5

คำสั่งเผด็จการ

5

คำสั่งเผด็จการ

 

เรือนไม้ทรงไทยเก่าทรุดโทรมหลังเล็กๆ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ในป่าใหญ่ กว่าจะเดินทางเข้ามาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องจอดรถและเดินต่อเข้ามาอีกหนึ่งกิโลเมตร

คุณนายเอื้องกลิ่นเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบันไดขึ้นเรือนนั้นพร้อมกับชายฉกรรจ์ผู้ติดตามอีกสามคน และคนรับใช้คนสนิทอย่างนางเฟื้อง

“ถือเอาไว้ดีๆ ล่ะ ถ้าเป็นรอยแม้แต่นิดเดียวละก็ ฉันจะหักเงินเดือนพวกแก” คุณนายส่งกระเป๋าแบรนด์เนมแสนแพงให้หนึ่งในบรรดาลูกน้องถือเอาไว้ ตบท้ายด้วยคำขู่ที่ทำเอาก้มหน้านิ่งเงียบกันทุกคน

“เฟื้อง แกขึ้นไปกับฉัน” 

“ค่ะคุณนาย” นางเฟื้องรีบเดินตามเจ้านายขึ้นบันได ทันทีที่ขึ้นมาถึงบนเรือน หญิงสาวรุ่นๆ แต่งกายด้วยชุดนุ่งขาวห่มขาวก็เดินออกมาต้อนรับอย่างคุ้นเคย

“สวัสดีเจ้า คุณนายเข้ามาเต๊อะ แม่หมอกำลังคอยอยู่เลยเจ้า” เธอเอ่ยเชื้อเชิญเป็นภาษาถิ่น ก่อนจะเดินนำทั้งคู่ไปที่ห้องรับรอง

หญิงสูงวัยอายุราวหกสิบเศษกำลังนั่งเคี้ยวหมากอยู่บนเบาะรองนั่ง เมื่อเห็นลูกค้าเศรษฐินีขาประจำเดินเข้ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า จึงหยิบกระโถนข้างกายมาบ้วนหมาก 

“เหมือนเดิมเจ้าค่ะแม่หมอ” คุณนายเอื้องกลิ่นเอ่ย คำว่า ‘เหมือนเดิม’ ของนางคือการดูดวงรายเดือน ซึ่งนางจะมาดูกับแม่หมอผู้นี้เป็นประจำทุกๆ เดือน ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องความแม่นยำ เพราะถ้าไม่ดูแม่น นางคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้นับครั้งไม่ถ้วน

“อืม” แม่หมอส่งพานค่าครูให้คุณนาย แล้วจำนวนเงินที่ได้รับกลับมาคือ ธนบัตรหนึ่งพันสี่ใบ 

หญิงสูงวัยถึงกับยิ้มออกเมื่อเห็นจำนวนเงินในพานนั้น ก่อนจะเริ่มทำนายดวงชะตาจากวันเดือนปีเกิด และเส้นลายมือควบคู่ไปด้วย

“เดือนนี้คุณนายราบรื่นดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรมาทำให้ขัดข้องหมองใจแน่นอน ทั้งการงาน กิจการที่บ้านก็ราบรื่น แต่ให้ระวัง อย่าประมาทศัตรูคู่แข่ง...”

“เห็นมั้ยนังเฟื้อง ฉันน่ะว่าแล้ว ว่าพวกไร่พนารักษ์มันกำลังขยายตัวแข่งกับเรา” คุณนายก้มลงไปกระซิบกระซาบกับหญิงรับใช้ที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน

“ใช่ค่ะคุณนาย แม่หมอนี่แม่นมากเลยนะคะ” 

“ไม่เสียแรงที่ฉันทุ่มเงิน” 

“จริงค่ะ” นางเฟื้องตอบเป็นลูกคู่ลูกรับให้ แน่ละ เจ้านายของนางจะไม่ยอมเสียเงินโดยใช่เหตุให้กับเรื่องใดๆ นอกจากเรื่องดูดวง

“แต่เดี๋ยวก่อนนะคุณนาย...” เสียงของแม่หมอเอ่ยร้องทักขึ้น ทำให้คุณนายเอื้องกลิ่นรีบหันหน้ากลับมาถามอย่างร้อนใจ

“มีอะไรเจ้าคะแม่หมอ”

“ลูกชายของคุณนายกำลังมีเคราะห์นา” 

“อะไรนะเจ้าคะ! พ่อเมฆน่ะเหรอ”

“ใช่แล้วละ รีบเขียนชื่อกับวันเดือนปีเกิดมาให้ข้าดูด่วน”

คุณนายลนลานจดชื่อและวันเดือนปีเกิดของลูกชายลงบนกระดาษด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าลูกชายคนเดียวจะมีเคราะห์ 

“นี่เจ้าค่ะแม่หมอ”

“อืม” หญิงสูงวัยหลับตาลง ทำปากงึมงำอยู่สักครู่

“ลูกชายของฉันจะมีเคราะห์อะไรเจ้าคะแม่หมอ”

“เคราะห์อุบัติเหตุ ไม่ตาย แต่ก็ถึงขั้นสาหัสขนาดเสียแข้งเสียขา”

“แล้วแบบนี้จะทำยังไงดีเจ้าคะแม่หมอ มีทางแก้บ้างไหมเจ้าคะ” คุณนายถามเสียงเครือ เป็นห่วงลูกชายเหลือเกิน เพราะพ่อตัวดีเพิ่งจะเดินทางเข้าไปทำธุระในกรุงเทพฯ เมื่อวานซืน

“ทางแก้มีทางเดียว นั่นคือต้องหาคู่ครองมาตัดกรรมและเสริมบารมี”

“หมายถึงแต่งงานน่ะเหรอเจ้าคะ!”

“ใช่ ต้องแต่งภายในเดือนหน้าด้วย เพราะเดือนถัดไปจะเป็นช่วงที่เคราะห์กรรมของลูกชายคุณนายกำลังตามมาสนอง”

“พ่อเมฆเขาจะไม่ยอมแต่งนี่สิเจ้าคะ อายุก็เข้าเลขสามแล้วด้วย” นางหนักใจก็ตรงนี้ ลูกชายหัวดื้อเกินกว่าจะรับฟัง 

“คุณนายต้องจับแต่งงานให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องง่อยเปลี้ยเสียขา และจากที่ได้ตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เนื้อคู่ที่จะมาเสริมบารมีให้กับเขาคือ ลูกสาวของกำนันสิงห์คำ”

แม่หมอยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าของลูกค้าขาประจำจึงเปลี่ยนจากเศร้าหมองเป็นยิ้มแย้มดีใจทันทีเมื่อได้ยิน

“โอ! หมายถึงหนูแก้วตาน่ะเหรอเจ้าคะ คือเนื้อคู่ของพ่อเมฆ” คุณนายอุทานเสียงหลง ดีใจเหลือเกิน ว่าแล้วไม่มีผิด เซนส์ของนางบอกอยู่เสมอว่าแก้วตาคือว่าที่ลูกสะใภ้ของนาง

“ใช่แล้ว เขาเป็นคู่กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ถ้าได้แต่งงานกันภายในเดือนหน้า ลูกชายคุณนายจะหมดเคราะห์ และจะร่ำรวยมีอำนาจชื่อเสียงมหาศาลกว่าเดิมที่เป็นอยู่”

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะแม่หมอ” 

คุณนายเอื้องกลิ่นกับนางเฟื้องก้มลงหมอบกราบลาแม่หมอด้วยความเคารพบูชา เตรียมพร้อมจัดการงานแต่งงานทุกอย่างให้ทันภายในเดือนหน้า ถึงพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่ยอม นางก็จะต้องทำให้ยอมให้ได้

“ฉันลานะเจ้าคะแม่หมอ” 

“เอ้อ โชคดีๆ พ้นทุกข์พ้นเคราะห์” แม่หมออวยพรส่งท้าย

หลังจากคุณนายเอื้องกลิ่นและหญิงรับใช้กลับไปแล้ว เสียงโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่อยู่ข้างกายก็ดังขึ้น หญิงสูงวัยหยิบขึ้นมากดรับสายทันที

“ฮัลโหลค่ะ” นางกรอกเสียงไปตามสาย

“เรียบร้อยดีไหม”

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะคุณแก้วตา คุณนายเชื่อสนิท” 

“ดี หลังจากงานนี้จบ ฉันจะโอนเงินให้อีกหนึ่งแสน”

ปลายสายหัวเราะร่า เพราะแค่เงินหนึ่งแสนบาท มันก็ยังไม่ได้ถึงเศษเสี้ยวของทรัพย์สมบัติที่ตนกำลังจะได้ครอบครอง หากงานนี้สำเร็จ

“โอ๊ย! ได้ค่ะได้ ขอบคุณนะคะคุณแก้วตา ไว้มีอะไรเรียกใช้ได้เสมอค่ะ” 

แม่หมอทำเสียงอ่อนเสียงหวานประจบทิ้งท้าย ก่อนกดตัดสายไปอย่างอารมณ์ดี นางได้ค่ามัดจำจากลูกสาวกำนันถึงห้าหมื่นบาท เยอะกว่าที่ยายคุณนายจอมขี้เหนียวนั่นให้เป็นไหนๆ ยังไม่นับรวมค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลที่กำลังจะได้ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า

หญิงสูงวัยจอมโลภเอนกายนอนลงบนเบาะนุ่ม เตรียมฝันหวานถึงเม็ดเงินมหาศาล อาชีพนี้ช่างแสนสบาย กะอีแค่แต่งกายนุ่งขาวห่มขาว แต่งห้องให้ดูขลัง เคี้ยวหมากพลูเหมือนในละครและหลับตาทำปากขมุบขมิบ เดามันส่งๆ ไปก็ได้เงินใช้อย่างสบายๆ แล้ว 

 

เมฆาเดินทางกลับมาถึงไร่วรานุกรในช่วงหัวค่ำ พอเดินเข้ามาในบ้านก็นึกแปลกใจที่เห็นมารดาตั้งสำรับกับข้าวรอท่า อีกทั้งยังยิ้มหน้าระรื่นราวกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ทั้งที่ปกติแล้วแม่ของเขาเป็นเสือยิ้มยาก มักจะวางท่าตั้งตัวเป็นคุณนายผู้สูงศักดิ์อยู่เสมอๆ

“กลับมาแล้วหรือพ่อเมฆ มากินข้าวกันเร็ว วันนี้แม่ลงครัวทำของโปรดลูกไว้ตั้งหลายอย่าง”

“ความจริงแม่น่าจะกินไปก่อน ไม่ต้องรอผมก็ได้ ถ้าผมกลับดึก แม่คงไม่ต้องกินข้าวกันพอดี” 

บุรุษหนุ่มว่าพลางเดินมานั่งที่โต๊ะ มองดูอาหารหลายๆ อย่างก็ยิ้มออก แต่ละเมนูล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเขา แกงอ่อมหมู ไส้อั่ว แคบหมู และน้ำพริกอ่อง ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้ลิ้มรสฝีมือของมารดา ส่วนใหญ่แล้วนางเฟื้องจะเป็นคนทำ

“แล้วคุณตาล่ะครับ” เขาไม่ลืมถามหาประมุขของบ้าน

“คุณตากินข้าวเสร็จก็นอนไปแล้วละ อะ นี่จ้ะ กินเยอะๆ เลยนะ” นางตักข้าวใส่จานส่งให้ลูกชาย

“ขอบคุณครับ” 

“พ่อเมฆ แม่ถามจริงๆ พ่อเมฆก็อายุสามสิบสองแล้วนะ ไม่คิดจะแต่งงานแต่งการกับเขาบ้างเหรอ” 

คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อมารดาพาเข้าเรื่องแต่งงานอีกแล้ว ซึ่งเขาก็ยืนยันจะให้คำตอบเหมือนเดิม

“ผมยังไม่เจอใครที่ถูกใจครับ ที่สำคัญผมก็ไม่ได้นึกอยากจะแต่งงานด้วย ไม่มีผู้หญิงคนไหนคู่ควรกับผมมากพอ”

“ทำไมจะไม่มีคนที่คู่ควรล่ะ หนูแก้วตาอย่างไรเล่า”

จู่ๆ กับข้าวที่กินก็หมดความอร่อย เมื่อได้ยินชื่อของยายจอมน่ารำคาญ เมฆาพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาแทนคำตอบ เพราะคร้านจะโต้เถียง

“หนูแก้วตาทั้งสวย ทั้งฉลาด ฐานะดีทัดเทียมเรา ที่สำคัญหนูแก้วตาน่ะรักพ่อเมฆมากนะ ขนาดเขาไปเรียนไกลถึงกรุงเทพฯ ก็ยังมีแก่ใจแวะเวียนมาหาทุกครั้งที่กลับมาบ้านกำนัน” คุณนายเอื้องกลิ่นสรรเสริญความดีของว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคต

“ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะแม่นั่นเอากระเป๋าแบรนด์เนมมาถวายแม่ทุกครั้งที่เจอหรอกเหรอครับ” เขาแย้งเสียงเย็น

“เอ๊ะ! มันไม่เกี่ยวอะไรกับกระเป๋าพวกนั้นเลยนะ” ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ก่อนจะเริ่มเข้าประเด็นโดยไม่อารัมภบทให้เสียเวลาอีกต่อไป 

“วันนี้แม่ไปดูดวงที่บ้านแม่หมอ ท่านบอกว่าพ่อเมฆกำลังจะมีเคราะห์หนักถึงขนาดง่อยเปลี้ยเสียขา ทางแก้ทางเดียวคือลูกต้องแต่งงานกับหนูแก้วตาซะ!”

เมฆาปล่อยหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ฟัง มีที่ไหนสะเดาะเคราะห์ด้วยการแต่งงานกัน

“ขำอะไรหา! นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ แม่หมอท่านแม่นแค่ไหนลูกก็รู้ ท่านยังบอกอีกด้วยว่าพ่อเมฆกับหนูแก้วตาเป็นเนื้อคู่กันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ต้องแต่งงานเพื่อเสริมบารมีให้กัน ลูกจะได้พ้นเคราะห์” 

“แม่อย่างมงายไปหน่อยเลยครับ หมอดูมันก็คือหมอเดานั่นแหละ ทำมารู้เป็นตุเป็นตะว่าผมเป็นเนื้อคู่กับคนโน้นคนนี้ เหอะ น่าสมเพช หากินบนความงมงายของคนอื่น” 

“หยุดลบหลู่แม่หมอเดี๋ยวนี้นะ!” คุณนายเอื้องกลิ่นขึ้นเสียงอย่างเดือดดาล “ยังไงซะพ่อเมฆก็ต้องแต่งงานในเดือนหน้า แม่คุยกับกำนันเรื่องสู่ขอหนูแก้วตาแล้วด้วย กำนันเขาก็ไม่ขัดข้องอะไร”

“ทำไมแม่ไม่ถามความสมัครใจของผมเลยว่าผมอยากแต่งงานหรือเปล่า!” คราวนี้ลูกชายเริ่มโกรธมารดาขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาอีกฝ่ายแค่พยายามโน้มน้าวเขาให้เปิดใจกับยายแก้วตานี่ แต่คราวนี้ข้ามเส้นถึงขนาดมัดมือชกให้แต่งงาน

“ลูกกำลังจะมีเคราะห์หนัก! จะให้แม่นิ่งเฉยโดยที่ไม่ทำอะไรงั้นหรือ นี่คือทางแก้ปัญหาทางเดียวที่จะช่วยให้พ้นเคราะห์ และแม่หมอยังบอกแม่อีกว่าทันทีที่แต่งงาน ชีวิตของพ่อเมฆจะดีขึ้น เพราะมีหนูแก้วตาช่วยเสริมบารมีให้”

“ผมไม่อยากฟังเรื่องเคราะห์กรรมงี่เง่านั่น ผมไม่สน เพราะผมไม่เชื่อหมอดู ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางแต่งงานกับยายแก้วตานั่นเด็ดขาด” เมฆายื่นคำขาดแล้วผุดลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เกิดอิ่มข้าวทั้งที่กินไปได้ไม่กี่คำ

“ทำไมถึงได้ดื้อด้านแบบนี้! ลูกต้องแต่งงาน! แม่เตรียมงานแต่งงานทุกอย่างพร้อมแล้วในเดือนหน้า ยังไงก็ต้องแต่ง!”

“ผมไม่แต่ง! ถ้าแม่ยังไม่เลิกบังคับผมอีกละก็ ผมจะหาเมียแต่งเข้ามาเอง แม่จะได้เลิกเซ้าซี้ให้ผมไปแต่งงานกับยายนั่น” บุรุษหนุ่มรีบสาวเท้าเร็วๆ ให้พ้นไปจากห้องโถง ไม่อยากจะทะเลาะกับมารดาให้เป็นบาปเสียเปล่าๆ 

ชีวิตเขาถูกล้ำเส้นเข้ามาทุกขณะ เห็นทีคราวนี้ เขาคงต้องหาเมียแต่งเข้ามาในบ้านเองตามคำแนะนำของคุณตาจริงๆ เสียแล้ว

 

“คุณนายกับคุณเมฆเขามีเรื่องทะเลาะอะไรกันน่ะแม่” แดนดินเอ่ยถามมารดา เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาถึงครัวหลังบ้าน ซึ่งตนกำลังนั่งกินข้าวรวมกับคนรับใช้ทุกคนในบ้านใหญ่

“ข้าจะไปรู้เรื่องของเจ้านายไหมล่ะ ข้าก็นั่งกับเอ็งอยู่ตรงนี้” นางเฟื้องว่า แต่ก็มิวายเดินออกไปดู แล้วสักครู่ก็กลับเข้ามา

“คุณเมฆหนีขึ้นนอนไปแล้ว ข้าว่าต้องทะเลาะกันเรื่อง...”

“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะป้า” หนึ่งในบรรดาสาวใช้ถามขึ้นบ้าง

“เรื่องที่คุณนายจะบังคับให้คุณเมฆแต่งงานกับคุณแก้วตาน่ะสิ”

“หา!” ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน

“ก็วันนี้ข้าตามคุณนายไปหาแม่หมอมา แม่หมอท่านทักว่าคุณเมฆกำลังจะมีเคราะห์ ถึงขนาดง่อยเปลี้ยเสียขาเชียวนา และแม่หมอยังบอกทางแก้มาอีกด้วยว่า คุณเมฆจะต้องแต่งงานกับคุณแก้วตาเพื่อเสริมบารมี ขจัดกรรม หากไม่แต่งภายในเดือนหน้า คุณเมฆจะต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรง”

“โอ้โห แม่หมอท่านรู้ลึกถึงขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ”

“อูย...น่ากลัวจริง ฉันเคยได้ยินว่าแม่หมอคนนี้เขาทำนายแม่นมากเสียด้วย” 

“นั่นสิ แล้วถ้าเกิดคุณเมฆพิการขึ้นมาล่ะ อึ๋ย...”

“พอได้แล้วพวกเอ็งน่ะ เลิกเชื่อเรื่องงมงายไร้สาระนี่สักที มันไม่เกิดขึ้นจริงหรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาวิตกจริตกันว่าคุณเมฆจะง่อยเปลี้ยเสียขา” แดนดินว่าเข้าให้อย่างโกรธๆ เจ้านายของเขาไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมต้องเอามาพูดกันสนุกปากให้เป็นลางไม่ดีแบบนั้น

“ชิชะ วอนซะแล้วไอ้นี่ อย่าได้ไปลบหลู่แม่หมอท่าน” นางเฟื้องชี้หน้าลูกชายตัวดี

“แม่ก็เป็นไปกับคุณนายด้วยเหรอเนี่ย” เขาส่ายศีรษะ พลางถอนใจเฮือกใหญ่

“มันไม่ใช่เรื่องงมงายนะโว้ย!” นางแย้งเสียงดัง

“ไหนแม่อธิบายซิว่ามันไม่งมงายยังไง ถ้าคุณเมฆจะมีเคราะห์จริงๆ ทางแก้ก็คือการทำบุญทำทาน ไม่ใช่มาแต่งงานเสริมบารมี แล้วมันจะไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ ที่ยายแม่หมอนั่นชี้เป้ามาที่ผู้หญิงคนเดียวที่ตามตื๊อคุณเมฆมาหลายปี” 

“แล้วแต่งงานกับคุณแก้วตานี่มันเสียหายตรงไหน ทั้งสวย ทั้งรวย เป็นลูกสาวผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นเรา เห็นไหมว่าทัดเทียมคุณเมฆเกือบทุกอย่าง แถมคุณนายก็รักและเอ็นดูเธอมาก”

แดนดินนึกสมเพชในใจ ทั้งคนงานในไร่ นอกบ้านหรือในบ้านใหญ่ ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าคุณนายเอ็นดูลูกสาวกำนันเพราะกระเป๋าราคาแพง แม่เขาก็รู้ รู้ดีกว่าใครๆ ด้วยซ้ำ เพราะหากคุณนายหมดอำนาจในบ้านหลังจากมีงานแต่งงานแล้ว แม่ก็จะพุ่งไปเกาะแข้งเกาะขานายหญิงคนใหม่ต่อไป คนเป็นลูกอย่างเขาน่ะย่อมรู้ทันแผนการของคนเป็นแม่ทุกอย่าง

“แม่ก็รอดูต่อไปแล้วกัน ยังไงเจ้านายผมก็ไม่แต่งกับผู้หญิงคนนี้แน่”

“หึ แล้วเอ็งคิดว่าคุณเมฆจะฝืนคำสั่งคุณนายได้จริงหรือ คุณนายท่านเป็นแม่”

“คุณเมฆไม่เคยขัดใจคุณนาย ยกเว้นเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเด็ดขาดแค่ไหน ที่ผ่านมาพวกเราก็เห็นๆ กันอยู่ ยิ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างการแต่งงาน เขาไม่ยอมให้ใครมาบังคับแน่” ชายหนุ่มรู้นิสัยของเจ้านายผู้ซึ่งเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งของตนอย่างดี

“อ้อ ผมจะบอกให้แม่ฟังอีกอย่าง คุณเมฆมีผู้หญิงที่สนใจจะคบหาอยู่แล้วด้วย ไม่ต้องไปเชียร์คนอื่นให้เสียเวลาหรอก”

“โถไอ้นี่ ยอกย้อนข้าเรอะ เดี๋ยวปั๊ดตีด้วยสากกะเบือเสียเลย!” นางเฟื้องยกสากที่ใช้ตำพริกอยู่ง้างไปที่เจ้าลูกชายเป็นการขู่ 

“แบร่ เก่งจริงก็ตามมาดิ โถ่ แม่วิ่งไม่ทันผมหรอก” แดนดินผละจากจานข้าวไปในเวลาอันรวดเร็ว มิวายหันมาล้อเลียนมารดา ก่อนจะวิ่งตึงตังหนีไปที่ห้องนอนของตัวเอง

“กวนตีนได้พ่อมันจริงๆ เลย” นางบ่นอย่างเอือมระอา

“อ้าว แม่เฟื้อง พูดให้มันดีๆ นา เกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ” ตาบุญมากที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยโต้เถียงคนเป็นเมียกลับ

“เกี่ยวสิ! เพราะเอ็งเป็นพ่อมันไง ไม่รู้จักสั่งสอนมันให้มีสัมมาคารวะเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”

“เอ็งเป็นแม่ เอ็งนั่นแหละมีหน้าที่สอน วันๆ มัวแต่บ่นๆ ด่าๆ แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาวะ”

“หน็อยแน่แก กล้ายอกย้อนข้าเรอะตาบุญ!”

แล้วสงครามผัวเมียก็เกิดขึ้นภายในห้องครัวนั้น อีนุงตุงนังวุ่นวายไปหมด เหล่าคนงานคนใช้ที่นั่งกินข้าวกันอยู่ต่างก็หัวเราะเฮลั่นกันสนุกสนาน ราวกับกำลังเชียร์มวยคู่โปรด เป็นสีสันและความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นภายในบ้านวรานุกร

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น