4

บังเอิญฝนตก

4

บังเอิญฝนตก

 

ในขณะที่ม่านพระจันทร์กำลังจะลุกออกไปจากอุโบสถ จู่ๆ สายฝนก็เทกระหน่ำลงมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท้องฟ้าก็ยังปลอดโปร่งสดใส ไม่ได้ตั้งเค้าส่อแววว่ามีพายุเลยแม้แต่น้อย

“มาตกอะไรตอนนี้นะ นึกอยากจะตกก็ตกเหรอ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ และถอยกลับไปนั่งที่เดิม คงต้องติดอยู่ในนี้สักพักจนกว่าฝนจะหยุด

ดูเอาเถอะ แค่อธิษฐานขอให้ได้เจอเนื้อคู่บุพเพสันนิวาส ฟ้าฝนก็เกิดวิปริตแปรปรวนอย่างหาสาเหตุไม่ได้ 

‘แบบนี้คือสัญญาณที่ดีใช่ไหม’

เธอยิ้มเศร้าสร้อยพลางถอนหายใจ ชีวิตของเธอในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากพายุฝนด้านนอกเลยสักนิด มันมืดครึ้ม เปียกชื้น และเหน็บหนาวผ่านไปหลายสิบนาทีก็ไม่มีท่าทีว่าฝนจะซาลง ม่านพระจันทร์จึงใช้ช่วงเวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยการบำเพ็ญเพียรภาวนาให้มีสติและสมาธิ เธอหันหน้าเข้าหาพระประธานองค์ใหญ่ภายในอุโบสถ นั่งในท่าขัดสมาธิ เอามือประสานกันไว้ที่ตัก กำหนดลมหายใจเข้าออก

ขณะที่อยู่ในสมาธิ ถึงเสียงฝนฟ้าจะดังสักแค่ไหน เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังมาจากข้างหลัง และขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ว่ามีคนมาทรุดนั่งอยู่ข้างๆ กัน

‘คงจะเป็นคนที่มาไหว้พระ’ หญิงสาวคิด แปลกใจเหลือเกินว่าใครกันที่ฝ่าพายุฝนเข้ามาไหว้พระถึงในอุโบสถ เธอจึงลืมตาแล้วหันไปมองต้นเสียง

สาบานเลยว่าเธอตกใจยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีก!!

“เป็นเรื่องบังเอิญมากเลยนะครับที่ได้เจอคุณที่นี่ คุณม่านพระจันทร์” 

บุรุษหนุ่มตรงหน้าซึ่งอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีขาวยิ้มมุมปากที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่เจอกันกับเขา

“คุณเมฆมาที่นี่ได้ยังไงคะ” ขนาดเสียงที่ถามออกไปยังสั่นตะกุกตะกัก นี่เธอเป็นอะไรไป! 

“ผมมาทำธุระที่กรุงเทพฯ ก่อนกลับก็เลยอยากมาทำบุญสักหน่อย”

“มีคนแนะนำให้มาวัดนี้เหรอคะ”

“เปล่าหรอกครับ ผมกับลูกน้องขับรถผ่านวัดนี้ ก็เลยอยากเข้ามาทำบุญ”

เหมือนมีเหตุจูงใจบางอย่างทำให้เมฆารู้สึกอยากเข้ามาในวัดนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน พอขับรถเข้ามาในวัด สักพักฝนก็ตก เขาจึงสั่งกำชับให้ลูกน้องอยู่รอที่รถ ส่วนตัวเองก็กางร่มฝ่าสายฝนเข้ามาไหว้พระในอุโบสถ แล้วได้พบกับหญิงสาว แม้จะไม่ได้เจอกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เขาก็ยังจดจำใบหน้าของเธอได้ขึ้นใจ

“ว่าแต่คุณ...มาทำบุญตั้งแต่เช้าเลยเหรอ” เขาถามพลางเลื่อนสายตาไปมองที่ปิ่นโตและตะกร้าใบเล็กข้างๆ ร่างบาง

“ค่ะ วันนี้เป็นวันพระ ท่านไม่ออกบิณฑบาต ฉันก็เลยทำอาหารกับขนมมาถวายท่านตอนเช้า”

“รวมถึงดอกบัวนั่นด้วยหรือเปล่าครับ” เขาหมายถึงดอกบัวพับกลีบสวยงามที่วางอยู่บนถาดเพียงช่อเดียว 

“ใช่ค่ะ คือว่าฉันซื้อมันมาพับกลีบตกแต่งเอง” เธอก้มหน้าตอบเสียงแผ่ว

‘แม่ชีกุลสตรีศรีสยาม’ บุรุษหนุ่มกล่าวฉายาที่แอบตั้งให้หญิงสาวในใจอีกครั้ง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าในยุคสมัยของความเจริญทางเทคโนโลยีสุดล้ำเลิศ ยังหลงเหลือผู้หญิงแบบนี้อยู่อีก 

แต่ก็ช่างเป็นของแปลกที่น่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก...

“เอ่อ คุณเมฆยังไม่ได้ไหว้พระเลยนี่คะ นี่ค่ะ” เธอนึกขึ้นได้ว่ามัวแต่พูดคุยกันจนชายหนุ่มไม่ได้จับธูปเทียนไหว้พระเลย จึงนำธูปสามดอกที่จุดไฟเสร็จสรรพส่งให้

“ขอบคุณครับ” เมฆาเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับธูปจากหญิงสาวมาไว้ในมือ ก่อนจะเริ่มสวดมนต์เบาๆ ตามบทสวดเบื้องต้นที่สลักไว้เป็นตัวอักษรสีทองบนป้ายหินอ่อน

ขณะที่บุรุษหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ ม่านพระจันทร์ก็แอบลอบมองสำรวจตั้งแต่เส้นผม ใบหน้า รูปร่างลักษณะ ไปจนถึงกิริยาท่าทาง

เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดทรงเอาไว้เป็นระเบียบ ขนคิ้วหนาเรียงเส้นสวยรับกับดวงตาดุกร้าวอันทรงพลัง ดวงตา...ที่เธอรู้สึกประหม่าระคนหวั่นเกรงทุกครั้งเมื่อเผลอไปสบเข้า 

ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มดูสะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่ได้รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราแต่อย่างใด ทั้งรูปร่างของเขายังสูงใหญ่ล่ำสัน ซึ่งหากมายืนเทียบกัน เธอสูงเพียงอกของเขาเท่านั้นเอง ส่วนกิริยาท่าทางนั้นรึก็ดูสงบเสงี่ยมดีเมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่ต้องสำรวมกายวาจาใจเช่นนี้

ภาพรวมของเขาคงจะเพอร์เฟกต์มากกว่าเดิม หากไม่ทำท่าทางหยิ่งยโสประหนึ่งตัวเองเป็นพระราชาเหมือนครั้งแรกที่พบกัน และไม่ได้สร้างความประทับใจให้เธอเลยแม้แต่น้อย

‘คุณควรรู้เอาไว้ว่าผมเป็นคนไม่ชอบการรอคอยนานๆ และไม่ชอบการถูกละเลยความสำคัญ หากผมให้โอกาสใครแล้วก็ให้ได้แค่ครั้งเดียว ผมให้โอกาสโรงงานของพวกคุณ แต่ทำไมพวกคุณไม่พยายามรักษามันไว้ ถึงได้กล้าเสี่ยงท้าทายผมด้วยการละเลยในหน้าที่ของพวกคุณ’

เขาตำหนิชุดใหญ่เพียงเพราะเธอมาต้อนรับเขาสาย...เป็นสาเหตุที่ทำให้เธออึดอัดและกลัวเกินกว่าจะพูดคุยกับเขาตอนที่รับประทานอาหารร่วมกัน 

“รู้สึกว่าคุณจะจ้องผมอยู่นานมากเลยนะ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณจันทร์” 

ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของเขา เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังเหม่อลอยไปไกลแสนไกล

“เปล่าค่ะ” เธอยิ้มแห้งพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อที่เห็นเขาปักธูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“ฝนยังไม่หยุดตก” ชายหนุ่มพึมพำและมองไปด้านนอก สายฝนก็ยังกระหน่ำเทลงมา ไม่มีท่าทีว่าจะซาลงเลย 

“คุณกลับยังไง”

“คือฉันเดินมาน่ะค่ะ หมู่บ้านที่ฉันอยู่มันใกล้กับวัด แต่บังเอิญฝนมาตกเสียก่อน ก็คงจะต้องติดอยู่ในนี้ไปอีกสักพักจนกว่าฝนจะหยุด” 

“งั้นผมไปส่งคุณเอง” 

“มะ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณเมฆคงจะต้องรีบกลับ เดี๋ยวไม่ทันเครื่องนะคะ” เธอหมายถึงเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ที่สนามบินดอนเมือง

“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมต้องขึ้นเครื่อง”

“ฉันเดาเอาน่ะค่ะ” คนระดับเขาไม่นั่งเครื่องบินไปกลับก็แปลกแล้ว

“เรื่องนั้นมันเป็นการตัดสินใจของผม เพราะบางครั้งผมก็ไม่ได้ขึ้นเครื่อง ผมผลัดกันกับลูกน้องขับรถกลับเชียงใหม่ หรือผมจะอยู่ต่อที่นี่อีกสักกี่วันแล้วค่อยหาเที่ยวบินกลับก็ได้ ไม่ต้องห่วงว่าผมจะตกเครื่อง”

“แต่...”

“มาเถอะ ผมจะไปส่งคุณเอง” 

หัวใจหญิงสาวเต้นแรง เมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ฉุดรั้งที่เรียวแขนของตนให้ลุกขึ้นเดินตามเขาออกไป เธอไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนแตะต้องตัวนอกจากบิดา แม้กระทั่งนพกรเองก็ไม่เคยได้สัมผัสแม้แต่มือของเธอ

“เดินไปพร้อมๆ กับผมนี่แหละจะได้ไม่เปียก” ร่างสูงก้มลงหยิบร่มที่วางนอนไว้ข้างประตูอุโบสถตอนขามาก ถือวิสาสะจับมือขาวนุ่มนิ่มของคนข้างๆ เอาไว้แน่น 

“คือว่า...” ม่านพระจันทร์กำลังจะร้องทักท้วงว่าไม่ต้องจับมือ แต่ก็ไม่ทัน เมื่อเขาเอ่ยให้สัญญาณขึ้น

“ไป” เมฆาดึงให้หญิงสาววิ่งไปพร้อมๆ กัน จุดหมายปลายทางคือรถยนต์ของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก

แดนดินเห็นเจ้านายกลับมา แถมไม่ได้กลับมาตัวเปล่า แต่มีสาวสวยชุดกระโปรงสีชมพูมาด้วย เขาจึงรีบลงไปเปิดประตูรถให้อย่างรู้งาน

“ขอบใจ รีบออกรถเถอะ”

“ครับคุณเมฆ” เขาค้อมศีรษะรับคำสั่งของเจ้านาย ก่อนจะกลับไปประจำที่สารถีดังเดิม และเมื่อเข้ามาอยู่ในรถ เขาก็เห็นใบหน้าของหญิงสาวนิรนามชัดเจนขึ้น จำได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร

“อ้าว คุณจันทร์นั่นเอง! ทำไมถึงมาเจอกับคุณเมฆได้ครับเนี่ย”

“ฉันมาทำบุญน่ะค่ะคุณเลขาฯ บังเอิญเจอคุณเมฆในโบสถ์” สาวสวยยังคงความสุภาพเหมือนครั้งแรกที่พบ

“พูดมากอยู่นั่นแหละไอ้ดิน บอกให้รีบออกรถ แล้วก็เอาผ้าขนหนูมาให้ฉันกับคุณเขาเช็ดตัวด้วย”

“คร้าบ” แดนดินลากเสียงยาวล้อเลียน 

‘พูดด้วยนิดพูดด้วยหน่อยไม่ได้ ไม่ค่อยจะหวงสาวเลย นายเราเนี่ย!’

“แล้วจะให้ผมขับไปที่ไหนครับ” เขาเอ่ยถามพลางเปิดลิ้นชักรถ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กในห่อส่งให้คนเป็นเจ้านาย

“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน” 

“ไปส่งที่โรงงานของฉันค่ะ รบกวนด้วยนะคะ”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม ไปส่งคุณจันทร์ที่โรงงาน”

“รับทราบครับ” หนุ่มทะเล้นน้อมรับคำสั่ง แล้วเหยียบคันเร่งพุ่งทะยานฝ่าพายุฝนออกไปด้วยความเร็วสูง

เมฆาเลื่อนสายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย เธอกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มของตัวเอง ยิ่งเพ่งพิศมอง เขาก็ยิ่งได้รู้ความจริงที่เคยสงสัยว่า เธอเคยได้ใช้เครื่องสำอางประทินโฉมบ้างหรือเปล่า ก็ได้คำตอบแล้วว่าไม่

ใบหน้าขาวนวลเนียนอมชมพู แพขนตายาวประดับดวงตากลมโตคู่สวย ริมฝีปากสีอ่อนโดยธรรมชาติไม่มีเคลือบสีสันใดๆ 

เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มเงียบไปนาน เธอก็อดจะชวนคุยบ้างไม่ได้ ในเมื่อเขาดีกับเธอมากขนาดนี้ หากเธอนั่งเงียบเฉยๆ ไม่พูดอะไรไปจนถึงโรงงาน ก็คงจะดูไม่มีอัธยาศัยต่อเจ้าของรถเลย

“คุณเมฆมีไร่อยู่ที่เชียงใหม่เหรอคะ”

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ 

“แล้วปลูกอะไรบ้างเหรอคะ”

“ก็หลายอย่างครับ ส้ม สตรอว์เบอร์รี องุ่น แอปเปิล และก็พวกผักสารพัด ยังมีฟาร์มหนอนไหมอีก”

“ดีจังเลยค่ะ ไม่มีความวุ่นวายแสงสีเยอะเหมือนในกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่ายกับพื้นที่การเกษตรและธรรมชาติ คงจะมีความสุขไม่น้อยเลย” 

“แล้วคุณอยากไปอยู่หรือเปล่าล่ะ”

“คะ?” เธอไม่เข้าใจ

“ผมหมายถึงไปเที่ยวน่ะ” 

“อยากไปสิคะ ที่เชียงใหม่มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามอยู่เยอะมาก แต่ฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที” 

“คุณก็อาจจะได้ไปในอนาคตอันใกล้นี้แหละครับ”

เมฆาพูดแฝงความนัยบางอย่าง ซึ่งแม่ชีกุลสตรีศรีสยามของเขาจะไม่มีวันเข้าใจมัน จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง พายุฝนที่เคยโหมกระหน่ำก็หยุดลง แต่อากาศยังคงหนาวชื้นและขมุกขมัว รถยุโรปสีบรอนซ์เงินเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวแล่นมาจอดสนิทที่หน้าโรงงานปุณยภักดิ์ 

“ขอบคุณนะคะที่คุณเมฆกรุณามาส่ง” ม่านพระจันทร์เอ่ยขอบคุณ ยกมือไหว้ชายหนุ่มอย่างอ้อนช้อยงดงามตามความเคยชินที่จะทำความเคารพนอบน้อมผู้อาวุโสกว่า 

“ไม่ต้องทำเหมือนผมมีบุญคุณอะไรกับคุณขนาดนั้นหรอกน่า” เธอทำให้ตัวเขาดูแก่อย่างไรพิลึก

“ไม่ได้หรอกค่ะ...เพราะถึงยังไงฉันก็ทำให้คุณเสียเวลาเดินทาง ขอบคุณอีกครั้งนะคะ และก็ขอบคุณคุณเลขาฯ ด้วยค่ะที่ขับรถมาส่ง”

“โอ้ ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเล็กน้อยเอง” สารถีหนุ่มยิ้มตาหยี โบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน เมื่อสาวสวยยกมือไหว้ขอบคุณตน

ความรู้สึกประทับใจเกิดขึ้นเต็มล้นในใจของเมฆา เมื่อได้เห็นภาพหญิงสาวยกมือไหว้พลางกล่าวขอบคุณลูกน้องของเขาโดยไม่ถือตัวเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยได้พบมา ทั้งที่เธอเป็นถึงลูกสาวเศรษฐี แต่กลับไม่ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง ริมฝีปากหยักหนาคลี่ยิ้มอย่างเป็นสุขใจเมื่อได้เฝ้ามอง

“ลาแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ” 

หญิงสาวกล่าวลา ตั้งท่าเตรียมจะลงจากรถ แต่คนข้างตัวก็รีบคว้าข้อมือเรียวเล็กเอาไว้ 

“เดี๋ยว...” “มีอะไรคะ”

ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มช่างดูเว้าวอนเหลือเกินในยามนี้ นัยน์ตาของเขามีร่องรอยความรู้สึกลึกลับบางอย่างที่เป็นสายใยเชื่อมส่งถึงหัวใจของเธอให้บีบแรงอีกครั้ง

“ผมจะได้เจอคุณอีกเมื่อไหร่”

“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะคะ” เธอแปลกใจ

“เปล่าหรอก เผื่อเดือนหน้าต้องมีธุระเรื่องผลไม้ที่จะส่งมาที่โรงงานของคุณน่ะ” 

“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็โทร. มาที่เบอร์ของคุณพ่อได้เลยค่ะ คุณเมฆคงจะมีเบอร์ของคุณพ่อแล้วใช่ไหมคะ”

“มีแล้ว แต่ว่าผมจะขอเบอร์โทรศัพท์คุณเอาไว้ติดต่อด้วย กรณีที่ติดต่อพ่อของคุณไม่ได้” เมฆายื่นโทรศัพท์มือถือให้หญิงสาว

“ได้ค่ะ” นิ้วเรียวจิ้มหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเอง และกดบันทึกเอาไว้ให้เสร็จสรรพโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก

“เรียบร้อยค่ะ งั้นฉันไปนะคะ” ร่างบางในชุดกระโปรงสีชมพูเปิดประตูก้าวลงจากรถ และเดินหายเข้าไปในโรงงานใหญ่จนลับสายตา

“แหม คุณเมฆเนี่ยปากแข็งอีกแล้วนะครับ” เมื่อสาวสวยไม่อยู่แล้ว แดนดินจึงได้โอกาสแซว หลังจากที่นั่งเงียบฟังมุกจีบสาวอันแนบเนียนของเจ้านาย

“ปากแข็งอะไรของแก”

“ทำเป็นเอาเรื่องธุรกิจมาอ้าง ทั้งที่ความจริงคุณเมฆแค่อยากจะพบหน้าคุณจันทร์บ่อยๆ ไหนจะมุกขอเบอร์ติดต่ออีก ผมรู้ทันหรอกนะ”

“แกเป็นตัวฉันหรือไง ถึงได้รู้ดีนัก” ราชาบ้านไร่ว่าเสียงขรึม วางมาดทำนิ่งโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เจ้าลูกน้องจอมทะเล้นจับได้

“ยิ่งกว่ารู้ดีอีกครับ เพราะคุณเมฆไม่เคยมีอาการแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน แต่ผมก็ไม่สงสัยเหตุผลที่คุณเมฆตกหลุมรักเธอหรอกครับ เพราะคุณจันทร์น่ะสวยหยาดฟ้ามาดิน พูดจาไพเราะ กิริยาท่าทางและมารยาทก็เรียบร้อย ผมเชียร์สุดใจเลยครับ อยากได้คุณจันทร์คนนี้มาเป็นนายหญิงของผม ฮ่าๆ”

“เวอร์ ฉันไม่ได้ชอบคนเรียบร้อยขนาดนั้น” 

เมฆาตอบปฏิเสธ ทั้งที่ความจริงเขาพูดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับใจมากที่สุด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น