัน เหตุการณ์ประหลาดแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงใครไปอีกไม่ได้นอกจาก...
“แกคือคนที่อยู่กับไอ้ชาติหลังตึกใช่มั้ย” เธอถามอย่างมั่นใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเรื่องแปลกประหลาดพวกนี้เกี่ยวข้องกัน “จะให้ช่วยเรื่องอะไร ทำไมต้องบุกเข้ามาในห้องฉันแบบนี้”
“ผมอยากให้คุณช่วยตามหาคน” ชายหนุ่มยังเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงขอร้อง
“ถ้าอยากตามหาคนหายก็ไปแจ้งความที่โรงพักสิ ทำไมต้องมาสะกดรอยตามฉันอย่างนี้ด้วย”
แทนจันทร์ยังคงถามกลับด้วยความไม่ไว้ใจ ยิ่งเมื่อได้พิจารณาสภาพของคนตรงหน้าแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลจริงๆ เพราะเขาอยู่ในชุดโรงพยาบาลสีขาว ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นรอยแผลเหนือคิ้วด้านซ้ายที่ลากเป็นทางยาวคล้ายโดนบางอย่างกรีด ซึ่งต่อให้เขาต้องการความช่วยเหลือหรือเดือดร้อนจริงๆ ด้วยสภาพแบบนี้เธอก็คิดว่าเธอไว้วางใจอะไรไม่ได้แน่ๆ
“ผมก็อยากไป แต่ผมติดต่อกับคนพวกนั้นไม่ได้”
มันน่าฟ้องเจ้านายให้หักเงินเดือน พวกหมู่หรือจ่าคงแอบหลับจนประชาชนติดต่อไม่ได้อีกแน่ๆ แทนจันทร์คิด
“แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาแจ้งความคนหายนะคุณ” การตอบและพูดคุยแบบสุภาพของชายหนุ่มบวกกับความตกใจที่หายไปนิดหน่อยทำให้แทนจันทร์เริ่มเปลี่ยนสรรพนาม “ฉันว่าคุณกลับไปดีกว่า นี่มันห้องพักส่วนตัวของฉันนะ ไม่ใช่โรงพัก ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก”
“งั้นถ้าเป็นเวลาราชการ คุณจะช่วยผมใช่มั้ยคุณตำรวจ” น้ำเสียงที่ถามกลับนั้นเปี่ยมไปด้วยความหวัง “คุณสัญญากับผมแล้วนะ คุณตำรวจ”
“เฮ้ย! ฉันไปสัญญาตอนไหน ไม่สัญญาอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวส่ายหัวดิกๆ
“คุณต้องสัญญากับผมก่อนสิว่าคุณจะช่วยผม”
เสียงสุภาพนั้นเริ่มแข็งขึ้น บวกกับประโยคคำพูดแกมบังคับทำให้เริ่มฟังดูเป็นการคุกคามมากกว่าการขอร้อง ร่างในชุดโรงพยาบาลขยับเข้ามาหา ไม่สนใจคำพูดที่บอกให้เขาถอยออกไป บางอย่างเริ่มบอกแทนจันทร์ว่ามีสัญญาณไม่ปลอดภัย เธอหันซ้ายหันขวา แต่เมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรป้องกันตัวได้ จึงปล่อยหมัดออกไปสุดแรง
วูบ!
ฮะ! ไม่จริง!
แทนจันทร์ถลาหน้าเกือบทิ่มผนังอีกฝั่ง แล้วตำรวจสาวผู้ไม่เคยกลัวสิ่งใดก็ต้องผงะ ตาเบิกกว้างเป็นสองเท่า หน้าถอดสี สีหน้าแย่ยิ่งกว่าแย่ เธอถอยหลังชนผนังดังปึงแบบคนไปไหนไม่ถูก สองตามองมือตัวเองกับคนตรงหน้าสลับกัน เห็นคาตาว่าเมื่อครู่หมัดที่ตั้งใจปล่อยสุดแรงและตัวเธอลอยละลิ่วชนิดไม่ปะทะวัตถุใดๆ จนถลาไปอีกฝั่ง แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาหลบ ตัวเขายังยืนอยู่ที่เดิม แต่เป็นตัวเธอที่ทะลุผ่านตัวเขามาต่างหาก
ทะลุ...ผ่าน หญิงสาวทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อกี้อีกหลายรอบในใจ
“ผมบอกคุณแล้วว่าผมทำอะไรคุณไม่ได้” ชายคนนั้นยังพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“ผะ...ผะ...ผีหลอก!”
“เดี๋ยวก่อนคุณตำรวจ”
แต่ไม่ทันแล้ว สติสตังของแทนจันทร์แล่นกระเจิง ตำรวจสาวไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดบนโลกใบนี้ แต่สิ่งตรงหน้าเป็นข้อยกเว้น เพราะเป็นสิ่งลี้ลับซึ่งไม่นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตและไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ด้วย ยิ่งพอเห็นว่าผี...ตรงหน้ากำลังจะก้าวเข้ามา หญิงสาวก็กรี๊ดสุดเสียง ก่อนจะเป็นลมล้มพับไปตรงนั้นนั่นเอง
ความคิดเห็น |
---|