3
ชอกช้ำ
มือเรียวนุ่มจับประคองเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำเงินเข้มใส่ลงในกล่องของขวัญอย่างทะนุถนอม หยิบการ์ดอวยพรวันเกิดที่เขียนขึ้นด้วยลายมือบรรจงสวยงามของตัวเองขึ้นมาอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง
สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้คุณเก้า ขอให้มีแต่ความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ
แก้มสาวแดงระเรื่อเมื่ออ่านจบ วางการ์ดกลิ่นหอมอ่อนๆ ลงบนเสื้อสเวตเตอร์นั้นและปิดฝากล่องให้สนิทเรียบร้อย
ของขวัญพิเศษ...สำหรับคนพิเศษ
“จันทร์ เสร็จหรือยังลูก ไปกันได้แล้วไป” ศิภาเดินเข้ามาตามลูกสาว เพื่อไปงานเลี้ยงวันเกิดของ ‘นพกร’ ลูกชายของเพื่อนสนิท
“เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูอ่อนขยับกายลุกขึ้นจากเตียง พร้อมกับหยิบกล่องของขวัญมากอดไว้ในอ้อมแขน
“ลูกเอาของขวัญอะไรให้ตาเก้ากันหือ”
“เสื้อน่ะค่ะ จันทร์ถักเอง”
“อ้อ...แม่ก็ว่าแล้ว เห็นนั่งถักมาเป็นเดือน”
นางอมยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ นี่แหละหนา ‘ม่านพระจันทร์’ ผู้ซึ่งทำทุกอย่างด้วยใจ ยิ่งถ้าเป็นคน ‘พิเศษ’ สำหรับลูกสาวด้วยแล้วละก็ ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถเลย
และแล้ว...ความเจ็บแปลบก็แล่นเข้ามาที่หัวใจของคนเป็นแม่ เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดคืนนี้
ยิ่งเพ่งพิศมองใบหน้าของลูกสาวผู้หัวอ่อนแล้วก็ให้นึกสงสาร แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปเผชิญความเป็นจริงก็กระไรอยู่ สู้ให้รู้และยอมรับมันไปเลยเสียดีกว่า
“เราไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่ไปดูยายขวัญหน่อยว่าเสร็จหรือยัง”
“เดี๋ยวจันทร์ไปตามขวัญเองดีกว่าค่ะ แม่ลงไปรอที่รถเถอะ”
“เอางั้นก็ได้ แม่ไปละ รีบตามลงมากันเร็วๆ นะ เดี๋ยวจะสาย”
เมื่อร่างของมารดาเดินลงบันไดเวียนไปจนลับสายตาแล้ว ม่านพระจันทร์ก็เดินไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกัน เป็นห้องนอนของ ‘ขวัญฤทัย’ น้องสาวคนเดียวของเธอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขวัญเสร็จหรือยังน่ะ พ่อกับแม่เขาจะไปแล้วนะ” หญิงสาวเอ่ยเรียกหลังจากที่เคาะประตูห้องสามครั้ง ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของน้องสาวในสภาพไม่สู้ดีนัก
“ขวัญไม่ไปได้ไหมคะ ขี้เกียจ” เด็กสาววัยสิบแปดปีพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ทั้งที่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนธรรมดาๆ ไม่ได้ใส่ชุดเป็นทางการอย่างที่ควร
“ไปเถอะขวัญ งานวันเกิดพี่เก้าทั้งที”
“ถึงขวัญจะไปหรือไม่ไป มันก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ แถมเจ้าของวันเกิดก็ใช่ว่าจะต้อนรับขับสู้ขวัญเสียเมื่อไหร่”
“เอาน่า เมื่อวานอารัตน์เขาก็ถามถึง ถ้าขวัญไม่ไป อารัตน์คงเสียใจแย่ ไปเถอะนะ”
“เฮ้อ...ก็ได้ ถ้าเพื่ออารัตน์ขวัญจะยอมไป พี่จันทร์ลงไปก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวขวัญตามไป ขอไปเอาโทรศัพท์ก่อน”
หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนใจ ในที่สุดก็หาเหตุผลดีๆ มาโน้มน้าวขวัญฤทัยได้ การที่จะชักชวนให้คนเป็นน้องสาวออกงานสังคมนั้นเป็นเรื่องยากพอๆ กับการพยายามฝึกขับรถของเธอ ม่านพระจันทร์พอเข้าใจว่าแม่จอมดื้อกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ทั้งเฮี้ยว ทั้งแสบ แถมยังตั้งตัวเป็นอริกับผู้เป็นมารดามาตั้งแต่เล็กๆ
นี่คือสาเหตุที่เธอไม่ให้แม่เป็นคนมาตามขวัญฤทัย ไม่อย่างนั้นละก็ได้เกิดศึกสงครามเป็นแน่
“สวัสดีครับคุณอา ขอบคุณที่ให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดของผมนะครับ” นพกรผู้เป็นเจ้าภาพงานวันเกิดกล่าวทักทายด้วยวาจาสุภาพน่าฟัง ทันทีที่ครอบครัวปุณยภักดิ์เดินทางมาถึงห้องอาหาร VIP ของโรงแรมยอเกียรติคุณ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแบบเรียบง่ายสำหรับสองครอบครัวเท่านั้น
“นี่ของขวัญวันเกิดของอาสองคนนะตาเก้า ขอให้มีความสุขมากๆ นะ”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณจากใจจริง พลางรับของขวัญวันเกิดส่งให้พนักงานนำไปเก็บ และปล่อยให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเข้าไปข้างในห้องอาหาร
“เอ่อ...คือว่า...” ม่านพระจันทร์มองกล่องของขวัญในมือด้วยความรู้สึกเคอะเขิน หัวใจดวงน้อยเต้นรัวเร็วเมื่อมาอยู่ต่อหน้าคนที่เธอแอบเฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร น้องสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ขวัญขอตัวเข้าไปข้างในก่อนนะพี่จันทร์” ร่างผอมบางเดินกระทืบเท้าปึงปังเข้าไปในห้องอาหารอย่างมิไยดีเจ้าภาพที่ยืนอยู่
“เฮ้อ...อย่าไปถือสาแกเลยนะคะ” หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ นพกรก็เป็นอีกหนึ่ง ‘อริ’ ที่น้องสาวไม่ถูกชะตาด้วยมาตั้งแต่ยังเด็ก
“ช่างยายขวัญเถอะ ผมชินแล้ว ว่าแต่คุณจันทร์มีของขวัญอะไรให้ผมเหรอครับ”
“นี่ค่ะ” เธอยื่นกล่องของขวัญในมือให้คนตรงหน้า “ลองเปิดดูก่อนสักนิดได้ไหมคะ จันทร์ไม่แน่ใจว่าคุณเก้าจะชอบมันหรือเปล่า”
ชายหนุ่มรับไปเปิดออกดู และค่อยๆ หยิบสิ่งที่อยู่กล่องมาคลี่กางออก เมื่อได้เห็นก็ถึงกับยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกยินดี
“สวยมากเลยครับ ขอบคุณมาก”
“จันทร์ดีใจที่คุณเก้าชอบ ใกล้หน้าหนาวแล้ว...หวังว่าคุณเก้าคงได้ใส่มัน”
“ไม่ต้องรอถึงหน้าหนาวหรอกครับ ถ้ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ผมจะลองใส่แล้วถ่ายรูปส่งไปให้คุณดู”
“จะรอดูนะคะ” เธอตอบเสียงแผ่วเบา
“คร้าบ” เขายิ้มตาหยี
ม่านพระจันทร์สุขใจเหลือเกินในทุกครั้งที่ได้พบหน้า ได้พูดคุยกับนพกร ได้เห็นรอยยิ้มของเขายามตื่นเต้นกับสิ่งที่เธอตั้งใจทำเพื่อมอบให้ จนอยากจะหยุดทุกช่วงเวลาไว้ตรงนี้...ความรักที่เธอเฝ้าถนอมมาเป็นเวลาเนิ่นนานหลายปี อาจลงเอยด้วยความสุขตามที่ปรารถนาเอาไว้ในอีกไม่นาน
งานเลี้ยงวันเกิดเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และเสียงหัวเราะของบรรดาผู้ใหญ่วัยกลางคนซึ่งมารวมตัวกันพูดคุยเล่าเรื่องความหลังให้บรรดาลูกหลานได้ฟัง ทว่าเห็นจะมีอยู่คนเดียวที่ไม่นึกร่วมสนุกด้วยก็คือ เด็กสาวผู้อ่อนวัยที่สุดบนโต๊ะอาหาร
“พี่ณัฐอยู่อังกฤษเป็นอย่างไรบ้างเหรอนะ ช่วงหลังๆ มานี่ไม่ได้ติดต่อกันเลย”
ม่านพระจันทร์ถามถึงพี่ชายแท้ๆ ของตนซึ่งกำลังเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงลอนดอน ที่เดียวกับ ‘นภิตา’ น้องสาวคนเดียวของนพกรซึ่งเรียนปริญญาตรีอยู่ด้วย
“พี่ณัฐก็เรียนหนักแล้วก็ไปเที่ยวกับสาว มีอยู่สองอย่างเท่านั้นแหละค่ะ” เจ้าของรูปร่างอิ่มท้วมตอบอย่างขุ่นเคือง เมื่อพูดถึงอย่างที่สอง
หญิงสาวหัวเราะในลำคอน้อยๆ รู้สึกเอ็นดูสาวน้อยผู้มีใจหลงรักพี่ชายเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก จนถึงขั้นขอตามไปเรียนที่อังกฤษ ถึงแม้ฝ่ายนั้นจะแสดงออกชัดเจนว่ารำคาญมากแค่ไหน นภิตาก็ไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้ง
“นะอย่าไปยอมแพ้สิ สกัดดาวรุ่งให้หมดทุกคนเลย”
“สกัดอยู่แล้วค่ะพี่จันทร์ นะจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาเป็นแฟนพี่ณัฐเด็ดขาด” สาวน้อยพร้อมพุ่งชนอุปสรรคความรักเสมอ
“ดีมากจ้ะ ตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของบ้านพี่เปิดรอนะคนเดียวเท่านั้น” เธอเอ่ยแซวยิ้มๆ เพราะยังไงเสียก็เชียร์ทีมของนภิตาให้เอาชนะใจของพี่ชายเธอได้ในสักวันหนึ่ง
“เอ...แต่ถ้าเป็นตำแหน่งพี่สะใภ้ของบ้านนะ ก็คงจะเป็นพี่จันทร์ใช่มั้ยล่ะค้าาาา”
พอโดนแซวกลับบ้าง ม่านพระจันทร์ก็ถึงกับไปไม่เป็น ใบหน้าสวยหวานแดงซ่าน แอบช้อนสายตาขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้มองมาทางเธอเพราะคุยกับผู้ใหญ่อยู่ก็ตาม
“ยังไงคะเนี่ยพี่จันทร์ ความจริงเราก็เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก นะก็ดูออกว่าระหว่างพี่กับพี่ชายของนะมันมีซัมทิง”
“ซัมทิงอะไรกันเล่า ไม่มีหรอก คุณเก้ากับพี่ก็แค่...เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้นแหละ”
หากคนนอกฟัง ก็คงคิดว่าหญิงสาวถ่อมตัวจนน่าหมั่นไส้ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงเธอจะรักเขาหรือเขาอาจจะรักเธอ มันก็ไม่มีสถานะใดๆ มากำหนดความสัมพันธ์ทั้งสิ้น
“แหม ก็เห็นบางครั้งไปทานข้าวด้วยกันบ้าง พี่เก้าก็ไปรับไปส่งพี่จันทร์ออกบ่อย เวลาพูดคุยกันมันเหมือนกับมีแสงวิ้งๆ ของความรักระยิบระยับในอากาศตลอดเวลา แบบนี้จะดูไม่มีซัมทิงได้ไงกันล่ะคะ” นภิตาวาดมือในอากาศเป็นรูปหัวใจ ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ ล้อเลียน
“พูดกันตามความจริง พ่อแม่ของพวกเราก็จับคู่พี่เก้ากับพี่จันทร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมช่วงนี้ยังพูดถึงเรื่องแต่งงานกันบ่อยมาก ไม่แน่นะคะ อาจมีเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานสายฟ้าแลบ โดยไม่ต้องศึกษาดูใจในสถานะแฟนเลยก็ได้”
“ไม่หรอกน่า นะก็พูดเกินไป แต่ความจริงพี่ก็...”
“ผมมีเรื่องสำคัญจะประกาศครับ”
เจ้าภาพวันเกิดประกาศลั่นขึ้นกลางโต๊ะอาหาร สมาชิกทุกคนจึงเงียบเสียงลงเพื่อรับฟัง
“เป็นอีกปีที่ตัวเลขอายุของผมเพิ่มมากขึ้น เมื่อหน้าที่การงานทุกอย่างยอดเยี่ยมลงตัว เป้าหมายต่อไปของผมก็คือการแต่งงานสร้างครอบครัวครับ ผมได้ปรึกษากับคุณพ่อและคุณแม่แล้วในการตัดสินใจครั้งนี้ และผมคิดว่าถึงเวลาเหมาะสมที่จะพูดกับคุณอาณรงค์อย่างเป็นทางการ”
หัวใจหญิงสาวบีบจังหวะแรง เมื่อเขาหันไปกล่าวกับบิดาของเธอ พร้อมกับหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำออกมาจากสาบเสื้อสูท ความปรารถนาเบื้องลึกของหัวใจที่เธอรอมาเนิ่นนานกำลังจะสัมฤทธิ์
“ผมขออนุญาตคุณอาณรงค์และคุณอาศิภาหมั้นกับน้องขวัญได้ไหมครับ”
และวินาทีนั้นเองที่โลกทั้งใบของม่านพระจันทร์พังครืนลงมา ฝ่ามือของเธอเย็นเฉียบ ชาดิกไปทั้งร่างกาย เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้ชายที่เธอแอบรักมาเป็นเวลานานหลายปี
เวลาเช้ามืดของวันใหม่ พระจันทร์เสี้ยวและหมู่ดาวเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้าสีครึ้ม ก่อนจะลาลับหายไปทีละน้อย เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นสู่ท้องฟ้าทางทิศตะวันออก
ร่างบอบบางยังคงนอนสลบไสลอยู่บนเตียงในห้องนอนมืด ดวงตาคู่สวยแดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาทั้งคืน คราบน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า ลมหายใจของหญิงสาวแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
อาการ ‘อกหัก’ มันเป็นอย่างนี้เองหนอ...
ม่านพระจันทร์หลับตา นึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนในงานเลี้ยงวันเกิด
‘ผมขออนุญาตคุณอาหมั้นกับน้องขวัญได้ไหมครับ’
‘ถ้าเก้าจริงใจกับลูกสาวอาจริงๆ อาก็ไม่ขัดข้อง’
‘ขวัญ หมั้นกับพี่นะ’
ภาพที่นพกรสวมแหวนหมั้นให้น้องสาวของเธอฝังติดตรึงในความทรงจำ หญิงสาวเจ็บลึกในอกราวกับมีมีดแหลมมากรีดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาช่างใจร้ายและเย็นชากับเธอเหลือเกิน ไม่สนว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าที่ผ่านมาเธอคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว
ร่างบางหอบสะอื้นไห้จนตัวโยนพลางซบใบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ ในความเจ็บปวดก็ยังมีความไม่เข้าใจและคำถามมากมายอีกเป็นล้านๆ คำ โดยที่เธอไม่ได้ปริปากถามใครสักคน
ทำไมเขาจึงขอขวัญฤทัยหมั้น ทั้งที่ไม่เคยมีท่าทีรักใคร่คบหากันมาก่อน ออกจะเป็นคู่อริกันด้วยซ้ำ ที่สำคัญญาติผู้ใหญ่ทุกคนไม่มีท่าทีตกใจกับการประกาศหมั้นสายฟ้า ราวกับมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และคำถามสุดท้ายในหัวใจ...
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ระหว่างเธอกับเขามันคืออะไร...
ไปทานข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ พูดคุยสนิทสนมกว่าใครๆ ให้ของขวัญกันและกันเมื่อถึงวันพิเศษ ทำทุกอย่างเหมือนคู่รัก หรือจริงๆ แล้วทั้งหมดนี่ก็แค่ความสัมพันธ์แบบ ‘เพื่อน’?
แต่ไม่ว่านพกรจะมีเหตุผลอะไร เขาก็ไม่ได้เลือกเธออยู่ดี เขาเลือกน้องสาวของเธอต่างหาก เพราะฉะนั้นก็ต้องหยุดสงสัยไม่ให้หัวใจบอบช้ำไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น ม่านพระจันทร์ก็ค่อยๆ ยันร่างกายในสภาพอิดโรยลุกขึ้นจากเตียง ไปที่ห้องน้ำก่อนจะชำระร่างกายและแต่งกายด้วยเสื้อผ้ามิดชิดเรียบร้อย เพื่อจะออกเดินทางไปในสถานที่ยึดเหนี่ยวเยียวยาจิตใจให้สงบร่มเย็น
ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงลูกไม้สีชมพูอ่อนเดินหิ้วปิ่นโตกับตะกร้าใบเล็กๆ ลงมาจากศาลาวัด หลังจากที่นำกับข้าวและขนมหวานที่ตนลุกมาทำตั้งแต่เช้ามืดมาถวายให้พระภิกษุสงฆ์
เสียงนกกาเคล้าคลอเสียงระฆังที่ดังก้องกังวานภายในวัด ต้นโพธิ์ใหญ่หอบลมเย็นพัดเข้ามาทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ วัดนี่แหละคือสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแห่งเดียวที่ม่านพระจันทร์มี ใครรู้เข้าก็ต่างล้อเลียนว่าเธอควรโกนผมบวชชีไปเสีย ทั้งที่ความจริงแล้วการบวชมันเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ ได้อยู่ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมมุ่งหน้าสู่นิพพาน
เธอก็อยากบวช...แต่ว่าเธอยังไม่สามารถละทางโลกได้ เธอยังคงมีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป
“เฮ้อ...” เหมือนที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้อย่างไรเล่า ติดอยู่ในความรัก ความโกรธ ความหลง หาทางออกไม่ได้ นอกจากยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง
ม่านพระจันทร์เข้ามากราบพระประธานภายในอุโบสถ ฝ่ามือเรียวสวยทั้งสองข้างประกบธูปเทียนและดอกไม้เอาไว้แน่น พร้อมกับหลับตาลง ตั้งจิตอธิษฐานด้วยหัวใจมุ่งมั่น
‘ขอให้ลูกหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดหวังในครั้งนี้ ขอให้ได้พบเจอกับบุพเพสันนิวาสของตัวเอง ขอให้เขาคนนั้นเป็นคนดี ไม่ทำให้ลูกเสียใจ มีศีลที่เสมอกันกับลูกในทุกๆ ประการเทอญ’
“สาธุ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ท่วมศีรษะ ปักธูปลงในกระถางทรายเซรามิก เสร็จแล้วก็วางดอกบัวพับกลีบสวยงามลงบนถาดข้างๆ กัน
ความคิดเห็น |
---|