5

ทะเลดาว


ทะเลดาว

 

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสรัชก็ขับรถพาพิมพ์พิชญากับปวันวาตกลับมาส่งที่บ้าน ก่อนที่เขาจะเข้าไปในไร่ เห็นว่ามีคนงานป่วยหนักจะต้องพาไปโรงพยาบาล เป็นครั้งแรกที่หล่อนเห็นเขาขับรถยนต์ เพราะโดยปกติแล้วสรัชจะไปไหนมาไหนด้วยจักรยานคู่ใจสีฟ้าของเขานั่นละ มีนมีนาพูดกับหล่อนก่อนกลับมาที่บ้านว่า

‘พี่ลมเขาชอบทำอะไรช้าๆ อย่างนี้ละค่ะ หมายถึงชอบที่จะใช้ชีวิตไม่รีบร้อน ชอบดื่มด่ำบรรยากาศอะไรแบบนี้ ยิ่งตอนเช้าๆ จะชอบมานั่งดื่มชาครั้งละนานๆ อยู่ที่ระเบียงบ้านนั่นแหละ เขาเป็นพวกรักสงบ’

พิมพ์พิชญาขำออกมาเบาๆ ตอนที่ฟังมีนมีนาเล่าถึงพี่ชายในหลายๆ เรื่อง พูดก็พูดเถอะ หล่อนแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสรัชเลย จำได้เพียงใบหน้าของเขา กับชื่อและนามสกุลเท่านั้น นิสัยใจคอของผู้ชายคนนี้หล่อนก็ไม่เคยได้สัมผัสเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเรื่องที่ได้รับรู้จากปากของน้องสาวเขาจึงเป็นเรื่องราวใหม่ๆ และค่อนข้างน่าสนใจสำหรับหล่อนมากทีเดียว

พิมพ์พิชญาไม่แปลกใจนักตอนที่มีนมีนาบอกว่าสรัชชอบคิดและทำอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน ข้อยืนยันอย่างหนึ่งก็คงเป็นเรื่องที่เขาตื่นขึ้นมาปลูกต้นไม้กลางดึกนั่นแหละ หญิงสาวหมดสิ้นข้อสงสัยในเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของเขา หญิงสาวก็เหมือนจะสัมผัสได้ตลอดช่วงเวลาที่มาอยู่ที่นี่

‘แม่ยังบ่นเลยค่ะว่าไม่น่าตั้งชื่อเขาว่าลม เพราะพี่ลมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันนิสัยยังกับเด็ก บางวันก็ลุกขึ้นมาทำขรึมจนลูกน้องเข้าหน้าไม่ติดก็มี’

หล่อนรับฟังเรื่องราวของสรัชไปเรื่อยๆ คนที่เหมือนจะไม่ได้กลับมาพบกันตลอดชั่วชีวิต แต่อยู่ดีๆ ก็โดนผลักให้มาเจอกันจนได้ สิ่งแรกที่พิมพ์พิชญาคิดเสมอคืออนาคตของลูก ตอนที่ตัดสินใจมาที่นี่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะรับหรือไม่รับ ไม่ได้คิดแม้กระทั่งว่าเขาเป็นคนดีหรือคนไม่ดีอย่างไร เพียงแค่ตอนนั้นมันไม่มีทางเลือก และหล่อนก็ทำได้เพียงอย่างเดียวคือการเดินดุ่มๆ มาบอกเขาว่าเขาทำหล่อนท้องเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น

พิมพ์พิชญาขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดม่านสีขาวออกแล้วทอดตามองไปยังคนที่กำลังลงจากรถ เห็นเขาถือของมาเต็มไม้เต็มมือขณะที่เดินผ่านบริเวณสวนหน้าบ้านเข้ามายังบ้านหลังนี้ หญิงสาวหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมเพราะรู้สึกว่าอากาศข้างนอกน่าจะเย็นมากทีเดียว ก่อนจะเดินลงมายังชั้นล่าง

ไฟบริเวณห้องรับแขกถูกเปิดจนสว่าง สรัชนอนอยู่บนโซฟา เขาหลับตานิ่ง มือก่ายที่หน้าผาก พิมพ์พิชญาเดินลงมาช้าๆ พยายามไม่ให้เขารู้สึกตัว ทว่าพอก้าวลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น ทอดสายตามองหล่อนนิ่งๆ จนคนถูกมองถึงกับต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเขามองอะไร

“ทำไมไม่ล็อกประตูบ้าน” คนถามถามเสียงเข้ม หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืม สรัชทำเสียงดุพร้อมกับมองหล่อนด้วยแววตาตำหนิ

“ลืม” หล่อนตอบความจริง ไม่มีข้ออ้างอะไรทั้งสิ้นเพราะว่าลืมจริงๆ

“คราวหน้าคราวหลังถ้าเข้าบ้านแล้วก็ต้องปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อย อยู่ที่นี่ถึงมันจะปลอดภัย แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน อ้อ คุณต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะที่นี่ไม่มีใครเขามาคอยทำอะไรให้คุณเหมือนตอนอยู่ที่บ้านของคุณหรอกนะ” สรัชพูดยาวเหยียด โดยไม่เว้นช่องว่างให้หล่อนได้แก้ต่างเลยแม้แต่น้อย

“รู้ได้ยังไงว่าที่บ้านฉันมีคนทำให้” พิมพ์พิชญาเถียงขึ้นบ้าง

“ไม่รู้” เขาตอบง่ายๆ แค่นั้น “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ไม่ต่างกันหรอกค่ะ” หล่อนว่าเสียงหนัก “ฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณเหมือนกัน!”

พิมพ์พิชญาพูดจบก็ตัดบทโดยการเดินกลับขึ้นไปข้างบน แต่สรัชเรียกเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรแล้วเดินเข้ามาใกล้หล่อน

“พรุ่งนี้ผมจะพาไปโรงพยาบาล มีนัดตรวจดีเอ็นเอ” เขาพูดเสียงเรียบ จ้องลึกลงไปในดวงตาของหล่อน ราวกับว่ากำลังจะหาอะไรบางอย่าง

หญิงสาวจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน หล่อนไม่เคยกลัวการตรวจดีเอ็นเอเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนอกจากเขา...หล่อนก็ไม่มีใครอีก

“ได้ค่ะ”

สรัชล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกางเกง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินกลับไปนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม พิมพ์พิชญาเตรียมจะกลับขึ้นไปข้างบน หากหล่อนไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเสียก่อน...

ใช่! เสียงของหล่อนเอง...ดังมาจากมือถือของสรัช

หญิงสาวหมุนตัวกลับไปมองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม หมายจะคว้าโทรศัพท์ของเขา แต่เขาก็เร็วพอจึงหลบทัน

“ผมกำลังดูซีรีส์ที่คุณแสดง” เขาว่าก่อนจะระบายยิ้มล้อๆ “ตอนนั้นคุณยังดูเด็กกว่านี้ตั้งมาก...เหมือนพวกเด็กมอปลาย”

“ห้ามดู” พิมพ์พิชญาว่าเสียงเข้ม หล่อนไม่อยากให้เขาดูตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว “ฉันบอกว่าไม่ให้ดู”

หญิงสาวเอื้อมมือหมายจะคว้าโทรศัพท์ของเขา แต่สรัชยกมือขึ้นพร้อมกับเอียงตัวไปข้างหลัง ทำให้หล่อนเสียหลักล้มลง แต่อย่าคิดว่าฉากนี้มันจะเป็นฉากหวานชื่นที่หล่อนจะล้มลงไปทับเขาเด็ดขาด เพราะนอกจากสรัชจะไม่พยายามจับหล่อนเอาไว้แล้ว เขายังเบี่ยงตัวหลบออกไปจนทำให้หญิงสาวล้มลงฟาดกับโซฟาอย่างจังอีกต่างหาก!

เขามองหล่อนก่อนจะขำออกมาเบาๆ ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเหยียดยิ้มกว้าง ก่อนที่เขาจะเอาโทรศัพท์ที่มีรูปของหล่อนมาให้ดู ถ้าหากเป็นรูปธรรมดาพิมพ์พิชญาคงจะไม่โกรธเท่านี้ แต่นั่นมันเป็นรูปที่เขาใช้โปรแกรมทำให้มันน่าเกลียดมากกว่าแต่งให้มันดีขึ้น

หล่อนมองใบหน้าของตัวเองที่บวมเป่งเหมือนลูกโป่ง รูจมูกบานใหญ่ราวกับเป็นทางเข้าถ้ำ ริมฝีปากหนาเตอะ ฟันดำอีกต่างหาก!

“ตลกดี” เขาว่าพร้อมกับอมยิ้ม

พิมพ์พิชญาลุกขึ้นก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หล่อนมองเขาอย่างอาฆาตก่อนสะบัดหน้าหนีแล้วเดินเร็วๆ กลับขึ้นไปข้างบน

“ระวังสะดุด!” เสียงของเขาดังขึ้นขณะที่หล่อนกำลังจะก้าวขึ้นบันได

พิมพ์พิชญาแทบหน้าคว่ำเพราะดันสะดุดจริงๆ สะดุดทั้งที่ไม่มีอะไรขวางอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

สรัชจงใจแกล้งหล่อน!

หญิงสาวหันกลับไปมองเขานิ่งๆ เห็นเขามองหล่อนอยู่เช่นกัน ทว่าใบหน้าที่ควรจะเปื้อนยิ้มสะใจของเขากลับไม่เป็นอย่างที่หล่อนคิด กลับกัน แววตานิ่งสนิททอดมองมาด้วยความวูบไหว มันเป็นแววตาที่หล่อนดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเขากำลังคิดอะไร แต่มันสะท้อนความมุ่งมั่นอะไรบางอย่างที่หล่อนก็หาคำตอบไม่ได้

“ผมกำลังทำความรู้จักกับคุณให้มากกว่านี้...คุณเป็นคนดังนี่ ประวัติของคุณผมหาได้ไม่ยากหรอก ถึงมันจะไม่มี

อะไรสำคัญก็เถอะ”

เมื่อก่อนหล่อนดังมากก็จริง แต่พิมพ์พิชญาไม่เคยมีข่าวเสียหายในระหว่างนั้น ยกเว้นข่าวลือเรื่องท้อง แต่ก็ถูกลบออกไปจนหมดแล้วโดยฝีมือของพ่อหล่อน ส่วนมากมักจะเป็นข่าวเกี่ยวกับซีรีส์ที่หล่อนแสดงและงานอีเวนต์ต่างๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ยิ่งเรื่องครอบครัวหล่อนยิ่งไม่เคยมีข่าวอะไร...

“ถ้าเกิดวันหนึ่งผลมันออกมาว่าผมเป็นพ่อของวินดี้จริงๆ...ผมก็อยากจะรู้ว่าแม่ของลูกผมเขาเป็นคนยังไงเหมือนกัน”

 

พิมพ์พิชญาตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปโรงพยาบาลตามที่สรัชบอก ชายหนุ่มมานั่งรอตั้งแต่ก่อนหล่อนกับลูกจะลงมาจากชั้นบนเสียอีก ดีหน่อยที่หล่อนตื่นมาทำกับข้าวตั้งแต่เช้า น้ำผึ้งมาช่วยทำด้วยหล่อนจึงบอกให้ยกไปให้เขาที่บ้านนู้น วันนี้เขาแต่งตัวภูมิฐานกว่าทุกวัน เสื้อแขนยาวสีขาวสะอาดตาพับแขนกับกางเกงยีนสีเข้ม เข้าคู่กับรองเท้าหนังสีน้ำตาล ทรงผมของสรัชถูกจัดแต่งเรียบร้อย หนวดที่เคยขึ้นเขียวครึ้มก็ถูกโกนจนสะอาดสะอ้านดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นตั้งกอง!

ปวันวาตสวมเสื้อเสวตเตอร์ไหมพรมสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน ผมสีดำขลับถูกมัดรวบเรียบร้อยติดโบสีฟ้าดูน่ารัก วันนี้เด็กหญิงมีกระเป๋าสะพายใบเล็กติดมาด้วย ชายหนุ่มวางนิตยสารลงบนโต๊ะ ก่อนลุกขึ้นเมื่อเห็นเด็กหญิงเดินลงบันไดมา พร้อมกับที่ริมฝีปากก็ระบายยิ้มออกมาในทันที

ดวงตาเปล่งประกายทอดมองปวันวาตด้วยความเอื้อเอ็นดู ก่อนที่เขาจะรับร่างเล็กมาไว้ในอ้อมกอด แล้วอุ้มขึ้นด้วยมือข้างเดียว ปวันวาตไม่ได้ตัวเล็กนัก โตตามอายุนั่นแหละ แต่พอมาอยู่กับสรัชแล้วกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไปถนัดตา เพราะเขาสูงและตัวใหญ่กว่ามาก

“หลับฝันดีมั้ยคะ” เด็กหญิงถามขึ้น

เสียงเจื้อยแจ้วของเขากับปวันวาตดังห่างออกไป ขณะที่พิมพ์พิชญาดูความเรียบร้อยในบ้านแล้วจึงเดินตามออกไปทีหลัง เห็นเขายืนรออยู่ที่รถของเขา พูดคุยกับปวันวาตอย่างออกรส หล่อนไม่รู้ว่าเขามีเรื่องอะไรพูดนักหนา พูดไปก็หัวเราะไป จนคนที่เดินตามออกมาอดหมั่นไส้ไม่ได้

“วันนี้พ่อลมจะพาวินดี้กับแม่พีชไปเที่ยวไหนคะ” ริมฝีปากบางเล็กสีแดงสดถามขึ้น

“ไปหาอามีนค่ะ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบเรื่อย

ขณะที่ขับรถออกไปจากไร่ พิมพ์พิชญานั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไรนัก หล่อนไม่อยากจะขัดคอเขากับลูก

“อาแทนอยู่ด้วยมั้ยคะ” เด็กหญิงถามด้วยความพาซื่อ “อาแทนใจดี”

สรัชฟังแล้วก็หุบยิ้มฉับ พิมพ์พิชญาสังเกตเห็นก่อนว่าเขาดูไม่พอใจนักที่พูดถึงทัศน์ทิวา หญิงสาวจึงลอบสังเกตยามที่เขาตอบปวันวาต

“ไม่จ้ะ อาแทนไม่ได้ทำงานอยู่ที่นั่น” น้ำเสียงกดต่ำยามเรียกชื่อทัศน์ทิวาฟังดูพิกล พิมพ์พิชญาคิดว่าเขาคงหวงน้องสาวมาก ดูก็รู้ว่าทัศน์ทิวามาจีบมีนมีนา อีกอย่างสรัชก็ดูไม่ค่อยถูกกับหมอแทนด้วย หญิงสาวแอบฟันธงในใจเงียบๆ ว่า พ่อเลี้ยงสรัชหวงน้องสาว ไม่อยากให้ใครมาจีบ

“ว้า...” เด็กหญิงทำหน้าเสียดาย สรัชมองแล้วก็ได้แต่ยิ้มเอ็นดู คราวนี้เรื่องอารมณ์เสียที่ปวันวาตพูดถึงผู้ชายคนนั้นก็หายไปแทบจะทันที เด็กหญิงเอามือมารองใต้คางก่อนจะทำปากยื่นน้อยๆ “อดเจออาแทนเลย อาแทนสัญญาว่าจะพาวินดี้ไปดูสตรอว์เบอร์รี”

บ้านของทัศน์ทิวาทำธุรกิจเกี่ยวกับสตรอว์เบอร์รีในตอนแรก จากนั้นก็ขยายธุรกิจทำเป็นแยมสตรอว์เบอร์รีส่งออก แล้วก็มีโรงงานเป็นของตัวเอง ไม่นานนักธุรกิจก็แตกแขนงเป็นธุรกิจในด้านอื่นๆ ทั้งห้างสรรพสินค้าเดอะซันพลาซ่า ทั้ง

โรงพยาบาล โรงแรม รีสอร์ต แล้วก็อีกมากมาย ภายใต้บริษัทแม่คือนลินธรแอนด์เดอะซันกรุ๊ป ที่มีพี่ชายคนโตคือทิวาวัฒน์เป็นคนดูแลต่อจากแม่เลี้ยงธารนลิน

เขารู้จักครอบครัวนี้ดี เพราะถือว่าเป็นคนดังของจังหวัด เขาชื่นชมในตัวพ่อเลี้ยงพศธรและแม่เลี้ยงธารนลินที่สามารถบริหารงานของบริษัทจนเติบโตได้ขนาดนั้น พอมาถึงรุ่นของทิวาวัฒน์กับนิลดา ทั้งสองคนก็ดูแลกิจการต่อจนธุรกิจครอบครัวเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน เห็นจะมีก็แค่ทัศน์ทิวาเท่านั้นที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย เรียนจบหมอได้บริหารงานโรงพยาบาลของครอบครัว มีโรงพยาบาลในเครือตั้งหลายที่ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เรื่อง เพราะได้ข่าวว่าไม่ทำงาน ปล่อยให้คนเป็นอาทำอยู่คนเดียวทั้งที่อายุก็มากแล้ว

“ที่บ้านของคุณปู่กับคุณย่าก็มีค่ะ ไว้จะให้พี่ผึ้งพาไปดู” สรัชว่ากลั้วหัวเราะ เห็นท่าทางของปวันวาตแล้วอดเอ็นดูไม่ได้ แทนที่เขาจะอารมณ์เสียก็กลายเป็นอารมณ์ดีไปโดยปริยาย “ไว้จะเอามาปลูกที่ระเบียงบ้านให้นะคะ ถ้าวินดี้ชอบ”

“ชอบค่ะ!” เด็กหญิงว่าด้วยน้ำเสียงแข็งขัน “วินดี้ขอไปปลูกกับพ่อลมด้วยนะคะ”

“ได้ค่ะ ไว้วันไหนย้ายไปปลูกเดี๋ยวจะบอกนะคะ” เขาหันมาสบตาปวันวาตก่อนจะยิ้มจนตาหยี

พิมพ์พิชญาเพิ่งเห็นว่ายามที่สรัชยิ้มจนสุดรอยยิ้มเป็นอย่างไร หญิงสาวหลบสายตาเมื่อเขายิ้มค้างเอาไว้แล้วหันมามองหล่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับ จากรอยยิ้มกว้างกลายมาเป็นการกระตุกยิ้มที่มุมปากเบาๆ คนถูกมองเม้มปากนิดๆ เมื่อเห็นว่าเขามองหล่อนด้วยดวงตาพราวระยับเหมือนมีแผนอะไรบางอย่าง

หาเรื่องแกล้งอะไรอีกล่ะอีตาพ่อเลี้ยง!

หล่อนแอบคิดในใจขณะที่รถแล่นผ่านโค้งต่างๆ มาจนถึงบริเวณทางมุ่งหน้าตรงไปโรงพยาบาล สรัชขับรถไปโดยไม่รีบร้อนมากนัก เพราะอีกนานกว่าจะถึงเวลานัด แถมยังร้องเพลงคลอไปเบาๆ ยามที่รถเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ บรรยากาศรอบข้างดูเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อเขาร้องเพลงไปก็แอบชำเลืองพิมพ์พิชญาไป

หล่อนเห็นอยู่หรอกว่าเขามองหล่อน แต่ไม่คิดจะสนใจ และไม่อยากจะสนใจด้วย

ปวันวาตมองสรัชด้วยสายตาปลาบปลื้ม ปลื้มตั้งแต่รู้ว่าพ่อจะเอาสตรอว์เบอร์รีมาปลูกให้ที่บ้านนั่นละ เด็กหญิงเห็นพ่อร้องเพลงไป แอบมองแม่ไปก็นั่งมองเงียบๆ รู้สึกว่าตัวเองเขินที่พ่อทำเหมือนจีบแม่อยู่ จนกระทั่งต้องเอามือปิดตาเมื่อเห็นว่าสรัชมองพิมพ์พิชญาบ่อยขึ้น เด็กหญิงรู้สึกอายมากจนไม่กล้ามอง อายสายตาของพ่อที่มองแม่ด้วยความไหววูบขนาดนั้น...

 

ถึงจะไม่เข้าใจสายตาที่สรัชมองพิมพ์พิชญาก็เถอะ แต่เพราะความรู้สึกบางอย่างมันแผ่ซ่านออกมาจากดวงตาดำขลับ และน้ำเสียงทุ้มลึกกับเนื้อเพลงหวานหยดขนาดนั้น ต่อให้เป็นเด็กก็ต้องรับรู้บ้างละว่าบรรยากาศตอนนี้มันอวลไปด้วยความรู้สึกผ่องใสขนาดไหน ไม่นานนักร่างเล็กที่นั่งนิ่งอยู่ก็ผล็อยหลับไป

“โกรธผมอยู่เหรอ” สรัชเหลือบมองไปด้านหลัง เห็นว่าปวันวาตนอนหลับเขาจึงถามขึ้น ไม่อยากให้เด็กมารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับพิมพ์พิชญามากนัก “ยังไม่หายโกรธหรือไง”

“ทำไมพีชต้องโกรธคุณด้วย”

สรัชเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินหญิงสาวแทนตัวเองแบบนั้น หล่อนคงไม่รู้ตัว เพราะปกติจะแทนตัวเองว่า ‘พีช’ กับพ่อแม่ของเขาและก็มีนมีนาเท่านั้น ส่วนเวลาพูดกับสรัช หล่อนจะแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ มาโดยตลอด พอได้ยินอย่างนี้จึงรู้สึกแปลกหู แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าน่าฟังกว่าเดิมตั้งกอง

“โกรธที่แกล้งเมื่อคืนไง ไม่ได้ตั้งใจสักนิด” เขาว่ายิ้มๆ

พิมพ์พิชญาแอบคิดว่าเขาคงอารมณ์ดีถึงได้พูดกับหล่อนไปยิ้มไปได้อย่างนี้ ทีเมื่อคืนมาทำดุใส่

“รูปนั่นน่ะ ไม่ได้ทำเองด้วย”

เขาคงหมายถึงรูปที่เอาไปแต่งจนมันน่าเกลียดนั่นแหละ

พิมพ์พิชญาหันมามองเขาก่อนจะถลึงตาใส่ สรัชอมยิ้มนิดๆ ยามเห็นใบหน้าติดจะงอนของหล่อน งอนทั้งที่ปากบอกว่าไม่งอนนั่นแหละ แต่ชายหนุ่มก็ดูออกว่าหล่อนไม่พอใจเขาอยู่

“ถ้าคุณไม่ทำใครจะทำ” หล่อนว่าเสียงสะบัดอย่างลืมตัว

“ค้นมาจากในอินเทอร์เน็ต เห็นว่าน่ารักดีก็เลยกดเซฟเอาไว้” สรัชว่าด้วยน้ำเสียงปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือหัวใจของพิมพ์พิชญาต่างหาก

หล่อนเม้มปากอย่างลืมตัวก่อนจะหันมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง รู้ว่าเขากำลังจ้องอยู่ แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“เคยได้รับรางวัลนักแสดงดาวรุ่งด้วย?”

“ค่ะ” พิมพ์พิชญารับคำเบาๆ ตอนนั้นซีรีส์ที่หล่อนแสดงเป็นซีรีส์วัยรุ่นที่หยิบยกเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ทั้งเรื่องเพศ เรื่องความรัก เรื่องยาเสพติดขึ้นมานำเสนอ ผลตอบรับมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี แต่ถือว่าเป็นการสะท้อนสังคมอย่างถึงแก่น มีการวิจารณ์ทั้งในวงการบันเทิงและแวดวงวิชาการ ตีแผ่เรื่องราวต่างๆ จนได้รับความสนใจอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

“ผมดูจบแล้ว” เขาว่าก่อนจะพูดขยายความให้ชัดเจนขึ้นอีก “ซีรีส์ที่คุณแสดงผมดูจนจบแล้ว เมื่อคืนนี้ ชอบนะ แต่ไม่ชอบคนที่แสดงกับคุณสักคน”

ซีรีส์ที่หล่อนแสดงเกี่ยวกับเรื่องเพศ หล่อนแสดงเป็น ‘เก้า’ ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนหญิงที่มีสัมพันธ์กับผู้ชายหลายๆ คน เก้าคือเหยื่อที่ตกเป็นของเล่นของผู้ชายในเรื่องเพราะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนพวกนั้น... ยังมีตัวละครอื่นๆ ที่สะท้อนบทบาทในด้านต่างๆ อีกหลายประเด็น แต่ตัวละคร ‘เก้า’ คือตัวละครหลักที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เพราะเกี่ยวกับทุกประเด็น

ชีวิตของเก้าน่าสงสาร ครอบครัวของหล่อนไม่อบอุ่นนัก จึงต้องมาหาความอบอุ่นจากข้างนอก ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้าง ชีวิตเหมือนเมล็ดของดอกรักที่แตกออกจากฝักและถูกลมพัดปลิวไปเรื่อยๆ ได้พบเจออะไรมากมายแต่ไม่สามารถเติบโตขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น กว่าจะพบดินดีที่สามารถทิ้งตัวลงและหยั่งรากเพื่อจะเติบโตเป็นต้นรักต่อไปก็เกือบจะสายไปแล้ว...

“ทุกคนเป็นนักแสดงค่ะ เขาก็ทำตามบทบาทที่ได้รับ” หล่อนพยายามพูดเสียงปกติ “ชีวิตจริงคงไม่มีใครอยากจะเป็นแบบนั้นหรอก”

“ไม่รู้สิ แค่ไม่ชอบหน้า” เขาว่าหน้าตาย “หน้าตาแต่ละคนดูไม่น่าคบ ในชีวิตจริงก็ไม่น่าคบด้วย”

“ทุกคนน่ารักค่ะ” หล่อนยืนยันหนักแน่น นักแสดงทุกคนแม้จะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ แต่ก็น่ารัก ไม่มีใครไม่น่าคบสักคนตั้งแต่หล่อนรู้จักมา บางคนก็ยังติดต่อกันอยู่บ้าง “คุณไม่รู้จักพวกเขา จะไปตัดสินพวกเขาแบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ”

สรัชยักไหล่ทำท่าไม่สนใจ

“หายโกรธแล้วใช่มั้ย” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“พีชไม่ได้โกรธ บอกไปแล้ว”

“แต่ไม่พอใจ” เขาต่อให้อย่างทันท่วงที

หล่อนยอมรับอยู่ในใจเงียบๆ ว่าไม่พอใจเขาเหมือนกันนั่นแหละ แต่พอรู้ว่าเขาไม่ได้ทำก็ไม่ได้คิดโกรธอะไรมากมาย เรื่องพวกนี้หล่อนโดนมามาก มากจนไม่คิดว่าชีวิตคนคนหนึ่งจะโดนมากมายขนาดนั้น แต่การที่สรัชทำแบบเมื่อวานมันทำให้ความรู้สึกเก่าๆ กลับมา หล่อนถึงได้ไม่พอใจเขา

พิมพ์พิชญาไม่ได้ตอบ หล่อนนั่งนิ่งๆ ขณะที่เขาเลี้ยวรถเข้าไปในโรงพยาบาล สรัชขับไปจอดบริเวณโรงจอดรถจากนั้นจึงลงไปเปิดประตูด้านหลัง อุ้มปวันวาตลงมา เด็กหญิงลืมตาตื่นขึ้นมาทั้งยังงัวเงีย มองหน้าสรัชงงๆ ก่อนจะนอนต่อโดยการซบลงที่ลาดไหล่กว้างของเขา

“ยังไม่ต้องปลุกหรอก” เขาห้ามเมื่อเห็นหล่อนทำท่าจะปลุกลูก

ชายหนุ่มเดินนำเข้าไปก่อน เขาคงจะนัดกับมีนมีนาเอาไว้แล้ว เพราะเข้ามาถึงเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็อธิบายรายละเอียดต่างๆ คร่าวๆ ก่อนจะบอกวิธีและขั้นตอนในการตรวจอีกครั้ง พอเจ้าหน้าที่อธิบายเสร็จสรัชก็พาไปนั่งรอบริเวณหน้าห้องที่จะตรวจ ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็เรียกเข้าไปถ่ายรูป ปวันวาตตื่นขึ้นมาถ่ายรูปทั้งที่ยังงัวเงีย หญิงสาวมองลูกยิ้มๆ เด็กหญิงไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร คิดว่าถ่ายรูปเฉยๆ ก็ยิ้มให้กล้องใหญ่

“คุณพ่อคุณแม่มาถ่ายกับวินดี้ด้วยสิ”

มือเล็กๆ โบกเรียกให้เข้าไป สรัชเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ของเขาให้เจ้าหน้าที่ท่าทางใจดี เขาอุ้มปวันวาตแล้วขยับมาอีกด้านของที่นั่ง ก่อนจะดึงแขนหล่อนให้มายืนอยู่อีกฝั่ง โดยที่เขาอุ้มเด็กหญิงไว้แนบอก

“ยิ้มนะคะ ยิ้มมม”

ปวันวาตใช้ฝ่ามือประกบกันก่อนจะกางนิ้วออกเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วแนบหน้าลงไป เด็กหญิงเรียกท่านี้ว่า ‘ท่าดอกไม้บาน’ พิมพ์พิชญาหันไปมองลูกพร้อมกับที่สรัชหันมามอง หล่อนหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มก็เช่นกัน กลายเป็นว่าภาพที่ได้เป็นภาพที่ปวันวาตทำท่าดอกไม้บานกำลังยิ้มแฉ่ง โดยที่มีพ่อกับแม่หันมาสบตากันก่อนจะยิ้มกว้าง เจ้าหน้าที่มองรูปอย่างปลาบปลื้มที่ถ่ายได้จังหวะที่เป็นธรรมชาติและน่าเอ็นดูที่สุด

“ขอบคุณมากนะครับ” สรัชรับโทรศัพท์มือถือมาดูก่อนจะเก็บลงกระเป๋า เขาออกไปจ่ายเงินค่าตรวจก่อนจะกลับมาอีกครั้ง แล้วเดินไปที่อีกห้องหนึ่งเพื่อเก็บเยื่อบุข้างแก้ม ตอนแรกหล่อนคิดว่าเขาจะตรวจสองคนกับปวันวาต ที่ไหนได้หล่อนเองก็ต้องตรวจด้วย พิมพ์พิชญาไม่ได้เอะใจตั้งแต่ตอนที่ถ่ายรูป พอเก็บเยื่อบุข้างแก้มเรียบร้อยแล้วก็ออกมาจากห้องตรวจ พอดีกับที่มีนมีนาเดินมาที่หน้าห้อง

“วินดี้” หล่อนเรียกเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงยินดี ก่อนจะยื่นมือไปอุ้ม ปวันวาตยอมไปหามีนมีนาโดยง่าย “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”

สรัชพยักหน้าแทนคำตอบ

“รอผลตรวจอีกหนึ่งเดือน” มีนมีนาย้ำอีกครั้ง หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งมาแล้วก่อนหน้านี้ หล่อนอุ้มปวันวาตเดินนำไปก่อน โดยมีสรัชกับพิมพ์พิชญาเดินตามมาทีหลัง มีนมีนาพาปวันวาตลงไปที่บริเวณศาลานั่งพักข้างล่าง ส่วนพิมพ์พิชญากับสรัชยืนอยู่บริเวณทางเชื่อมข้างบน เขาหยุดยืนก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ทอดสายตามองน้องสาวกับปวันวาตเงียบๆ

พิมพ์พิชญาไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ใบหน้าคมคล้าม สันกรามชัดเจน ริมฝีปากของเขาไม่ได้ยิ้ม แต่ก็เหมือนยิ้ม มันไม่ใช่ใบหน้าเรียบสนิทหรือบึ้งตึง แต่เป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายจนหล่อนเองก็แยกไม่ออก

“มองผมทำไม ผมรู้ว่าตัวเองหล่อ ไม่ต้องมองมากก็ได้” เขาหันหน้ามามองหล่อนนิดๆ ก่อนจะขยิบตาให้อีกที

พิมพ์พิชญาแทบจะเผลอมองบนและกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ หล่อนมองเขาด้วยแววตานิ่งๆ ก่อนพูดว่า

“กระจกที่บ้านคุณแตกหรือเปล่า” พูดจบก็เดินลงไปหาลูก

สรัชขมวดคิ้วก่อนจะตะโกนไล่หลัง “เกี่ยวอะไรกับกระจกที่บ้านผม”

ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจสิ่งที่หล่อนจะสื่อ ขณะที่พิมพ์พิชญากระตุกยิ้มเบาๆ อย่างผู้ที่กำชัยชนะเอาไว้ในมือ

ก็กระจกแตกเลยไม่มีกระจกส่องยังไงล่ะ อีตาพ่อเลี้ยงเอ๊ย!

 

แสงอาทิตย์สาดกระทบแปลงชาด้านล่างเกิดเป็นภาพผืนพรมสีเขียวปูลาดลงไปจนสุดขอบไร่ไกลลิบ หมอกจางๆ เริ่มปรากฏให้เห็นบนที่สูง ท้องฟ้าอาบแสงอาทิตย์เป็นสีเงินสีทอง มองเห็นฝูงนกกำลังโผผินบินกลับรัง พิมพ์พิชญาเดินออกมาบริเวณถนนคอนกรีตที่ลาดลงไปยังไร่ชาด้านล่าง เดินเรื่อยมากระทั่งถึงบริเวณที่คนงานกำลังเก็บของเตรียมจะกลับ แต่ก็มีคนงานผู้ชายบางคนยังทำงานอยู่กระทั่งถึงเย็น หล่อนถามหาสรัชกับปวันวาต เขาจึงชี้ไปอีกด้าน เห็นหลังไวๆ ของลูกกำลังวิ่งอยู่ในแปลงชา

พิมพ์พิชญาเดินตามมาจนถึงบริเวณกลางไร่ ไกลพอดู ทว่าบรรยากาศรอบข้างสวยจนว่าลืมเหนื่อย หล่อนเห็นสรัชก้มๆ เงยๆ อยู่ โดยมีปวันวาตเดินตามหลัง หญิงสาวมองทั้งสองคนอยู่ห่างๆ ทิ้งระยะในการเดินอยู่พอสมควร แต่ก็พอได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของปวันวาตกับชายหนุ่มอยู่บ้าง

“ไร่นี่ของพ่อลมหมดเลยเหรอคะ” เด็กหญิงมองไปรอบๆ เห็นความกว้างใหญ่ของไร่ก็ถามขึ้น เป็นครั้งแรกที่ได้ลงมาในไร่ชา

“ใช่ค่ะ” ชายหนุ่มตอบเสียงทุ้ม ทว่าแฝงความเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

พิมพ์พิชญาเห็นในมือของปวันวาตมีดอกชาซึ่งมัดรวมกันเป็นช่อ กลีบดอกเล็กๆ สีขาวนวลเหมือนดอกแก้ว เกสรเป็นสีเหลืองเหมือนขมิ้น ดอกเล็กดูน่ารัก พอนำมามัดรวมกันแล้วก็เป็นช่อดอกไม้ที่สวยมากเช่นกัน

เรือนผมดำขลับของเด็กหญิงมีดอกชาดอกเล็กๆ ติดอยู่ น่ารักไม่หยอก ร่างเล็กก้าวตามชายหนุ่มไป เสียงเจื้อยแจ้วดังไปตลดทาง บรรยากาศรอบข้างทำให้คนที่เดินตามมาข้างหลังเงียบๆ ถึงกับลืมความเหนื่อยที่ต้องรีบเดินตามมาเสียสนิท หล่อนเพิ่งเห็นว่าด้านนี้มีสระขนาดใหญ่อยู่ด้วย คิดว่าเขาคงขุดเพื่อใช้ในการดูแลไร่ชาของเขานั่นแหละ

“ไร่คุณพ่อย้ายหย่าย” เด็กหญิงกางแขนประกอบคำพูด แต่สรัชไม่ทันเห็นเพราะมัวเก็บดอกชาอยู่ “แต่วินดี้อยากให้มีสตรอว์เบอร์รีด้วย”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปย้ายมาปลูกที่บ้านนะคะ”

สรัชพาปวันวาตเดินมาจนถึงถนนที่ตัดผ่านลงไปสู่สระน้ำด้านล่าง เป็นถนนที่มีหญ้าขึ้นเขียวขจีราวกับพรมหญ้า พิมพ์พิชญาทรุดตัวนั่งลงเมื่อเขาจูงมือเด็กหญิงเดินไปตามทางเดินนั้น ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่บริเวณกลางถนน ใช้ผ้าผืนหนึ่งปูแทนเสื่อ ก่อนจะนั่งลง ปวันวาตนั่งตามบ้าง วางช่อดอกชาไว้ใกล้ตัว

พ่อเลี้ยงสรัชเอนตัวลงนอนโดยใช้มือประสานกันแทนหมอน ปวันวาตมองก่อนจะทำตาม สรัชหันมาเห็นก็ขำออกมาเบาๆ ทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาของพิมพ์พิชญามาโดยตลอด หล่อนนั่งอยู่ในแปลงชา มองสองคนนั้นพูดคุยกันเคล้าเสียงหัวเราะเป็นระยะ...

หญิงสาวเห็นสรัชเอ็นดูปวันวาตมากขนาดนี้ก็แอบสะท้อนในใจ เขาเคยบอกว่าไม่เชื่อว่าปวันวาตเป็นลูกของเขา แต่ทำไมเขาถึงเอ็นดูเด็กหญิงมากถึงขนาดนี้ ยังไม่ทันที่หล่อนจะคิดอะไรต่อ ก็ได้ยินสรัชพูดขึ้นว่า

“พ่อมีคำถามจะถามวินดี้...”

เป็นครั้งแรกที่พิมพ์พิชญาได้ยินเขาแทนตัวเองว่าพ่อ หล่อนนั่งนิ่งจนแทบไม่กล้าหายใจ เสียงของเขาทุ้มลึก น่าฟังตอนพูดคำคำนั้น ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสรัชเลี่ยงที่จะใช้คำคำนี้มาโดยตลอด

“สัญญากับพ่อลมก่อนว่าวินดี้จะไม่บอกคุณแม่”

“สัญญาค่ะ.” เด็กหญิงยกมือขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับสรัช ทั้งสองคนมองมือที่เกี่ยวก้อยกันนิ่งๆ โดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้า

“ตอนวินดี้อยู่กับแม่พีช...แม่พีชมีแฟนมั้ย...นอกจากพ่อลม” สรัชพยายามอธิบายกระท่อนกระแท่น ปวันวาตดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดมากนัก ชายหนุ่มจึงอธิบายต่อไปว่า “หมายถึงมีผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับแม่พีชมั้ยคะ ตอนที่

พ่อลมไม่อยู่”

“เยอะนะคะ” เด็กหญิงว่าก่อนจะทำท่าคิด “ลุงกรชอบมาหาแม่พีชบ่อยๆ ซื้อของมาฝากวินดี้ด้วยนะคะ ตอนแม่พีชไม่อยู่ลุงกรชอบให้วินดี้เรียกว่าพ่อ แต่เขาไม่ใช่พ่อนี่คะ เขาเป็นลุง”

พิมพ์พิชญารับฟังเงียบๆ เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ภากรเป็นเพื่อนรุ่นพี่ หญิงสาวรู้ว่าเขาเข้ามาเพราะหวังอะไรในตัวหล่อน แต่หล่อนไม่เคยคิดกับเขาเกินคำว่าพี่น้องสักครั้งเดียว

“ถูกค่ะเขาเป็นลุง ไม่ใช่พ่อ”

“ลุงวิทย์ก็ชอบมาหาแม่ แต่วินดี้ไม่ชอบลุงวิทย์หรอกค่ะ” เด็กหญิงพูดอย่างพาซื่อ “ลุงวิทย์ชอบเสียงดัง”

“วินดี้ไม่ชอบเสียงดังหรือคะ”

“ไม่ชอบค่ะ วินดี้ชอบอยู่เงียบๆ” เด็กหญิงว่าก่อนจะหลับตาลงเพราะรู้สึกง่วง “มีพี่เตอีกคนค่ะที่ชอบมายุ่งกับแม่พีช แต่วินดี้รู้ว่าแม่ไม่ชอบพี่เต...”

“ทำไมวินดี้ถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”

“พี่เตชอบถามว่าแม่ไปไหนบ่อยๆ”

เตวิทย์เป็นเพื่อนหล่อน ทุกคนที่ปวันวาตพูดมาล้วนเป็นคนที่อยากจะได้หล่อนไปครอบครอง แต่พิมพ์พิชญารู้ว่าคนพวกนั้นไม่จริงใจ จึงเลี่ยงทุกครั้งที่เลี่ยงได้ “พี่เตชอบขู่วินดี้ว่าแม่จะแต่งงาน...แต่งงานกับคนอื่นแล้วแม่จะทิ้งวินดี้”

พิมพ์พิชญายกมือขึ้นมาปิดปากเบาๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หล่อนไม่เคยคิดว่าเตวิทย์จะทำแบบนี้ เขากล้าพูดกับเด็กแบบนี้ได้อย่างไร หัวใจของหญิงสาวเจ็บแปลบขึ้นมาราวกับว่ามีใครเอามีดมากรีดแทงเสียอย่างนั้น

“วินดี้ไม่เชื่อหรอกค่ะ” เด็กหญิงว่าเสียงงัวเงียเหมือนจะหลับ “แม่...รักวินดี้...แม่รอ...”

เสียงของปวันวาตขาดห้วงไปนาน สรัชผงกหัวขึ้นมามองก็เห็นว่าหลับไปแล้ว เขาลูบแก้มใสเบาๆ ก่อนจะทอดสายตามองด้วยความเอ็นดู

“ไม่ทันได้รู้เลยว่าแม่พีชรออะไร” เขาว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง คราวนี้สรัชเองก็พลอยหลับไปด้วย

นานเท่าไรไม่รู้ที่พิมพ์พิชญานั่งอยู่ตรงนั้น หล่อนคิดถึงคำพูดของลูก คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา หล่อนปล่อยให้คนพวกนั้นเข้ามาทำร้ายจิตใจของปวันวาตได้อย่างไร

พิมพ์พิชญาคิดย้ำไปมาหลายครั้งจนรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองมันแทบจะหยุดกึกลงเดี๋ยวนั้น หล่อนรู้ตัวอีกทีตอนที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ดวงดาวนับล้านดวงปรากฏตรงหน้า อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นจนต้องลูบแขนตัวเอง หล่อนเห็นสรัชขยับลุกขึ้นนั่ง ก่อนอุ้มปวันวาตขึ้นทั้งที่เด็กหญิงยังนอนหลับอยู่ เขาหันมาเห็นหล่อนตอนที่ลุกขึ้นยืนแล้ว คิดว่าหล่อนคงมาตาม

“ผมเผลอหลับไป” เขาพูดเสียงเบา ก่อนจะเดินมาหาหล่อนที่ยืนอยู่ในแปลงชา ทั้งคู่ออกเดินผ่านแปลงชา โดยมีสรัชเดินนำข้างหน้า พิมพ์พิชญาเดินตามมาทีหลัง ขณะที่เดินมาถึงกลางแปลง ในความมืดสลัวที่มีแสงจันทร์สาดกระทบพอให้มองเห็น ชายหนุ่มหันกลับมามองก่อนที่เขาจะยื่นช่อดอกชาให้

พิมพ์พิชญารับมันมาถือเอาไว้ก่อนจะออกเดินต่อ

“ผมชอบมานอนอยู่ที่นี่...ตอนกลางคืน” เขาพูดขึ้น พิมพ์พิชญารับฟังเงียบๆ “ผมชอบดาวที่นี่...มันสวย ดูเย็น และสงบ”

“ฉันเพิ่งเห็นว่าดาวที่นี่สวยอย่างที่คุณบอก” หล่อนเห็นตอนที่ฟ้ามืด วันนี้ดาวเยอะ ราวกับใครนำกากเพชรระยิบระยับมาโปรยลงบนผืนพรมสีรัตติกาลมืดสนิท

“ผมเรียกมันว่าทะเลดาว คุณชอบมั้ย”

“สวยดีค่ะ”

“ผมดีใจนะ...ที่คุณชอบ”

ทุกย่างก้าวระหว่างเขากับหล่อนหลังจากนั้นมีเพียงความสงบเงียบเท่านั้น อากาศเย็นยะเยือกพัดผ่านมาทำให้หญิงสาวรู้สึกขนลุก เมื่อเดินกลับมาถึงบ้าน สรัชก็พาปวันวาตขึ้นไปบนห้องนอน หญิงสาวตามเข้าไปทีหลังก็เห็นว่าเขากำลังเดินสวนออกมาพอดี

“คุณยังไม่ทานข้าว วินดี้ก็ยังไม่ทาน”

“ผมกับวินดี้ทานเรียบร้อยแล้ว คุณทานเถอะ ขอโทษที่ไม่ได้บอก” พูดจบก็เดินออกจากห้องไป

พิมพ์พิชญามองเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ห่างไปเรื่อยๆ ก่อนจะลับตาไปในที่สุด...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น