๔
คนของนาย
แสงแดดส่องผ่านม่านลูกไม้สีขาวมากระทบยังร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียงจนเจ้าตัวต้องค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น สองแขนยกขึ้นเหยียดเกือบสุดตัวแต่รู้สึกเจ็บที่แผลจึงลดแขนลงมา หญิงสาวขยับลุกขึ้นนั่ง มองหาปวันวาตจนทั่วก็ไม่พบ แต่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากข้างนอก หล่อนจึงลุกขึ้นและเลื่อนผ้าม่านออก ก่อนจะเปิดประตูกระจกออกไปสู่ระเบียงด้านนอก
เสียงหัวเราะดังขึ้น หล่อนทอดตามองลงไปข้างล่างเห็นลูกอยู่ในอ้อมแขนของสรัช พอถูกยกขึ้นแล้วจับให้นอนในแนวราบก็หัวเราะคิก ชายหนุ่มยกเด็กหญิงวิ่งไปมาพร้อมกับทำเสียงเครื่องบิน ราวกับเจ้าตัวเล็กที่เขากำลังยกอยู่นั้นเป็นเครื่องบินก็ไม่ปาน พิมพ์พิชญายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าตลอดเวลาที่ทั้งคู่เล่นด้วยกันมีเสียงหัวเราะดังคลออยู่ตลอดเวลา
ในใจยินดีที่แม้ปากของพ่อเลี้ยงสรัชจะบอกว่าเขาไม่เชื่อว่าหล่อนท้องกับเขา นั่นหมายความว่าเขาไม่เชื่อว่าปวันวาตเป็นลูกของตัวเอง แต่เขาก็เอาใจใส่และเอ็นดูปวันวาตอยู่มาก นั่นอาจจะเป็นเพราะปวันวาตค่อนข้างสนิทกับเขาเร็ว ด้วยคือว่าเขาคือพ่อของตัวเอง ปกติแล้วเด็กหญิงมักจะไม่ค่อยสนิทกับผู้ใหญ่มากนัก แต่กับเขาดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น
ปวันวาตโหยหาผู้เป็นพ่อมาตลอดจึงอาจจะเป็นแรงผลักหนึ่งที่ทำให้เด็กหญิงไม่รู้สึกกลัว อีกอย่างอาจจะเพราะเขาใจดีและเอ็นดูหนูน้อยมากด้วยถึงทำให้ปวันวาตวางใจเขาอย่างรวดเร็ว พิมพ์พิชญามองภาพนั้นอยู่นาน กระทั่งสรัชเหลือบสายตาขึ้นมาเห็นหล่อนยืนกอดอกอยู่นั่นแหละหญิงสาวถึงได้ละสายตามองไปทางอื่น
ชายหนุ่มยังเล่นอยู่กับปวันวาตที่ลานหลังบ้านเหมือนเดิม พิมพ์พิชญาใช้นิ้วสางผมแก้เก้อเพราะถูกจับได้ว่าแอบมอง จากนั้นจึงรวบผมขึ้นและเดินกลับเข้าไปในห้อง หญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงเดินลงไปข้างล่าง พอดีกับที่ปวันวาตกับสรัชเดินกลับเข้ามาในบ้าน เขาปล่อยมือเล็กๆ เมื่อเด็กหญิงวิ่งไปหาผู้เป็นแม่
“พ่อลมให้วินดี้เป็นเครื่องบินด้วยค่ะ” เด็กหญิงอวดพร้อมกับยิ้มกว้าง
“หิวหรือยังคะ” พิมพ์พิชญาถามเสียงอ่อน มองลูกสวด้วยความเอ็นดูก่อนจะลูบแก้มเนียนแดงระเรื่อเบาๆ
ปวันวาตส่ายหน้าดิก แล้วอวดพุงป่องให้แม่ดู “พ่อลมให้วินดี้กินขนมกับนมอิ่มแล้วค่ะ”
พิมพ์พิชญาอมยิ้มขำๆ ก่อนจะหอมแก้มลูกสาวตัวเล็กเบาๆ
“ผมให้วินดี้กินซีเรียลตั้งแต่เช้า กลัวว่าจะหิว” เขาพูดเสริม โดยปกติแล้วน้ำผึ้งจะเป็นคนนำอาหารจากบ้านโน้นมาส่งให้เขาที่นี่ หรือบางวันเขาก็ไปรับประทานเอง แต่วันนี้สรัชบอกน้ำผึ้งว่าไม่ต้องยกอาหารมา เพราะเขาจะพาพิมพ์พิชญาไปกินที่โน่น แต่อาจจะสายหน่อยเพราะเจ้าตัวยังไม่ตื่น “ส่วนคุณไปทานที่บ้านแม่ผม”
“ฉันหาอะไรทานเองที่นี่ดีกว่า ไม่อยากรบกวน” เพราะตอนนี้ใกล้เวลาเก้าโมงเต็มที ป่านนี้ภวัตกับภาจรีคงรับประทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว “เห็นมีของสดอยู่ในตู้เย็นนิดหน่อย”
“ถ้าคุณจะทำกินเองที่นี่ เดี๋ยวผมไปซื้ออะไรมาไว้ให้” เขาพูดเสียงเรียบ ทอดตามองหญิงสาวนิ่งๆ
พิมพ์พิชญาพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันขอออกไปซื้อของเองดีกว่า...”
“แถวนี้ไม่มีตลาด ถ้าจะออกไปก็ต้องรอตอนสิบโมง วันนี้จะมีรถคนงานออกไปซื้อของกันข้างนอก”
ปกติแล้ววันอาทิตย์จะเป็นวันหยุดของที่ไร่ และมีบริการรถสองแถวพาคนงานที่อยากออกไปเดินตลาดหรือจับจ่ายซื้อของอะไรไปส่ง ทุกสัปดาห์จะมีรถขับไปรับไปส่งอย่างนี้สัปดาห์ละสองครั้ง คือวันพุธกับวันอาทิตย์ เพราะสองวันนี้มีตลาดนัด
ส่วนมากคนงานในไร่ชาของเขาจะออกไปเดินเที่ยวกันเสียมากกว่า เพราะบริเวณที่พักในไร่ก็มีร้านค้าสวัสดิการอยู่แล้ว จึงไม่ต้องออกไปซื้อของข้างนอกกันบ่อยๆ อีกทั้งคนงานในไร่ของสรัชแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่พักอยู่ในไร่ และกลุ่มที่พักอยู่ข้างนอกไร่ หากใครต้องการของอะไรที่จำเป็นจริงๆ จึงมักจะฝากคนงานที่พักอยู่ข้างนอกซื้อเข้ามาให้
คนงานที่อยู่ข้างนอกจะเป็นคนท้องถิ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนที่พักอยู่ในไร่จะเป็นคนต่างถิ่นไกลๆ ที่เดินทางมาทำงานในไร่ของเขา การพักอยู่ในไร่จึงเป็นการลดค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง เพราะมีที่พักให้ฟรี
“ฉันต้องไปขึ้นรถที่ไหนคะ”
“ปั่นจักรยานไปขึ้นที่สี่แยกแรกก่อนถึงบ้านแม่ผมก็ได้”
พิมพ์พิชญาพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินเข้าไปในบ้านเพื่อพาปวันวาตไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็กลับลงมาข้างล่าง หญิงสาวคิดเอาไว้ว่าจะไปหาอะไรกินที่ตลาด เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะสิบโมงแล้ว หลังจากดื่มกาแฟไปแก้วหนึ่งหล่อนก็พาปวันวาตเดินออกไปข้างนอกเพื่อเตรียมจะไปรอที่สี่แยก พอเดินออกมาหน้าบ้านก็เห็นสรัชจูงรถจักรยานสีฟ้าของเขามาพอดี หญิงสาวจึงเดินตรงไปหา
“เดี๋ยวผมปั่นไปส่งเอง” เขาพูดพร้อมกับขึ้นคร่อมรถจักรยาน ทอดตามองหญิงสาวที่สวมเสื้อสีชมพูอ่อนกับกางเกงสีขาวสะอาด ทรงผมถูกจัดเป็นระเบียบ ใบหน้าเนียนละเอียดถูกแต่งแต้มเบาๆ จนน่ามอง สรัชละสายตาขณะที่หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้
“ฉันไปเองดีกว่า เอาไปจอดไว้ที่นู่น ขากลับจะได้มีรถกลับมาด้วย”
หญิงสาวบอกเหตุผล ทว่าสรัชกลับยืนยันเสียงหนักแน่นว่า
“ขึ้นมาเถอะน่า ผมจะปั่นไปส่ง”
หญิงสาวยอมอุ้มปวันวาตขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลัง ก่อนที่หล่อนจะขึ้นไปนั่งบ้าง “คุณไปกับคนงานที่ไร่ก็แล้วกัน ถ้าโชคดีน้ำผึ้งอาจจะไปด้วย ส่วนวินดี้ให้อยู่ที่ไร่นี่แหละ เดี๋ยวผมพาไปฝากที่บ้านแม่”
“แต่...”
พิมพ์พิชญาเตรียมจะพูด แต่สรัชก็ตัดบทว่า “ไปเดินตลาดคนเยอะแยะ แล้วตลาดกลางวันแบบนี้อากาศมันร้อนจะตาย เกิดคุณพลัดหลงกับลูกจะทำยังไง”
“ก็ได้ค่ะ”
สรัชปั่นจักรยานออกไป โดยมีปวันวาตกับพิมพ์พิชญาซ้อนอยู่ด้านหลัง คราวนี้เขาขี่ระมัดระวังมากขึ้น ไม่เหมือนคราวก่อน หญิงสาวจึงไม่ต้องเกร็งนักเวลานั่งอยู่ด้านหลัง พอผ่านบ้านของพ่อแม่ชายหนุ่มมาอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรก็เจอศาลาอยู่บริเวณสี่แยก สรัชขี่เข้าไปจอดที่ศาลา ก่อนจะยกปวันวาตลง และจูงเด็กหญิงเข้าไปนั่งด้านใน
“ขากลับก็บอกให้รถเข้าไปส่งที่บ้านแม่ ผมกับวินดี้จะรออยู่ที่นั่น” เขาพูดเสียงเรียบ
“คุณแม่จะกลับมาตอนไหนคะ” เด็กหญิงถามขึ้นเสียงใส
พิมพ์พิชญาหันไปขอความเห็นจากสรัช เพราะหล่อนไม่รู้ว่ารถจะกลับตอนไหนเหมือนกัน
“อาจจะกลับมาช่วงบ่าย เพราะคงแวะซื้อของที่อื่นด้วย” ชายหนุ่มให้ความเห็น
รออยู่ครู่หนึ่งรถสองแถวเก่าๆ สีส้มมีหลังคาก็แล่นมาจอด บนหลังคามีคนนั่งอยู่สองคน พิมพ์พิชญามองเข้าไปด้านในก็มีเห็นคนนั่งจนเต็มเบาะทั้งสองแถว ด้านหลังมีผู้ชายสามสี่คนยืนเกาะอยู่บริเวณทางลง หญิงสาวขยับลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่รถ
“ขากลับแวะไปส่งคุณเขาที่บ้านแม่ผมด้วยนะลุง” สรัชเดินตามมาพูดกับคนขับ
“ครับพ่อเลี้ยง” ชายคนขับตอบรับ
หญิงสาวยังไม่ได้ขึ้นรถเพราะมันแออัดยัดเยียดจนไม่มีที่ขึ้น พอสรัชเดินมาผู้ชายที่ยืนอยู่ท้ายรถก็กระโดดลง ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปหาที่ให้หล่อนนั่ง ก่อนจะชี้ไปที่ลังไม้ซึ่งวางอยู่ตรงทางเดินกลางรถ แล้วหันมาพูดกับพิมพ์พิชญา
“ไปนั่งตรงนู้น แก้มฝากดูแลคุณเขาด้วย”
พิมพ์พิชญาเดินขึ้นไปนั่ง ทุกสายตามองมาที่หญิงสาวเป็นตาเดียวจนหล่อนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนตัวประหลาด ผู้หญิงคนที่ชื่อแก้มหันมายิ้มให้เล็กน้อย หล่อนเองก็ยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะยิ้มให้ทุกคนในรถด้วย ครู่หนึ่งเท่านั้นรถก็ออกตัวไปด้วยความเร็วจนหล่อนแทบหัวทิ่ม
เสียงร้องพร้อมเพรียงดังขึ้น ทุกคนตกอกตกใจกันยกใหญ่เพราะกลัวหล่อนหน้าคว่ำลงไป หญิงสาวยกมือขึ้นจับเหล็กด้านหลังตรงที่พิง พลางคิดว่าการแต่งตัวของตัวเองวันนี้เป็นอุปสรรคต่อการนั่งรถมากพอควร เพราะนอกจากถนนหนทางจะไม่เรียบแล้ว ฝุ่นยังเยอะอีกต่างหาก พิมพ์พิชญาเหลือบมองกางเกงขายาวสีขาวที่หล่อนสวมก่อนจะถอนหายใจ เมื่อเห็นว่าเริ่มมีฝุ่นผงสีส้มๆ เข้ามาเกาะบ้างแล้ว...
กว่าจะถึงตลาดทั้งตัวหล่อนไม่กลายเป็นสีส้มไปหมดหรือยังไง!
รถสองแถวสีส้มวิ่งมาจอดบริเวณใต้ร่มไม้ขนาดใหญ่ ทุกคนในรถต่างลุกขึ้นและเดินลงไป พิมพ์พิชญาสำรวจตัวเองก่อนจะใช้มือปัดฝุ่นที่เกาะตามร่างกายออก จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินตามลงไปบ้าง แก้มหรือกวิตายืนรออยู่ข้างล่างพร้อมรอยยิ้ม หญิงสาวคงอายุประมาณยี่สิบปีกระมัง หล่อนสวมเสื้อแขนกุดสีกรมเข้มกับกางเกงยีนที่มีรอยขาดบนขาหลายรอย อวดผิวเนียนละเอียดตามแบบฉบับคนท้องถิ่น
เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังขึ้น พิมพ์พิชญามองตามเสียงเรียกเห็นว่าเป็นตลาดขนาดไม่ใหญ่นัก มีทั้งร้านค้าที่อยู่ในอาคารแบบเปิดโล่งมุงหญ้าคา และแบบที่ตั้งเรียงรายอยู่ด้านนอก หญิงสาวเดินไปพร้อมกับกวิตา ส่วนคนอื่นแยกย้ายกันไปที่อื่นหมดแล้ว
“คุณชื่ออะไรคะ” หญิงสาวหันมาถามขณะที่เดินเข้าไปในตลาดด้วยกัน
พิมพ์พิชญายิ้มน้อยๆ อวดฟันสวยขณะที่เดินผ่านแผงผักของชาวบ้านที่นั่งขายบนโต๊ะเตี้ยๆ
“ลูกพีชจ้ะ เรียกพีชก็ได้” ตอบกลับน้ำเสียงหวาน พอเดินถึงบริเวณร้านขายลูกชิ้น พิมพ์พิชญาจึงขอหยุดซื้อก่อนเพราะเริ่มรู้สึกหิว ระหว่างที่รอหล่อนก็หันไปชวนคุย “แก้มจะมาซื้ออะไรจ๊ะ”
“ยังไม่รู้ค่ะ ว่าจะเดินดูก่อน ไม่ได้จะซื้ออะไรเป็นพิเศษ แล้วคุณจะซื้ออะไรคะ”
“จะซื้อพวกของสดกับพวกผักเอาไว้ทำกับข้าวน่ะ”
พิมพ์พิชญารับถุงลูกชิ้นมาถือก่อนจะยื่นเงินให้พ่อค้า พอรับเงินทอนเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินกันต่อ กวิตาพาเดินมาจนถึงเขียงหมู กับพวกเนื้อสัตว์อื่นๆ กลิ่นคาวคละคลุ้งกระทบจมูกจนรู้สึกพะอืดพะอม หญิงสาวหยุดยืนที่บริเวณร้านขายหมูกับไก่
“เอาอกไก่หนึ่งกิโลค่ะ แล้วก็สะโพกติดน่องอีกหนึ่งกิโล”
รออยู่สักพักก็รับมาถือโดยมีแก้มคอยช่วย “คุณอยู่บ้านพ่อเลี้ยงหรือคะ”
“ใช่” พิมพ์พิชญาไม่ได้ขยายความอะไรอีก
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงบริเวณที่ขายพวกเครื่องเทศ พริกแกง และเครื่องปรุงต่างๆ กวิตาก็พูดขึ้นอีก
“คุณคงเป็นญาติกับพ่อเลี้ยง”
พิมพ์พิชญายิ้มรับ ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดนั้น ไม่อยากจะต่อความเรื่องนี้เท่าไรนัก
พอได้ของทุกอย่างที่ต้องการเรียบร้อยแล้วจึงเดินย้อนกลับไปที่รถเพื่อเอาของไปเก็บ ขณะที่เดินผ่านเขียงหมูโดยมีกวิตาเดินนำไปก่อน และพิมพ์พิชญาเดินตามมาทีหลัง รถเข็นลังผลไม้โผล่มาจากไหนไม่รู้ หล่อนไม่ทันระวังจึงถูกชนเข้า
พิมพ์พิชญาร้องเสียงลั่น แต่ขณะที่ร่างแบบบางกำลังจะล้มลงบนพื้นเฉอะแฉะ มือคู่หนึ่งก็ฉุดรั้งหล่อนเอาไว้ได้ทันเวลา
ทุกคนในตลาดที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ถอนใจโล่งอก เด็กหนุ่มผอมแห้งไม่สวมเสื้อคนที่เข็นรถเมื่อครู่หยุดมองพร้อมกับพูดขอโทษ ข้าวของที่พิมพ์พิชญาถือมาหล่นเกลื่อน แก้มรีบเดินกลับมาดูพร้อมกับถามขึ้นว่า
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าคุณ”
พิมพ์พิชญาส่ายหน้าแล้วทรงตัวยืนขึ้น ก่อนจะช่วยกันเก็บของ หญิงสาวเงยขึ้นมาเห็นใบหน้าคมคล้ามของคนที่ช่วยหล่อนจึงเอ่ยขอบคุณเบาๆ
ชายหนุ่มรับคำจากนั้นจึงหันไปพูดเสียงกังวานกับเด็กคนนั้น “คราวหลังระวังหน่อยนะ อย่ารีบจนไม่ดู เดี๋ยวไปชนคนอื่นบาดเจ็บแล้วตัวเองจะเดือดร้อน”
เด็กคนนั้นแทบหดหัว ก่อนจะหันหลังและเข็นรถเข็นไปต่อ
“ผมช่วยครับ...” ชายหนุ่มช่วยเก็บของขึ้นมาจนเรียบร้อย ดีหน่อยที่ไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” หญิงสาวว่าขณะมองรอยยิ้มกว้างของเขา หล่อนกำลังจะขอตัวเดินจากมา แต่ชายหนุ่มอาสาไปส่งที่รถ พิมพ์พิชญาปฏิเสธหลายครั้งทว่าเขาก็ยังดึงดันที่จะไปส่ง
“ให้เขาถือเถอะค่ะคุณ เราจะได้ไม่ต้องถือเอง” กวิตาว่าพร้อมกับส่งถุงในมือให้ผู้ชายคนนั้นถือ จากนั้นหล่อนก็ลากพิมพ์พิชญาเดินนำไป พอเดินห่างออกมาไกลพอควร อีกฝ่ายก็กระซิบบอกกับหล่อนด้วยเสียงเบา “พ่อเลี้ยงสิชาค่ะ เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ใครเดือดร้อนเขาก็ชอบช่วยเหลือแบบนี้แหละ โดยเฉพาะกับคนสวยๆ แต่คุณอย่าไปยุ่งกับเขามากนะคะ ไว้ใจไม่ได้”
พิมพ์พิชญาหันกลับไปมองคนที่เดินตามมาทีหลัง เขาสูงกว่าหล่อนมาก ร่างกายกำยำพอดู ใบหน้าหล่อคมติดจะยิ้มแย้มมากเป็นพิเศษ เพราะเขาเดินไปก็ยิ้มให้บรรดาแม่ค้าแทบจะทุกแผง ยิ่งแผงไหนเป็นแม่ค้าสาวหน่อยก็ยิ้มกว้างกว่าแผงของบรรดาป้าแม่ค้า กระนั้นบรรดาแม่ค้าแม่ขายทั้งหลายก็ยิ้มหวานตอบกลับทุกแผงเหมือนกัน หล่อนเชื่อว่าเขาเป็นนักการเมืองจริงๆ ถ้าเกิดมือเขาว่างก็คงจะยกขึ้นมาไหว้สวัสดีอย่างที่นักการเมืองชอบทำกันไปแล้ว
“แก้มให้เขาถือของให้ทำไมล่ะ ถ้าไม่อยากไปยุ่งกับเขา” พิมพ์พิชญาว่าขำๆ “เขาก็ดูเป็นคนดีออกนี่นา”
“โอ๊ย ดีเฉพาะใกล้เลือกตั้งนั่นแหละค่ะ ประวัติเขาไม่ขาวสะอาดเท่าไหร่ ชอบทำร้ายพวกลูกหนี้ ใครๆ ก็กลัวเขาทั้งนั้นแหละ ที่แก้มให้เขาถือเพราะเขาอยากถือหรอกค่ะ เราจะได้ไม่ต้องถือเอง”
พิมพ์พิชญาพยักหน้า หล่อนยังไม่ตัดสินเขาจากคำพูดของใครหรอก เอาไว้เจอด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยตัดสินว่าเขาดีหรือไม่ดี ไอ้ที่ใครๆ พูด ใครๆ ว่านี่เชื่อไม่ได้ทั้งนั้น
“แก้มรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนแบบนั้น” พิมพ์พิชญาถามขณะเดินมาถึงรถ เห็นพ่อเลี้ยงสิชาหยุดคุยกับใครสักคนอยู่ตรงบริเวณทางออก
“คนในไร่ของนายลมก็รู้กันทั้งนั้นแหละค่ะ หลายคนก็ติดหนี้เขา ถ้าเกิดจ่ายดอกไม่ตรงเวลาเขาก็จะให้ลูกน้องมาซ้อม ส่วนใหญ่คนในไร่เขาก็มีแต่พวกลูกหนี้แหละค่ะ ทำงานใช้หนี้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด...” หญิงสาวเงียบเสียงลงขณะที่สิชาเดินมาถึง
ชายหนุ่มเอาของไปไว้บนรถเรียบร้อยแล้วจึงลงมายืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนถามเสียงทุ้มลึก
“ผมสิชาครับ แล้วคุณ...”
แก้มขยับมาอยู่ข้างหลังหล่อน ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่พิมพ์พิชญาระบายยิ้มเล็กๆ ให้แก่น้ำใจที่เขามีให้ ก่อนจะตอบ
“ลูกพีชค่ะ”
“ชื่อเพราะจังเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” พิมพ์พิชญาตอบเสียงเบา หล่อนสบตาเขานิดหนึ่งเห็นว่านัยน์ตาคมกริบนั้นกำลังจ้องไปที่กวิตา ครู่เดียวก่อนที่เขาจะหันมามองหน้าหล่อนอีกครั้ง ชายหนุ่มสวมกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มพับแขนลวกๆ ทรงผมตัดสั้นเรียบร้อย ใบหน้าเกลี้ยงเกลากว่าสรัชมาก ดูท่าว่าคงจะพิถีพิถันกับการแต่งตัวมากพอสมควร
“เพิ่งมาอยู่หรือครับ ผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่”
พิมพ์พิชญาเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือร้ายกาจอะไร หล่อนจึงสนทนากับเขาต่อระหว่างรอคนอื่นๆ
“ค่ะ เพิ่งมาอยู่”
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยบอกผมได้เลยนะครับ นี่ครับนามบัตรของผม” สิชาพูดพลางยื่นนามบัตรให้
หญิงสาวรับมาถือเอาไว้ ขณะที่คนงานคนอื่นๆ เริ่มกลับมาบ้างแล้ว หล่อนเห็นสายตาหลายคนมองมาที่สิชาอย่างเกรงๆ หลายคนถึงกับเลี่ยงไปก็มี หญิงสาวยิ้มนิดเมื่อเขาขอตัวกลับ
“ไว้เจอกันใหม่ครับ คุณลูกพีช”
“คุณรู้จักพ่อเลี้ยงสิชาด้วยเหรอจ๊ะ” ผู้หญิงร่างท้วมท่าทางโผงผางมากที่สุดในรถถามขึ้น
“เปล่าค่ะ” พิมพ์พิชญาตอบเสียงเบา เห็นสายตาของทุกคนที่มองมาแล้วถึงกับต้องแอบถอนหายใจ หล่อนเพียงแค่สนทนากับคนที่มีน้ำใจกับหล่อนเท่านั้น แต่กลับทำให้ทุกคนมองหล่อนอย่างขยาดๆ เพียงนี้เชียวหรือ หญิงสาวสลัดไล่ความรู้สึกต่างๆ ออกจนหมดก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถ
“คุณพีชดูสายตาทุกคนที่มองเขาสิคะ เชื่อหรือยังว่าแก้มพูดจริง”
“เราตัดสินใครจากคำพูดหรือความคิดของคนอื่นไม่ได้หรอกนะแก้ม”
หญิงสาวพยายามพูดเสียงเบา เพราะคนที่โดยสารมาด้วยกันเริ่มทยอยกันกลับมาแล้ว บางคนก็ถือของมาเต็มสองมือ ในขณะที่บางคนมีกาแฟโบราณแก้วเดียว หญิงสาวยิ้มก่อนจะมองใบหน้าเนียนใสของคนตรงหน้าแล้วพูดต่อไป
“เราต้องรู้จักเขาก่อนถึงจะสามารถตัดสินใครได้ คนทุกวันนี้ชอบพิพากษาคนอื่นจากคำพูดของใครไม่รู้ มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย อีกอย่างเขาก็มีน้ำใจกับเรา แก้มจะให้พี่มึนตึงกับเขาได้ยังไง”
“ก็จริงของคุณพีชค่ะ”
รถเคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้นเมื่อคนมาครบแล้ว วันนี้ไม่มีใครไปซื้อของที่อื่น รถจึงตรงกลับไปที่ไร่เลย ระหว่างทางกลับพิมพ์พิชญาได้คุยกับกวิตา จึงรู้ว่าเจ้าตัวเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่กี่เดือน หลังจากเรียนจบมัธยมหญิงสาวก็ไม่ได้เรียนต่อ พิมพ์พิชญาเข้าใจว่าความรู้สึกผิดหวังมันเป็นอย่างไร ผิดหวังที่ตัวเองไม่ได้เดินตามความฝัน ด้วยอุปสรรคปัญหาหลายอย่าง ทว่าหล่อนยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ยังได้เรียนต่อจนกระทั่งจบในระดับปริญญาตรี
“แก้มเคยคิดว่าตัวเองจะเรียนต่อนะคะ แต่พ่อก็มาป่วย เลยมาทำงานดีกว่า ถึงไปเรียนก็คงไม่มีความสุขในการเรียนหรอกค่ะ”
“ไม่เสียดายเหรอ อนาคตของเราน่าจะได้ไปไกลกว่านี้”
“ไม่ค่ะ แก้มคิดแค่วันนี้จะมีอะไรกินแค่นั้น คนเราอยู่ได้ด้วยความหวังนะคะ แต่ถ้าความหวังมันอยู่สูงมากเกินไปมันก็อาจจะทำให้เราเป็นทุกข์ได้”
พิมพ์พิชญาพยักหน้าเห็นด้วย มองแววตาของคนตรงหน้าด้วยความชื่นชม แม้แววตาจะเศร้า แต่ความมุ่งมั่นและกล้าแกร่งกลับเปี่ยมล้น
“ที่ทำงานทุกวันนี้ก็แค่พอกินเท่านั้นค่ะ อย่าหวังเลยว่าจะได้ลืมตาอ้าปากหรือว่าใช้หนี้ใช้สินได้จนหมด”
“พูดเรื่องนี้แล้วเครียดจัง” พิมพ์พิชญาหัวเราะ
รถแล่นเข้ามาในไร่ ฝุ่นเริ่มตลบอีกครั้ง หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก ไม่นานนักรถก็แล่นมาจอดบริเวณทางเข้าบ้านของภาจรี กวิตาช่วยขนของลงมา พอดีกับที่คนงานผู้ชายสองคนเดินออกมาจากบ้าน พิมพ์พิชญายิ้มให้เล็กน้อยเมื่อฝ่ายนั้นยิ้มทักมาก่อน
พอรถสองแถวแล่นออกไป ผู้ชายสองคนนั้นก็เดินตรงมาหา
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยจ๊ะน้องสาว”
คนตัวสูงสวมเสื้อลายขวางแขนยาวพูดขึ้นก่อน ทั้งสองคนมองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะคิก ก่อนที่อีกคนที่ตัวเตี้ยและเจ้าเนื้อกว่าจะพูดบ้าง
“เพิ่งมาอยู่หรือจ๊ะ มีอะไรบอกพี่สองคนได้ พี่ชื่อก้าน ส่วนไอ้เสาไฟฟ้านี่เสม”
พิมพ์พิชญามองสองคนนั้นนิ่งๆ ไม่ได้ตอบรับอะไร ขณะจะเดินเลี่ยงเข้าบ้าน คนที่ชื่อเสมก็เดินเข้ามาขวาง ก่อนจะแย่งถุงในมือของหล่อนมาถือเอาไว้
“พี่ช่วยนะจ๊ะ จะเข้าไปในบ้านหรือ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“อู้ว เสียงโคตรหวานเลยไอ้เสม หน้าหวานไม่พอเสียงยังเพราะอีกต่างหาก มีแฟนหรือยังเอ่ย ถ้าไม่มียินดีจะรับพี่ก้านคนนี้ไปพิจารณามั้ยจ๊ะ รับรองว่าสปอร์ต ใจดี มีรถขับ โทรศัพท์ถ่ายรูปได้แน่นอนจ้ะ”
พิมพ์พิชญาระบายยิ้มกับท่าทางเกินจริงของชายหนุ่มที่ชื่อก้าน ดูแล้วก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร ออกจะน่าขันมากกว่า
“ของพี่เสมสปอร์ต ใจดี รถไม่มีขับ แต่พากลับได้แน่นอนจ้ะ”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะพูดอะไรอีก พิมพ์พิชญาก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากในบ้านก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง
“ไอ้ก้าน! ไอ้เสม!” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังราวกับเสียงคำราม สองคนที่ถูกเรียกสะดุ้งก่อนจะหันไปมองสรัชที่กำลังเดินออกมา “พูดอะไรวะฮะ รำคาญ หนวกหู งานใช้ให้ไปทำไม่ได้เรื่อง วันๆ คงมัวแต่ไล่จีบผู้หญิงสิเอ็งสองคน”
“เปล่าครับนาย ไอ้เสมคนเดียวเลย” ก้านชี้ไปทางเพื่อน
เสมยกมือขึ้นทำท่าปฏิเสธ “ไอ้ก้านต่างหากครับนาย ผมไม่ได้เถลไถลสักนิด ผมตั้งใจทำงาน”
ชายหนุ่มผู้เป็นนายเดินมาจนเกือบจะชิดตัวสองลูกน้องที่มองด้วยแววตาเกรงๆ ก่อนจะพูดเสียงเข้ม“อย่าให้เห็นอีกนะว่ามายุ่งกับคนของข้า ไม่งั้นเอ็งสองคนถูกไล่ออก!”
เขาดึงถุงจากมือของเสมมาถือเอาไว้ สายตามคมกริบจ้องมองลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เสมกับก้านได้แต่หลบตา ยืนตัวลีบแต่ยังถามเสียงเบา “มะ...มะเมียนายหรือครับ”
สรัชไม่ตอบ ขณะที่พิมพ์พิชญาฟังไม่ถนัดนัก จึงไม่ได้พูดอะไร
“ทำไมคุณนายไม่บอกก่อนว่า...เป็น...เอ่อ”
พิมพ์พิชญาขมวดคิ้วก่อนจะเดินผ่านสองคนนั้นมายืนใกล้สรัช เห็นว่าเขากำลังอารมณ์เสีย เพราะสองคิ้วขมวดเป็นปม
“อย่าให้เห็นอีกนะ ไม่งั้นมีเรื่อง”
“ครับนาย!” สองคนนั้นรับคำแล้วหันหลังวิ่งจี๋ออกไป
พิมพ์พิชญามองตามจนทั้งสองคนเดินไปขึ้นรถและขับออกไปจากบริเวณบ้าน จึงหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยแววตาสงสัย
“เขาพูดว่าอะไรคะ ฟังไม่ถนัด” หญิงสาวถามพร้อมกับจ้องเขาตาไม่กะพริบ
สรัชอึกอักไม่ตอบ ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน
พิมพ์พิชญาเดินตามเข้ามาพร้อมกับกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ ทีอยู่กับลูกน้องทำเป็นเข้ม
โธ่เอ๊ย!
“คราวหลังถ้ามีคนมาพูดด้วยก็ไม่ต้องไปพูดกับเขามาก”
“มีคนมาพูดด้วยก็ต้องพูดสิ. ฉันไม่ได้เป็นใบ้” พิมพ์พิชญาว่าหน้าตาย ขณะที่สรัชมองราวกับจะเอามีดมาแทงหล่อน “อ้อ ที่พูดเมื่อกี้ว่าฉันเป็นคนของคุณเนี่ย ฉันเป็นคนของคุณเมื่อไหร่คะ”
“ตั้งแต่คุณเดินเข้ามาอยู่ในบ้านของผมนั่นแหละ” สรัชว่าก่อนจะยกยิ้ม “อะไรก็ตามที่อยู่ในบ้านของผม ทั้งคนทั้งของมันก็เป็นของผมทั้งนั้นแหละ!” พูดจบก็เดินนำหล่อนเข้าไปในบ้าน ไม่เปิดโอกาสให้หล่อนได้เถียงสักนิด
พิมพ์พิชญาเม้มปากก่อนจะเดินตามเข้าไป ในใจก็แอบคิดว่า...
โมเมไปคนเดียวน่ะสิอีตาพ่อเลี้ยง วันนี้เป็นอะไรมาทำเข้มทั้งวัน!
ปวันวาตเห็นพิมพ์พิชญาเดินเข้ามาจึงรีบผละออกจากตักมีนมีนาวิ่งมาหาผู้เป็นแม่ ซึ่งรับลูกสาวมาอุ้มเอาไว้ก่อนจะหอมแก้มใสๆ หนึ่งที เด็กหญิงยิ้มกว้างใช้มือป้อมๆ จับที่แก้มของผู้เป็นแม่ จากนั้นจึงหอมทั้งแก้มซ้ายและแก้มขวา พูดพร้อมกับระบายยิ้มกว้าง
“คุณแม่เหนื่อยมั้ยคะ”
“ไม่เหนื่อยค่ะ” ตอบอย่างเอื้อเอ็นดู “วินดี้ดื้อหรือเปล่าคะ”
เด็กหญิงส่ายหน้า ยิ้มอายๆ สองมือประสานกันไว้ที่หน้าอก พิมพ์พิชญาเห็นว่าปวันวาตสวมชุดใหม่ที่หล่อนไม่เคยซื้อให้ เดาว่าคงเป็นมีนมีนาที่ซื้อมาฝาก รวมถึงโบผูกผมสีหวานนี่ด้วย คนเป็นแม่มองยิ้มๆ ก่อนจะลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ ครู่หนึ่งภาจรีก็เดินออกมาพร้อมกับสรัช หญิงสาวจึงวางเด็กหญิงลง
“ความจริงลูกพีชให้ลมขับรถไปส่งก็ได้นะ ไม่เห็นจะต้องลำบากนั่งรถไปเองเลย” สายตาคมกริบตวัดมองลูกชาย ขณะที่สรัชทำเป็นไม่สนใจ เดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบนิตยสารขึ้นมากางหน้าตาเฉย “ดูสิ หน้าตามอมแมมเชียวแม่คุณ” ภาจรีว่าขำๆ เมื่อเห็นว่าหล่อนเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว
พิมพ์พิชญารู้ว่าสรัชแกล้ง แต่หล่อนไม่สนใจหรอก การนั่งรถไปกับคนงานก็ไม่ได้ลำบากตรากตรำอะไรมาก ออกจะสนุกด้วยซ้ำ แถมยังได้เพื่อนใหม่ ขืนให้สรัชไปส่งไม่แน่เขาอาจจะเอาหล่อนไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนก็ได้ คนแบบนี้ยิ่งลมเพลมพัด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พีชไปเองสะดวกกว่า”
“ความจริงมากินด้วยกันที่นี่ก็ได้นะ คนเยอะสนุกดี อีกอย่างวินดี้จะได้มีเพื่อนเยอะๆ มาอยู่ในไร่แบบนี้เหงาแย่” คนพูดหันไปมองเด็กหญิงที่กำลังนั่งคุยกับมีนมีนาด้วยแววตาเอ็นดู
พิมพ์พิชญาไม่รู้หรอกว่าเนื้อใจแท้จริงของภาจรีคิดกับหล่อนและลูกอย่างไร แต่ความมีเมตตากับความเอื้อเฟื้อในข้อนี้หล่อนจะไม่ลืม
หญิงสาวรู้ว่าการที่จู่ๆ หล่อนก็เดินเข้ามาบอกว่าหล่อนท้องกับลูกชายของภาจรีมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึก แต่จนถึงวันนี้หล่อนก็ยังไม่เคยรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจจากสายตาของคนในครอบครัวนี้เลย ภวัต ภาจรี และมีนมีนาต่างก็เมตตาและเอ็นดูปวันวาตทั้งนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่มีใครซักไซ้ไล่เลียงอะไรหล่อนเลย พิมพ์พิชญารู้ว่าพวกเขารอให้หล่อนเล่าออกมาเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หญิงสาวตั้งใจเอาไว้ว่าผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอออกเมื่อไร หล่อนจะยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง
“วินดี้อายุครบเรียนแล้วหรือยังคะ” มีนมีนาถามขึ้น
ภาจรีหันมามองหล่อนอย่างต้องการคำตอบ เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปวันวาตต้องไปโรงเรียน
“ความจริงวินดี้เข้าเรียนอนุบาลตั้งแต่สามขวบแล้วค่ะ”
โรงเรียนบางแห่งในกรุงเทพฯ เริ่มรับเด็กเข้าเรียนตั้งแต่อายุสามขวบ แต่ก็นั่นแหละ พอมีเหตุต้องมาที่นี่พิมพ์พิชญาจึงพาปวันวาตไปลาออกจากโรงเรียน และเดินทางมาหาสรัช
“โรงเรียนที่นี่เริ่มรับนักเรียนตอนสี่ขวบพอดี” มีนมีนาจำได้ว่าลูกสาวเพื่อนหล่อนเข้าเรียนอนุบาลตอนสี่ขวบ “มีนว่ารอให้อายุครบสี่ขวบแล้วค่อยพาไปเข้าโรงเรียนก็ได้นะคะ”
“ถึงเวลาแล้วค่อยเตือนอีกทีแล้วกัน” ภาจรีสรุป “อ้อ จะเรียนโรงเรียนไหนยังไงต้องไปดูก่อนนะ ไว้ให้ลมพาไปดู เลือกโรงเรียนดีๆ หน่อย หรือจะให้ไปเรียนโรงเรียนที่เราสองคนเรียนก็ได้”
“เขาคงไม่อยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกมั้งครับ” สรัชพูดขึ้นบ้าง
พิมพ์พิชญานิ่งไปไม่ตอบ หล่อนไม่ได้หันไปมองว่าเขาทำหน้าอย่างไร จึงได้ยินเพียงเสียงของมีนมีนาที่ต่อว่าพี่ชายเบาๆ เท่านั้น
หญิงสาวระบายยิ้มออกมาเมื่อภาจรีหันมามอง ขณะที่สรัชกลับไปสนใจนิตยสารในมืออีก ยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไรเพราะบรรยากาศกลายเป็นความตึงเครียดครู่หนึ่ง ผู้เป็นแม่ก็ตรงดิ่งเข้าไปคว้านิตยสารเล่มนั้นออกแล้วยืนเท้าสะเอวตรงหน้าชายหนุ่ม จ้องราวกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้นๆ
สรัชเงยหน้ามองแม่ก่อนจะเอนตัวหนีไปข้างหลังพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมหูทั้งสองข้าง งิ้วโรงเล็กของแม่เขากำลังจะเปิดทำการแสดงอีกแล้ว!
มีนมีนาคว้าตัวหลานสาวมาได้ก็อุ้มออกไปทางหลังบ้าน ขณะที่สรัชอ้าปากเตรียมจะอุทธรณ์ความผิดของตัวเอง ถึงเขาจะไม่รู้สึกผิดก็เถอะ และไม่คิดว่าตัวเองผิดด้วย เขาแค่ถามเท่านั้น แต่ถ้าแม่บอกว่าผิดนั่นมันหมายความว่าผิด
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะแม่!”
ภาจรีเข่นเขี้ยวก่อนจะหยิกเข้าที่พุงของลูกชายจนฝ่ายนั้นดิ้น สรัชลุกขึ้นก่อนจะวิ่งมาหลับข้างหลังพิมพ์พิชญา กลายเป็นว่าหล่อนเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง โดยมีสรัชกับภาจรีอยู่คนละฝั่ง ชายหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกับวิ่งหลบซ้ายหลบขวาเพราะแม่จับตัวเองไม่ได้
“หยุดนะลม!” ภาจรีแผดเสียงลั่น โยกไปทางซ้ายทีทางขวาทีเหมือนพระเอกกับนางเอกอินเดียกำลังจีบกันอย่างไรก็อย่างนั้น
พอภาจรีเริ่มขยับเข้ามาใกล้ สรัช ก็โอบเอวหล่อน ดึงหญิงสาวเข้ามาบังตัวเองเอาไว้ พิมพ์พิชญาสะดุ้งก่อนจะดึงมือเขาออก แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย ดูเหมือนว่าสติของเขาจะอยู่กับการไล่จับกับภาจรีมากกว่าจะรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เสียงหัวเราะต่ำๆ ดังอยู่ไม่ไกลจากหูของหญิงสาวนัก ขณะที่หลังของหล่อนแตะอยู่ที่ท้องของเขาหญิงสาวพยายามจะดึงตัวเองออกมาเมื่อเขากอดกระชับแน่นขึ้น
“เจ้าลม!” เสียงภาจรีดังขึ้นอีก คราวนี้สรัชยอมหยุด พอเขาหยุดแม่เขาก็เข้าประชิดตัวก่อนจะตีแขนสุดแรงจนเสียงดังลั่น “สนุกมากมั้ย”
“สนุกดีครับ เราไม่ได้เล่นแบบนี้กันนานมากแล้วนะ” เขาว่าก่อนจะคลายมือออกจากเอวของหล่อน
พิมพ์พิชญาเลี่ยงออกจากบริเวณนั้น แต่ก่อนไปก็ไม่วายกระทืบที่เท้าเขาหนึ่งทีจนฝ่ายนั้นร้องลั่น
“ทำอะไรของคุณเนี่ย!” เขาโวยวายขณะใช้สองมือกุมเท้าของตัวเอง
“สมน้ำหน้า” ภาจรีว่าก่อนจะหัวเราะเยาะ “กอดเขาเต็มไม้เต็มมือเชียวนะลม ไหนบอกไม่รู้จัก ไหนบอกไม่ใช่ ไม่
สมกับฉายาลมมฤตยูเล้ย”
สรัชหน้าตึง เม้มปากแน่น พร้อมกับถลึงตาใส่เมื่อหล่อนขำ
“ผมลืมตัว คิดว่าต้นไม้” เขาเถียงหน้าตาเฉย
“ต้นไม้อะไร้...” ภาจรีว่าเสียงสูง “นิ่มมั้ยต้นไม้ของแก”
“นิ่ม...เอ๊ย ไม่ใช่ ไม่นิ่ม”
คราวนี้เป็นพิมพ์พิชญาที่หน้าร้อนฉ่า หญิงสาวหลบสายตาเมื่อภาจรีมองมาอย่างล้อๆ
“อย่าให้ฉันเห็นว่าแอบย่องไปบ้านนั้นนะ” ภาจรีคาดโทษ “เรื่องเก่ายังไม่จบ อย่าเพิ่งไปสร้างเรื่องใหม่อีกล่ะ”
“แม่ก็รู้จักผมดีไม่มีทางหรอก” เขาว่าอย่างถือตัว ขณะที่พิมพ์พิชญามองด้วยสายตาเหยียด
“ย่ะ ขอให้จริงอย่างปากพูดเถอะ หลอกใครก็หลอกได้ แต่หลอกใจตัวเองไม่ได้หรอกนะพ่อคุณ ทูนหัวของแม่!” พูดจบภาจรีก็หันหลังเดินไปหลังบ้านบ้าง
สรัชหันหน้าไปทางอื่น ขณะที่พิมพ์พิชญายังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ในห้องตกอยู่ในความเงียบ หากมีลมพัดเข้ามาก็คงจะได้ยินเสียงหวีดหวิว
“คุณนั่นแหละ อย่าย่องมาบ้านผมก็แล้วกัน”
พิมพ์พิชญาถลึงตาใส่ มองคนที่ทำหน้าระรื่นด้วยความหมั่นไส้ “ฝันไปเถอะ!”
ความคิดเห็น |
---|