บทที่ ๔
พัง...พังไม่เหลือชิ้นดี
คำว่า ‘พัง’ ก็คืออนาคต อาชีพ หน้าที่การงานของเธอ
ผู้หมวดแทนจันทร์คอตกออกมาจากตึกสำนักงานกองปราบปราม เดินเตะฝุ่นไปเรื่อยเปื่อย เตะฝุ่นในที่นี้ไม่ได้หมายถึงฝุ่นตามถนน แต่มันคือสำนวนที่แปลว่าว่างงานและต้องออกมาวิจัยฝุ่นเล่น เพราะเธอเพิ่งเข้าไปรับคำสั่งจากเบื้องบนที่สั่งตรงลงมาถึงผู้กองจิณณ์เมื่อครู่
‘ผมคงต้องมีคำสั่งให้พักงานคุณชั่วคราว’
คำพูดของผู้กองจิณณ์ยังดังก้องอยู่ในหัว และมันก็เป็นคำสั่งที่เธอไม่ต้องถามหาเหตุผล
ส่วนคำว่า ‘ไม่เหลือชิ้นดี’ ก็เห็นจะเป็นเศษหน้าของตัวเองที่แตกละเอียดจนไม่ต้องคิดจะเก็บมาประกอบใหม่ สาบานว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจออะไรน่าอายเท่านี้มาก่อนจริงๆ
ชีวิตเธอต้องมาถึงจุดที่พังพินาศก็เพราะคนคนเดียว
ไม่ใช่สิ เพราะผีบ้าตัวเดียว!
และก็ไอ้คนที่หน้าเหมือนผีบ้านั่นด้วย!
แม้อาจจะไม่ใช่ผี แต่นิสัยน่ากลัวยิ่งกว่าผี แม้เธอจะพยายามขอโทษขอโพยเขาแล้วจากใจจริงที่ก่อเรื่องวุ่นวายเพราะเกิดจากความเข้าใจผิด สีหน้าเรียบๆ นั้นเหมือนไม่เอาเรื่อง แต่แววตาแสนดูแคลนมองเธอราวกับเธอเป็นตัวตลกไร้สาระ ท่าทางเย่อหยิ่งเฉยชาของเขาเหมือนจะเหยียบให้เธอจมดินลงไปตรงนั้น และสุดท้ายลงเอยด้วยการที่เธอปลิวออกจากงานเหมือนโดนเตะโด่ง ด้วยเหตุผลเดียวคือ เขาคือดอกเตอร์เจ้าของศูนย์วิจัยระดับประเทศ และเธอคือตำรวจชั้นผู้น้อย
คนอะไร ไม่น่าคบหา ไม่น่ารู้จัก ผียังดูน่ากลัวน้อยกว่าเลย
แทนจันทร์กุมขมับ คิดถึงอนาคตอันสิ้นหวังของตัวเองแล้วอยากเอาหัวโขกพื้น ตอนแรกก็รู้สึกแย่อยู่แล้วที่โดนย้ายไม่ให้ดูคดีชุมชนสะพานดำ แต่ตอนนี้คำสั่งพักงานทำให้เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มใส่หน้า เพราะมันหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไรเธอก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้แล้ว
ผู้หมวดสาวกระโดดขยี้พื้นตรงหน้าแก้เซ็ง ยิ่งนึกว่ามีใบหน้าเย่อหยิ่งนั้นอยู่ที่พื้นก็ยิ่งอยากกระทืบซ้ำให้จมดินเหมือนที่เขาทำกับเธอ ก่อนจะออกเดินต่อด้วยใจหงุดหงิด พลางชะเง้อหามอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อนั่งต่อไปยังร้านข้าวต้มโต้รุ่งใกล้ๆ ที่นัดกับบรรดาลูกน้องไว้
จริงๆ แล้วถนนหน้ากองปราบปรามเป็นถนนที่คนไม่นิยมเดินตอนกลางคืนนัก เพราะมันทั้งมืดและเปลี่ยว แต่แทนจันทร์เดินบ่อยจนชินตั้งแต่เข้าทำงานที่นี่ เพราะใช้ชีวิตอยู่แถวนี้หลายปี จึงรู้ว่าไม่ว่าจะเช้า กลางวัน หรือเย็น มันก็เงียบเหมือนกัน เธอจึงไม่เห็นความแตกต่างไม่ว่าจะเดินตอนไหน ด้วยความย่ามใจเพราะเป็นเจ้าถิ่นจึงทำให้เธอไม่เคยกลัวอะไรแถวนี้
เพิ่งจะมีระยะหลังและวันนี้ที่เจ้าถิ่นรู้สึกประหลาด จริงๆ อาการมันเริ่มตั้งแต่ที่เธอเจอผีตนนั้นในห้อง ประสาทสัมผัสหลายๆ ส่วนดูจะเพี้ยนไปหมด รวมถึงยังมีอาการหลอนที่ทำให้เข้าห้องก็รีบเปิดไฟ นอนก็เปิดโทรทัศน์ เปิดไฟจ้าทั้งคืน ถนนมืดก็เริ่มไม่กล้าเดิน แน่นอนว่าเธอไม่ได้กลัวคน แต่มันดันมีความรู้สึกเหมือนเธอไม่ได้อยู่คนเดียวแม้รอบตัวจะมองไม่เห็นมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น และเป็นอย่างนี้บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาดึกเช่นยามนี้
ตอนนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่พยายามไม่คิดมาก แต่ก็คล้ายกับว่ามีเสียงฝีเท้า มีสายตาจับจ้องทุกย่างก้าวของเธอตลอดเวลา ใจคอมันรู้สึกตุ๊มๆ ต้อมๆ ความว่างเปล่ารอบตัวดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น แทนจันทร์หันซ้ายหันขวาก็มีแต่ความมืดเคียงข้าง โดยเฉพาะความมืดตามหลืบตามมุมที่ดูราวกับมีฝีเท้าคืบคลานตามเธอมาตลอด
ลมยามดึกพัดผ่านหน้าเบาๆ จู่ๆ ก็ขนลุกเกรียวเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ โชยมา คล้ายกลิ่นน้ำหอมฝรั่ง กลิ่นละมุน หอมสะอาด เรียกได้ว่าเธอคงจะเหลียวหลังหากได้กลิ่นผู้ชายคนไหนฉีดน้ำหอมแบบนี้ แต่ประเด็นคือตอนนี้เธอเดินอยู่กลางซอยเปลี่ยวนี่คนเดียว ไม่มีผู้ชายหรือแม้แต่คนที่ไหนทั้งนั้น!
“เอาแล้ว เอาแล้วไอ้จันทร์” แทนจันทร์ก้มหน้างุด รีบจ้ำให้พ้นออกจากซอยเร็วที่สุด ตอนนี้กลิ่นนั้นไม่ได้มาแค่ตามลม ยิ่งเธอก้าวเร็วเท่าไรมันก็ยิ่งตามมาเหมือนอบอวลอยู่ข้างกายเธอ
ปี๊นนน!
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว หลับตาปี๋ แหกปากลั่นซอย
“อยากหลอกกันเลย ไม่เอาแล้ว! ไม่เอาแล้ว!”
“พี่! พี่!”
“หลอกอะไรพี่”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงคน จึงค่อยๆ ลืมตา แรกๆ ก็กะพริบตาเล็กน้อยเพราะกลัวโดนตาตัวเองหลอก จนกระทั่งเจ้าของเสียงแตรเมื่อครู่เปิดหมวกกันน็อกออกก่อนถามซ้ำอีกรอบ
“มอ’ไซค์มั้ยพี่ ปากซอยยี่สิบบาทเอง”
“ผมว่าพี่ควรไปหาหมอ”
“ฉันไม่ได้บ้านะโว้ยไอ้ต่อ”
แทนจันทร์ทุบโต๊ะดังปังจนถ้วย ชาม แก้วน้ำบนโต๊ะพลาสติกสั่นโคลงเคลง ต่อพงษ์คว้าถ้วยต้มยำกุ้งไว้อย่างแรก ด้วยกลัวว่าจะอดกินกุ้งตัวขาวในถ้วย
“ไอ้ต่อมันก็ไม่ได้ว่าหมวดบ้านะหมวด” จ่ายอด สมาชิกผู้ร่วมโต๊ะข้าวต้มโต้รุ่งอีกคนเข้ามาตะล่อมก่อนที่จะไม่เหลืออาหารมื้อเย็นให้กินวันนี้ “ไอ้ต่อมันหมายถึง หมวดอาจจะมีเรื่องเครียด ก็เลยคิดมาก”
“แต่วันนั้นฉันเล่าเรื่องจริงนะจ่า ผีใส่ชุดโรงพยาบาลมาหาฉันที่ห้องจริงๆ”
จ่ายอดผู้มีตำแหน่งน้อยสุด แต่วัยวุฒิมากสุดยกมือปรามหมวดรุ่นหลาน เพราะทำงานกันมานานจึงรู้ว่านิสัยแต่ละคนเป็นอย่างไร
“เอ้า! งั้นหลังจากนั้นที่หมวดบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนเดินตามตอนดึกๆ ได้กลิ่นน้ำหอมประหลาด แล้วผีมันได้มาหาหมวดอีกมั้ย เอาแบบมาเป็นตัวตนพูดคุยกันได้เหมือนที่หมวดเล่าน่ะ”
หมวดสาวเอียงคอนึกตามที่จ่ารุ่นพ่อถามก่อนจะส่ายหัวดิกๆ เพราะหลายวันที่ผ่านมา แม้จะรู้สึกว่าตนเจอเรื่องประหลาด แต่เธอก็ไม่เคยเจอผีตนนั้นมาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย
“นั่นไง!” จ่ายอดร้อง ได้ทีตบเข้าประเด็นที่ต้องการสื่อ “ก็หมายความว่าหมวดแค่รู้สึกหลอนไปเอง ไม่มีผีอะไรทั้งนั้น”
“เข็ดเถอะพี่” ต่อพงษ์ได้ทีเสริมเมื่อเห็นว่าลูกพี่มีท่าทีคล้อยตามที่จ่ายอดว่า “ตอนเจอดอกเตอร์วีร์ พี่ก็พิสูจน์จนตัวเองหน้าแหกมาแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่ใช่ผี เขาเป็นคนมีเนื้อมีหนังจริงๆ ผมว่าแค่นี้ก็พอแล้วมั้งพี่ เดี๋ยวหน้าพี่จะไม่มีให้แหกอีก”
แทนจันทร์เถียงไม่ออก พอนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลทีไรก็รู้สึกชาที่หน้าแหกๆ นี่ทุกที มันทำให้หญิงสาวเริ่มฉุกคิดตามคำพูดของเพื่อนร่วมงานทั้งสอง จนเป็นครั้งแรกที่เธอเริ่มสงสัยในตัวเอง
หรือเธอจะหลอนไปเองจริงๆ
“ตอนนี้นะพี่ สิ่งที่พี่ต้องคิดถึงไม่ใช่ผี ผีมันไม่ต้องกินข้าว แต่พี่น่ะต้องกินข้าว คราวนี้โดนพักงานแล้วจะไปหาเงินจากไหนใช้”
“จริงว่ะ” ใจถูกชักจูงอย่างง่ายดาย เรื่องผีกลายเป็นเรื่องเล็กไปทันทีเมื่อนึกถึงปากท้องที่รออยู่ตรงหน้า “แต่ผู้กองจิณณ์เขาสั่งเด็ดขาดเลยว่าเบื้องบนให้ฉันพักยาว แล้วฉันจะทำยังไงดี ไอ้ต่อ จ่ายอด”
เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องและรุ่นพ่อมองคอตกๆ ของหมวดสาวอย่างเห็นใจในสถานการณ์จนมุมของเธอ เพราะทำงานร่วมทีมคลี่คลายคดี ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมาหลายงาน จ่ายอดก็คุ้นเคยกับหมวดสาวเหมือนลูกหลาน ต่อพงษ์ก็ทั้งเคารพทั้งรักเธอเหมือนพี่สาวแท้ๆ
เป็นที่รู้กันดีว่า ถึงแม้แทนจันทร์จะเหมือนเป็นตัวแสบของทีมที่บางทีก็ทำให้หลายคนต้องปาดเหงื่อ แต่ทุกคนรู้ดีว่าจุดประสงค์ของความแสบนี้ก็เพื่อคนอื่นเสียส่วนมาก ยิ่งถ้าเห็นใครได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกเวลางาน แทนจันทร์เป็นต้องเข้าไปเสนอหน้าช่วยทั้งที่ตัวเองไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร แต่ก็ราวกับเป็นดาบสองคม หลักการยึดความถูกต้องและต้องการช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งที่ไม่เคยมีเจตนาคิดร้ายกับใคร ทำให้บางทีก็ต้องขัดผลประโยชน์กับหลายฝ่ายและไม่เข้าตาหลายๆ คน อย่างเช่นงานนี้ก็คงมีคนตั้งใจใช้เป็นโอกาสปูทางให้เธอโดนเด้งอยู่แล้ว
“ผมว่าพี่จิณณ์เขาก็คงหาทางช่วยพี่อยู่นั่นแหละ เขาไม่ปล่อยให้พี่อดตายหรอก ถ้าพี่อดตายจริงๆ มีแต่เขาจะมาช้อนพี่เอาไปเลี้ยงดูปูเสื่อ”
“นี่ก็อีกเรื่องที่ฉันคิดไม่ตก” แทนจันทร์ถอนใจซ้ำสอง “ฉันรู้สึกผิดกับผู้กองจิณณ์มากๆ เลย ผู้กองเขาเป็นเจ้านายที่ดีขนาดนี้ ฉันยังหาเรื่องให้เขาอีก”
ต่อพงษ์ส่ายหัว จ่ายอดร้องเฮ้อ แล้วเบือนหน้ากันไปคนละทาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเหนื่อยใจสุดๆ กับความทื่อของหญิงสาวที่ยังคงคิดมาตลอดว่า การที่จิณณ์ทำทุกอย่างให้ขนาดนี้เพราะอยากเป็นเพียงเจ้านายที่ดีเท่านั้น
“ไอ้ต่อ จ่ายอด ช่วยคิดหน่อยสิว่าฉันจะทำยังไงดี” แทนจันทร์ยังรบเร้าโดยไม่ได้สนใจท่าทางระอาของทั้งคู่
“ผมว่า...มีทางเดียวที่พี่จะรอดจากเรื่องนี้ได้นะ”
“ทางไหนๆ ว่ามาเลยไอ้น้อง”
แทนจันทร์พยักหน้าตั้งอกตั้งใจฟัง ตากลมจับจ้องจอมบุ๋นแห่งทีมที่เริ่มใช้ความคิด แม้ตัวเองจะมีชื่อเสียงเป็นคู่หูดูโอคู่แสบของกองปราบปราม แต่คนเป็นลูกพี่นั้นยังมีความใจร้อนและบ้าพลัง จึงทำให้เรื่องแยบยลอย่างการวางแผนนั้นสู้ลูกน้องไม่ได้
“พี่ต้องไปหาทางผูกมิตรกับดอกเตอร์วีร์”
คำพูดแรกก็เอาลูกพี่หน้าเหย เพราะรอยแหกบนหน้ายังไม่ทันสมานดี ตอนแรกเกือบอ้าปากด่า แต่ท่าทางและหลักการวิเคราะห์นั้นดูดี จึงทำให้ยอมอดทนฟังต่อ
“ตอนนี้เขาคือตัวแปรหลักตัวแปรเดียวของเรื่อง เจ้านายผู้ใหญ่หลายคนเกรงใจเขามาก เพราะเขาเป็นถึงเจ้าของศูนย์วิจัยระดับประเทศ แต่ยังเลือกสนับสนุนเซรุ่มให้หน่วยงานเรา มันเป็นเรื่องที่ตำรวจชั้นปฏิบัติการอย่างพวกเราได้ประโยชน์ และบนนู้น...เขาก็ได้หน้าได้ตาด้วย”
บนนู้นนั้นอยู่สูง แต่ทุกคนในวงสนทนาก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด
“แต่ประเด็นคือเขาน่ะ คนดังระดับประเทศ หนุ่มนักเรียนนอก จบดอกเตอร์ตั้งแต่หนุ่มๆ เพิ่งกลับจากต่างประเทศ พี่ดันไปบอกว่าเขาเป็นผี มีคำสั่งจากเบื้องบนให้พี่พักงานแค่นี้ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับหน้าตาของท่านๆ ที่ต้องเสื่อมเสียไป” ตำรวจรุ่นน้องว่าก่อนเว้นจังหวะ คว้าน้ำมาดูดดังซู้ด “รู้มั้ย ตอนที่พี่กระโดดเข้าไปจับตัวเขานะ ผมเองยังหัวใจเกือบวาย เห็นหน้าดอกเตอร์เขาแล้วยังนึกว่าพี่จะไม่รอด”
แทนจันทร์หน้าม่อยเมื่อได้ยินประโยคปิดท้ายที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีหินก้อนยักษ์ถล่มลงมาทับตัวเธอ ฟังสรุปแล้วดูไม่มีหนทางให้อนาคตของเธอเลยสักนิด หมดแรงจนต้องเอาคางเกยขวดน้ำตาลอย่างท้อแท้ ภาพสายตาเหยียบย่ำคู่นั้นมันดูดพลังเธอสุดๆ จริงๆ
“ทางที่ดีนะหมวดนะ” จ่ายอดช่วยออกความเห็น “ตอนนี้น่ะหมวดอยู่เฉยๆ รอให้อะไรมันเบาลงก่อน จะกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดก่อนก็ได้ ถือโอกาสพักผ่อนไปในตัวละกัน”
แทนจันทร์ถอนหายใจ ไม่ชอบชีวิตที่มีทางเลือกอยู่ทางเดียวตอนนี้เลยสักนิด เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการไม่มีทางเลือกเลย
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่กางอยู่กลางห้อง เสื้อผ้าบางส่วนถูกเอามากองไว้พร้อมของจำเป็นหลายอย่างที่วางระเกะระกะเพื่อรอเก็บเข้ากระเป๋า ทำให้ห้องเช่ากลางเมืองดูรกเละเทะไปทั่ว
มือเล็กค่อยๆ เริ่มต้นทำทุกสิ่งตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าชีวิตเดินทางมาถึงจุดตกต่ำอย่างนี้ได้อย่างไร กลายเป็นว่าสิ่งที่เธอทุ่มเททำทั้งหมด กลับให้ผลตอบแทนเป็นการผลักให้เธอเดินออกจากงานที่เธอรัก
ความฝันที่อยากเป็นตำรวจตั้งแต่เด็กทำให้เธอกระเสือกกระสนถีบตัวเองจนมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ อุดมการณ์ที่ต้องการจะเป็นที่พึ่งของคนที่เดือดร้อน เป็นแสงสว่างนำทางผู้คนยามทุกข์ยาก สิ่งที่ตั้งไว้ในวันแรกที่เริ่มทำงานเป็นอย่างไร ตอนนี้มันก็ยังไม่เปลี่ยน ทั้งที่มีแต่คนรอบตัวบอกว่าตอนนี้ตำรวจดีๆ นั้นหาที่ยืนยาก แต่เธอก็มุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างซื่อตรงและทุ่มเทโดยไม่สนคำใคร
หลายปีที่เธอใช้เวลาไปกับคดีใหญ่อย่างคดีของกษิณ เจ้าพ่อยาเสพติดในชุมชนแออัดสะพานดำ ปัญหาสังคมระดับเมืองที่กลายมาเป็นปัญหาการค้ายาเสพติดระดับชาติ พวกมันใช้ความเข้าถึงยากของชุมชนเป็นศูนย์กลางกระจายของอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย รวมทั้งตัวคดีเองก็มีนอกมีในเยอะ เป็นชิ้นงานที่มีแต่คนจ้องจะเอาหน้าแต่ไม่ลงมือปฏิบัติ คนที่รับเคราะห์เลยกลายเป็นคนในชุมชน ทั้งเด็ก คนแก่ และคนหาเช้ากินค่ำที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ที่ชีวิตจะวนเวียนอยู่ในสภาพแวดล้อมแย่ๆ ไม่จบไม่สิ้น
ถ้ารวบต้นตอของยาเสพติดอย่างกษิณได้เร็วเท่าไร ก็เท่ากับเป็นการล้างบางแหล่งยาเสพติดแหล่งใหญ่ในเมืองหลวงซึ่งจะเชื่อมไปอีกหลายที่ทั่วประเทศ
แต่นั่นคงเป็นเป้าหมายที่เธอทำไม่ได้เสียแล้ว
‘ทางที่ดีนะหมวด กลับบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดก่อนดีกว่า’
นึกถึงคำพูดของจ่ายอดแล้วก็ต้องดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แทนจันทร์หาคำปลอบใจตัวเองระหว่างที่มือยัดของเข้ากระเป๋า ความจริงเธอก็ไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว ถือโอกาสกลับไปพักผ่อนรอบนี้น่าจะดี
“เก็บกระเป๋าจะไปไหนเหรอ”
ตอนแรกที่ได้ยินเสียงคนก็หันขวับ พอเห็นว่าเสียงนั้นมาจากไหน เจ้าของห้องก็ร้องลั่น กระโดดผลุงไปอยู่บนเตียง ถอยกรูดชิดหัวเตียงให้ไกลจากเสียงที่ทักมากที่สุด
มาอีกแล้ว!
แทนจันทร์หลับตาปี๋กรีดร้องในใจ คราวนี้มาแบบตัวเป็นๆ ภาพชัด เสียงชัด ที่บอกว่าอีกแล้วก็เพราะว่ามันเหมือนกับที่เคยเจอก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ร่างสูงโปร่งร่างเดิมยืนอยู่ริมประตูห้อง ข้างกระเป๋าเสื้อผ้าที่เธอกำลังยัดทุกสิ่งลงไป ชุดที่ใส่ยังคงเป็นชุดน่าสะพรึงอย่างชุดโรงพยาบาลสีขาว แต่วันนี้ตามเนื้อตัวเหมือนจะดูดีขึ้นเพราะไม่มีบาดแผลเลอะเทอะ แผลที่ขมับก็ดูแห้งเหลือเป็นรอยยาว สภาพรวมๆ เรียกได้ว่าไม่ยับเยินเหมือนวันแรก แต่ไม่ว่าจะยับหรือไม่ยับ คนที่กลัวสิ่งลี้ลับคนละโลกมาตั้งแต่จำความได้ก็อุจจาระขึ้นไปอยู่บนสมองเรียบร้อย
“โอ๊ย! มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว นึกว่าจะหนีพ้นแล้วซะอีก”
“ไม่ต้องเอาพระมาไล่ผมแล้วนะคุณ รอบที่แล้วผมไม่ได้ไปเพราะอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อหรอก” วิญญาณหนุ่มผู้ที่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญดักคอเหมือนรู้ทัน
มือที่กำลังยกหลวงพ่อชะงัก ก็ในเมื่อเจ้าตัวพูดมาขนาดนี้แล้ว ถ้ายังจะฝืนเอาท่านออกมาอีกก็คงไม่ได้ช่วยอะไร แทนจันทร์จึงได้แต่อ้าปากค้างกับผีเฮี้ยนที่ไม่มีสิ่งใดจัดการได้
“จริงๆ วันนั้น ผม...ผมรู้สึกเหมือนมีลมบางอย่างดึงให้ผมไปที่ไหนไม่รู้ ผมต้านมันไม่ได้เลย แล้วจู่ๆ มันก็หายวับเหมือนนอนหลับไป แล้วผมก็ตื่นมานี่แหละ”
“จะลมจะฝนก็แล้วแต่เถอะ แต่ไปแล้วก็ไปเลยสิ จะกลับมาจองเวรจองกรรมกันอีกทำไม” เจ้าของห้องพึมพำเสียงสั่น
“คุณตำรวจ...คุณอย่ากลัวผมเลยนะ” ผีหนุ่มขอร้อง “คุณไม่ต้องห่วงเรื่องทำร้ายหรือทำอะไรไม่ดีกับคุณ คุณก็รู้อยู่ว่าผมไม่มีร่างกาย คือสภาพผมอาจจะไม่ค่อยดีนัก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีแผลเต็มตัว แต่หน้าตาผมก็มันไม่ได้เละเทะจนดูไม่ได้ ผมก็ดูเหมือนคนปกติไม่ต่างจากคุณเลยไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เหมือน ยังไงก็ไม่เหมือน” แทนจันทร์แหกปากเถียง “ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้!”
เป็นครั้งแรกในชีวิต...ที่ได้ยินเสียงผีถอนหายใจ
“ผมรู้ว่าคุณกลัวผมมาก ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่ต้องมารบกวนคุณ แต่ผมไม่มีทางไปจริงๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ในหัวผมมีแต่ภาพอะไรไม่รู้ที่ผมก็ไม่เข้าใจ ผม...ผมไม่มีทางไปจริงๆ นะ”
เสียงเศร้าราวกับตัดพ้อชะตาชีวิต ร่างนั้นพูดพลางถอนหายใจ ทิ้งไหล่แบบหมดแรง เขาค่อยๆ ขยับจากประตูห้องเดินมายังข้างเตียงที่หญิงสาวตะกายขึ้นไปอยู่ราวกับหนีแมลงสาบ แล้วพยายามมองหน้าหญิงสาว แม้รู้ว่าเธอจะไม่มีวันสบตาตนก็ตาม
“ผมขอร้อง ถ้าคุณไม่ช่วย ผมก็ไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว”
ไม่รู้ว่าอะไรบางอย่างในน้ำเสียงทำให้แทนจันทร์เผลอนิ่งคิด ฟังไปฟังมาแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกผีประณามว่าใจดำอย่างไรไม่รู้ ทั้งที่กลัว แต่สมองก็ยังประมวลผลตามคำพูดเขาทั้งหมด พิจารณาจากน้ำเสียงสิ้นหวัง มันก็เหมือนคนพูดธรรมดา ไม่ได้ยานคางโหยหวน และก็ดูไม่เหมือนว่าจะเข้ามาทำร้าย บีบคอ กัดคอ หรือคุกคามใดๆ ซึ่งห่างไกลกับความน่ากลัวในหนังสยองขวัญพอสมควร ดูเหมือนเธอกำลังนั่งฟังคนธรรมดาที่ไม่มีทางไปในชีวิต แล้วก็ยิ่งเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะมันดันเหมือนที่เธอรู้สึกตอนนี้ไม่มีผิด
“ผมขอร้อง”
น้ำเสียงนิ่ง สุภาพ ดูปลอดภัย ที่สำคัญคือมันดูหมดทางไปจริงๆ ทำให้ใจคนฟังที่โดยพื้นฐานมีนิสัยใจอ่อนเวลามีคนมาขอความช่วยเหลือค่อยๆ เย็นลงอย่างประหลาด กลายเป็นเริ่มคิดต่อว่าตัวเองว่า ถ้าเธอไม่ยอมรับฟังเขา มันจะดูเหมือนเธอเลวทรามอย่างไรก็ไม่รู้
กลัวผี แต่ถ้าให้ผีมาประณามว่าเป็นคนใจจืดใจดำ ไม่เห็นใจผี มันไม่ดูแย่กว่าหรือ
เอาวะ...
ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นเป็นจริงอย่างที่ผีเขาว่า แม้จะรู้ว่าร่างนั้นทะลุผ่านได้ แต่เมื่อมองด้วยตาก็ดูเหมือนคนปกติ ผู้ชายร่างสูง สูงจนดูเก้งก้างไม่เข้ากับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยในห้องของเธอเลย เรือนผมสีดำตัดสั้นเรียบร้อย ผิวขาวแบบผู้ดีที่ไม่ค่อยได้ออกแดดดูดียิ่งกว่าผิวผู้หญิงแบบเธอ แต่สิ่งที่ทำให้แทนจันทร์ซึ่งตอนแรกว่าจะค่อยๆ เปิดตาแอบดูเผลอจ้องอย่างลืมตัว คือคิ้วเข้มสีดำหนา ดวงตาสีน้ำตาลอัลมอนด์สองชั้นที่ดูไม่มีพิษมีภัย มันเรียวรีลงไปรับกับจมูกโด่ง และปากไม่หนาไม่บางแต่เป็นกระจับสวย
เหมือน เหมือนมาก...
สิ่งที่ทำให้เธอลืมตัวไม่ใช่ความลงตัวราวกับภาพบรรจงวาดของใบหน้านั้น แม้จะจัดว่าเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่น่ามองคนหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ตะลึงยิ่งกว่าคือ มันเหมือนมาก แม้แต่รอยแผลที่ขมับและชุดที่เขาใส่ ตอนนี้เธอมั่นใจแน่ๆ ว่าเธอเคยเห็นใบหน้านี้ เพราะมันคือภาพของดอกเตอร์วีร์ เจ้าของศูนย์วิจัยที่เธอเจอที่โรงพยาบาลราวกับถอดแบบกันออกมา
“ดอกเตอร์วะ...วีร์” หญิงสาวอดหลุดปากเรียกชื่อนั้นออกมาไม่ได้
“คุณว่าอะไรนะ”
“หยุด หยุดอยู่ตรงนั้น” เธอรีบแหกปากห้าม มือหนึ่งทำท่าปางห้ามญาติเป็นสัญญาณไม่ให้แขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียว อีกมือคว้าโทรศัพท์มือถือ ไล่หาจนเจอเบอร์ที่ต้องการแล้วกดโทร. ออก “แป๊บนึง แป๊บนึงนะ แล้วก็อย่า! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน! หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน”
รอสัญญาณดังอยู่ไม่นาน ปลายสายก็กดรับ
“สวัสดีค่ะ ห้องวีไอพีโรงพยาบาล...ใช่มั้ยคะ ฉันเป็นตำรวจที่ดูแลคดีของดอกเตอร์อยู่นะคะ” แทนจันทร์รีบกรอกเสียงไปยังปลายทาง “อ๋อ เปล่าค่ะ ฉันแค่จะโทร. มาเช็กอาการดอกเตอร์วันนี้น่ะค่ะ ดอกเตอร์เขาเป็นยังไงบ้างคะ”
ระหว่างที่ฟังปลายสาย ตาก็จับจ้องร่างกลางห้อง เขายังคงยืนมองเธออยู่ไกลๆ แบบรออย่างมีมารยาท หญิงสาวกล่าวขอบคุณพยาบาลในสายเมื่อเธอพูดจบ ก่อนจะกดวางสาย
‘คุณวีร์สบายดีค่ะ วันนี้เพลียนิดหน่อย คุณหมอให้ยาแล้วหลับไปแล้วค่ะ’
นั่นคือประโยคที่พยาบาลแจ้งเธอ
ก็ยังไม่ตายนี่หว่า...ความคิดแรกที่ว่านายผีตรงหน้าคือผีดอกเตอร์วีร์ค่อยๆ หายไป เพราะว่าพยานปากเอกของตำรวจก็ยังมีชีวิตอยู่
แล้ววิญญาณตรงหน้าเธอเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องกับดอกเตอร์ใจหินนั่นอย่างไร ทำไมถึงหน้าเหมือนกันขนาดนี้
“หนูจันทร์ หนูจันทร์”
หญิงสาวหันขวับไปยังประตูที่มีเสียงเคาะเบาๆ ไม่ตกใจมากนักเพราะคุ้นกับเสียงที่เรียกนั้นอยู่ หันไปทำสายตาอาฆาตกับวิญญาณกลางห้องที่ก็มารยาทดีเหลือเกิน รู้เรื่องรู้ราว รู้จักขยับตัวออกไปจากประตูห้องพร้อมผายมือให้เธอรับแขกอย่างเต็มที่
“เปิดประตูเถอะ คุณป้าเขาไม่เห็นผมหรอก”
แทนจันทร์ย่องอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตาจับจ้องร่างกลางห้อง เผื่อมีจังหวะที่เขากระโดดเข้ามาหาเหมือนในหนังจะได้หนีทัน พอไปถึงประตูก็แง้มเปิดออก พบป้านิด ผู้ดูแลหอพักคนคุ้นเคยยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าประตู
“ป้าเอาจดหมายที่ตู้ข้างล่างมาให้จ้ะ เห็นหลายวันแล้วหนูไม่ไปเอาเสียที”
“อ๋อ ค่ะ พอดีช่วงนี้จันทร์ยุ่งๆ กลับดึกตลอด เลยไม่ได้มีเวลาแวะไปเอา”
แทนจันทร์รับจดหมายมาก่อนพยักหน้าขอบคุณ แต่ทั้งที่ประตูกำลังจะปิด ป้านิดก็ยังยืนยิ้มแฉ่งไม่ไปไหน จนหญิงสาวต้องทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม
“ป้า...มีอะไรอีกมั้ยคะ”
“อ๋อ...พอดีป้าได้ยินเสียงหนูจันทร์คุยกับใครเสียงดังเลย เพื่อนมาเที่ยวห้องหรือจ๊ะ”
ไม่รู้ว่าคำถามนี้ถามตามหน้าที่เพื่อรักษาความปลอดภัยให้ผู้เช่าทุกคน หรือถามเพราะนิสัยที่เป็นที่รู้กันดีว่า ‘ป้านิดรู้โลกรู้’ ตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอยจะได้รู้ข้อมูลข่าวสารอัปเดตทันหมดจากคุณป้าช่างพูดคนนี้
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” แทนจันทร์ยิ้มแห้ง ตอบแบบขอไปที
“แหม ไม่ต้องเขินหรอกจ้าหนูจันทร์ เขาลือกันตั้งแต่ร้านตาโชคต้นซอยจนท้ายซอยว่าเห็นหนูพาเพื่อนผู้ชายกลับหอมาด้วยทุกคืน ถ้าคบกันเป็นตัวเป็นตนก็ดีแล้ว อายุอานามเราก็เหมาะสมแล้ว ป้าน่ะเห็นหนูกลับดึกๆ คนเดียวก็เป็นห่วง คราวนี้มีคนกลับเป็นเพื่อนแล้วก็สบายใจ”
สีหน้าที่ตอบกลับคงเป็นรอยยิ้มที่เจื่อนที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา ไม่รู้ว่าจะรู้สึกขนลุกก่อนหรือเหนื่อยใจกับความอยากรู้ของป้าก่อนดี ไม่คิดจะอธิบาย เพราะอย่างไรก็รู้ว่าป้าจะไม่มีวันฟังคำอธิบายของเธอว่าเรื่องจริงคือเธอกลับห้องคนเดียวทุกคืน ส่วนคนที่ทุกคนเห็นนั้นเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไปคิดกันเอาเอง เพราะว่าเนื้อเรื่องลี้ลับย่อมขายได้ไม่ดีเท่าเรื่องชาวบ้านที่แต่งโดยฝีปากชาวบ้านอีกทีอยู่แล้ว
แต่คิดไปคิดมา ถ้าเธอไม่แก้ตัวอะไร ในอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เธอกำลังวางแผนจะกลับบ้านต่างจังหวัด ข่าวโคมลอยนี้ก็อาจจะกลายเป็นว่าเธอท้องไม่มีพ่อและหนีกลับต่างจังหวัดไปก็ได้ จึงตัดสินใจบอกสายข่าวแห่งหอพักไปว่า
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะป้า คือพอดีจันทร์คุยกับ...” หมวดสาวนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังนึก “จันทร์คุยกับ...หมาน่ะค่ะ”
คำว่า ‘หมา’ นั้น ตั้งใจเน้นเสียงดังให้ ‘คนที่ไม่ใช่คน’ ที่อยู่ข้างในได้ยินอย่างชัดเจน
“หมา?” ป้านิดเลิกคิ้วเพราะคำตอบผิดคาด
“ใช่ค่ะ หมา! พอดีจันทร์เอาหมามาเลี้ยงใหม่ หมาจรน่ะค่ะ มันตามตื๊อไม่เลิก เลยต้องเอากลับมาที่ห้องด้วย” หญิงสาวว่าพร้อมรอยยิ้ม “แต่ป้าไม่ต้องห่วงนะ จันทร์จะดูแลมันอย่างดี ไม่ให้เห่า ไม่ให้มีเสียงรบกวน ไม่ให้ออกไปอึไปฉี่นอกห้องให้สกปรก ใช่มั้ย...เนอะ ลักกี้เนอะ ไม่ดื้อไม่ซนนะลูก”
ท้ายประโยคแกล้งหันหลังไปทำเสียงเล็กเสียงน้อยกับหมาตัวสูงในห้อง ตั้งชื่อเสร็จสรรพเพื่อให้คุณป้าผู้ดูแลหอหมดความสงสัย
“ขอบคุณป้านิดนะคะสำหรับจดหมาย ไว้วันหลังจันทร์จะพาลักกี้ลงไปเล่นด้วยนะคะ”
เธอยิ้มให้ป้านิดก่อนจะปิดประตูห้องแบบไม่รอคำบอกลา ทันทีที่ประตูปิดสนิท ก็รีบหันขวับเข้ามาเจอกับ ‘ลักกี้’ ที่ยืนทำหน้าประหลาด ชี้หน้าตัวเองงงๆ
“ผมเหรอ...ลักกี้”
“ก็บอกว่าความจำเสื่อม จำชื่อตัวเองไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ก็ชื่อลักกี้ไปก่อนละกัน” หมวดสาวตอบส่งๆ ก่อนจะค่อยๆ เขยิบเลียบผนังห้องเข้ามาอยู่ในจุดที่ห่างกับเขามากที่สุด
“แสดงว่าคุณจะช่วยผมแล้วใช่มั้ยคุณตำรวจ”
“ฉันบอกตอนไหน” เธอแหวกลับใส่ผีขี้ตู่โดยเร็ว
ใบหน้าของผีหนุ่มที่ได้ชื่อใหม่ว่าลักกี้เหมือนมีไฟส่องสว่าง เขาเริ่มยิ้มออกแบบสบายใจก่อนกล่าวอย่างเป็นกันเองมากขึ้นกับเจ้าของห้อง
“ไม่เป็นไรๆ อย่างน้อยคุณก็อุตส่าห์ตั้งชื่อให้ผม” ทั้งดวงตาและรอยยิ้มนั้นแสนซื่อ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “แล้ววันนี้ก็ดูเหมือนคุณจะกลัวผมน้อยลงแล้ว ผมจะคอยมาหาคุณทุกวันเลยนะ คุณจะได้ค่อยๆ ชินไปเอง แล้วถ้าคุณพร้อมช่วยผมเมื่อไหร่ค่อยบอกผมก็ได้”
ผู้หมวดสาวเกาหัว กุมขมับกับชีวิตตัวเอง ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีที่ดันมาเจอผีแสนซื่อโลกสวย ปรารถนาดีจะมาเยี่ยมเยียนราวกับเพื่อนบ้านคนสนิทโดยไม่ถามความสมัครใจของเธอสักคำ
“ไม่ต้อง ฉันคงไม่ชินหรอก แค่นี้ก็หัวใจจะวายอยู่แล้ว”
เมื่อถูกปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย ผีโลกสวยที่เมื่อครู่ยังหน้าบานเป็นกระด้งก็ปิดสวิตช์ไฟที่หน้าฉับ เปลี่ยนสีหน้าเป็นเศร้าสร้อยอย่างชัดเจน อาการคอตก ไหล่ห่อ ดูน่าสงสารราวกับเด็กน้อยหมดที่พึ่ง กลับเป็นแทนจันทร์เสียเองที่มองเห็นท่าทางหงอๆ นั้นแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้ เพราะว่าการไม่พูดนั้นมันเหมือนการประณามเธอปาวๆ ว่าเธอเป็นคนใจร้าย บวกกับนิสัยพื้นฐานของตัวเองที่เห็นใครเดือดร้อนเป็นไม่ได้ ต้องวิ่งชนเข้าไปช่วย ทำให้เธอเริ่มสงสัยในตัวเองมากขึ้น
“ถ้าคุณไม่ช่วย ผมก็คงเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครอยู่แบบนี้”
คำพูดของเขาทำให้หมวดสาวนึกทบทวนถึงสาเหตุที่เธอเลือกมาเป็นตำรวจ ความตั้งใจหลักที่ตั้งไว้เป็นอุดมการณ์ของชีวิตคืออยากเป็นที่พึ่งของคนที่หมดทางไป แม้จะช่วยได้แค่เล็กน้อยก็ตาม
คนก็ช่วยมาเยอะแล้ว หมาแมวจรจัดก็ยังคอยหาอาหารมาให้
หรือจะลองช่วยผีดูสักครั้งดี...
“เอ้าๆ” หมวดสาวที่ไม่ชอบความอึมครึมโบกไม้โบกมือทำลายบรรยากาศดรามา “ก็ได้ๆ ลองเล่ามาก่อนก็ได้”
ดวงไฟถูกจุดสว่างบนใบหน้านั้นอีกครั้งจากรอยยิ้มกว้าง ดวงตาคล้ายเด็กหลงทางทั้งสองข้างเป็นประกายด้วยความหวังอีกครั้งก่อนที่เขาจะเอ่ยรัวเร็ว
“ผมอยากให้คุณช่วยตามหาว่าผมเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร ทำไมผมถึงมีแผลเต็มตัวแบบนี้ แล้วจู่ๆ เวลาผมหายไป ผมหายไปไหน ทำไมถึงหายไป”
“พอก่อนๆ” เธอรีบตัดบทก่อนโจทย์ที่ต้องแก้จะเยอะไปมากกว่านี้ “แล้วมีเบาะแสอะไรให้ฉันบ้าง”
ผีหนุ่มชะงัก อึ้งไปสักพักกับคำถามนั้น ก่อนค่อยๆ ตอบแบบไม่รัวเร็วเหมือนตอนแรก
“ไม่มี”
“เอ้า” ตำรวจผู้สอบปากคำร้องลั่นห้อง ถ้าผู้เสียหายตนนี้เป็นคนคงจะมีการฟาดปากกันบ้างแล้วข้อหาก่อกวนเจ้าหน้าที่
“อ้อ” เขารีบเกริ่นอีกรอบเหมือนกลัวโดนดุเมื่อเห็นว่าหน้าคนช่วยเริ่มเหวี่ยง “จำได้ว่าก่อนที่ผมจะมาเจอคุณครั้งแรก ผมเห็นภาพเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงสองคนยืนคุยกัน อยู่ใน...เหมือนจะเป็น...สนามเด็กเล่น”
“แค่นี้?” แทนจันทร์อุตส่าห์รอตั้งใจฟัง แต่เรื่องกลับตัดจบดื้อๆ “ถ้าฉันหาอะไรไม่เจอไม่ต้องแปลกใจนะ ต่อให้เอายอดนักสืบมาหาก็ไม่เจอหรอก”
“ผมเข้าใจคุณตำรวจ” ผีหนุ่มพยักหน้า ไม่ได้หงุดหงิดหรือสนใจคำประชดประชันนั้นตามประสาผีใจเย็น “ผมจะพยายามนึกให้ออกนะ”
แม้หน้าตาจะเหมือนกันราวกับยกดอกเตอร์วีร์มาตั้งไว้ตรงหน้า แต่สิ่งที่แทนจันทร์สัมผัสได้ชัดเจนว่าแตกต่างกันก็คือคำพูดและท่าทางการปฏิบัติตัวต่อคนอื่นที่แสนจะสุภาพ น้ำเสียงอ่อนน้อม และแววตาซื่อใสที่เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเสียงนิ่งเรียบ แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความอำมหิตและเย่อหยิ่ง เปล่งรัศมีราวกับจะเชือดคนตลอดเวลาของอีกคน ถึงแม้จะเป็นผี แต่ภาพรวมก็ดูน่าคบค้าสมาคมกว่าคนมาก ถ้าดอกเตอร์เจ้าของเซรุ่มพูดความจริงคนนั้นมีความใจดี เห็นอกเห็นใจคนได้สักครึ่งหนึ่งของนายผีนี่ เธอก็คงไม่ถูกพักงานแบบนี้
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหนนะ ฉันเองยังเอาตัวเองไม่รอดเลย”
วิญญาณหนุ่มในชื่อใหม่ว่าลักกี้ฉลาดพอที่จะเข้าใจคำพูดโดยไม่ต้องถามเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางกลางห้องนั้น
“คุณมีปัญหาอะไรอยู่ บอกผมได้นะ” วิญญาณหนุ่มรีบกระตือรือร้นเสนอตัวด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณรับปากช่วยผมแล้ว ผมก็จะช่วยคุณแก้ปัญหาเหมือนกัน”
แทนจันทร์ทำหน้าเหย นึกขันตัวเองที่ชีวิตมาถึงจุดที่นอกจากจะต้องช่วยผีแล้ว ยังต้องให้ผีมาช่วยแก้ปัญหาชีวิตอีกด้วย
“ผมไม่ได้โกหกนะคุณ” ลักกี้ยืนยันแข็งขันเมื่อเห็นสีหน้าไม่เชื่อถือของหล่อน “ผมถือคติที่ว่า ถ้ามีใครช่วยเรา เราก็ต้องช่วยเหลือเขาตอบ”
ตอนแรกจะอ้าปากปฏิเสธ เพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากผีแน่นอน แต่ก็เกิดสะดุดตารูปลักษณ์ที่ตาเห็น ความเหมือนราวกับแกะเช่นนี้ทำให้เธอมีความคิดและมั่นใจมากว่าอย่างน้อยเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับดอกเตอร์วีร์ เจ้าของศูนย์วิจัยที่เธอต้องร่วมงานด้วยแน่ๆ
สมองใสๆ เริ่มเชื่อมโยง อย่างที่ต่อพงษ์ว่า ตัวแปรหลักที่จะทำให้เบื้องบนเลิกคาดโทษเธอได้ก็คือดอกเตอร์วีร์ ถ้าเธอสามารถเข้าถึงตัวเขาหรือดีที่สุดคือผูกมิตรกับเขา เธอก็อาจจะหาทางได้หน้าที่การงานกลับคืนมา ทางทีมก็คงทำงานกับดอกเตอร์ผู้เข้าถึงยากคนนี้ได้ดีขึ้น
และตอนนี้จุดเชื่อมเดียวที่หาได้ระหว่างเขากับเธอก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผีประหลาดที่หน้าเหมือนดอกเตอร์คนนั้น อย่างน้อยถ้าไล่อย่างไรก็ไม่ไปอยู่ดี เธอก็เก็บตัวเชื่อมนี้ไว้ก่อนน่าจะดีไม่ใช่หรือ
“นายหมายความว่า ถ้าฉันช่วยนาย นายก็จะช่วยฉัน แบบนี้ใช่มั้ย”
“แน่นอน”
ทันทีที่ผีตกปากรับคำ หญิงสาวก็ตาลุกวาว กระโดดไปปิดกระเป๋าฉับแล้วไถมันไปไว้ใต้เตียงเหมือนเดิม
เธอได้ไอเดียที่ดีกว่าการเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้ว
ความคิดเห็น |
---|