1

บทที่ ๑

บทที่ ๑

 

นาฬิกาดิจิทัลที่คอนโซลรถเรืองแสงสะท้อนบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า ถนนสายเล็กปกคลุมด้วยความเงียบยามวิกาล เสาไฟฟ้าต้นเล็กข้างทางก็ตั้งห่างกันจนแสงสว่างไม่สามารถกระจายไปทั่วพื้นที่ของถนน สองข้างทางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันเต็มไปด้วยพงหญ้ารกสูง ซอยมืดเปลี่ยวไร้บ้านเรือนผู้คน รวมๆ แล้วเรียกได้ว่ามันเป็นถนนที่ไม่เหมาะสำหรับการสัญจรยามดึกเลยแม้แต่น้อย

แต่ในยามวิกาลเช่นนี้ก็ยังมีรถเก๋งสีขาวแล่นฝ่าความมืดไปด้วยความเร็วสูง และเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่พื้นอันขรุขระของถนนนั้นไม่อำนวยเลยแม้แต่น้อย ที่น่าแปลกคือ มันไม่ใช่รถคันเดียวที่แล่นอยู่บนถนนสายนี้ ด้านหลังยังมีรถกระบะสีดำคันใหญ่แล่นตามมาติดๆ สีดำทะมึนของมันแทบจะกลืนไปกับความมืดรอบด้านราวกับเงาที่เคลื่อนที่เกาะติดรถเก๋งสีขาวไปในความมืด

ผู้ที่บังคับรถสีขาวคันหน้าคือชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นตามใบหน้าทั้งที่แอร์ในรถปรับไว้เย็นเฉียบ เขาเหลือบมองกระจกหลังและกระจกข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งที่มอง เท้าก็กดคันเร่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเข็มหน้าปัดความเร็วเพิ่มขึ้นจากหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยยี่สิบ กลายเป็นหนึ่งร้อยสี่สิบ และไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลงแม้แต่นิด 

จากการสังเกต...ทั้งที่เขาขับรถโดยเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เข็มความเร็วขึ้นไปเกินอัตรากฎหมายกำหนดและคงความเร็วแบบเฉียดนรกนี้ผ่านมาหลายถนน หลายแยก หลายโค้ง แต่รถสีดำคันใหญ่นั้นก็ยังคงแล่นตามมาติดๆ 

การสังเกตนำมาสู่การตั้งสมมุติฐานหรือการคาดคะเนคำตอบที่อาจจะเป็นไปได้ เขากำลังตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าเขาเปลี่ยนทิศทางแล้วรถคันนั้นยังตามมาอยู่ หมายความว่าคนขับตั้งใจขับตามรถเขาแน่นอน

และชายหนุ่มก็เริ่มตรวจสอบสมมุติฐานทันที เขาทดลองเปลี่ยนเลนชิดซ้าย รถคันนั้นก็เปลี่ยนเลนชิดซ้ายตาม เมื่อเขาทดลองชะลอความเร็ว ปรากฏว่ารถคันนั้นก็ลดความเร็วลงเช่นกัน แม้กระทั่งเขาเลี้ยวกะทันหันที่ทางแยกโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ก็ยังเห็นรถคันเดิมตามมาติดๆ สมองวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรวดเร็วและสรุปผลได้โดยไม่ต้องอ้างอิงตัวแปรหรือการทดลองใดๆ อีก ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้การตั้งสมมุติฐานของเขาผิด จากการวิเคราะห์ เขาสรุปผลได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังถูกรถคันหลังไล่ตาม และเป็นการตามชนิดที่เรียกว่าตามไล่ล่าเสียด้วย 

แทบไม่มีทางอื่นเลยที่จะสะบัดหลุดไปได้ และเขาก็ไม่คุ้นเคยกับถนนสายนี้พอที่จะหาทางลัดเพื่อหลบหนี พยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่ามันตามไล่ล่าเขาด้วยเหตุผลอะไร แม้ความเร็วรถจะพุ่งเลยร้อยสี่สิบไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็พยายามละมือจากพวงมาลัยเพื่อคว้าโทรศัพท์บนเบาะข้างๆ สายตาที่มองหน้าจอโทรศัพท์สลับกับถนนเต็มไปด้วยความกังวล มือที่สั่นเกร็งพยายามเลื่อนหาเบอร์ที่ต้องการ จนกระทั่งหยุดอยู่ที่เบอร์หนึ่ง ลังเลเล็กน้อยว่าจะโทร. ออกดีหรือไม่ แล้วสุดท้ายก็กดโทร. ออกด้วยความจวนตัวอย่างที่สุด

“ฮัลโหล! พ่อครับ ตอนนี้ผม...ผมกำลังโดนรถคันหนึ่งขับตาม...” 

คนปลายสายไม่อาจได้ยินเสียงอีกต่อไป เมื่อรถเก๋งคันขาวต้องเบรกกะทันหันและหักเลี้ยวอย่างรุนแรง เนื่องจากรถกระบะสีดำแซงขึ้นไปขวางหน้าในระยะกระชั้นชิด คนขับรถเก๋งเบรกสุดตัวจนรถเสียหลักหมุนคว้างกลางถนน โทรศัพท์ร่วงกระแทกพื้นจนเครื่องดับไป

เขารู้สึกร้าวไปทั้งตัวจากแรงเหวี่ยง โดยเฉพาะตรงแนวเส้นเข็มขัดนิรภัย ขอบคุณสวรรค์ที่รถของเขาแค่หมุนเป็นลูกข่างแต่ยังไม่คว่ำ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัย ภาพที่เห็นผ่านกระจกหน้าคือผู้ชายสองคนเดินลงจากรถกระบะสีดำ ที่เห็นชัดเจนที่สุดคือพวกมันถือปืนสั้นและเดินตรงมาที่รถของเขา ไม่รู้ว่าด้วยสติหรือความตกใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าเครื่องยนต์ยังติดอยู่ ทำให้เขารีบเข้าเกียร์ถอยหลัง ถอยรถออกจากกลางถนน และตัดเลี้ยวเข้าซอยข้างทางอย่างไม่คิดชีวิต 

พวกมันต้องการอะไร

ในสมองเต็มไปด้วยคำถาม แม้รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่ควรคิดหาคำตอบ มือสั่นที่กำพวงมาลัยแน่นประคองรถและสติให้ขับต่อไปให้ได้บนถนนที่ไม่รู้จัก เส้นทางขรุขระแสนเปลี่ยว ไม่มีแม้แต่ไฟทางหรือบ้านคน และเขาก็สังเกตเห็นไฟของรถคันหลังยังจี้ตามมาติดๆ 

ปัง!

เสียงปืนดังลั่นพร้อมเสียงเหล็กปะทะเหล็ก รถเก๋งคันเล็กเสียหลักเล็กน้อยเมื่อกระสุนเจาะเข้ากระโปรงหลัง แต่ไม่ทันมีเวลาให้ตกใจ นัดที่สองก็โดนกระจกหลังแตกร่วงลงมาทั้งแผ่น และนัดที่สามก็คือนัดตัดสินที่เจาะเข้าที่ยางหลังอย่างจัง 

เมื่อศูนย์ถ่วงหลักของรถถูกทำลาย รถเก๋งคันเล็กที่แล่นด้วยความเร็วสูงก็เสียหลักทันที มันปัดเข้าข้างทางก่อนกระแทกขอบปูนหนาข้างถนน เกิดเสียงดังสนั่นท่ามกลางความเงียบของถนนสายเปลี่ยว ก่อนที่รถจะพลิกคว่ำและไถลปีนขอบถนนออกไปนอนหงายท้องอยู่ในป่าข้างทาง 

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีโดยไม่ทันได้ตั้งตัวหลังจากเสียงปืนนัดที่สาม ชายหนุ่มรู้สึกว่าโลกของเขาหมุนคว้าง มือหลุดจากพวงมาลัยโดยไม่รู้ตัว สองหูอื้ออึงด้วยเสียงโลหะกระแทกกัน กระจกหน้าที่แตกร่วงลงมาทำให้เขาต้องหันหน้าหนี หลับตาแน่น มองไม่เห็นภาพอะไรอีก

แต่ละเสี้ยววินาทีนั้นนานราวกับเวลาหยุดเดิน เสียงโครมครามราวกับโลกถล่มค่อยๆ เงียบลงในที่สุด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ชายหนุ่มยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างพอที่จะรับรู้ความเจ็บปวดทั้งหมด เขารู้สึกชาและปวดร้าวไปทั้งตัวจนไม่อาจบอกได้ว่ารู้สึกเจ็บที่จุดไหน เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏก็เป็นภาพกลับหัวเพราะตัวเขาติดอยู่กับเข็มขัด เขาไม่สามารถมองเห็นสภาพตัวเองหรือรถ เพราะแสงจ้าจากไฟรถอีกคันสาดใส่ตาเขาจนภาพทุกอย่างพร่าเบลอ มองเห็นเพียงเงาเลือนรางของคนบนรถคันนั้นที่เดินลงมาจากรถและตรงเข้ามาหาเขาเหมือนเพื่อจะตรวจดูผลงานของตัวเอง

“มันตายรึยังพี่” เสียงที่หนึ่งถาม ไม่มีความหวาดกลัวในน้ำเสียง  

“เข้าไปดูสิวะ” อีกเสียงตอบ “ถ้ามันยังไม่ตาย เอาปืนยิงซ้ำเลย”

ชายหนุ่มพยายามกะพริบตาเพื่อไล่เลือดเหนียวๆ ที่ไหลเข้าตาจนแสบไปหมด สติรางเลือนเต็มทีตอนได้ยินประโยคนั้น มืออันไร้เรี่ยวแรงค่อยๆ ป่ายสะเปะสะปะ พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายปลดตัวเองออกจากเข็มขัดนิรภัย สัญชาตญาณมนุษย์บังคับให้เขากระเสือกกระสนเพื่อหาทางต่อวินาทีให้ลมหายใจอันน้อยนิดให้นานที่สุด

“ไม่...” เขาเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก แม้จะรู้ดีว่าปลายกระบอกปืนที่เล็งมาและนิ้วที่กำลังจะเหนี่ยวไกนั้นไม่มีวันปรานีเขา 

ร่างกายไม่อาจขยับได้อีกแล้ว ที่เหลืออย่างเดียวคงเป็นเพียงจิตสำนึก จิตสุดท้ายของมนุษย์ที่ร้องเรียกเพื่ออยากจะมีชีวิตต่อ

เขายังตายไม่ได้

เรื่องราวต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นมาในจิต ส่วนมากล้วนเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจซึ่งเด่นชัดมากในยามที่คิดว่าเป็นห้วงลมหายใจสุดท้าย เพราะมันคือภาพจำที่เจ็บปวด โศกเศร้า เงียบเหงา ตลอดมามีเพียงตนผู้เดียวเท่านั้นที่รู้และพยายามปกปิดไว้ตลอดชีวิตเพราะความกลัว ราวกับภาพฝันที่หลอกหลอนยามหลับและภาพความทรงจำอันเจ็บปวดยามตื่น เรื่องพวกนั้นค้างคาใจมานับสิบๆ ปี ความหวังเดียวที่มีมาตลอดชีวิตคือการได้บอกใครสักคนให้รับรู้...เพียงคนเดียวเท่านั้นก็ยังดี

ไม่ได้! เขายังมีเรื่องค้างคา เขาจะจากไปแบบนี้ไม่ได้

แรงปรารถนาอันแข็งแกร่งดึงให้ห้วงจิตที่เต็มไปด้วยพันธะนั้นต่อสู้ ตั้งจิตว่าเขาจะไม่เก็บความทุกข์นี้ไปตลอด

เขาต้องบอกเรื่องนี้กับใครสักคนให้ได้...

ขอเถอะ...หวังเพียงปาฏิหาริย์สักครั้ง

ใครก็ได้...ช่วยด้วย

ชายหนุ่มคิดว่าภาพสุดท้ายของชีวิตคงเป็นปลายกระบอกปืนและเสียงลั่นไก แต่สติของเขาหลุดลอยเข้าสู่ความมืดมิดเร็วกว่าจะได้ยินเสียงนั้น ลอยออกไปตามแรงผูกพันสู่จิตสำนึกก้นบึ้งของความคิดและความทรงจำที่ต้องการจะไปแต่ไม่เคยได้ไป ราวกับหลับแต่ก็เหมือนตื่น เมื่อจู่ๆ มีภาพบางภาพค่อยๆ ปรากฏขึ้นในห้วงลึกของจิตอันแสนซับซ้อน

 

‘นี่ๆ เล่นอะไรกันอยู่เหรอ’

เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวของวงวิ่งไล่จับหยุดลง ก่อนทุกคนจะหันมามองผู้มาใหม่สองคนด้วยสายตาไม่คุ้นเคย

‘เรากำลังเล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันอยู่’ 

เด็กหญิงหน้าตามอมแมมเป็นคนแรกของกลุ่มที่เดินอาดๆ เข้ามาหาทั้งสอง ดวงตากลมใสเหมือนลูกแก้วมีแววซุกซนเอาเรื่อง ผมมัดแกละแบบลวกๆ ชี้โด่เด่บวกกับเสื้อยืดกางเกงบอลทำให้เธอดูแก่นเซี้ยวไม่ต่างจากเด็กผู้ชาย เธอยืนกอดอกคุยกับคนมาใหม่อย่างไม่เกรงกลัว แม้จะตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม แต่ท่าทางรวมๆ แล้วก็บอกตำแหน่งหัวโจกของแก๊งชัดเจน

‘พี่กับน้องชายเพิ่งย้ายมาใหม่ อยู่บ้านท้ายซอยนู่นแน่ะ’ เด็กชายผู้เป็นเด็กใหม่ของถิ่นแนะนำตัว ‘เราขอเล่นด้วยได้มั้ย’

หัวหน้าแก๊งหรี่ตามอง ตั้งท่าพิจารณาราวกับหัวหน้ามาเฟียใหญ่ที่กำลังจะเลือกรับลูกน้องเข้าแก๊ง หลังจากวิเคราะห์ท่าทางอยู่ไม่ถึงนาทีถ้วน เจ้าของเสียงเล็กๆ ก็ตอบกลับ 

‘ก็ได้ งั้นเล่นเป็นผู้ร้ายคนนึง เป็นตำรวจคนนึงนะ จะได้เท่าๆ กัน’ เจ้าถิ่นจัดแจง

‘ได้สิ ไม่มีปัญหา’ เด็กใหม่พยักหน้ารับอย่างยินดี ไม่ได้สนใจท่าทางกร่างๆ ที่มีต่อตัวเองทั้งที่ความสูงมากกว่าช่วงแขนแสดงวัยวุฒิของความเป็นพี่ได้อย่างชัดเจน ‘เดี๋ยวพี่จะเล่นเป็นผู้ร้ายเอง แล้วน้องชายพี่จะเป็นตำรวจนะ’

คนเป็นพี่เจรจาเจื้อยแจ้วพร้อมยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้เพื่อนใหม่ แต่คนเป็นน้องกลับเงียบสนิท ยืนหลบอยู่หลังพี่ชาย สายตามองกลุ่มเด็กพวกนั้นอย่างไม่แน่ใจ

‘ตัวเล็ก แต่ว่าเราจะแยกสองคนนี้ออกได้ยังไง ดูสิ หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย’ เด็กชายอ้วนกลมแก้มยุ้ยตะโกนออกมาจากกลางกลุ่ม ‘เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนเป็นตำรวจ คนไหนเป็นผู้ร้าย’

หัวหน้าแก๊งวิเคราะห์ความพิเศษของสองลูกน้องใหม่ทันทีหลังถูกสมาชิกท้วงติง ด้วยความที่เป็น ‘ฝาแฝด’ ทำให้สองคนนี้หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ เด็กหญิงตัวเล็กแต่ตำแหน่งใหญ่โตกอดอกอย่างพยายามใช้ความคิด เพียงครู่เดียวก็ปรบมืออย่างดีใจ ดวงตาสุกสว่างราวกับดวงไฟที่เปิดสวิตช์ เธอรีบวิ่งออกจากกลุ่มตรงไปที่บ่อโคลน แล้วจ้วงเอาโคลนเหลวๆ ติดมือมาอย่างไม่กลัวเปื้อน ก่อนจะวิ่งกลับมาป้ายแก้มคนพี่พร้อมหัวเราะร่าอย่างสะใจ

‘ทีนี้ก็ไม่เหมือนแล้ว’ 

แม้ตัวจะเล็ก แต่ความแสบนั้นยิ่งกว่าพริกขี้หนู แกล้งเขาไม่พอ ยังนำพรรคพวกตะโกนล้อลั่นว่า 

‘ว้าย...คนอะไรหน้าดำ โจรหน้าดำ โจรหน้าดำ’

หลังจากนั้นเสียงหัวเราะและคำล้อ ‘โจรหน้าดำ’ ก็ดังก้องต้อนรับสมาชิกใหม่ไปทั่วสนามเด็กเล่น

 

ดวงจันทร์วันนี้สีซีดสลัว มันลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือแถบหลังคาบ้านหลังเล็กที่ตั้งเรียงติดกันจนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่าง แม้ที่นี่จะเป็นชุมชนกลางเมืองกรุง แต่มันก็มืดสลัวเพราะขาดสาธารณูปโภคที่ควรมีทั่วถึงอย่างไฟฟ้า ส่วนไฟตามบ้านเรือนก็ดับหมดแล้วตามนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบล่วงเข้าวันใหม่ ตามถนนทางเดินจึงเหลือเพียงแสงสีซีดของดวงจันทร์ที่ส่องต้องหลังคาสังกะสีระเกะระกะ ผนังไม้โย้เย้ปะปุ ความสลัวนี้ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูเก่าซอมซ่อ ไม่น่าดูอย่างที่สุด

ทางเดินปูนแคบๆ รกไปด้วยเศษขยะจากฝีมือของหนูผีตัวเกือบเท่าแมวที่ออกหาอาหาร ลากขยะมากัดเล่นเป็นที่สนุกสนาน ครอบครัวแมลงสาบนับร้อยนับพันตัววิ่งสวนสนามอยู่บนถนนในซอยที่ตัดคู่ไปกับคลองเล็กที่มีน้ำสีดำสนิทส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งผ่ากลางชุมชน แบ่งบ้านเรือนแออัดเป็นสองฝั่ง แต่ละฝั่งมีสะพานไม้โค้งสีดำโงนเงนผุพังเชื่อมกันเป็นระยะๆ โดยสะพานใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ด้านหน้าติดกับถนนใหญ่ ป้ายสีฟ้าที่อดีตคงเคยเป็นสีฟ้าสดใส บัดนี้เหลือเพียงสีซีดถลอกจนเห็นเนื้อไม้ผุๆ ตัวอักษรสีหม่นตามกาลเวลาเขียนเอาไว้ว่า

ชุมชนสะพานดำ/

ชุมชนที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงฝั่งนี้

ด้วยความที่ผู้คนในที่แห่งนี้ล้วนใช้ชีวิตหาเช้ากินค่ำ ต้องตื่นมาทำงานหนักแต่เช้า กว่าจะเข้าบ้านก็ค่ำ และรีบพักผ่อนเพื่อตื่นไปทำงานต่อ จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเงียบสงัดในยามดึกเช่นนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องปกติของย่านตึกแถวท้ายชุมชน แม้จะเป็นเพียงตึกแถวไม่กี่ห้องและไม่ได้ติดถนนใหญ่หรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางใดๆ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าย่านนี้ไม่เคยหลับใหล มันยิ่งจะครึกครื้นมากขึ้นตามเวลาของคืนที่ผ่านพ้นด้วยแสงสีและสิ่งของมึนเมาสารพัดอย่างเท่าที่จะหาได้ 

ณ ห้องวีไอพีของร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดในย่าน บรรยากาศกำลังสนุกสนานด้วยท่วงทำนองดนตรีแสนเร้าอารมณ์ ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โซฟากลางห้อง เขาไว้ผมทรงสกินเฮด ใบหน้าโดดเด่นด้วยรอยสักกรงเล็บเสือพาดที่สองแก้ม ยังไม่นับอีกหลายรอยที่เลื้อยไปตามตัว สองแก้มของเขาเริ่มแดงก่ำจากฤทธิ์เครื่องดื่มที่ถูกบริการถึงปากไม่หยุดจากสาวๆ ที่รายล้อม ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย ยิ่งเสียงเชียร์เสียงชมนั้นถูกใจมากเท่าไร ความไวในการกระดกเครื่องดื่มเข้าปากก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

“เครื่องดื่มที่สั่งได้แล้วค่าพี่ชาติ”

ดวงตาที่หยาดเยิ้มเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จับจ้องเจ้าของเสียงสดใส ไล่มองตั้งแต่เรียวขาเล็กไปจนถึงเอวคอดและเกาะอกสีดำมันปลาบด้วยนัยน์ตาวาววับ ถึงแม้จะตัวเล็ก แต่ก็ดูฟิตไปทุกสัดส่วนกำลังพอดีมือ ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ถูกส่งมาให้ในวันนี้ ที่ชอบที่สุดคือมองหน้าแล้วเห็นว่าเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลอง จึงรีบกวักมือเรียกอย่างถูกใจ

“เด็กเจ๊หมวยลอตนี้นี่ใหม่ๆ สดๆ ทั้งนั้นเลยโว้ย” เขายิ้มกับตัวเองอย่างพึงใจ “มาใหม่เหรอเราน่ะ”

“มาใหม่ แต่ประสบการณ์ไม่ใหม่นะคะ”

ท่าทางอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ดูจริตจะก้านเยอะแยะน่ารำคาญเหมือนที่เคยเห็นมา บวกกับคำตอบโต้แบบทันกันนั้นยิ่งทำให้ถูกใจ รีบตบที่นั่งข้างๆ ตัว

“มานี่มา มานั่งข้างๆ พี่มาน้อง”

ชาติขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าร่างนั้นยังไม่ขยับเขยื้อนหลังจากถูกเรียก กลับมีท่าทางอิดออด 

“หนูก็อยากไปนั่งนะคะพี่ แต่ว่ามัน...”

“ทำไมล่ะ มีอะไร” 

“มันมีไอ้นั่นน่ะ” 

ปากเล็กจีบปากจีบคอ บุ้ยใบ้ไปที่ข้างเอวชายหนุ่มที่มีซองหนังสีดำห้อยติดอยู่กับเข็มขัด ด้านปลายนั้นเรียวยาวเป็นทรงกระบอก ส่วนด้ามเป็นทรงโค้งสีดำสนิทสำหรับเป็นที่จับ แค่มองก็พอจะรู้ว่ามันคือซองสำหรับใส่อะไร พอชี้ไปแล้วเจ้าตัวก็รีบส่ายหน้า 

“ถ้าเกิดหนูไปนั่งแล้วมันตูมตามขึ้นมา หนูก็แย่สิพี่ พี่ช่วยเอามันออกไปห่างๆ ก่อนได้มั้ย”

มือจับซองปืนข้างตัว ตอนแรกเหมือนจะไม่แน่ใจ แต่เมื่อโดนดวงตากลมโตแสนหยาดเยิ้มของของเล่นชิ้นใหม่ที่ตัวเองอยากได้มาเล่นเหลือเกินเว้าวอน เขาก็ตัดใจดึงมันออกแล้วโยนโครมลงไปบนโต๊ะข้างหน้า 

เมื่อปืนกระบอกนั้นออกไปจากตัว แม่สาวตัวเล็กก็ฉุยฉายมานั่งแหมะลงข้างๆ แต่ยังไม่ทันได้โอบหรือจับให้ชื่นใจ เจ้าตัวก็ยกแก้วขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม

“ลองเครื่องดื่มใหม่ของหนูก่อนนะคะ ตัวนี้หนูผสมมาเพื่อพี่ชาติคนเดียวเลยน้า ถ้าหมดแก้วจะมีรางวัลให้ด้วย”

ใจของชายหนุ่มวัยกลัดมันพองโตกับท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูออกว่าเล่นตัว แต่สำหรับเขา ยิ่งเห็นว่ายิ่งยากก็ยิ่งอยากได้ 

“สัญญากับพี่น้า ว่าถ้าหมดแก้วนี้จะยอมให้หอม”

หลังจากกระดกรวดเดียวหมด ชาติก็ยื่นหน้าเข้าไปหมายจะขยี้พวงแก้มหอมๆ นั้นให้ช้ำไปข้าง แต่ยังไม่ทันถึงแก้มขาวนุ่ม ปากนั้นก็จูบเต็มรักเข้ากับเนื้อแก้วแข็งโป๊กที่ถูกยกพรวดขึ้นมากั้นเสียก่อน

“อ๊ะ! อย่าเป็นคนขี้โกหกสิ ยังไม่หมดแก้วเลย” เสียงคนตอบหวานย้อย ขยับตัวเข้าไปรินน้ำสีอำพันลงในแก้วเพิ่มพร้อมคำหยอดที่ทำให้เลือดชายหนุ่มมันร้อนจนแทบคลั่ง “ถ้าหมดแก้วนี้จะให้ทำมากกว่าหอมแก้มอีก”

เจ้าของดวงตากลมโตใสเหมือนลูกแก้วแวววาวกะพริบตาปริบๆ ก่อนยิ้มหวาน ทำเอาชายหนุ่มถูกอกถูกใจอย่างแรง เครื่องดื่มถูกรินรดลงในคอราวกับน้ำเปล่าด้วยมือของสาวเสิร์ฟคนสวย แต่ยังไม่ทันหมดแก้ว เสียงเปิดประตูปึงปังก็ดังขัดบรรยากาศความสำราญทั้งหมด

เบื้องหลังบานประตูคือสีหน้าตื่นตูมของลูกน้องที่เขาสั่งให้ไปเฝ้าต้นทางไว้ระหว่างที่เขาหาความสำราญที่นี่ เสียงรายงานละล่ำละลักตามมาแบบเร่งด่วน

“พี่ชาติ! ตำรวจ! ตำรวจมันแห่กันมาจากไหนก็ไม่รู้พี่! ล้อมไว้ทั้งตึกแล้ว”

แก้วในมือถูกเขวี้ยงลงพื้นดังเพล้ง!

“บัดซบ!” ชาติสบถ รีบผุดลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง แง้มม่านดูก็เห็นเป็นจริงอย่างที่ลูกน้องบอก

“มันต้องตามมารวบเราแน่ๆ เลยพี่”

นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มสงสัย พวกตำรวจคงไม่ได้จะตามมาท่องราตรีกับเขาแน่ๆ ตำรวจกับคนทำอาชีพค้าของผิดกฎหมายอย่างเขานั้นเป็นคู่ปรับกันมานาน แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่าคือ

“มันรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่”

สายตาเหี้ยมเกรียมของพ่อค้ายาเสพติดและนักโทษแหกคุกตามหมายจับของตำรวจมองกวาดไปรอบๆ นอกจากลูกน้องคนสนิททั้งสองคนที่ไม่มีทางคายข้อมูลให้ตำรวจ ในห้องนี้ก็มีแต่เหล่าสาวๆ ที่นั่งอยู่บนโซฟา

“พวกมึง! ใครเป็นสายให้ตำรวจ บอกกูมาเดี๋ยวนี้”

ความโกลาหลเกิดขึ้นทันใด เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังลั่นห้อง ผู้หญิงสี่ห้าคนปิดหูปิดตาขวัญเสียไปรวมกลุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เมื่อมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยสักคว้าปืนที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือพร้อมเล็งกราดไปยังกลุ่มหญิงสาวในระยะประชิด แววตาโหดเหี้ยมและกิตติศัพท์อันเลื่องชื่อทำให้รู้ว่าไม่ใช่แค่การขู่แน่ๆ

“ดะ...เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนพี่ชาติขา” หญิงสาวตากลมโตดูจะเป็นคนที่ได้สติและกล้าพูดที่สุดในกลุ่ม เธอพยายามโบกไม้โบกมือห้ามปืนที่จ่อเข้ามาพร้อมอธิบาย “พวกหนูไม่รู้เรื่องเลย เจ๊หมวยให้พวกหนูมาดูแลพี่ พวกหนูก็มาตามคำสั่ง แล้วพวกหนูจะไปเป็นสายตำรวจได้ยังไง”

“กูไม่เชื่อ! ถ้าไม่ใช่พวกมึงแล้วจะเป็นใคร” ชาติตะโกน มือแตะไกพร้อมยิง “ถ้ามึงไม่พูด กูจะยิงทิ้งทีละคนตรงนี้นี่แหละ”

ชาติตวาด กระบอกปืนส่ายกราดเหมือนคนเสียสติ เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจนั้นยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งให้เขา 

“อย่ายิง อย่ายิงพี่” หญิงสาวคนเดิมรีบละล่ำละลัก “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวหนูช่วยพี่หนี เอามั้ย แต่พี่ต้องสัญญาว่าห้ามยิงพวกหนูนะ”

ตอนแรกเขาคิดว่าหูฝาดที่ได้ยินข้อเสนอนั้น แววตาของนักโทษหนีคดีไม่เคยเชื่อใจใคร มันหรี่ตามองร่างเล็กๆ กับข้อเสนอที่ดูเกินตัวนั่น แต่ด้วยท่าทางมั่นใจของเจ้าหล่อนและภาพของตำรวจที่เข้ามาล้อมจนจวนตัวทำให้เขาต้องหยุดฟัง

“พี่ปล่อยคนอื่นไปแล้วจับหนูเป็นตัวประกัน แล้วเอาหนูไปขู่ตำรวจ อย่างน้อยถ้ามีหนูอยู่ ตำรวจไม่กล้ายิงพี่แน่ๆ แล้วพอได้จังหวะหนี พี่ก็รีบไปเลย”

เจ้าของเสียงเล็กๆ ยื่นข้อเสนอพร้อมกับรีบพยักหน้า 

“ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้นะพี่ อย่างน้อยได้ลองหนีก็ยังดีกว่าโดนยิงตายอยู่ที่นี่นะพี่” เธอว่าพร้อมให้คำเชื่อมั่น “เชื่อหนูสิ หนูไม่หลอกพี่หรอก”

 

ปึง!

เสียงเปิดประตูไม้กระแทกผนังดังปึง พร้อมกับสองร่างที่ก้าวออกมาจากห้องอย่างทุลักทุเล ร่างยักษ์ของชาติ นักโทษหนีคดียาเสพติดล็อกคอตัวประกันสาวที่ตัวเล็กแสนบอบบางจนกลัวว่าร่างนั้นจะหักคาแขนใหญ่เสียให้ได้

“ถ้ามึงยิง อีนี่ตาย”

ราวกับฉากในละครที่ตำรวจนับสิบยืนถือปืนพร้อมไฟฉายที่ลำแสงส่องไปยังสองร่างที่ค่อยๆ ขยับออกมาจากตึก ไม่มีใครกล้าไว้ใจนักโทษหนีคดีที่กำลังถือปืนจ่อขมับตัวประกันสาว ทุกสิ่งจึงตกอยู่ในความเงียบจนแทบจะหยุดหายใจ

“พี่ ตำรวจเยอะขนาดนี้ พี่ยอมมอบตัวดีกว่ามั้ย ไม่น่าจะหนีรอดแน่ๆ เลย” 

จะว่าไปมันก็ไม่เงียบเสียทีเดียว เพราะตลอดเวลาที่เดินออกมาจากตึก เสียงจากตัวประกันร่างเล็กก็ยังดังแทรกมาเรื่อยๆ 

“หุบปาก” ชาติเริ่มหงุดหงิด “ถ้าวันนี้กูไม่รอด มึงก็ไม่รอดด้วย”

“หนูพูดจริงนะพี่ ตำรวจสมัยนี้เขาเก่งมาก แถมยกมาทั้งกองทัพอย่างนี้ ถ้าพี่ไม่ยอมติดคุก พี่ได้หัวพรุนแน่ๆ”

หญิงสาวย้ำเมื่อได้เห็นกำลังตำรวจ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนที่เป็นถึงนักโทษแหกคุกพ่วงคดีอุกฉกรรจ์นับสิบอย่างชาติต้องการได้ยิน ดวงตาเหี้ยมเกรียมราวกับสัตว์ป่าจ้องศัตรูคู่อาฆาตไม่วางตา มันกระซิบตอบหญิงสาวเสียงแข็ง

“กูบอกให้หุบปาก ถ้าไม่หุบปากกูจะยิงมึงทิ้งตอนนี้นี่แหละ”

ปากบางยังไม่ยอมหยุดขยับ “หนูเตือนแล้วนะพี่ คดีพี่อย่างน้อยก็ติดคุกตลอดชีวิต ดีกว่าโดนยิงตายนะพี่”

“อีนี่! พูดมากจริงโว้ย”

ปืนกระบอกเดิมถูกกดแนบขมับพร้อมกับอารมณ์คนถือที่โมโหปรี๊ด คำพูดนั้นราวกับสารเร่งปฏิกิริยาให้ตัดสินใจเหนี่ยวไกได้โดยไม่ลังเล

แกร๊ก!

เสียงนกสับดังลั่นหู แต่มันสับลงบนรังเพลิงเปล่า!

ไม่มีทาง! ชาติเบิกตากว้าง ตลอดชีวิตอาชญากรของเขานั้น ถ้าปล่อยให้ปืนไร้กระสุนก็เหมือนเอาขาก้าวเข้าคุกไปหนึ่งข้าง ดังนั้นอาวุธจะเป็นสิ่งที่เขาเตรียมพร้อมเสมอ 

แต่ทำไมวันนี้ปืนถึงไม่มีกระสุน

“ก็บอกแล้วว่าหนูเตือนแล้วนะพี่”

เสียงแสนเบื่อหน่ายบ่นลอยๆ ดวงตาคู่ที่เคยยั่วยวนเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ก่อนที่มือเล็กจะตบปืนไร้กระสุนที่ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กออกไปจากหัว คว้าข้อมือใหญ่และจับมันพลิกอย่างง่ายดาย ด้วยความที่คนตัวใหญ่กว่าไม่ได้ตั้งตัวจึงถูกบิดข้อมือแทบหัก ก่อนจะถูกเหวี่ยงลงหน้ากระแทกพื้น หญิงสาวบิดมือไพล่หลังและล็อกคอไว้ด้วยท่ายิวยิตสูแบบคนที่ฝึกขั้นสูงมาแล้ว

“ถ้าแกดิ้น ฉันหักคอแกทิ้งแน่!”

“อีตัวแสบ! มึงหลอกกู” ชาติกัดฟันกรอด แต่ยิ่งสบถด่าเท่าไร ร่างเล็กที่คร่อมอยู่ข้างบนก็ยิ่งใช้เข่ากดให้หน้านั้นแนบไปกับพื้นจนเสียงก่นด่าอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์

คนที่เคยพูดจาหนักแน่นว่าจะไม่หลอกยิ้มเหี้ยมเกรียม ยิ่งฟังเสียงของคนชั่วที่ไม่ได้สำนึกผิดใดๆ เข่านั้นก็ยิ่งเพิ่มแรงกดจนมือใหญ่โตดิ้นพล่านเพื่อจะร้องขอชีวิต แต่ก็ไร้ซึ่งความปรานีอีกต่อไป

“ปากแบบนี้ไม่ต้องแก่ตายในคุกหรอกแก” 

“อย่า! หมวดจันทร์ เราจะจับเป็น”

เหตุการณ์จากที่วุ่นวายอยู่แล้วกลายเป็นชุลมุนเพิ่มอีกหลายเท่า เมื่อตัวประกันสาวสลับบทบาทกลายเป็นจะทำร้ายร่างกายคนร้ายแทน เหล่าตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจึงรีบกรูเข้ามาที่ทั้งสองร่าง แต่ไม่ใช่เพื่อเป็นกำลังเสริมหรือช่วยเหลือตำรวจสาวในคราบสาวไซด์ไลน์ แต่เป็นการช่วยหัวหน้าแก๊งค้ายาร่างยักษ์ที่โดนกดทับหน้าทิ่มพื้นจนกำลังจะหายใจไม่ได้ต่างหาก

แทนจันทร์สะบัดตัวออกจากหลายมือที่ช่วยกันทั้งดึงทั้งอุ้มเธอออกมาจากผู้ต้องหา หน้าสวยบึ้งตึงด้วยความโมโห ถ้าไม่ติดว่ามีคนห้าม เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องจัดการไอ้ยักษ์นี่ให้หมอบคามือให้ได้

“คุณทำบ้าอะไรแทนจันทร์! ทำไมถึงไม่ทำตามแผนที่เราวางไว้”

หญิงสาวหันกลับไปตามเสียงเรียกที่กระโชกแสบหู ต้องยอมปล่อยให้หน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นของตำรวจนายอื่นที่กำลังรุมเข้าไปหาชาติ พอหันไปก็เจอหน้ากับหมวดสิงห์คู่ปรับที่ยืนจ้องเธอตาเขียว

“ก็แล้วใครใช้ให้หมวดเอาคนบุกมาโดยไม่รอสัญญาณฉันก่อน” แทนจันทร์ย้อนอย่างไว “ถ้าจะขนกันมาทั้งทีมขนาดนี้ ฉันว่าหมวดเอาโทรโข่งมาประกาศด้วยเลยก็น่าจะดีนะ”

“ผม...”

ยังไม่ทันที่หมวดสิงห์จะได้พูดต่อ เสียงปืนดังลั่นก็กลบเสียงสนทนาทั้งหมด แม้จะไม่ได้ตั้งตัว แต่ตำรวจทั้งสองก็ก้มหัวลงตามสัญชาตญาณที่ได้รับการฝึกมา จนเมื่อสิ้นเสียงปืน สิ่งแรกที่แทนจันทร์ทำคือหันขวับไปยังต้นเสียงที่ดังมาจากมุมมืดของซอกตึก ก่อนจะหันไปยังปลายเสียงที่ไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิด

กลุ่มตำรวจที่ตอนแรกควบคุมสถานการณ์ได้ดีและกำลังเริ่มเคลื่อนย้ายคนร้ายออกจากพื้นที่ บัดนี้แตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง มีช่องว่างให้ชาติได้ผุดลุกขึ้นยืน มันถีบนายตำรวจที่ยืนอยู่ใกล้สุดหงายท้อง ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงมหาศาลผลักอีกคนกระเด็นและกระโดดแผล็วออกจากวงล้อมของตำรวจ ใส่เกียร์วิ่งหนีเข้าไปในซอยมืดข้างๆ

“จับมัน!”

ความโกลาหลกลับเข้ามาอีกครั้ง ณ ห้องแถวท้ายซอยชุมชนสะพานดำ ตำรวจกระจายตัวกันอย่างรวดเร็ว มุ่งไปยังซอยที่ตรงไปยังห้องแถวด้านหลัง สภาพตึกข้างหน้าก็ว่าไม่ได้ดูดีแล้ว ข้างหลังนั้นดูแย่คูณไปสิบเท่า มันเป็นตึกเก่าแสนทรุดโทรม เต็มไปด้วยมุมอับ ตรอก ซอก ซอย บางห้องมีผู้อาศัยแต่ก็ปิดสนิทยามค่ำคืน แต่ส่วนมากจะปล่อยรกร้างเต็มไปด้วยกองขยะ เฟอร์นิเจอร์ผุพัง ประตูหน้าต่างกระจกแตกยับเยิน ทุกที่เต็มไปด้วยมุมอับที่เหมาะแก่การซ่อนตัวและหลบหนีเป็นที่สุด 

“โธ่เว้ย!” 

แทนจันทร์กัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น เจ็บใจตัวเองที่อุตส่าห์จับตัวมันมาได้แล้วแท้ๆ แต่กลับประมาทเรื่องลูกน้องอีกสองคนของชาติ เพราะไม่คิดว่ามันจะใจกล้าวกกลับมาช่วยลูกพี่ สัญชาตญาณของตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติดที่ทำหน้าที่นี้มาตลอดอายุการทำงานทำให้เธอไล่มองหาไปตามสภาพแวดล้อมหดหู่รอบๆ แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่า ทั้งที่มั่นใจว่าเพิ่งวิ่งตามหลังมันมาแท้ๆ 

“เดี๋ยวเราแยกกันหาดีกว่า” เธอหันไปกล่าวกับเพื่อนตำรวจอีกสี่ห้าคน

ตำรวจทุกนายในวันนี้ล้วนแต่เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมจากกองปราบปรามยาเสพติดที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วอย่างดี จึงไม่มีใครต้องเป็นห่วงใคร ทุกคนพยักหน้าเข้าใจก่อนจะแยกย้ายไปคนละทาง

แทนจันทร์เลือกเดินอ้อมมาทางด้านหลังตึก ยิ่งทำให้เห็นว่ามันเป็นพื้นที่เสื่อมโทรมที่เหมาะจะเป็นที่ซ่องสุมของสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิดที่สุด ไม่แปลกใจว่าทำไมชาติถึงเลือกที่นี่เป็นที่กระจายยาเสพติดจนทำให้มันระบาดทั่วชุมชนสะพานดำ ด้วยความที่เป็นชุมชนแออัด ทำให้การเข้าถึงพื้นที่เป็นไปได้ยาก ประกอบกับอิทธิพลมืดที่ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้ก็ยิ่งเพิ่มความยากสำหรับทีมตำรวจที่จะเข้ามาจัดการ 

เจ้าของฝีเท้าเล็กก้าวย่างไปในความเงียบ มือสองข้างกระชับปืนพกกระบอกใหม่ แม้จะอยู่ในสถานการณ์กดดัน แต่สัญชาตญาณบวกกับประสบการณ์การทำงานสายงานนี้มานับสิบปีทำให้ร่างเล็กค่อยๆ ขยับไปอย่างมั่นคง แต่ละย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยสติ

แกรก...

หันขวับไปทางซ้ายที่มีซากลังผุพังกองสูงท่วมหัว แต่จากเงาตะคุ่มของแสงไฟที่ติดๆ ดับๆ ก็ทำให้รู้ว่ามันเป็นแค่เสียงของหนูผีตัวเท่าแมวที่ตกใจกับการรุกล้ำถิ่นจากมนุษย์ ลมพัดโชยเอากลิ่นเหม็นจากน้ำเน่าและกลิ่นอับเปียกของกองขยะมา ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมดูเป็นพิษอย่างที่สุด

เหม็นอย่างกับอะไรเน่าตาย! หญิงสาวย่นจมูกพลางคิด

ก่อนจะสุดมุมตึก ประสาทสัมผัสทุกส่วนทำงานเต็มที่ เมื่อเหลือบตามองซากกระจกแตกบานใหญ่ที่ตั้งพิงกำแพงไว้ ก็สังเกตเห็นเงาผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนกลับมารางๆ หูเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าและจับได้ชัดเจนว่าเขากำลังเดินสวนมาทางนี้ แต่แทนจันทร์ไม่เร่งฝีเท้า ไม่ตื่นตกใจ ยังคงทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จริงๆ แล้วสมองของตำรวจสาวผู้ผ่านคดีบ้าดีเดือดระดับประเทศมาแล้วนับร้อยคดีกำลังเริ่มคิดวางแผนตามประสาคนที่ถนัดเป็นผู้ล่ามากกว่าผู้ถูกล่า

หญิงสาวก้าวด้วยฝีเท้ามั่นคง ระวังตัวเต็มที่ ก่อนจะอาศัยความมืดพรางตัวหายเข้าไปในซอกตึกข้างตัวภายในพริบตา

ตัวแนบอยู่กับผนังปูนเย็นชืด พยายามบังคับลมหายใจแรงให้เบาลงที่สุดอย่างผู้ล่าที่เฝ้ารอเหยื่อ ยืนนิ่งรออยู่สักพักก็เป็นไปตามแผน เมื่อเห็นร่างใหญ่หนาเดินเลยตรอกที่เธอซ่อนตัวอยู่ไปอย่างไม่ผิดสังเกตใดๆ หญิงสาวก็ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูก่อนเตรียมขยับเท้า เริ่มทำหน้าที่ผู้ล่าทันที

กรงเล็บของผู้ล่ากางออก แต่ยังไม่ทันตะปบ ขาก็ต้องชะงัก เมื่อจู่ๆ เห็นเงาผู้ชายอีกคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาราวกับโผล่มาจากอากาศ เธอมองไม่เห็นจริงๆ ว่าเขาโผล่ออกมาจากไหน เมื่อไร เห็นอีกทีก็เมื่อเขาก้าวเข้าไปประชิดตัวชาติแล้ว

ใครกัน...

แม้ภาพตรงหน้าจะมืด แต่ก็เห็นชัดเจนว่าทั้งคู่กำลังเริ่มต่อสู้กัน ร่างที่เห็นในกระจกทีแรกนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นชาติ เพราะตัวใหญ่โตและตัดผมสกินเฮดสั้นเกรียน ส่วนชายปริศนาที่ตามมาทีหลังนั้นสูงโปร่ง ดูจากท่าทางการต่อสู้แล้ว ดีกรีนักโทษแหกคุกคดีค้ายาเสพติดระดับชาติทำให้ชาติดูคล่องแคล่วกว่าเยอะ มันปล่อยหมัดถี่ยิบหลายกระบวนท่า แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือเป็นทักษะการหลบหลีกชั้นดีเยี่ยม ทำให้ร่างสูงโปร่งยังยืนแกร่งอยู่ได้ เขาดูไม่สะทกสะท้านกับหมัดหนักๆ นั้นสักนิด 

แทนจันทร์นิ่ง สองขาไม่ก้าวออกไปเพราะรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแน่ๆ ผู้ชายคนนั้นดูไม่คุ้นตาเลย เขาไม่ใช่ตำรวจในทีมเธอแน่นอน เพราะไม่มีใครที่สูงและตัวแบบบางขนาดนั้น สมองรีบประมวลผลต่อว่า แล้วถ้าเขาไม่ใช่ตำรวจ เขาเข้ามาขัดขวางการหนีของชาติเพื่ออะไร 

หรือว่าเขาจะเป็นอริหรือศัตรูที่รอซ้ำชาติอยู่

เสียงเอะอะโวยวายของคนทั้งสองดังขึ้น ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรชาติก็ไม่สามารถทำอะไรอีกคนได้ ทั้งที่จากที่ยืนดู ชายหนุ่มแปลกหน้าก็แค่ยืนนิ่งๆ อยู่ห่างๆ แทนจันทร์พยายามชะเง้อมองตามจนมันไล่ต้อนชายหนุ่มหายเข้าไปหลังกำแพงอีกฝั่ง เธอจึงมองไม่เห็นชายหนุ่มปริศนาคนนั้นอีกเพราะกำแพงบังหมด เห็นไกลๆ แต่เพียงว่าชาติคว้าบางอย่างออกมาจากข้างเอว จากการจับเดาได้ไม่ยากว่าเป็นปืนสั้นกระบอกเล็กที่น่าจะหยิบมาจากตำรวจคนไหนตอนชุลมุนอยู่เป็นแน่ และไม่รอช้า มันวาดปืนไปที่เป้าหมายด้านหน้าก่อนลั่นไกเสียงกึกก้อง

แม้แต่คนที่คุ้นกับเสียงปืนก็ยังสะดุ้งเฮือก เพราะไม่คิดว่าจะมีการกระทำที่อุกอาจแบบนี้!

ไม่มีเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงร้องลั่นด้วยความตกใจแทน แทนจันทร์ลืมตัวก้าวพรวดออกไปจากมุมมืด ทันเห็นผู้ลั่นไกร้องเสียงหลง กระโดดถอยออกมาจากตำแหน่งที่ยืนด้วยความตกใจสุดขีด ปืนในมือตกพื้น ชาติเบิกตาโพลงคล้ายตกใจอะไรบางอย่างตรงหน้า ก่อนจะวิ่งสวนมายังทางที่เธอซ่อนอยู่ แต่เพราะวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตจึงทำให้สะดุดขาตัวเอง เงยหน้ามาอีกทีก็สะดุดของที่วางกองระเกะระกะ สุดท้ายล้มลุกคลุกคลานไปต่อไม่ได้ ได้แต่ลงไปนอนหงายแอ้งแม้ง แหกปากโวยวายในความเงียบ

“ผีหลอก! ผีหลอก!”

แทนจันทร์วิ่งเข้าไปจนถึงร่างที่นอนปิดหูปิดตาตัวสั่นเทาอยู่ แม้ชาติจะมองเห็นเธอแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหนี กลับลืมตาโพลง ลุกขึ้นมาได้ก็พนมมือไหว้ท่วมหัว นั่งสวดมนต์ลนลานราวกับกลัวอะไรบางอย่าง พูดพร่ำเพ้อจับความไม่ได้ หญิงสาวไม่ได้สนใจอาการเสียสตินั้นแม้แต่น้อย ใจเธอพะวงอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้เป็นตายอย่างไร จึงรีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุหลังกำแพง และเมื่อมาถึงก็พบกับ...

ความว่างเปล่า

ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความว่างเปล่าตรงหน้าทำให้เธอประหลาดใจสุดขีดจนถึงกับต้องขยี้ตาเพื่อเช็กสายตาตัวเอง แต่ภาพตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากความว่างเปล่าก็มีแต่ความเงียบ ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไฟฉาย ส่องไปที่พื้นอย่างละเอียด คาดว่าจะได้พบร่างใครสักคนนอนอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เห็นว่าเขาโดนตามยิงระยะใกล้ขนาดนั้น ไม่มีทางที่ผู้ชายคนนั้นจะหนีรอดไปได้ 

แต่มันกลับไม่มี ไม่มีแม้แต่รอยเลือด รอยล้ม หรือรอยวิ่ง!

ขนแขนลุกชันเมื่อนึกถึงคำพูดโวยวายเมื่อครู่ของชาติ

“ผีหลอก...” คำนั้นทำให้หมวดสาวประจำชุดปราบปรามยาเสพติดขยับเท้าถอย รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มวังเวงและเย็นยะเยือกขึ้นมา “บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว”

ถ้าคนร้ายเป็นร้อยคนคิดจะมาทำร้ายเธอ หญิงสาวไม่มีวันกลัวเลยเพราะจับอัดได้หมด แต่กับสิ่งเหนือธรรมชาตินี่ผู้หมวดแทนจันทร์คนเก่งไม่ขอยุ่งด้วย แม้จะเป็นแค่การกล่าวถึงก็ตามที

“หมวดจันทร์! ยืนทำอะไรอยู่ รีบจับตัวไอ้ชาติไว้สิ”

เสียงฝีเท้าของเพื่อนตำรวจหลายคนที่คงตามมาทันจากเสียงปืนทำให้แทนจันทร์ได้สติ จำต้องละสายตาจากพื้นที่ว่างเปล่ากลับไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ขนแขนยังลุกชันไม่หาย ความสงสัยติดอยู่ในใจตลอดเวลา

สิ่งเธอเห็นคืออะไรกันแน่


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น