๒
ร่วมบ้าน
พิมพ์พิชญาจัดเสื้อผ้าของหล่อนกับลูกเข้าตู้เรียบร้อย หลังจากภาจรีอนุญาตให้ทั้งคู่เข้าไปอยู่ในบ้านของสรัชได้ ซึ่งเป็นหลังที่มีสวนสวยแบบอังกฤษ เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ แม้เจ้าของบ้านจะไม่พอใจ ทว่าเขาก็ไม่กล้าแย้งผู้เป็นมารดาที่สั่งเสียงเข้มและชัดเจนขนาดนั้น แถมยังออกปากว่าจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นระหว่างที่รอการพิสูจน์ว่าปวันวาตเป็นลูกของเขาจริงหรือไม่ บ้านหลังนี้จึงตกเป็นสิทธิ์ขาดของหล่อนตามคำอนุญาตของภาจรี
‘ลูกพีชอยู่ที่บ้านเล็กได้ตามสบาย ถือซะว่าที่นั่นเป็นบ้านของหนูเอง อ้อ แล้วถ้าใครกล้ามาก่อกวนก็เอาปืนยิงแสกหน้าได้เลย’ พูดพลางหันไปมองทางลูกชายที่ยืนอยู่อีกด้าน
หญิงสาวลุกขึ้นมองปวันวาตที่นั่งเล่นตุ๊กตาอยู่บนเตียงสีขาวหลังใหญ่ ลูบหัวเด็กหญิงเบาๆ แล้วขยับเข้าไปสวมกอดแนบอก จากนั้นจึงหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ สองแม่ลูกจ้องตากันอยู่นานโดยที่ไม่ได้พูดอะไร พิมพ์พิชญายิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น พอหันหลังกลับไปนั่นแหละถึงเห็นว่าสรัชยืนกอดอกตีหน้าเคร่งอยู่
พิมพ์พิชญาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ทำเป็นไม่เห็นว่าเขาอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปปิดตู้เสื้อผ้า เตรียมจะพาปวันวาตออกจากห้องนอน แต่ร่างสูงหนาของสรัชมายืนขวางเอาไว้ก่อน
“หลีกนะคะ ฉันจะพาลูกออกไปนั่งข้างนอก”
ชายหนุ่มไม่หลีก แถมยังขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนหล่อนต้องถอยหลังครึ่งก้าว กลิ่นน้ำหอม Chanel Bleu de Chanel ลอยมาเตะจมูกเข้าอย่างจังจนหญิงสาวต้องเงยหน้ามอง พลางคิดในใจว่าเขายังไม่เปลี่ยนน้ำหอมอีกหรือ...ยังใช้กลิ่นเดิมเหมือนเมื่อห้าปีที่แล้ว
พิมพ์พิชญามองคนที่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนิ่งๆ ไม่คิดว่ารสนิยมการแต่งตัวของพ่อเลี้ยงสรัชจะดีขนาดนี้ เป็นการแต่งตัวที่ไม่ได้มากมายอะไร ทว่ากลับส่งให้เจ้าตัวกลายเป็นคนละคนกับเมื่อตอนกลางวันอย่างเห็นได้ชัด
“แม่ให้ไปกินข้าวที่บ้านนู้น ถ้าผมไม่พาคุณไปรับรองว่ามีเรื่องแน่นอน”
พิมพ์พิชญาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะดึงแขนปวันวาตพาเดินไปบริเวณหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็ยกร่างเล็กๆ ของลูกให้นั่งบนเก้าอี้ หยิบยางรัดผมขึ้นมาก่อนจะผูกผมให้ลูกสองข้าง จากนั้นจึงติดโบรูปหมีทับอีกครั้ง การกระทำอันคล่องแคล่วและเป็นธรรมชาติของหญิงสาวอยู่ในสายตาของสรัชโดยตลอด
ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนสีเข้มยืนพิงสะโพกอยู่อีกด้านของห้อง มองภาพผู้หญิงแปลกหน้าที่ทำให้ชีวิตเขาปั่นป่วนด้วยนัยน์ตาที่เรียบสงบ เมื่อเห็นว่าปวันวาตแต่งตัวเสร็จแล้วเขาจึงเดินออกไปรอที่หน้าบ้าน
พิมพ์พิชญาเดินตามออกมาก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อมองหารถที่จะใช้ขับไปที่บ้านของภาจรี ทว่ามองหาจนรอบบ้านแล้วก็ยังไม่เห็น
“ไหนล่ะคะรถ” พอหล่อนถามจบเขาก็เดินเข้าไปบริเวณซอกหนึ่งของบ้าน ก่อนจะจูงจักรยานออกมาหน้าตาเฉย พิมพ์พิชญามองการกระทำของอีกฝ่ายนิ่งๆ “อย่าบอกนะว่าจะให้ไปรถคันนี้...”
ชายหนุ่มพยักหน้า ยกยิ้มร้าย พอเขาเอารถจักรยานมาจอดเทียบเสร็จก็ยกปวันวาตขึ้นนั่งที่เบาะด้านหลัง ก่อนที่เขาจะนั่งคร่อม พร้อมจะปั่นออกไปทุกเมื่อ
“เร็วๆ สิคุณ ช้าผมให้เดินไปเองนะ”
“ขึ้นมาเลยค่ะคุณแม่” ปวันวาตขยับเข้าไปกอดเอวพ่อเลี้ยงสรัชเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือก็ตบที่ว่างดังปุๆ เป็น
การเชื้อเชิญให้แม่ขึ้นไปนั่งด้วย
พิมพ์พิชญาหน้าบึ้ง รู้ว่าตัวเองกำลังโดนแกล้ง แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกหญิงสาวจึงยอมขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเขาบนจักรยานสีฟ้า ที่ตะแกรงด้านหน้ามีตุ๊กตาของปวันวาตวางอยู่ พอหล่อนนั่งเรียบร้อยเขาก็ออกตัวทันที คนที่ไม่ทันระวังตัวจึงแทบหงายหลัง แล้วจำต้องเกาะเอวเขาโดยไม่มีทางเลือก
“จับดีๆ นะคุณ รถคันนี้มันซิ่ง”
สรัชหัวเราะเสียงดัง ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ดีดกริ่งรัวๆ พิมพ์พิชญาหนวกหูจนต้องหยิกเอวของเขาเบาๆ ทว่าฝ่ายนั้นกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังปั่นเร็วกว่าเดิมอีก ปวันวาตดูจะชอบใจกับการนั่งรถจักรยานสีฟ้าคันนี้มาก เพราะนอกจากจะไม่กลัวแล้วยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตลอดทาง
“เบาๆ หน่อยสิ นี่ อย่าปล่อยมือสิ โอ๊ย เห็นหรือเปล่าว่ามันมีหลุม ช้าๆ สิคุณ กรี๊ด!”
พิมพ์พิชญาร้องโวยวายสลับกรีดร้องไปตลอดทาง ในขณะที่สรัชกลับมีความสุขที่ได้แหย่ยายปีศาจของเขาไปตลอดทางเช่นกัน เมื่อมาถึงบริเวณหน้าบ้านของภาจรี หญิงสาวก็กระโดดลง จากนั้นสรัชก็จอดจักรยานแล้วอุ้มปวันวาตลงจากรถ
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเห็นหญิงสาวยืนตัวสั่นอยู่ก็ยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะเบาๆ ผมที่ถูกจัดแต่งเรียบร้อยของเจ้าหล่อนถูกลมพัดจนชี้ไปชี้มาไม่เป็นทรงเหมือนเดิม
“ขำอะไรไม่ทราบ!” พิมพ์พิชญาถามเสียงดัง
สรัชที่กำลังจะพาปวันวาตเดินเข้าไปในบ้านหันมาทำท่าบอกให้หล่อนเงียบๆ หญิงสาวจึงหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์โกรธ จากนั้นก็เดินตามเข้าไปในบ้าน ปวันวาตวิ่งนำเข้าไปก่อนเมื่อเห็นภาจรีเดินมารับ หญิงสาวมองแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างแค้นเคือง ก่อนจะจัดผมให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
“สนุกมั้ย” เขาหันกลับมาถามพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ไม่สนุก” พิมพ์พิชญาตอบเสียงเข้ม จังหวะที่เขากำลังหมุนตัวกลับไปหญิงสาวก็กระโดดไปจับลำแขนแกร่งก่อนจะกัดอย่างแรงจนฝ่ายนั้นสะดุ้ง
“เฮ้ย เจ็บนะยายปีศาจ ปล่อย!”
พิมพ์พิชญากัดแรงขึ้น ยิ่งเขาพยายามสะบัดหล่อนออกมาเท่าไร หล่อนก็ยิ่งกัดแรงมากเท่านั้น ชอบแกล้งนักก็ต้องเจอแบบนี้แหละ!
เมื่อหญิงสาวไม่ยอมปล่อยสรัชจึงก้มหน้าลงไปงับหูหล่อนเบาๆ พิมพ์พิชญาสะดุ้งดีดตัวออกห่าง มือกุมหูเอาไว้
“ทำบ้าอะไรของคุณ”
“ใครใช้ให้คุณมากัดผมก่อนล่ะ”
“ก็คุณแกล้งฉันทำไม คุณเริ่มก่อนเองนะ”
“ก็บ้านมันอยู่ใกล้กันแค่นี้ ปกติผมก็ปั่นจักรยานมาบ้านแม่ผมอยู่แล้ว ผมแกล้งคุณตรงไหนไม่ทราบ” สรัชลูบแขนป้อยๆ พร้อมกับบ่นว่า “คนหรือหมาเนี่ย งับซะแรง”
“ฉันรู้ว่าคุณตั้งใจจะแกล้งฉัน ถ้าคิดจะใช้วิธีนี้ไล่ฉันออกจากบ้านละก็ บอกเลยว่าไม่มีทาง ฉันจะอยู่ที่นี่ อยู่กวนประสาทคุณจนกว่าคุณจะเส้นเลือดในสมองแตกตายไปเลย!” พูดจบหญิงสาวก็เดินจ้ำเข้าไปในบ้าน แต่ไม่วายหันกลับมามองคนที่อยู่ข้างหลังด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
สรัชอมยิ้มขำท่าทางหัวเสียของพิมพ์พิชญา พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“อย่านะเว้ยไอ้ลม แกจะมองยายปีศาจลูกพีชนั่นน่ารักไม่ได้นะเว้ย!”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่สรัชก็ยังยกยิ้มเพราะใบหน้าติดจะหงุดหงิดของพิมพ์พิชญาที่เขามองว่า ‘น่ารัก’ อยู่ดี
สรัชเดินมาตามทางเดิน ผ่านสวนร่มรื่นบริเวณหน้าบ้านของผู้เป็นบิดามารดาก่อนจะหยุดมองกล้วยไม้ที่เขาปลูก ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะที่กลีบดอกสีน้ำตาลอ่อนเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มเพราะเขาเฝ้ารอคอยให้มันออกดอกมาหลายปี ทว่าปีนี้เป็นปีแรกที่เจ้ากล้วยไม้ต้นนี้มันอวดดอกให้เห็น ชายหนุ่มละความสนใจก่อนจะเดินตามเข้าไปในบ้าน เห็นพิมพ์พิชญาผลุบหายเข้าไปในห้องอาหารจึงรีบเดินตามเข้าไป
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของคนที่อยู่ในห้องบอกชัดเจนว่าไม่ได้มีเพียงพ่อแม่และน้องสาวของเขาเท่านั้น แต่ยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาร่วมโต๊ะอาหารวันนี้ด้วย พอรู้ว่าเป็นใครสรัชก็รีบเดินเข้าไปในห้องนั้น และก็เป็นอย่างที่เขาคาดจริงๆ เพราะคนที่เขาชังน้ำหน้าที่สุดกำลังนั่งร่วมโต๊ะกับพ่อแม่ของเขา
“สวัสดีครับพี่ลม ผมไม่ได้มาเยี่ยมแค่แป๊บเดียว มีลูกโตขนาดนี้เชียวหรือครับ”
น้ำเสียงของคนพูดกลั้วหัวเราะ แววตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความขบขัน ทำให้สรัชต้องข่มใจตัวเองอย่างยิ่งยวด เพราะเขายังมีชนักติดหลังอยู่ ถ้าเกิดมีเรื่องกับหมอนี่อีก มีหวังโดนแม่แหกอกแน่
“ฉันก็ไม่เจอแกนานเหมือนกัน คิดว่าตายไปแล้วซะอีก” ชายหนุ่มว่ายิ้มๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พิมพ์พิชญา “ทำงานเป็นยังไงบ้างมีน มีแมลงวันแมลงหวี่มันมายุ่งอีกใช่มั้ย พี่บอกแล้วว่าให้รีบๆ ตอบตกลงเป็นแฟนหมอภีมซะ ใครบางคนจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเราอีก”
ขณะพูดสายตาก็เหลือบไปมองยังทัศน์ทิวาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับการที่สรัชยุให้น้องสาวของตัวเองตอบตกลงกับหมอภีมเพื่อนร่วมงาน เพราะเขารู้ว่ามีนมีนาไม่ได้ชอบหมอนั่น อีกอย่างเขาก็มั่นใจด้วยว่า เรื่องของเขากับน้องสาวของสรัชเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงตอนจบเสียทีเดียว
“ก็ดีค่ะพี่ลม ว่าแต่พี่ลมเถอะ” หญิงสาวมองไปยังพิมพ์พิชญาและปวันวาตที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก รู้เพียงแต่ว่าสองคนนี้เป็นภรรยาและลูกสาวของผู้เป็นพี่ชายจากปากของภาจรี แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถาม “แอบไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกมีนบ้าง...”
สรัชถอนหายใจเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“พูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว แม่ครับ...”
ชายหนุ่มหันไปทางภาจรีที่นั่งอยู่บริเวณหัวโต๊ะ โดยมีภวัตนั่งอยู่ข้างๆ พอลูกชายเรียกหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเลิกคิ้ว พอคิดได้ว่าลูกชายจะพูดอะไรจึงยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับบอกว่า
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันหลังจากนี้ก็แล้วกัน อย่าให้เด็กต้องมารับรู้เรื่องอะไรพวกนี้ด้วย”
เป็นอันว่าทุกอย่างที่ตั้งใจจะพูดจบลงเพียงแค่นั้น สรัชรับประทานอาหารเงียบๆ พร้อมกับเหลือบตามองพิมพ์พิชญาที่นั่งข้างๆ หญิงสาวเอาแต่คอยตักอาหารให้ลูก คอยเช็ดปาก คอยยกน้ำให้ดื่มจนข้าวในจานตัวเองไม่พร่อง จากที่สังเกตดูหล่อนกินข้าวแทบจะนับคำได้
สรัชรวบช้อนแล้วจึงดื่มน้ำ ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งขนาบอีกข้างของปวันวาต พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“กินข้าวเถอะ ผมดูวินดี้เอง”
ทุกการกระทำของสรัชอยู่ในสายตาของทุกคนบนโต๊ะอาหาร แม้แต่ทัศน์ทิวาเองยังหยุดแกล้งมีนมีนาแล้วมองมานิ่งๆ
พิมพ์พิชญายอมทำตามคำบอกของสรัช โดยปล่อยให้เขาดูแลปวันวาตแทน ขณะเดียวกันก็คอยเหลือบดูการกระทำของเขาเป็นระยะ ชายหนุ่มเอาใจใส่ดูแลปวันวาตดีกว่าที่หล่อนคิด เขาเอ็นดูเด็กหญิงอยู่มากเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะย้ำเสมอว่าเขาไม่ได้เป็นพ่อ และหล่อนก็รู้ดีว่าเขาพยายามจะไล่หล่อนออกไปจากที่นี่ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้ใจร้ายกับ
เด็กที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของเขา
ปวันวาตยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะวางแก้วน้ำลง แล้วหยิบผ้าที่วางอยู่บนตักขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปากเล็กๆ อย่างรู้หน้าที่ โดยมีสรัชคอยนั่งมองอยู่ใกล้ๆ พอเช็ดเสร็จก็ทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ เอามือลูบท้องป่องๆ ของตัวเองก่อนจะพูดขึ้นว่า
“อิ่มที่ฉุดเลยค่ะ กับข้าวบ้านคุณย่าอร่อยม้ากมาก”
เสียงหัวเราะของทุกคนพลอยทำให้บรรยากาศรอบข้างสว่างสดใสไปด้วย มีนมีนาสังเกตเห็นว่าพิมพ์พิชญามีท่าทางอึดอัด และหล่อนเองก็คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้อยู่มาก พอลองค้นดูในอินเทอร์เน็ตแล้วก็ยังไม่มั่นใจนักจึงพูดขึ้นว่า
“คุณลูกพีชเคยแสดงซีรีส์มาก่อนใช่มั้ยคะ”
พิมพ์พิชญาเงยหน้าขึ้นสบตากับน้องสาวของสรัช ก่อนจะระบายยิ้มน้อยๆ ไม่คิดว่าจะมีคนจำหล่อนได้ด้วยซ้ำ เพราะนั่นมันก็นานมากแล้วเหมือนกัน
“ค่ะ” พิมพ์พิชญาตอบเสียงเบา ยามที่ทุกสายตาหันมามองที่หล่อนเป็นตาเดียว “แต่นานมากแล้วนะคะ”
“ใช่จริงๆ ด้วย!” มีนมีนายิ้มกว้าง “จำได้มั้ยแทน คนที่แสดงเป็นเก้าอ่ะ”
ทัศน์ทิวาพยักหน้า พอจะจำได้รางๆ เหมือนกัน
“ลูกพีชเคยเป็นดาราด้วยหรือ” ภาจรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ตอนนั้นลูกพีชดังมากนะคะแม่ แฟนคลับเยอะมาก มีนยังเคยเจอตอนที่ไปออกงานที่สยาม คนงี้เยอะอย่างกับมด” มีนมีนาเล่าเรื่องราวในอดีต
พิมพ์พิชญาไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น ส่วนสรัชหันมามองด้วยความสงสัยเช่นกัน...เป็นดาราดัง แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้จัก แถมยังจำไม่ได้อีก
“ลูกพีช พี่ขอถ่ายรูปด้วยนะ ดีใจอ่ะ”
“น้อยๆ หน่อย” สรัชว่าเสียงเข้ม “กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูด” พูดจบเขาก็อุ้มปวันวาตเดินออกไปข้างนอกปล่อยให้พิมพ์พิชญาถูกซักจนซีดจากภาจรีและมีนมีนาผู้เป็นน้องสาวของเขา
หญิงสาวตอบเท่าที่ตอบได้ ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากไปกว่านั้น พอทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ ภาจรีจึงพูดขึ้น
“พี่ชายเราเขาอยากตรวจดีเอ็นเอ ช่วยจัดการให้ด้วยก็แล้วกัน อ้อ วันนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะหมอแทน เชิญกลับไปที่ไร่เคียงดินได้ ฝากบอกพ่อเลี้ยงพศธรกับแม่เลี้ยงธารนลินด้วยว่าถ้ามีเวลาจะเข้าไปเยี่ยม” ภาจรีพูดพลางเหลือบตามองชายหนุ่มที่นั่งข้างลูกสาว
ทัศน์ทิวายิ้มแหยก่อนจะยกมือไหว้และลุกขึ้นยืน
“ไว้ผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ ลาละครับคุณลุง คุณป้า” เขาส่งสายตาให้มีนมีนาลุกขึ้นไปส่ง ทว่าหญิงสาวกลับนั่งนิ่งไม่สนใจ “มีน...”
“ตอนมาก็มาเองได้ ตอนกลับก็คงกลับเองได้นะพ่อคุณ”
พิมพ์พิชญาช่วยน้ำผึ้งเก็บจานอาหารไปไว้ที่ครัวโดยมีมีนมีนาคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ น้องสาวของสรัชพยายามทำทุกอย่างให้หล่อนไม่รู้สึกเกร็งนัก โดยการพยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ ส่วนมากก็เป็นงานในวงการที่หล่อนเคยทำ ส่วนภาจรีกับภวัตออกไปดูละครที่ห้องนั่งเล่น
“เรื่องตรวจดีเอ็นเอพีชยินดีให้ตรวจนะคะ ถ้าคุณมีนสะดวก จะให้ทำอะไรบอกได้เลยค่ะ” หญิงสาวเช็ดมือก่อนจะหันกลับมาพูดพร้อมรอยยิ้ม “พี่ชายของคุณเขาจะได้ไม่รู้สึกขัดข้องใจอะไรเรื่องนี้อีก”
“ได้ค่ะ ไว้มีนจะจัดการเรื่องนี้ให้แล้วกันนะคะ” คนพูดยกยิ้มยินดี ทั้งที่ใจอยากจะบอกไปตามที่ตัวเองเห็นว่าดีเอ็นเอของสรัชก็แปะอยู่บนหน้าของปวันวาตนั่นละ ทว่าเพราะรู้ดีว่าพี่ชายตัวเองเป็นคนดื้อและไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ดังนั้นการมีผลทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ก็เห็นจะเป็นหนทางเดียวที่จะเอาชนะสรัชได้
“พีชขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” พิมพ์พิชญาพูดขึ้นไม่เต็มเสียงนัก
มีนมีนาขยับเข้ามาใกล้ เผยรอยยิ้มกว้างว่ายินดีเต็มที่ที่จะตอบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องพี่ชายตัวแสบของหล่อน
“เรื่องพี่ลมหรือเปล่าคะ ถ้าเรื่องพ่อคนนั้นละก็ ลูกพีชพอจะมีเวลาสักสามวันสามคืนมั้ยล่ะ เอ สามวันสามคืนไม่น่าจะจบ เอาสักเจ็ดวันเจ็ดคืนดีกว่า” พูดจบก็หัวเราะออกมาด้วยกันทั้งคู่ อาจจะเพราะอายุของหมอมีนกับพิมพ์พิชญาห่างกันไม่เท่าไร ทั้งคู่จึงสนิทสนมกันได้เร็ว
“พีชแค่อยากจะรู้ว่า...คุณลม...เขามีแฟนหรือเปล่า”
พิมพ์พิชญามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเรื่องหนึ่ง การรับรู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้วหรือไม่นั้นก็เป็นการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถึงจะสืบมาบ้างก็เถอะว่าเขายังไม่แต่งงาน แต่คำตอบที่ได้จากคนอื่นจะมีน้ำหนักเท่าคำตอบจากคนในครอบครัวได้อย่างไรล่ะ
“พูดก็พูดเถอะนะคะ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่ไร่ก็ไม่เคยมีใครเลยนะคะ” มีนมีนากลั้นขำ “อย่าพูดให้ใครฟังนะลูกพีช”
เมื่อคนฟังพยักหน้า มีนมีนาจึงเดินเข้ามาใกล้ โน้มตัวมากระซิบเสียงเบาว่า
“พี่ลมเขากลัวการมีแฟนตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ อย่าเอ็ดไปนะคะ เขาค่อนข้างหวงชีวิตโสดของตัวเอง กลัวว่าวันหนึ่งความสงบเงียบของเขาจะถูกทำลาย ขนาดกับพ่อแม่ยังไม่อยากอยู่ด้วย ต้องไปสร้างบ้านอยู่คนเดียว เขาระวังตัวมากนะคะ ไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับใครเท่าไหร่”
มีนมีนาพูดไปก็หัวเราะคิกคักไป
“ถ้าหวงขนาดนั้นก็น่าจะไปบวชเป็นพระให้สิ้นเรื่องสิ้นราวนะคะ บวชเสร็จเข้าป่าไปเลยก็ดี” พิมพ์พิชญาเสริมแล้วหัวเราะไปด้วยเช่นกัน
“ตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนะ...” มีนมีนาพูดขึ้นก่อนจะเหลือบไปมองนอกหน้าต่าง เห็นสรัชอยู่กับปวันวาตข้างนอกก็โล่งใจที่จะเล่าต่อไปว่า “ผู้หญิงชวนขึ้นไปถึงบนห้อง ให้ไปส่งบนเตียงแบบเตรียมพลีกายถวายตัวเต็มที่ แต่พ่อคุณดันวิ่งหนีจนป่าราบ เขามีฉายาด้วยนะคะสมัยเรียน”
พิมพ์พิชญาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ทว่าทำได้เพียงกลั้นยิ้มกับหลุดเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ เท่านั้น
“ฉายาอะไรคะ”
“ลมมฤตยูค่ะ ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ พอพี่ลมวิ่งหนีแม่สาวคนนั้นไป รุ่งเช้าเจ้าหล่อนก็เอาไปเมาท์ให้เพื่อนฟังเกือบทั้งคณะ ตั้งแต่วันนั้นพี่ลมก็เลยโดนล้อจนเรียนจบ คือเขาวิ่งเร็วจนป่าราบน่ะค่ะ”
“คนแบบนี้ก็มีบนโลกด้วยนะคะ” พิมพ์พิชญาว่าขำๆ
“โอ๊ย เดี๋ยวลูกพีชอยู่นานๆ ไปก็รู้เอง พี่ลมมีอะไรแปลกๆ อีกเยอะ เขาชื่อลมก็ลมสมชื่อนั่นแหละ บางทีก็เป็นลมธรรมดา บางทีก็เป็นลมพายุ บางครั้งพัดมาก็เย็น แต่บางครั้งพัดพาความร้อนมาด้วยก็มี”
ลูกพีชเก็บเกี่ยวข้อมูลเกี่ยวกับสรัชไปเรื่อยๆ อย่างน้อยๆ ก็ได้รู้ว่าคนแบบพ่อเลี้ยงสรัชเป็นอย่างไร
หญิงสาวถือคติที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง และศึกครั้งนี้หล่อนจะต้องเป็นคนชนะ !
พอได้ข้อมูลทุกอย่างที่อยากรู้เรียบร้อยหญิงสาวก็เดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น เห็นปวันวาตเล่นอยู่กับภาจรีและมีนมีนา ส่วนสรัชนั่งคุยอยู่กับผู้เป็นบิดา ชายหนุ่มหันมามองหล่อนเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ทำราวกับว่าสบตาหล่อนแล้วหล่อนจะเข้าไปสิงในร่างของเขาอย่างนั้นแหละ “อามีนขา คุณย่าขา” เสียงแจ้วๆ
ของปวันวาตทำให้ทั้งอามีนทั้งคุณย่าผลัดกันฟัดแม่หนูน้อยจนเจ้าตัวดิ้นไม่หยุด แต่พอเหลือบมาเห็นผู้เป็นแม่ก็ลุกขึ้นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาอย่างด่วนจี๋ แล้วล้วงดอกไม้จากกระเป๋าเสื้อขึ้นมายื่นให้
“คุณแม่ขา...”
พิมพ์พิชญารับดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กคล้ายดอกทานตะวันมาไว้ในมือ กลีบดอกสีเหลืองนวลบอบช้ำเป็นรอยจนแทบจะไม่เป็นทรง ทว่าก็ยังระบายยิ้มเล็กๆ ยามทอดสายตามองอย่างเอื้อเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ
ปวันวาตวิ่งกลับไปหามีนมีนาดังเดิม พิมพ์พิชญาจึงเดินไปนั่งข้างๆ หญิงสาว หลังจากคุยกับภาจรีเล็กน้อย สรัชก็ชวนกลับบ้านเพราะกลัวว่าจะมืด
หญิงสาวเดินตามออกไปทีหลัง เห็นเขากับปวันวาตเตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางแล้ว แต่หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีวันซ้อนท้ายผู้ชายคนนี้อีกเด็ดขาด!
“คุณกับวินดี้ไปเถอะ ฉันจะเดินกลับเอง” พูดจบก็สะบัดหน้าแล้วเดินผ่านจักรยานสีฟ้าของเขาไปอย่างไม่ไยดี หล่อนรู้ว่าถ้าตัวเองขึ้นรถไปกับเขาจะต้องโดนแกล้งด้วยการปั่นจักรยานเร็วๆ อีกแน่ๆ แต่ถ้าหล่อนไม่ไปด้วย เขาก็จะขี่ปกติ
สรัชปั่นจักรยานของเขาตามมาติดๆ โดยมีปวันวาตนั่งเกาะเอวอยู่ข้างหลัง
“ขึ้นมาเถอะน่า หรือคุณเห็นว่ามันเป็นจักรยานถึงนั่งไม่ได้” เขาว่าเสียงเข้ม แต่พิมพ์พิชญาไม่สน หล่อนตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปเรื่อยๆ เขาปั่นตามอย่างไม่ลดละทั้งยังกดกริ่งเสียงดังอีกต่างหาก “อ้อ ผมลืมไป คุณเคยเป็นตั้งดาราดังนี่นะ คงเคยนั่งแต่รถหรูๆ แพงๆ เบาะนิ่มๆ ไอ้จักรยานแบบของผมนี่คงไม่เคยนั่ง”
พิมพ์พิชญาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับอารมณ์โกรธของตัวเองอย่างสุดกำลัง หลับตาถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อเลี้ยงหนุ่ม
“จักรยานเคยนั่ง แต่ไม่เคยนั่งแล้วเสี่ยงตายขนาดนี้มาก่อน”
พูดจบก็หันกลับแล้วเดินไปต่อ สรัชไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ปั่นตามหล่อนอยู่เหมือนเดิม ทั้งที่พิมพ์พิชญาอยากให้เขาปั่นกลับไปที่บ้านก่อนด้วยซ้ำ
“อ้ายคนจนจำต้องทนปั่นรถถีบ จะไปจีบอีน้องคนงาม พอไปถึงอ้ายก็ฟังเอิ้นถาม พอไปถึงอ้ายก็ฟังเอิ้นถาม อีน้องคนงามกินข้าวแลงแล้วกา”๑ ชายหนุ่มร้องเพลงคลอขึ้นมาเบาๆ
น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกทำให้พิมพ์พิชญาชะงักก่อนจะพยายามเดินต่อไปให้เป็นปกติที่สุด แต่ยิ่งพยายามเดินปกติมากเท่าไร จังหวะการเดินมันก็ยิ่งไม่ปกติมากเท่านั้น
สติ พิมพ์พิชญา...สติ!
“พ่อลมร้องเพลงเพราะ” ปวันวาตชมเปาะ พร้อมกับยกนิ้วโป้งป้อมๆ ของเจ้าตัวให้สรัชดูเป็นการยืนยัน “คุณแม่ขา...”
สรัชขับรถเข้ามาจอดข้างๆ พิมพ์พิชญาที่หยุดเดิน คิดว่าปวันวาตคงจะมีเรื่องพูดกับหล่อนโดยไม่ได้คิดเลยว่าการจอดครั้งนี้มันอาจจะนำพาอะไรบางอย่างมาสู่ตัวเอง
“อะไรคะ” พิมพ์พิชญาว่าเสียงหวาน ลูบแก้มลูกสาวเบาๆ
“ดอกไม้ที่วินดี้ให้คุณแม่ เก็บเอาไว้ดีๆ นะคะ”
พ่อเลี้ยงหนุ่มเริ่มตัวแข็งขึ้น และทำท่าจะปั่นจักรยานต่อ ด้วยเกรงว่าปวันวาตจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่ขณะที่กำลังจะออกรถ เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า
“พ่อลมฝากวินดี้ไปให้คุณแม่ พ่อลมว่าวินดี้ยิ้มแล้วน่ารักเหมือนคุณแม่ด้วยนะคะ”
สรัชแทบจะหน้าคว่ำลงตรงนั้น เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดอะไรให้วินดี้ฟังอีกเด็ดขาด
“หนูฟังผิดหรือเปล่าคะ หนูน่าจะฟังผิดแน่ๆ เลยวินดี้” ชายหนุ่มพยายามแก้ไขสถานการณ์
“ไม่ผิดค่ะ พ่อลมพูดเองว่าคุณแม่ยิ้มน่ารัก วินดี้ก็ยิ้มน่ารักเหมือนคุณแม่”
เอาละ ชายหนุ่มรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเขาไม่ควรพูดอะไรต่อจากปวันวาต ห้ามแย้งเด็ดขาด!
ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองพิมพ์พิชญาอีกตอนที่ปั่นจักรยานนำไปก่อน แต่ถ้าหากเขาหันกลับมามองสักนิด คงจะเห็นว่าที่แก้มเนียนละเอียดของพิมพ์พิชญาซับสีระเรื่อไปทั้งแถบ พร้อมกับที่หญิงสาวระบายยิ้มออกมาอย่างอายๆ กามเทพตัวน้อยแผลงศรแม่นยำอย่างไม่มีที่ติ เพราะไม่ใช่แค่หล่อนที่เขินจนแทบม้วน สรัชเองก็เขินเหมือนกัน...เพราะเขาพูดกับปวันวาตแบบนั้นจริงๆ
ความคิดเห็น |
---|