3

ใต้ท้องฟ้ามีหลังคาบ้าน


ใต้ท้องฟ้ามีหลังคาบ้าน

 

สรัชคือผู้ชายร้ายกาจคนหนึ่ง!

พิมพ์พิชญาผุดลุกขึ้นเมื่อความอดทนของหล่อนสิ้นสุดลง ณ วินาทีนั้น ไม่เคยคิดว่าผู้ชายอย่างสรัชจะเจ้าคิดเจ้าแค้น หรือมีความคิดจุกจิกถึงขนาดสามารถตัดน้ำตัดไฟบ้านหลังที่หล่อนอยู่ได้ ถ้าหากบ้านของเขาเป็นอย่างบ้านหลังนี้ด้วยหล่อนก็คงจะไม่รู้สึกเดือดร้อนนัก

ทว่า ในขณะที่หล่อนต้องทนนั่งเหนียวตัวอยู่ในความมืดเป็นชั่วโมง บ้านของเขากลับเปิดไฟสว่างจ้า ทั้งยังเห็นเขายืนรดน้ำต้นไม้หน้าระรื่นอีกต่างหาก การกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์พิชญามั่นใจว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับหล่อนนี้เป็นฝีมือของเขาอย่างแน่นอน

หญิงสาวเดินออกจากบ้านผ่านสวนสวยไปตามทางเดินมืดสนิทตรงไปยังบ้านของสรัช เมื่อผ่านเฉลียงหน้าบ้านไปแล้วเห็นประตูเปิดอยู่หล่อนจึงตรงดิ่งเข้าไป เจ้าของบ้านนั่งอยู่บนโซฟาหนังสีน้ำตาล เหยียดขายาวอย่างสบายอารมณ์ โดยมีปวันวาตนั่งอยู่บนพื้นพรมใกล้ๆ เขาไม่สนใจหล่อนที่กำลังเดินหน้าบึ้งเข้ามาสักนิด

พิมพ์พิชญารู้ว่าเขาเห็นตั้งแต่หล่อนปรากฏตัวที่หน้าประตูแล้ว แต่สรัชก็คือสรัช เขากำลังเล่นสงครามประสาทอยู่อย่างไรล่ะ!

“คุณแม่”

เสียงหัวเราะทุ้มลึกดังขึ้นขณะที่เขาดูรายการโชว์อะไรสักอย่าง เขาทำท่าเหมือนมีความสุขมาก แน่ละบ้านของเขาไม่ได้ถูกตัดน้ำตัดไฟอย่างบ้านของหล่อน สรัชพาปวันวาตมาที่บ้านของเขาตั้งแต่หัวค่ำ จัดการอาบน้ำอาบท่าให้จนเรียบร้อย หญิงสาวมองร่างเล็กในชุดนอนลายหมีสีฟ้าอ่อน ผมด้านหน้าถูกมัดเป็นจุกเล็กๆ ดูน่ารัก คงเป็นฝีมือของสรัชอีกนั่นแหละ...

ตอนที่เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับบอกว่าขอชุดนอนของลูกเพราะปวันวาตจะอาบน้ำที่นู่น หญิงสาวก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไรเพราะตอนนั้นที่บ้านไฟยังไม่ดับ แต่พอเริ่มมืดไฟบ้านหล่อนกลับดับทั้งหลัง ขณะที่บ้านของเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรสักนิด พิมพ์พิชญาพยายามอดทนเพราะคิดว่าอีกไม่นานไฟก็คงมา น้ำไหลก็คงจะได้อาบน้ำอาบท่า แต่รอเป็นชั่วโมงไฟก็ยังดับเหมือนเดิม จนกระทั่งความอดทนสิ้นสุดลง

“คุณลม” หญิงสาวเรียกด้วยน้ำเสียงปกติ พยายามไม่แสดงอาการอะไรให้ลูกเห็น หล่อนไม่อยากให้ปวันวาตรับรู้ว่าหล่อนกับเขากำลังทำสงครามกัน ดังนั้นแม้จะโกรธมากขนาดไหน พิมพ์พิชญาก็จำเป็นต้องปั้นหน้ายิ้มขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง “ฉันขอคุยด้วยหน่อย...”

“ผมไม่ว่าง” เขาว่าก่อนจะกดเปลี่ยนช่อง จากนั้นก็หัวเราะร่วนอีก ไม่ได้หันมามองเลยด้วยซ้ำ แม้แต่หางตาเขาก็เหลียวมาไม่มอง!

ปวันวาตเงยหน้ามองแม่ที่ยืนอยู่ด้วยดวงตาใสแจ๋ว ก่อนจะหันมามองพ่อที่นอนเหยียดอยู่บนโซฟา จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า

“คืนนี้พ่อลมกับแม่พีชจะนอนด้วยกันมั้ยคะ”

เด็กหญิงถามซื่อๆ แต่ทำเอาพิมพ์พิชญาชะงัก ทำท่าจะพูดอะไรแต่ไม่ได้พูด ขณะที่สรัชขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองเจ้าของคำถามที่นั่งเล่นตุ๊กตาอยู่ที่พื้นแล้วทำท่าจะพูดอะไรเหมือนกัน แต่พอเห็นแววตาซื่อบริสุทธิ์เป็นประกายจ้องมองมาที่เขาแล้วก็กลับพูดอะไรไม่ออก กลายเป็นพิมพ์พิชญาที่เดินเข้ามาใกล้ลูกแล้วพูดเสียงหวาน

“คืนนี้วินดี้ต้องไปนอนที่บ้านนู้นกับแม่” หญิงสาวเลี่ยงที่จะพูดถึงสรัช และต้องพักเรื่องที่เขาตัดไฟตัดน้ำที่บ้าน

หล่อนเอาไว้ก่อนด้วย

ปวันวาตเม้มปากนิดๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจ ก่อนขยับลุกขึ้นเต็มความสูงของตัวเอง กอดตุ๊กตาหมีไว้แนบอกพร้อมกับเอ่ยด้วยความสงสัยต่อไปอีกว่า

“คุณพ่อนอนที่ไหนคะ”

สรัชกับพิมพ์พิชญาหันมาสบตากันโดยอัตโนมัติ ความอึดอัดบางอย่างสะท้อนผ่านแววตาของคนทั้งคู่ คิ้วเรียวบางเรียงเส้นเป็นระเบียบของหญิงสาวเริ่มขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกถึงความกดดันบางอย่าง

ปวันวาตหันไปมองพ่อทีหันมามองแม่ทีระหว่างรอคำตอบ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้คำตอบจนนึกสงสัยว่าทำไมแม่ถึงต้องไปอยู่บ้านหลังนั้น และทำไมพ่อต้องมาอยู่บ้านหลังนี้ เด็กหญิงคิดแบบเด็กๆ ว่าพ่อกับแม่จะต้องอยู่ด้วยกันในบ้านหลังไหนสักหลังหนึ่ง

“คุณพ่อจะนอนที่บ้านหลังนี้ค่ะ” พิมพ์พิชญาตัดสินใจตอบไปในที่สุด เพราะเชื่อว่าคำถามของปวันวาตจะไม่จบแค่นั้นอย่างแน่นอน และก็เป็นจริงดังคาด

“ทำไมพ่อลมไม่นอนกับแม่พีชกับวินดี้” เด็กหญิงถามขึ้นมาอีก แต่คราวนี้หันไปถามสรัชบ้าง “วินดี้นอนไม่ดิ้นหรอกค่ะ”

“ถ้าเรานอนด้วยกันสามคนมันจะเบียด เพราะงั้นวินดี้นอนกับแม่แค่สองคนจะสบายกว่านะคะ” คนพูดลูบหัวเด็กหญิงเบาๆ ดวงตาสดใสหม่นลงจนหัวใจของสรัชไหววูบ

“ไม่เบียดหรอกค่ะ วินดี้อยากให้พ่อลม แม่พีชนอนกับวินดี้”

“วินดี้ขา...” พิมพ์พิชญาทรุดตัวลงนั่งก่อนจะกอดร่างเล็กไว้แนบอก “เตียงมันแคบ วินดี้อาจจะนอนไม่สบาย เอาไว้ถ้าเราเปลี่ยนเตียงใหม่ค่อยนอนด้วยกันดีมั้ยคะ”

สรัชพยักหน้าเห็นด้วย

ปวันวาตหน้าม่อยลงก่อนจะกระชับตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดของตัวเอง จากนั้นจึงหันไปมองสรัชด้วยแววตาอ้อนๆ ก่อนจะหันมาหาพิมพ์พิชญาแล้วอ้อนอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้น...พ่อลมกับแม่พีชก็นอนด้วยกันในห้อง วินดี้ก็ไปนอนอีกห้องดีมั้ยคะ”

“ไม่ดีจ้ะ!”

สรัชและพิมพ์พิชญาต่างก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน สายตาของทั้งคู่สอดประสานก่อนจะหันออกไปคนละทาง

จะให้นอนร่วมห้องกับสรัชหรือ...ไม่มีทาง!

“คุณพ่อกับคุณแม่โกรธกันเหรอคะ” เด็กหญิงถามพาซื่อ

สรัชรีบส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ไม่ได้โกรธกัน”

“ถ้าพ่อลมกับแม่พีชไม่ได้โกรธกันทำไมถึงต้องอยู่คนละบ้าน ทำไมถึงไม่อยู่ด้วยกันล่ะคะ” ดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามของคนพูดหันมองพ่อกับแม่อย่างต้องการคำตอบ “แม่พีชโกรธพ่อลมที่ไม่ให้ซ้อนจักรยานกลับบ้านด้วยใช่มั้ยคะ”

พิมพ์พิชญาชะงัก แต่ยังไม่ทันตอบเด็กหญิงก็พูดต่อไปอีกว่า

“พ่อลมไม่ได้อยากให้แม่พีชเดินกลับบ้านเองสักหน่อย ตอนกลับมาถึงบ้านพ่อลมยังบอกเลยว่าจะปั่นกลับไปรับแม่พีช พ่อลมห่วงคุณแม่นะคะ วินดี้เห็นพ่อลมยืนรอตั้งนาน รอจนคุณแม่กลับมาถึงพ่อลมถึงเข้ามาในบ้าน”

สรัชได้แต่ทำหน้านิ่ง ไม่ได้พูดอะไร ราวกับว่าเขาไม่รับรู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ลำคอตั้งตรง ริมฝีปากเรียวเม้มแน่น แม้จะแอบกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ก็ตาม เขารู้ว่าไม่ควรจะพูดอะไรมากกว่าการนั่งเฉยๆ เพราะไม่อย่างนั้นปวันวาตจะไม่หยุดแค่นี้ ประสบการณ์ที่ผ่านมามันสอนเขาแบบนั้น

พิมพ์พิชญาหันไปมองหน้าสรัช เห็นเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไรก็รู้สึกวูบวาบอย่างไรชอบกล ก่อนจะรีบส่ายหน้าแก้เก้อ

“แม่ไม่ได้โกรธเรื่องนั้นหรอกค่ะ”

“ถ้าพ่อลมกับแม่พีชไม่โกรธกัน คืนนี้เรานอนด้วยกันนะคะ”

สรัชลุกขึ้นยืนก่อนจะลูบหัวปวันวาตเบาๆ มองเจ้าตัวยุ่งด้วยแววตาเอ็นดู เขาไม่ค่อยเข้าใจเด็กมากนักเพราะชีวิตนี้ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเด็กสักเท่าไร และไม่คิดว่าจะมีเด็กมาให้คลุกคลีด้วยอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้ ดังนั้นเรื่องพฤติกรรมหรือพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยจึงเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเขามาก

ชายหนุ่มมองพิมพ์พิชญาด้วยแววตาเรียบนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงแขนหล่อนให้เดินออกไปยังมุมหนึ่งของห้อง แล้วกระซิบเสียงเบา

“คุณเลี้ยงลูกยังไงให้ฉลาดทันคนแบบนี้ฮึ ฉลาดเกินวัยไปหรือเปล่า” สรัชรู้ว่าปวันวาตก็คงสงสัยไปตามประสาเด็ก และพูดไปอย่างที่ตัวเองคิดนั่นแหละ แต่การกระทำของปวันวาตมันเหมือนเด็กที่รู้อะไรมากกว่าวัยของตัวเอง ถึงจะไม่ค่อยรู้เรื่องเด็กเล็กมากนัก แต่สัญชาตญาณของเขาก็บอกได้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา

“เลี้ยงปกติ กินข้าวสามเวลา นอนครบแปดชั่วโมง” พิมพ์พิชญาว่าหน้าตาย สายตาคมกริบของหญิงสาวตวัดมามองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหล่อนมีเรื่องจะต้องจัดการเขา จึงพูดเสียงเบาว่า “คุณจงใจตัดไฟตัดน้ำบ้านหลังนั้นใช่มั้ย”

“อะไร”

สรัชทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทว่าอาการไม่รู้ไม่ชี้ของเขานั่นแหละเป็นตัวฟ้องอย่างดีว่าเขาทำ พิมพ์พิชญามองว่าเขาโกหกได้ไม่เนียนเท่าไร มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเขา

“ผมจะไปตัดน้ำตัดไฟบ้านหลังนั้นได้ยังไง คุณนั่นแหละไปทำอะไรให้ไฟฟ้าลัดวงจรหรือเปล่า”

“นี่!” พิมพ์พิชญาว่าหน้าเคร่ง “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง อ้อ ฉันรู้ทันคุณนะคุณลม ถ้าคิดจะมาไม้นี้บอกเลยว่าไม่ได้ผล หรือคุณจะให้ฉันไปบอกแม่คุณว่าคุณแกล้งอะไรฉันบ้าง”

พอพูดถึงภาจรีสรัชก็หน้าตึงทันที ริมฝีปากของชายหนุ่มเหยียดอย่างคนไม่พอใจ หล่อนคิดว่ามีอะไรแล้วแม่เขาจะเข้าข้างหล่อนไปเสมอทุกเรื่องหรืออย่างไร...อ้อ แล้วโตป่านนี้ยังจะทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้องอีกต่างหาก

“ขี้ฟ้อง” สรัชตราหน้าว่าหล่อนเสียงเข้ม “เชิญขี่ม้าสามศอกไปบอกแม่ผมเลยว่าผมแกล้งคุณ”

“ฉันไม่ได้ขี้ฟ้อง คุณนั่นแหละทำอะไรเป็นเด็กๆ สนุกนักเหรอได้แกล้งคนอื่น”

“สนุกสิ ถ้าไม่สนุกผมจะทำทำไม จริงมั้ย” คนพูดฉีกยิ้มร้ายกว้าง

“ยอมรับแล้วสินะว่าคุณเป็นคนทำ ตัดน้ำตัดไฟเสร็จแล้วก็รู้จักต่อกลับคืนด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องแน่นอน”

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผมไม่ทราบ นี่มันบ้านของผม”

“ค่ะ บ้านของคุณ”

พิมพ์พิชญาว่าแล้วก็เดินผ่านสรัชไปจูงปวันวาตพาเดินออกไปจากบ้านเขา กลับไปยังบ้านที่หล่อนอยู่ สรัชเดินตามไปจนถึงบ้านหลังนั้น ไม่ได้ห่วงพิมพ์พิชญาหรอก เขาห่วงปวันวาตต่างหาก ชายหนุ่มบอกตัวเองอย่างนั้นก่อนจะจัดการไฟกับน้ำที่เขาเป็นคนทำให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม

“เรียบร้อยแล้ว” บอกพลางทำหน้ายุ่ง

“เรียบร้อยแล้วก็กลับไปบ้านของคุณเถอะ ฉันจะอาบน้ำนอน” หญิงสาวว่าง่ายๆ แล้วทำท่าจะเดินขึ้นไปบนบ้าน

สรัชรู้ว่าท่าทางนิ่งๆ ของพิมพ์พิชญาเป็นเพราะหล่อนกำลังไม่พอใจเขาอยู่ ถึงเขาจะมีข้อกังขากับหล่อนอยู่มาก แต่ก็รู้สึกผิดอยู่ดีที่พูดแบบเมื่อครู่ออกไป ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะพูดขัดขึ้น

“ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”

คนที่กำลังก้าวขึ้นบันไดชะงักอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ได้หันกลับมามองคนที่ยืนถือไขควงอยู่ตรงบริเวณโซฟา หล่อนได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาเบาๆ ตั้งใจว่ารอให้เขาเดินออกไปก่อนจึงจะกลับขึ้นไปบนบ้าน แต่ดูท่าว่าเขาจะยังไม่ยอมกลับออกไปง่ายๆ

“ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ มันเป็นความจริง ฉันกับวินดี้เป็นผู้อาศัยเท่านั้น”

น้ำเสียงของคนพูดเรียบเรื่อย ไม่ได้มีแววประชดประชันอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นเสียหน่อย สรัชเริ่มไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่ทำไมมันถึงรู้สึกเจ็บแปลบตอนที่หล่อนพูดแบบนั้น

“อย่างอนสิลูกพีช” สุดท้ายก็ลบความรู้สึกผิดของตัวเองโดยการพูดเสียงอ่อนลง แม้มันจะไม่ได้ช่วยทำให้ความรู้สึกผิดจางหายไปก็เถอะ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ได้ง้อหล่อนก็แล้วกัน ปกติไม่เคยง้อใครสักคน ไม่เคยคิดจะง้อใครด้วย!

“คุณลม ฉันมีท่าทางงอนคุณด้วยหรือไง” พิมพ์พิชญาหันกลับมาพร้อมกับทำหน้าเบื่อเต็มทน หล่อนมองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปหลายช่วงตัวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง น้ำเสียงติดจะอ้อนของเขาทำให้หญิงสาวถึงกับต้องขมวดคิ้วมุ่น “การที่คุณพูดความจริงออกมาว่าที่นี่มันบ้านของคุณ ฉันจำเป็นต้องไปโกรธคุณด้วยหรือ ก็ในเมื่อมันเป็นความจริง”

“ก็คุณ” สรัชยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเบาๆ เสื้อสีขาวตัวบางๆ ย้วยๆ ของเขาแนบกายจนเห็นร่างหนาแกร่งเด่นชัด

พิมพ์พิชญาเสมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็น ก่อนจะอธิบาย

“ฉันไม่ได้โกรธคุณค่ะ ฉันแค่เหนื่อยเหนื่อยที่ต้องมาเจอสงครามประสาทแบบเด็กๆ ของคุณ”

พิมพ์พิชญารู้สึกล้าไปทั้งตัว ถ้าหากล้มตัวลงนอนและหลับตาลง คิดว่าร่างกายคงจะปิดตัวเองทันที ตอนนี้แค่แรงจะเถียงกับเขาก็แทบจะไม่มีแล้ว พลังชีวิตของหล่อนริบหรี่เต็มทน

“ผมโตแล้ว” เขาเถียงไม่จริงจังนักพร้อมกับทำท่าเบ่งกล้าม

พิมพ์พิชญาส่ายหน้าระอาใจ เตรียมตัวจะเดินขึ้นไปบนบ้าน เพราะไม่อยากจะพูดอะไรอีก ปากบอกว่าโต แต่การกระทำของเขามันก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีนั่นแหละ

“ผมโตแล้วนะคุณ ไม่ใช่เด็กๆ เพราะงั้นสงครามระหว่างผมกับคุณ มันไม่ใช่สงครามแบบเด็กๆ อีกแล้ว” พอเห็นหล่อนไม่สนใจ สรัชก็พูดขึ้นมาอีก

“เอาที่คุณสบายใจเถอะ” หญิงสาวว่าอย่างนั้นแล้วก็เดินขึ้นบ้านไปดื้อๆ

แต่สรัชไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ชายหนุ่มยังเดินตามขึ้นไปจนถึงบนห้อง เห็นปวันวาตนั่งอยู่บนเตียงจึงเดินเข้าไปหา พิมพ์พิชญาตวัดสายตามามองแต่ไม่พูดอะไร เขาจึงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปนั่งข้างๆ เด็กหญิงหน้าตาเฉย

“พ่อลมมานอนกับวินดี้เหรอคะ” เด็กหญิงยิ้มกว้าง ก่อนจะหยิบหนังสือนิทานภาพออกมากาง “พ่อลมดูสิ ลูกหมีนอนอยู่ตรงกลาง แม่มีนอนทางซ้าย พ่อหมีนอนทางขวา”

สรัชมองตามนิ้วป้อมเล็กๆ ที่ชี้ให้ดู เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าที่ปวันวาตอยากให้เขามานอนด้วยคงเพราะจำมาจากนิทานภาพพวกนี้

“ถ้านอนกันแบบนี้จะหลับฝันดี” ปวันวาตใช้มือซ้ายประกบมือขวา ก่อนจะแนบหลังมือกับแก้มตัวเอง เอียงตัวไปทางซ้ายอย่างน่ารัก พร้อมกับหลับตาพริ้ม ริมฝีปากบางเล็กยิ้มหวานอย่างมีความสุข

สรัชมองด้วยความเอ็นดู เห็นความรู้สึกอันบริสุทธิ์ของเด็กแล้วก็นึกทึ่ง เขาเพิ่งเข้าใจคำที่แม่มักพูดบ่อยๆ เดี๋ยวนี้เองว่าเด็กเป็นสีขาว เมื่อเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ความบริสุทธิ์ที่มีจะถูกแต่งแต้มโดยคนรอบข้าง สังคม สภาพแวดล้อม ถ้าอยู่ในความบริสุทธิ์ แต่งแต้มด้วยสีบริสุทธิ์ เด็กก็จะเติบโตไปอย่างงดงาม แต่ถ้าเด็กถูกแต่งแต้มด้วยสีดำความบริสุทธิ์มันก็ค่อยๆ จางหายไปในที่สุด...

“มานอนตรงนี้สิคะ ไหนเล่านิทานให้ฟังได้หรือเปล่า” สรัชเอนตัวลงพิงหัวเตียง ก่อนจะบอกให้ปวันวาตขยับเข้ามานอนในอ้อมแขนแล้วกอดร่างเล็กเอาไว้ โดยมีหนังสือภาพวางไว้บนตัก

เด็กหญิงเล่านิทานเสียงเล็กหวานไปตามจินตนาการของตัวเองตามภาพที่เห็น สรัชรับฟังพร้อมกับคอยซักถามบ้างในบางครั้ง ชั่วขณะหนึ่งเขาเห็นคนที่ยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าหันมามองด้วยแววตาว่างเปล่า

สรัชมองภาพของหญิงสาวที่ยืนห่างออกไป...พร้อมกับการซ้อนทับของภาพอะไรบางอย่างที่แหว่งวิ่น...ชายหนุ่มสลัดไล่ความคิดนั้นก่อนจะมองพิมพ์พิชญาอีกครั้ง แต่หญิงสาวเดินลับหายไปในห้องน้ำ พร้อมกับเสียงของปวันวาต

“ฝนตก...ลูกหมีกางร่ม ต้องออกไปข้างนอก ถ้าไม่กางร่มจะเปียก”

เด็กหญิงพลิกหน้ากระดาษไปพร้อมกับบรรยายภาพไปด้วย กระทั่งมาถึงภาพที่ครอบครัวของลูกหมียืนมองพระจันทร์อยู่ที่หน้าบ้าน ภาพของพระจันทร์ยิ้มเรียกความสนใจของปวันวาตมากทีเดียว เด็กหญิงชี้ไปที่ภาพของพระจันทร์ก่อนจะพูดว่า “พระจันทร์ยิ้ม น่ารักจัง วินดี้ไม่เคยเห็น”

สรัชอมยิ้มก่อนจะลูบแก้มปวันวาตเบาๆ “ไว้วันหลังจะพาไปดูนะคะ”

“พระจันทร์อยู่บนท้องฟ้า แล้วใต้ท้องฟ้ามีอะไรคะ”

สรัชไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก ชายหนุ่มก้มลงมองดวงตาของปวันวาตที่ตั้งตารอคำตอบอย่างใจจดจ่อ เขาก็ไม่เคยคิดหาคำตอบของคำถามแบบนี้ด้วยสิ ถ้าถามว่าบนฟ้ามีอะไรก็ว่าไปอย่าง เห็นจะตอบง่ายๆ ว่ามีดาว มีพระจันทร์ แต่นี่ดันถามว่าใต้ท้องฟ้ามีอะไร แม้จะคิดอย่างนั้นแต่คนคิดก็อดเอ็นดูปวันวาตไม่ได้อยู่ดี เด็กอะไรช่างคิดซับซ้อนเกินวัยของตัวเอง

“ใต้ท้องฟ้ามีหลังคาบ้านไงคะ ใต้หลังคาบ้านก็มีพวกเราไง”

ปวันวาตรู้สึกพอใจในคำตอบ จึงพยักหน้ายิ้มแย้มก่อนจะเล่านิทานต่อ เสียงเจื้อยแจ้วบวกกับอากาศเย็นๆ ทำให้สรัชรู้สึกง่วงขึ้นมา ไม่นานทั้งแม่หนูน้อยทั้งสรัชก็หลับไปทั้งคู่ คนฟังนิทานหลับไปก่อน ส่วนคนเล่าหลับทีหลัง

พิมพ์พิชญาเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นปวันวาตนอนซบอกสรัชซึ่งหลับตาพริ้มเช่นกัน หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินไปปิดประตูหน้าต่างชั้นล่าง จากนั้นจึงกลับขึ้นมาที่ห้องนอนอีกครั้ง หล่อนแตะที่ไหล่ของสรัชเบาๆ เป็นการปลุกให้เขาตื่น แต่คนที่หลับไปแล้วกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ

“คุณลม” หล่อนเรียกเขาเสียงเบา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมตื่นหล่อนจึงขึ้นไปบนเตียงแล้วดึงปวันวาตออกมานอนดีๆ พอห่มผ้าให้ลูกเรียบร้อยแล้วจึงปลุกเขาอีกครั้ง “คุณลม...ตื่นค่ะ กลับไปนอนที่ห้องได้แล้ว”

สรัชขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองคนที่สวมชุดนอนสีคาราเมลที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งๆ พิจารณาอย่างละเอียดว่าเคยเจอที่ไหน แต่คิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี ชายหนุ่มลุกขึ้นมายืนห่างจากเตียงเล็กน้อย ก่อนจะถาม

“ผมกับคุณมีอะไรกันจริงหรือเปล่า” คราวนี้ไม่มีแววเล่นอย่างทุกครั้ง แม้จะเพิ่งตื่น แต่ดวงตาดำขลับของเขาก็สะท้อนความจริงจังอย่างชัดเจน พิมพ์พิชญาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น ชายหนุ่มพยายามนึกว่าเขากับหล่อนเคยเจอกันที่ไหน แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกอยู่ดี ถึงจะบอกว่าเมาก็เถอะ คนเราถ้ามาขนาดที่สามารถมีอะไรกันได้มันก็ต้องจำเหตุการณ์ได้บ้าง แต่นี่กลับจำอะไรไม่ได้เลย

“ไว้ตรวจดีเอ็นเอแล้วทุกอย่างก็จะยืนยันเองนั่นแหละค่ะ ถ้าวินดี้เป็นลูกของคุณจริง ผลทางวิทยาศาสตร์มันก็ไม่โกหกอยู่แล้ว”

“ทำไมผมถึงจำคุณไม่ได้”

“คุณต้องถามตัวเองสิ ทำไมถึงจำฉันไม่ได้”

“ผมไม่รู้จักคุณ” สรัชยืนยันหนักแน่น “ถึงผมจะเอ็นดูวินดี้มากก็เถอะ แต่บอกตามตรงว่าผมยังไม่เชื่อว่าคุณจะท้องกับผม”

“ฉันคงท้องเองมั้งคะ” พิมพ์พิชญาว่าเสียงเรียบ “คงเผลอไปจ้องตาคุณเข้า ก็เลยท้อง”

“พูดเหมือนเป็นปลาทอง” เขาว่าพร้อมหัวเราะเบาๆ

“นั่นมันปลากัด!” ปลาทองน่าจะเป็นเขาต่างหาก ความจำสั้นยิ่งกว่าหางอึ่งกระมัง

“อ้าว...” สรัชเกาท้ายทอยแก้เก้อ “เถอะ...ที่ผมยอมให้คุณกับลูกอยู่ที่นี่แบบไม่คัดค้านอะไร ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณจะมาไม้ไหนเท่านั้น ยอมรับตามตรงเลยว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของผม ที่คุณเดินมาบอกว่าผมเป็นพ่อของวินดี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา...ผมแทบไม่ยุ่งกับใคร”

สรัชไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอับอายอะไร เขาถูกล้อเรื่องนี้มาตลอดชีวิตวัยเรียน แต่ก็ไม่เคยมองว่ามันเป็นปมด้อย เขาไม่ใช่พวกเก็บแต้มอะไรเทือกนั้น...

“ค่ะ ฉันเชื่อว่ามันคงจะมีเรื่องมหัศจรรย์อีกเยอะรอคุณอยู่”

 

สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่งกระทบเข้าที่ผิวของพิมพ์พิชญาจนขนลุกเกรียว หล่อนกระชับผ้าคลุมไหล่เล็กน้อยก่อนจะกอดอก หล่อนยืนอยู่บริเวณระเบียงชั้นสองซึ่งอยู่ทางด้านหลังของบ้าน งโกโก้ร้อนหอมกรุ่นวางอยู่ใกล้ๆ หลังจากที่พยายามข่มตาให้หลับแล้วแต่ทำอย่างไรก็ไม่หลับจึงลุกออกมาหาอะไรดื่ม และพบว่าที่เคาน์เตอร์ของบ้านมีเครื่องดื่มอยู่หลากหลาย ส่วนมากหนักไปทางพวกไวน์และชาหลากหลายชนิดวางอยู่ในตู้ แต่หญิงสาวเลือกที่จะดื่มโกโก้ร้อนในคืนที่อากาศเย็นเยียบอย่างนี้

ท้องฟ้าเบื้องหน้ามืดสนิท เป็นรัตติกาลสีดำที่คลี่คลุมไปโดยรอบ มีดาวดวงเล็กๆ ส่งแสงริบหรี่เคียงข้างพระจันทร์ที่อยู่อีกมุมหนึ่งของท้องฟ้า มือเรียวยาวหยิบแก้วขึ้นมาก่อนจะยกขึ้นดื่ม เปลือกตาสีอ่อนหลับลงช้าๆ สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นอันน่าหลงใหลของโกโก้ร้อนในมือ

ขณะที่พิมพ์พิชญากำลังปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศและความรู้สึกอันลึกล้ำของตัวเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เรียกให้หญิงสาวต้องลืมตาขึ้นมามอง...ดึกสงัดแปลกที่แปลกทางอย่างนี้ยิ่งทำให้หัวใจหญิงสาวรู้สึกหวิวขึ้นมา หล่อนเดินเข้าไปยืนที่มุมด้านหนึ่งซึ่งติดกับบ้านของสรัช

บริเวณช่องว่างระหว่างบ้านทั้งสองหลังมีสวนโมกอยู่ข้างล่าง หญิงสาวเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครสักคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นก็นึกกลัว แต่ก็ยังพยายามเพ่งมองไปยังมุมมืดตรงนั้นด้วยเกรงว่าจะเป็นผู้ร้ายหรืออะไรเทือกนั้น เพราะตอนนี้อยู่ในไร่ลึกพอสมควร พิมพ์พิชญาขยับถอยหลังเมื่อเห็นว่าเจ้าของร่างสูงในมุมมืดเดินออกมายังบริเวณลานด้านนอก ซึ่งมีไฟส่องสว่างอยู่โดยรอบ

พอเจ้าของร่างนั้นปรากฏตัวภายใต้แสงสว่างพิมพ์พิชญาก็ถอนหายใจโล่ง เพราะเป็นสรัชนั่นแหละ...เขาถือถุงอะไรบางอย่างออกไปจากบริเวณนั้น พิมพ์พิชญามองไม่เห็นว่าในถุงใส่อะไรไว้ แต่ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปอีกด้าน หายไปในความมืดบริเวณที่ติดกับไร่ชา หญิงสาวหมุนตัวเดินออกไปจากบริเวณนั้น ก่อนจะลงไปข้างล่าง ในใจคิดว่าเขากำลังจะแกล้งหล่อนอย่างแน่นอน

พอลงไปถึงข้างล่างพิมพ์พิชญาก็เดินตามสรัชไปกระทั่งเข้าไปถึงบริเวณไร่ชาซึ่งเป็นทางลาด หญิงสาวไม่ทันระวังและไม่ชินกับทางบริเวณนั้นจึงสะดุดและกลิ้งตกลงไป เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น พร้อมกับที่สรัชออกตัววิ่งมาทางหล่อน ทว่าพอเขามาถึงพิมพ์พิชญาก็นอนเปื้อนดินเปียกน้ำค้างอยู่ที่พื้นเสียแล้ว

“ลูกพีช!” เสียงเรียกของเขาฟังดูร้อนรน ขณะที่พิมพ์พิชญาพยายามลุกขึ้น ปัดเศษดินเศษหญ้าออกจากตัว “เป็นอะไรหรือเปล่า”

หล่อนมองเห็นเขาไม่ชัดนัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเพียงอกแกร่งที่อยู่ใกล้จนเกือบจะประชิดหน้า จนต้องผงะ

ถอยหลังนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ไม่เป็นอะไรค่ะ แค่เปื้อนเท่านั้น ไม่ได้เจ็บอะไรมาก” บอกแค่นั้นก็ทำท่าจะเดินกลับ แต่เขาเรียกเอาไว้ก่อน

“ออกมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ”

สองเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุดลง หญิงสาวหันกลับมามองเขาในความมืด มองหาถุงในมือที่เห็นเขาเดินถือมา ปรากฏว่าตอนนี้มันหายไปแล้ว พูดกันตามตรงว่าหล่อนไม่ไว้ใจสรัชนั่นเอง บางทีคนอย่างเขาอาจจะแอบไปเอางูเงี้ยวเขี้ยวขอมาปล่อยที่บ้านหล่อนก็ได้...

“คุณล่ะ ออกมาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้” น้ำเสียงตอนท้ายสะบัดท้ายน้อยๆ “ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ไม่น่าไว้ใจ”

“อะไรของคุณ” สรัชพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เสียงแหบพร่ากับการหัวเราะทุ้มต่ำยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกไม่ไว้ใจคนอย่างเขา “ผมไม่ได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ อะไรสักนิดเดียว คุณนั่นแหละออกมาทำอะไร แอบตามผมมาละสิ”

“ใช่คุณกำลังคิดจะแกล้งอะไรฉันอีกแล้วใช่มั้ย” พิมพ์พิชญาคาดคั้น

ในความมืดที่พอมองเห็นกันรางๆ สรัชแทบจะมองภาพออกเลยว่าหล่อนกำลังทำหน้าอย่างไร น้ำเสียงของหญิงสาวราวกับตำรวจสืบสวนกำลังเค้นเอาความจริงจากฆาตกรอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิดเดียว

“ระแวงมากเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่รู้ละ คนแบบคุณมันไม่น่าไว้ใจ เกิดคุณเอางูไปปล่อยที่บ้านให้มันกัดฉันตายทำยังไง” หญิงสาวบอกความคิดของตัวเองทั้งหมด นั่นยิ่งทำให้สรัชหัวเราะมากกว่าเดิมเสียอีก “นี่คุณลม...อย่ามาขำนะ”

“ปากของผมนี่ ผมจะขำ ใครจะทำไม” เขาว่าแล้วก็หัวเราะงอหายต่อ “ถ้าปากผมติดกับคุณแล้วค่อยมาห้ามก็แล้วกัน อ้อ ผมว่าคุณชักจะดูพวกหนังฆาตกรรมอำพรางอะไรเทือกนั้นมากไปหน่อยนะ คิดได้ยังไงว่าผมจะเอางูไปปล่อยให้มันกัดคุณ”

“คุณก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ”

“โอ๊ย ถึงผมจะดูเป็นคนไม่ดีนัก แต่ผมก็รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำนะ”

พิมพ์พิชญาหันหลังเตรียมเดินกลับแต่สรัชวิ่งมาดักข้างหน้าเสียก่อน คราวนี้ทั้งคู่ขยับเข้ามาใกล้แสงสว่างจนสรัชมองเห็นใบหน้าเนียนละเอียดของหญิงสาวชัดขึ้น แม้จะยังเลือนรางแต่ใบหน้าของพิมพ์พิชญากลับเด่นชัดมากในห้วงคำนึงของเขา สรัชมองหญิงสาวอยู่นาน กระทั่งหล่อนขยับตัวเดินออกไปอีกด้าน เขาถึงได้สติและเดินตามมาติดๆ จนถึงบริเวณลานหญ้าโล่งๆ หลังบ้าน

“ผมบอกแล้วไงว่าจะรอดูคุณว่าคุณจะมาไม้ไหน ผมไม่ยอมปล่อยคุณไปง่ายๆ หรอกนะ ผมจะหาความจริงทุกอย่าง จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเองว่าความจริงมันเป็นยังไง”

“ค่ะ เอาใจช่วยนะคะ” พิมพ์พิชญาประชด

สรัชเดินมายืนข้างๆ เมื่อเห็นว่าที่ข้อศอกของหญิงสาวมีรอยถลอก และจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“แขนคุณถลอก...คงไปโดนหินเข้า”

“ไม่เป็นไรค่ะ แผลแค่นิดเดียว ฉันไม่ระวังเอง” หล่อนทำท่าไม่สนใจนัก เตรียมเดินกลับเข้าไปในบ้าน หล่อนรู้สึกเหนื่อย อยากจะหลับตาลงแล้วพักผ่อนให้เต็มที่ แต่พอถึงเวลานอนกลับนอนไม่หลับเสียนี่

“เดี๋ยวผมไปเอายาทำแผลให้ ที่บ้านนั้นไม่มี” เขาว่าแล้วเตรียมจะผละออกไปทางบ้านของตัวเอง

พิมพ์พิชญามองที่มือของเขาเห็นว่ามือของชายหนุ่มเปื้อนดินมาจนถึงครึ่งแขน แถมทั้งตัวยังเต็มไปด้วยเหงื่อ อากาศกลางคืนเย็นขนาดนี้เขายังเหงื่อซึมไปทั้งตัว

สรัชเดินห่างออกไปก่อนจะหันกลับมามองแล้วพูดขึ้น

“คุณสงสัยว่าผมกำลังทำอะไรใช่มั้ย” เขาชี้ไปที่ซอกหนึ่งในมุมมืดของบ้าน เป็นบริเวณที่ปลูกโมกเรียงรายอยู่ กลิ่นของดอกโมกหอมเย็นกระทบจมูกเมื่อเข้ามาใกล้ “ผมกำลังเปลี่ยนกระถางชวนชม เพราะรากมันใหญ่ขึ้นกระถางพลาสติกมันแตก ไม่ต้องกลัวหรอกว่าผมจะเอางูไปปล่อยให้มันกัดคุณ เพราะถ้าผมจะจัดการคุณจริงๆ มันง่ายนิดเดียว”

พูดจบสรัชก็ขยิบตาก่อนจะเดินลับหายไปบริเวณหลังบ้านของเขา พิมพ์พิชญาเดินแยกกลับไปที่บ้านของตัวเอง ก่อนจะล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ขณะที่กำลังจะไปเปลี่ยนชุด สรัชก็เดินเข้ามาเคาะประตูพอดี หญิงสาวเปิดให้เขาเข้ามาแล้วรับกล่องอุปกรณ์ทำแผลมาถือเอาไว้

“ขอบคุณ”

พิมพ์พิชญาเอ่ยเสียงเบาแล้วเดินไปที่โซฟาก่อนจะวางกล่องไว้ที่โต๊ะรับแขก ดึงยางรัดผมสีดำที่ตรงข้อมือขึ้นมาแล้วมัดรวบผมขึ้น ทุกการกระทำของหญิงสาวอยู่ในสายตาของสรัช ลำแขนกลมกลึงขาวราวกับน้ำนม ผิวเนียนละเอียดของเจ้าตัวมีรอยแผลอยู่ที่ข้อศอกด้านหนึ่ง หล่อนนั่งลงแล้วเช็ดทำความสะอาดแผล พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงยื่นกล่องคืนให้เขา

หญิงสาวเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าผมสรัชค่อนข้างยาว ยาวขนาดที่เจ้าตัวรวบขึ้นมามัดได้ เมื่อครู่ตอนที่เจอกันข้างนอกจำได้ว่ามันยังยุ่งเหยิงอยู่เลย แต่ตอนนี้เรือนผมสีดำของเจ้าตัวถูกมัดเป็นทรงน้ำพุ เผยให้เห็นหน้าผากอย่างชัดเจน ไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มยิ่งขับให้หน้าคมเข้มเกือบจะดุ

“คุณจะดื่มอะไรมั้ย ฉันชงให้” หญิงสาวพูดเสียงเบาหลังละสายตาจากทรงผมของเขา สรัชยืนอยู่ใต้เครื่องปรับอากาศซึ่งเป็นบริเวณที่เครื่องปรับอากาศตกพอดี เขาคงร้อน ในขณะที่พิมพ์พิชญากลับรู้สึกหนาว เสื้อตัวสีขาวย้วยๆ ของเขามีรอยเปื้อนดิน แขนของเจ้าตัวได้รับการทำความสะอาดจนเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่มีเศษดินดำๆ ติดอยู่อีก “โกโก้ร้อนมั้ยคะ”

“ก็ดี” เขาตอบแค่นั้นก่อนจะเดินผ่านหล่อนไปนั่งลงที่โซฟา

หญิงสาวเดินไปที่เคาน์เตอร์ จัดการชงโกโก้ร้อนให้เขาแก้วหนึ่งก่อนจะเดินเอามายื่นให้ สรัชรับมาดื่มเงียบๆ ขณะที่หญิงสาวกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง พอเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมารับแก้วที่เขาเพิ่งกินเสร็จ เตรียมจะเอาไปล้างเก็บ

“ไม่เป็นไร ผมทำเอง” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินไปล้างแก้วและเก็บด้วยตัวเองจนเรียบร้อย

พิมพ์พิชญามองแผ่นหลังกว้างที่ขยับไปมาตามจังหวะการเช็ดแก้วของเขา ลาดไหล่แกร่งกว้าง ผึ่งผาย สรัชดูโตกว่าเมื่อก่อนมาก ชั่วขณะหนึ่งหล่อนแอบคิดว่าเขาจำหล่อนไม่ได้สักนิดเชียวหรือ

แม้ว่าวันนั้นหล่อนและเขาจะเมาด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็พอพูดกันรู้เรื่อง ความรู้สึกคืนนั้นยังเด่นชัด พิมพ์พิชญาจำมันได้ ถึงหล่อนจะเมาก็เถอะ แต่สรัชกลับหลงลืมไปหมดทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งหน้าของหล่อน

‘คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมเห็นคุณครั้งแรกก็จำได้เลย คุณไม่เหมือนใคร’

คำพูดหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด แม้จะเลือนรางเพราะฤทธิ์น้ำเมา แต่พิมพ์พิชญาจำได้ว่าเขาพูดอย่างนั้นจริงๆ

หญิงสาวลอบถอนหายใจเบาๆ ยามคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เคยคิดมาตลอดว่าสามารถเอาตัวรอดได้ ลูกคนเดียวทำไมถึงจะเลี้ยงไม่ได้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ อะไรหลายอย่างมันก็บีบให้ต้องละทิ้งความคิดเหล่านั้น พร้อมกับดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ ในวันที่พายุโหมกระหน่ำซัดสาดใส่จนเรือที่พิมพ์พิชญาอาศัยอยู่แตกพ่ายไป...คนเดียวที่หล่อนเคยคิดว่าจะไม่กลับมาหาเขาอีก กลับเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่มองเห็น

สรัช เผ่าพันธุ์พยัคฆ์

หล่อนจำชื่อนี้ได้อย่างแม่นยำ...แม่นยำพอที่จะสืบหาว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน และทำอะไรอยู่ กระทั่งตัดสินใจเดินทางมาหาเขาที่นี่

“รีบนอนได้แล้ว” เขาว่าขณะเดินผ่านหน้าหล่อนไป “ปิดประตูบ้านด้วยล่ะ”

พิมพ์พิชญาเดินตามมาที่ประตู สรัชยืนอยู่ข้างนอกบริเวณระเบียง หันกลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า

“ไม่ต้องกลัวหรอกว่าที่นี่จะมีโจร เพราะมันอยู่กลางไร่ โจรมันเข้ามาไม่ถึงหรอก”

“ขนาดฉันเป็นคนธรรมดายังเข้ามาถึงได้” หญิงสาวเถียง สรัชทำท่าจะเถียงกลับบ้าง หล่อนจึงพูดต่อ “ฉันไม่ค่อยกลัวโจรหรอก เพราะคุณน่ากลัวกว่าโจรซะอีก”

“หมายความว่ายังไง” เขาถามเสียงเข้ม

“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละค่ะ ฉันว่าฉันพูดตรงที่สุดแล้วนะ แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจเดี๋ยวฉันจะไปหยิบมือถือมาให้ จะได้เปิดพจนานุกรมดูว่ามันแปลว่าอะไร แปลไปทีละคำนะคะ จะได้เข้าใจง่ายๆ” คนพูดฉีกยิ้ม ขณะที่คนฟังแทบเต้นเพราะถูกกวนประสาท

“โจรหล่อขนาดนี้ไม่มีอะไรจะต้องกลัวหรอกแม่คุณ”

“โอ๊ย...” พิมพ์พิชญาร้องขึ้นพร้อมกับหัวเราะขำ “อย่ามั่น”

“พูดแบบนี้ก็สวยสิ” สรัชถกแขนเสื้อขึ้น ทำท่าหาเรื่อง ทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม

“สวยสิ ฉันมั่นใจว่าตัวเองสวย” พิมพ์พิชญาว่าหน้าตาย หญิงสาวมั่นใจในคำพูดของตัวเองโดยไม่กลัวว่าเขาจะมองว่าหล่อนหลงตัวเองหรืออะไรเทือกนั้น เพราะมันเป็นความจริง “คุณยังเคยชมว่าฉันสวย”

“ไม่จริง!” สรัชเถียงเสียงแข็ง ก่อนจะเบ้หน้า “อย่างคุณไม่อยู่ในสายตาผมหรอก”

“อย่างคุณก็ไม่อยู่ในสายตาของฉันเหมือนกัน!” พูดจบหญิงสาวก็ปิดประตูใส่หน้าเขาดังปัง ก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้าน ได้ยินเสียงเขาโวยวายอยู่ข้างนอกแว่วๆ “หล่อตายละ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น