2

บทที่ 1


 

๑.

 

รถโฟร์วิลล์ชะลอความเร็วลงเมื่อเข้าเขตเมือง แม้ดุนยาจะไม่มีตึกระฟ้ามากมายเหมือนในเมืองหลวงของราชอาณาจักรฮัซดิฮารอย่างอัลรีฟ แต่ก็เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่ทันสมัย ถนนหนทางกว้างขวาง ทำให้แม้จะมีจำนวนรถมากมายวิ่งกันขวักไขว่ ก็ไม่ได้ทำให้รถติด เธอจึงมาถึงป้อมปราการใหญ่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว

คฤหาสน์ของชีคซอลีลเป็นป้อมปราการเก่าที่นำมาดัดแปลงตกแต่งให้แข็งแรงและทันสมัยขึ้น ความใหญ่โตมโหฬารและเก่าแก่ของประตูทางเข้า ประกอบกับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ ทำให้อัสมิฮานรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทาสสาวที่กำลังถูกขนส่งเข้าไปกักขังอยู่ในฮาเร็มของพวกเจ้าเมืองในยุคกลาง มันเป็นความคิดที่ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวมากขึ้น เมื่อนึกถึงอิสรภาพที่กำลังจะต้องโบกมือลากัน แม้ฮัซซานจะบอกว่าเธอยังเหลือเวลารอคอยปาฏิหาริย์อีกหนึ่งเดือนก็ตาม

เมื่อรถผ่านประตูกำแพงสูงเกือบสิบเมตรเข้าไป เธอก็เห็นลานกว้างรูปสี่เหลี่ยม ล้อมรอบด้วยอาคารเก่าแก่ทั้งสามด้าน ที่ด้านในสุดเป็นอาคารหลังใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นที่พำนักของชีคซอลีล

รถของ อัล ชุรูก ออยล์ กว่าสิบคันจอดเรียงแถวหน้าอาคารหลังนั้น ฮัซซานลงจากรถแล้วอ้อมมาเปิดประตูให้ อัสมิฮานดึงผ้าคลุมหน้าขึ้นปิดบังใบหน้าตนเองจนเหลือแต่ลูกตาภายใต้แพขนตางามงอนสีเข้ม ก่อนจะลงจากรถ แล้วเดินผ่านลานหน้าอาคารที่มีบ่อน้ำพุสามชั้นประดับอยู่ไปยังประตูไม้บานใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าของอาคารเก่าแก่

มีชายสวมชุดกันดูราสีขาวสะอาดและคลุมศีรษะด้วยผ้าโกตรายืนอยู่สองสามคน แต่เธอกลับไม่เห็นชีคซอลีลมาคอยต้อนรับเธอ ทำให้อัสมิฮานอดนึกอย่างขุ่นเคืองใจไม่ได้ว่า ทำไมสามีในอนาคตของเธอถึงไม่ยอมออกมาต้อนรับขับสู้ว่าที่ภรรยาเลย

‘สงสัยต้องให้หมอบกราบเข้าไปถึงข้างในนั่นเหมือนพวกนางฮาเร็มมั้ง’

“อะไรนะครับ คุณอัสมิฮาน” ฮัซซานหันมาเอ่ยถาม

“เปล่า” หญิงสาวยักไหล่ “ไม่มีอะไร เราเข้าไปข้างในกันเถอะ ข้างนอกนี่ร้อนจริงๆ”

“อัสลามมุ อะลัยกุม” ชายในชุดกันดูราคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“วะอะลัยกุมุสสะลาม” อัสมิฮานตอบสลามอย่างสุภาพ

“เชิญคุณอัสมิฮานข้างใน” เขาผายมือให้เธอ ก่อนจะออกเดินนำเข้าไปภายในอาคารเก่าแก่ซึ่งถูกตกแต่งอย่างงดงาม และตระการตาไปด้วยเครื่องเรือนทันสมัยราคาแพงระยับ

ความแตกต่างกันระหว่างภายนอกและภายในอาคารทำให้เธอรู้สึกเหมือนเพิ่งเดินผ่านประตูทะลุมิติ ข้ามจากยุคกลางเข้ามาสู่ยุคปัจจุบัน เพราะภายในอาคารนี้ดูจะทันสมัยกว่ารูปร่างเทอะทะของป้อมปราการเก่าที่เห็นจากภายนอกราวกับพลิกฝ่ามือทีเดียว

กลุ่มชายในชุดกันดูราพาเธอกับฮัซซานไปที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในนี้มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แอร์ก็เย็นฉ่ำจนทำให้ความรู้สึกรุ่มร้อนภายในใจคลายลงไปได้มาก แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกเหนียวตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“ผมชื่ออาลี เป็นพ่อบ้านของที่นี่” ชายที่กล่าวต้อนรับเธอเมื่อครู่ ซึ่งดูมีอายุมากกว่าใครเพื่อนเอ่ยขึ้น

หญิงสาวค้อมศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้แนะนำตัวเองออกไป เพราะเขาคงรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นใคร ไม่เช่นนั้นคงไม่พาเธอเข้ามาถึงภายในอาคารหลังนี้

“การเลื่อนไฟล์บินของสายการบินไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของท่านชีค ตอนนี้ท่านจึงกำลังประชุมอยู่กับพวกข้าราชการตามกำหนดการประจำวัน” อาลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นทางการราวกับเป็นโฆษกรัฐบาลที่พูดออกทางโทรทัศน์ เขายกนาฬิกาเรือนทองขึ้นมาดูเวลาก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอ “อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงท่านชีคจะมาพบคุณ ขอเชิญคุณอัสมิฮานพักผ่อนในห้องนี้ไปก่อน หากต้องการอะไรบอกพวกสาวใช้ได้เลยนะครับ”

หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างสำรวมบนโซฟานุ่มน่าสบาย แม้จะอยากนอนเอกเขนกมากขนาดไหนก็ตาม

อาลียิ้มแล้วหันไปหาชายหนุ่มที่เดินทางมากับเธอซึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก “คุณคงเป็นฮัซซาน”

“ครับ” เขาพยักหน้า

“ขอเชิญทางนี้ครับ” พ่อบ้านสูงวัยผายมือ

ฮัซซานค้อมศีรษะให้อย่างรู้ธรรมเนียมการแบ่งแยกส่วนชายและหญิง ก่อนจะหันมายิ้มให้กำลังใจเธอแล้วเดินตามอาลีออกไปจากห้อง ทิ้งให้เธออยู่กับหญิงสาวแปลกหน้าสองคนในห้องอันกว้างใหญ่

“คุณอัสมิฮานต้องการอะไร เรียกใช้พวกเราได้เลยนะคะ”

หญิงสาวยิ้ม “ชื่ออะไรกันบ้างล่ะ”

“ฉันชื่อเกากับค่ะ” คนหนึ่งตอบ ก่อนจะผายมือไปยังเพื่อนสาว “นี่บูรอนค่ะ”

อัสมิฮานพยักหน้า “เธอสองคนเคยเป็นนางฮาเร็มของชีคซอลีลหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ” บูรอนตอบ แล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับเพื่อนสาว “พวกเราไม่สวยพอหรอกค่ะ”

หญิงสาวเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเท่าที่เห็น ทั้งสองคนก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แถมยังมีหน้าตาเกลี้ยงเกลา นัยน์ตาคมสวย ริมฝีปากหรือก็อวบอิ่มน่าเย้ายวนใจทีเดียว

“พวกเราเป็นแค่เพียงสาวใช้ คอยรับใช้นางฮาเร็มค่ะ” เกากับบอก

อัสมิฮานพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่น่าสนใจกว่า “จริงหรือที่ชีคซอลีลสั่งให้ยกเลิกฮาเร็มของเขา”

“จริงค่ะ” ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนที่บูรอนจะเอ่ยขยายความขึ้น

“พวกเรายังแปลกใจเลยค่ะที่ท่านชีคบอกว่าจะยกเลิกฮาเร็มเมื่อปีที่แล้ว และอนุญาตให้สาวๆ ทุกคนขยับขยายหาที่อยู่ใหม่ พร้อมกับมอบเงินให้แต่ละคนไปจำนวนหนึ่ง ไม่ถึงครึ่งปีนางฮาเร็มก็ทยอยกันออกไปจนหมด”

“พอไปกันหมด ท่านชีคก็ให้ช่างมาปรับปรุงส่วนที่เป็นฮาเร็มเป็นการใหญ่ค่ะ” เกากับเสริม

“ปรับปรุงเป็นอะไรหรือ”

“เป็นที่พักของคุณอัสมิฮานคนเดียวค่ะ” บูรอนตอบ

หญิงสาวชะงัก รู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้รู้ว่าต้องมาอยู่ลำพังในสถานที่ที่เคยเป็นที่อยู่ของผู้หญิงสวยๆ นับร้อย

อะไรกันนะ ที่ทำให้ชีคซอลีลผู้ร่ำรวยตัดสินใจเปลี่ยนได้ขนาดนั้น

“รู้ไหมทำไม” เธอถาม

“เพราะคุณอัสมิฮานจะมาเป็นภรรยาท่านชีคไงคะ” เกากับตอบ

อัสมิฮานถอนใจ เพราะนั่นไม่ใช่คำตอบต่อข้อสงสัยที่มีอยู่ในใจของเธอ เห็นทีคำตอบว่าทำไมชีคซอลีลถึงได้ทุ่มทุนสร้างเพื่อเธอขนาดนี้ คงมีแต่เพียงเขาเท่านั้นที่รู้

“งั้นพวกเธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ” หญิงสาวโบกมือ

“งานของเราคือรับใช้คุณค่ะ ไม่มีอะไรอย่างอื่น”

“งั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ย ก่อนจะพยักหน้า “งั้นถ้าจะให้ช่วยพาฉันชมรอบๆ สถานที่ที่เคยเป็นฮาเร็มนี่ล่ะ”

“ท่านชีคบอกว่าท่านจะจัดการเรื่องนั้นเองค่ะ” บูรอนตอบ

อัสมิฮานเบ้ปาก “อะไรๆ ก็ชีคซอลีล แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ”

ทั้งสองสาวรับใช้ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วมองหน้ากันอย่างจนปัญญา อัสมิฮานมองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะลุกจากที่แล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังพื้นที่กว้างขวางของปราสาทแล้วได้แต่คิดคำนึงในใจว่า ชีคซอลีลกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

 

ผู้ที่นั่งเป็นประธานอยู่ตรงหัวโต๊ะประชุมขนาดยี่สิบคน ในห้องประชุมอันหรูหราประดับตกแต่งด้วยภาพเขียนชื่อดังและเครื่องลายครามจากตะวันออกไกลก็คือ ชีคซอลีล บิน มูฮัมหมัด บิน การีม อัล ดุนยา เจ้าผู้ครองเมืองใหญ่เป็นอันดับสอง รองจาก อัลรีฟ เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรอัซดิฮารนั่นเอง

ใบหน้าหล่อเหลาที่เคร่งเครียดของเขาทำให้ดูน่าเกรงขามสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชา หากเป็นที่เสน่หาต่อสาวๆ ที่ได้พบเห็นยิ่งนัก คิ้วหนาที่ขมวดมุ่นกับริมฝีปากที่เม้มสนิทรวมไปถึงปลายนิ้วชี้ที่ลูบไล้อยู่บนปลายจมูกโด่งสวยทำให้รู้ว่าเขากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่สำคัญ หลายคนจ้องมองเขาด้วยแววตากระวนกระวาย แต่สายตาอีกหลายคู่ก็เรียบเฉยราวกับไม่ยี่หระต่อความแข็งกร้าวในดวงตาสีเหล็กนั้น

จนเมื่อเปลือกตาสีเข้มหรี่ลง นัยน์ตาสีเหล็กเป็นประกายกล้าขึ้น จึงค่อยมีคำพูดจากริมฝีปากน่าเกรงขามของเขาออกมาเป็นคำถาม

“แสดงว่าที่ตรงนั้นมีน้ำมันที่คาดว่าอาจมากมายมหาศาลกว่าบ่อไหนๆ ในดุนยาอีกงั้นหรือ...มิสเตอร์แบล็คเก็ตต์”

ชีคหนุ่มหันไปถามตัวแทนจากบริษัท โอเชียน ออยล์ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่ถูกว่าจ้างมาเป็นที่ปรึกษาด้านน้ำมันให้กับดุนยา เพราะดุนยายังใหม่กับเรื่องน้ำมันมาก

“ข้อมูลจากการเจาะขั้นประเมินผล ทั้งขอบเขตที่แน่นอนของแหล่ง และปริมาณการไหลของปิโตรเลียม ทำให้เราแน่ใจได้ว่า มีแหล่งกักเก็บน้ำมันอยู่ตรงนั้นในปริมาณมากครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องเปิดโต๊ะเจรจากับพวกลิฮาซ” ชีคซอลีลกล่าวเป็นเชิงสรุป

“เห็นทีจะยากครับ” ชายสูงวัยอีกคนเอ่ยขึ้น ใบหน้าคมคร้ามที่ประดับด้วยหนวดเคราซึ่งตัดแต่งอย่างดีทำให้ดูคล้ายผู้ทรงคุณวุฒิที่สุดในที่ประชุม

“ทำไมหรือท่านซุบาอีย์” ชีคซอลีลหันไปหาที่ปรึกษาสูงสุดของเขาซึ่งนั่งอยู่ติดกัน

ซุบาอีย์ วัศฟีย์ เป็นข้าราชการรับใช้ดุนยามาตั้งแต่สมัยบิดาของชีคมูฮัมหมัดยังคงเป็นเจ้าปกครองดินแดนแห่งนี้อยู่ ก่อนจะได้ขึ้นเป็นที่ปรึกษาสูงสุดของชีคซอลีล หลังจากชีคหนุ่มขึ้นนั่งแท่นเจ้าเมืองแทนบิดาผู้ล่วงลับ เพราะเป็นผู้ที่ชายหนุ่มไว้ใจ เนื่องจากเคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมาก่อน

“พวกลิฮาซเป็นพวกรักถิ่นฐาน ไม่เหมือนชนเผ่าเร่ร่อนอื่นๆ ในอัซดิฮาร เป็นพวกหัวแข็งไม่ยอมฟังคำสั่งใครทั้งนั้น นอกจากชีคของพวกเขาซึ่งมีสายเลือดสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน เหมือนเช่นชาวดุนยาที่นับถือท่านชีค การจะบังคับให้พวกเขาย้ายออกไปนั้นอาจก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาก็ได้นะครับ”

“พวกนั้นหัวรุนแรงงั้นหรือ” เดวิด แบล็คเก็ตต์ เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ไม่เชิง” ซุบาอีย์โบกมือ “พวกลิฮาซเป็นชนเผ่าที่รักความสงบ พวกเขาจะสู้ก็ต่อเมื่อถูกรุกราน และจะต่อสู้อย่างเข้มแข็งลืมตายทีเดียว”

“นั่นมันเรื่องตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้วนา ท่านซุบาอีย์” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงกล่าวแย้ง “พวกลิฮาซน่ะ อยู่กันอย่างสงบภายใต้การปกครองของเรามานานแล้ว และเขตการปกครองที่สามที่พวกเขาปกครองกันอยู่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของสภาเมืองดุนยาตามรัฐธรรมนูญแห่งอัซดิฮารอยู่แล้ว ผมว่าพวกเขาคงไม่กล้าทำอะไรที่เป็นการขัดแย้งต่อนโยบายสร้างความเจริญของเราหรอก”

“นั่นก็ใช่” ที่ปรึกษาสูงสุดพยักหน้าขรึมๆ “แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ตามรัฐธรรมนูญก็ให้สิทธิ์ขาดกับแต่ละเมือง แต่ละเขตการปกครอง และแต่ละเผ่าอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการทหารที่ถึงแม้จะขึ้นตรงกับกองทัพของราชอาณาจักรอัซดิฮาร แต่ก็มีการแบ่งแยกกันบังคับบัญชาตามแต่ละเผ่าอย่างชัดเจน การจะใช้อำนาจเกินขอบเขตก็อาจเกิดปัญหาขึ้นได้นะ”

“แล้วท่านจะกลัวอะไรเล่า ท่านซุบาอีย์” นายพลคามาล ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งดุนยาร้องถามขึ้น “จริงอยู่ที่รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรอัซดิฮารแต่ละเขตการปกครองจะสามารถมีกองทัพเป็นของตนเอง แต่ศักยภาพของกองทัพแห่งดุนยาก็เหนือกว่ากองทัพเล็กๆ ของพวกลิฮาซหลายขุม ถ้าเกิดมีการก่อความวุ่นวายขึ้นมา ผมนี่แหละที่จะรับอาสาปราบปรามพวกมันเอง”

ซุบาอีย์หัวเราะในลำคอเบาๆ “ท่านนายพลคงไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์”

“ประวัติศาสตร์งั้นหรือ”

“ในสมัยก่อน ชีคอุมัรเจ้าแห่งแคว้นดุนยา ผู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับสุลต่านรีฟ ซะการียะฮ์ ปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอัซดิฮาร[1] ได้นำกองทัพอันเกรียงไกรเข้าล้อมเมืองลิฮาซอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถหักเอาได้ แม้พวกลิฮาซจะมีนักรบเพียงแค่หยิบมือเมื่อเทียบกับกองทัพของชีคอุมัร ในที่สุดก็ต้องเปิดให้มีการเจรจากันขึ้น ชีคอุมัรสั่งให้แต่งตั้งทูตไปสู่ขอลูกสาวของชีคแห่งลิฮาซในสมัยนั้นมาเป็นภรรยาคนที่สี่ และยอมให้พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในเขตการปกครองที่สามมานับตั้งแต่นั้น เมื่ออัซดิฮารเริ่มก่อตั้งราชอาณาจักรโดยสุลต่านรีฟ พวกเขาจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองดุนยา เพราะฉะนั้น พวกลิฮาซจึงถือว่าดินแดนที่พวกเขาอยู่นั้นคือดินแดนแห่งพันธสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องปกป้องรักษาไว้ พวกเขาไม่ยอมแน่ หากจะมีใครไล่เขาออกจากที่นั่น แม้แต่ท่านชีคซอลีลเองก็ตาม”

“ไล่งั้นหรือ” ประธานหนุ่มเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ทำไมต้องไล่พวกเขาออก”

“คืออย่างนี้ครับ...ท่านชีค” เดวิด แบล็คเก็ตต์ กระแอมพร้อมตั้งท่าอธิบาย “เท่าที่ผู้เชี่ยวชาญของเราไปสำรวจมา บริเวณที่เราต้องการสร้างเป็นสถานีขุดเจาะน้ำมันและโรงกลั่นนั้นเป็นชุมชนใหญ่ของพวกเขา และใจกลางชุมชนนั้นก็เปรียบเสมือนหัวใจของเหล่าลิฮาซทุกคน นั่นคือป้อมปราการแห่งลิฮาซ ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าเมือง ทั้งเป็นที่ว่าราชการ และเป็นศูนย์รวมใจของพวกเขา คงจะเกิดการต่อต้านขึ้นอย่างรุนแรงแน่นอนหากเราต้องการให้พวกเขาอพยพออกและทุบทำลายป้อมปราการหลังนั้น”

“นั่นอาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่เชียวนะ” ชีคซอลีลเกาคางอย่างครุ่นคิด

“ถ้าเราดำเนินแผนตามชีคอุมัรสมัยก่อน ส่งคนไปเจรจาเรื่องค่าตอบแทนจากรายได้น้ำมันที่สมเหตุสมผล และหาที่อยู่ให้พวกเขาใหม่ พวกเขาอาจยอมก็ได้นะครับ” ที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังเสนอ

“ผมก็คิดอย่างนั้นนะครับ” ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกล่าวสนับสนุน “จากข้อมูลที่เรามี พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนผู้นำเผ่า จากชีคอับดุลมุอิซมาเป็นชีคอัลมาญิดผู้บุตร และเท่าที่ผมเคยได้ยินมา ชีคคนใหม่นี่ก็เป็นคนหนุ่มหัวก้าวหน้าเสียด้วยนะครับ”

“เขาเป็นนักเรียนแพทย์จากอังกฤษ” ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขเอ่ยเสริม “หลังจากจบมาก็เข้ามาช่วยบิดาทำงานด้านสาธารณสุข เคยมาปรึกษาผมเรื่องวางแผนปรับปรุงเปลี่ยนแปลงด้านสาธารณสุขให้กับลิฮาซมากมายหลายโครงการ แต่แผนเหล่านั้นก็กลับถูกพวกสภาที่ปรึกษาคร่ำครึคัดค้าน ทำให้ต้องลาออกไปช่วงหนึ่ง หลังจากชีคอับดุลมุอิซเสียชีวิต ถึงได้กลับมารับตำแหน่งชีคแห่งลิฮาซแทนครับ”

“ชีคอัลมาญิดอาจต้องการเงินสักก้อนหนึ่งเพื่อไปพัฒนาเขตของตนตามแผนด้านสาธารณสุขของเขา” ที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังเอ่ยอย่างมั่นใจ “บางทีส่วนแบ่งจากรายได้น้ำมันอาจจูงใจให้เขาตัดสินใจได้”

ซุบาอีย์นิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยถาม “ถ้าทุกคนเห็นว่าการเจรจาเรื่องรายได้จากน้ำมันจะสามารถจูงใจชีคอัลมาญิดได้ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้เดินทางไปเจรจาครั้งนี้”

“ผมมองไม่เห็นใครนอกจากท่าน” ชีคหนุ่มตอบ “ท่านซุบาอีย์เองก็สนิทสนมกับท่านมาฮัด ที่ปรึกษาสูงสุดของพวกลิฮาซไม่ใช่หรือ”

ริมฝีปากภายใต้หนวดเคราที่ตัดแต่งอย่างดียกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะค้อมศีรษะลง “ถ้าเป็นความประสงค์ของท่านชีค ผมเห็นจะขัดไม่ได้”

ชีคซอลีลพยักหน้าช้าๆ “นอกจากท่านก็ไม่มีใครอีกแล้วที่ผมจะสามารถวางใจได้”

“ผมจะทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”

“งั้นก็ดี” ชีคหนุ่มพยักหน้าอย่างพึงใจ สายตาเหลือบมองนาฬิกาบนผนังชั่ววินาทีหนึ่ง ซึ่งก็เพียงพอจะทำให้รู้ว่าการประชุมล่วงเลยเวลามามากแล้ว และนั่นอาจทำให้ใครคนหนึ่งไม่พอใจขึ้นมาก็ได้

“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอปิดประชุมเลยก็แล้วกัน”

สิ้นเสียงของประมุขแห่งดุนยา ทุกคนในที่ประชุมต่างก็ลุกขึ้นแล้วค้อมศีรษะคำนับ ชีคซอลีลพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุมโดยมีซุบาอีย์เดินตามมาติดๆ

“ท่านกลับไปพักผ่อนแล้วเตรียมตัวเดินทางไปลิฮาซเถอะ ไม่ต้องตามผมไปถึงฝ่ายในหรอก” ชีคหนุ่มเอ่ยโดยไม่หันไปมอง

“ท่านชีคคงจะรีบไปต้อนรับว่าที่ภรรยาใช่ไหม”

“รู้ใจผมเสมอนะ ท่านซุบาอีย์” ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ป่านนี้เธอคงมาถึงแล้ว ผมไม่อยากให้เธอรอนาน”

“ท่านชีคคิดดีแล้วหรือ?”

คำถามนั้นทำให้เขาชะงักจนต้องหันไปมอง “แน่นอนสิ ทำไมล่ะ”

“ไม่มีอะไรครับ” ซุบาอีย์ค้อมศีรษะ “ผมเพียงอยากให้แน่ใจ เพราะเห็นท่านชีคทำทุกอย่างเพื่อเธอ แม้กระทั่งยกเลิกฮาเร็มที่ใช้พักผ่อนหลังจากการทำงานอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งวัน ผมไม่แน่ใจว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือเปล่า”

“ผมคิดว่าคุ้มค่านะ” ชีคหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ “แล้วผมคิดว่าตัวเองแก่เกินไปสำหรับเรื่องพวกนั้นแล้ว”

“สามสิบห้าน่ะหรือครับ”

ซอลีลหัวเราะลั่น “อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้หมายถึงผมหมดสมรรถภาพแต่อย่างใด ผมยังคงแข็งแรงดี และมีความต้องการเพศรสอย่างเต็มเปี่ยมเหมือนเคย”

“แล้วท่านหมายความว่าอะไรกันละครับ”

“ผมอยากสร้างครอบครัว” ชีคหนุ่มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นางฮาเร็มพวกนั้นเกินความจำเป็นสำหรับครอบครัวของผม”

“เกินความจำเป็น?”

ชายหนุ่มยิ้ม เดินไปที่ราวระเบียงแล้ววางมือทั้งสองบนนั้น สายตาทอดจับไปยังทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบ

“ท่านจำฮัยบัตได้ไหม”

ซุบาอีย์ทำท่าครุ่นคิด แต่แล้วก็กลับส่ายหน้าอย่างจำนนใจ

“ผมก็จำไม่ได้” เขายิ้ม พอหันไปมองหน้าเหลอหลาของที่ปรึกษาคู่กายแล้วก็อดขำไม่ได้ “ผมพบเธอสักสองสามเดือนก่อนในฮาเร็ม ก่อนที่ผมกับอับบาสจะพูดคุยเรื่องการแต่งงาน ระหว่างผมกับลูกสาวของเขาไม่กี่วัน”

“อ้อ นางฮาเร็ม” ซุบาอีย์เอ่ยเหมือนนึกได้ แต่ชีคซอลีลแน่ใจว่า ที่ปรึกษาของเขาคงนึกไม่ออกจริงๆ หรอกว่า ฮัยบัตหน้าตาเป็นอย่างไร อายุเท่าไร และมาจากไหน แม้จะเป็นผู้คัดสรรหญิงคนนั้นมาเองก็ตาม

“แล้วฮัยบัตเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราคุยกันหรือครับ”

ชีคซอลีลอมยิ้ม เพียงนึกไปถึงท่าทางไร้เดียงสาของหญิงสาวคนนั้น ร่างกายของเขาก็รุ่มร้อนขึ้นมาอย่างประหลาด

“เธอมาอยู่ในฮาเร็มได้สองปีแล้ว แต่เธอกลับได้ปรนนิบัติผมเพียงแค่ครั้งเดียวในคืนนั้น”

“นั่นเป็นสิ่งที่เธอเลือก” ซุบาอีย์กล่าว “เธอสมัครใจมาเพื่อครอบครัว และเธอกับครอบครัวก็ได้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าไปแล้ว”

“เธอยังเด็ก คงไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร หรือไม่...” ชีคซอลีลถอนใจเมื่อนึกไปถึงแววตาเศร้าของฮัยบัต “คนที่สมัครใจอาจไม่ใช่ตัวเธอ”

“ท่านคงคิดว่าเธอถูกบังคับจากพ่อแม่”

“เราไม่อาจรู้ได้หรอกจริงไหม” ชีคหนุ่มเอ่ย

“แต่ถึงงั้นก็เถอะ ผมไม่เห็นว่าเธอจะต้องเจอกับอะไรเลวร้ายหากเข้ามาเป็นนางฮาเร็ม นอกจากเงินทองและความสุข”

“ความสุขของผมคนเดียวน่ะสิ” ชีคซอลีลแย้ง “เธอมีความสุขร่วมกับผมวันเดียว แต่กลับต้องเจอความอ้างว้างถึงสองปี”

“ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง” ซุบาอีย์เอ่ย

ซอลีลหลับตาลงพร้อมกับหัวเราะในลำคอ การพูดเรื่องสิทธิสตรีกับผู้ชายอัซดิฮารคงเหมือนการจับเด็กผู้ชายสักคนมาฟังเรื่องธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ แล้วให้พวกเขาชี้บอกว่าตรงไหนควรจะมีน้ำมัน

“ผมเคยคิดว่าจะทำแค่ลดจำนวนนางฮาเร็มให้เหลือสักหนึ่งในสาม หรืออาจมีแค่สี่ตามบทบัญญัติทางศาสนา แต่เมื่ออับบาสมาคุยกับผมเรื่องลูกสาวเขา ผมก็คิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะปิดฮาเร็มซึ่งไม่เคยขาดผู้หญิงมานับพันปีลงเสียที”

“ลูกสาวของอับบาสน่ะหรือครับที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”

“ใช่” ซอลีลพยักหน้า “ท่านคงไม่เคยเห็นเธอ”

“ไม่ครับ”

“นั่นสินะ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคออีกครั้ง “ทุกครั้งที่ผมเดินทางไปอัลรีฟ ท่านต้องเป็นคนทำหน้าที่ต่างๆ ที่นี่แทนผม ก็เลยไปไหนไม่ได้ จึงไม่มีโอกาสได้เห็นลูกสาวของอับบาส”

“ครับ” ซุบาอีย์น้อมรับ “เธอมีค่าเท่ากับผู้หญิงเป็นร้อยคนเชียวหรือครับ”

“ไม่เท่าหรอก” ชีคซอลีลหัวเราะ สายตาเพ่งมองไปยังปุยเมฆที่ก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายหญิงสาวผู้ฉลาดเฉลียวอย่างอารมณ์ดี “แต่เธอมีค่ามากกว่า”

“มากกว่าร้อยหรือครับ” ซุบาอีย์เลิกคิ้ว

“ใช่...อาจมากกว่าผู้หญิงทุกคน” เขายิ้มละไม “เธอทั้งสวย ฉลาด ทำงานเก่ง นี่ล่ะผู้หญิงที่ฉันตามหามานาน”

“ทำงาน?” สีหน้าของที่ปรึกษาดูตื่นตะลึง

“ผมยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่า ลูกสาวของอับบาสเป็นรองประธานกรรมการของ อัล ชุรูก ออยล์” ชีคซอลีลเอ่ยด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจนิดๆ ทั้งที่เขากับเธอก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน

“อัลลอฮ์”

“เธอเรียนจบจากอังกฤษ ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหม”

“อับบาสเป็นคนแปลก” ซุบาอีย์เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ

“ฉันก็ว่าแปลก” ชีคซอลีลเอ่ยสนับสนุน แต่คำว่าแปลกในความคิดเขาคงเป็นคนละอย่างกับของที่ปรึกษา “อับบาสให้การศึกษากับลูกสาวคนเดียวของเขาอย่างเต็มที่ ราวกับจะให้มาสืบทอดตำแหน่งของตน แต่ก็ยังตั้งข้อแม้เรื่องคนที่จะมาสืบทอดตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทต่อจากเขาว่า คนที่จะครอบครองตำแหน่งนั้นได้จะต้องแต่งงานกับลูกสาวของเขาเท่านั้น ผมรู้ว่าเขาหมายมั่นปั่นมือจะให้ลูกชายบุญธรรมของเขาได้ตำแหน่งนั้นไป จะได้ช่วยดูแลลูกสาวคนเดียวของเขาได้ แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด”

“มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“เมื่อปีที่แล้ว ลูกชายบุญธรรมของเขาเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง และหันหลังให้กับ อัล ชุรูก ออยล์”

“นั่นก็แปลกอีกคน ทิ้งความมั่งคั่งและผู้หญิงดีๆ ไป ดูเหมือนตระกูล อัล ชุรูก จะมีแต่คนแปลกๆ”

“ก็คงงั้น” ชีคซอลีลหัวเราะ “หลังจากนั้น อับบาสมาพบผมและพูดคุยถึงเรื่องแต่งงาน จากการพูดคุยกัน ผมรู้ได้ทันทีว่าลูกสาวของอับบาสจะไม่มีสิทธิ์ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งอันสูงสุดของบริษัทได้อย่างแน่นอน แม้อับบาสจะให้โอกาสต่างๆ กับลูกสาว ทั้งทางด้านการเรียน การทำงาน แต่ก็กลับไม่ให้ค่ามันพอที่จะทำให้เธอคว้าตำแหน่งสูงสุดของบริษัทได้”

“เป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองมาก”

“บางทีเขาอาจรักลูกสาวคนนี้มาก นั่นทำให้ผมคิดว่าเธอมีค่ามากเกินกว่าจะปล่อยไปได้”

ซุบาอีย์นิ่งงันไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนหัวเก่าที่ยึดมั่นจารีตอย่างเหนียวแน่น

“นอกจากความสวย เก่ง และฉลาดแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกชมชอบในตัวเธอ”

“อะไรหรือครับ”

ชีคซอลีลหัวเราะเมื่อได้ฟังคำถามและนึกถึงสายตาคมเข้มของอัสมิฮานที่มองเขา

“ดูเหมือนเธอจะเกลียดผม”

“เกลียด?” ซุบาอีย์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย

“ผมไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนมองด้วยสายตาแบบนั้นมาก่อน มันทำให้ผมรู้สึกว่าเธอคือคนพิเศษ”

“แล้วมันจะดีหรือครับ ถ้าเธอเกลียดท่าน”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “ลืมแล้วหรือ ผมชอบแข่งขี่ม้าพยศ”

ที่ปรึกษาคนสนิทชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยยิ้มออกมา “แถมได้แชมป์การแข่งขี่ม้าพยศทุกปีด้วย”

“นั่นมันสิบปีมาแล้วนะ”

“ผมจำได้ ท่านพ่อของท่านชีคโกรธมากที่รู้ว่าท่านชีคแอบไปแข่ง ถึงขนาดจะให้ยกเลิกประเพณีแข่งขี่ม้าพยศที่สืบทอดมาตั้งพันปีของเมืองเสีย หากท่านชีคยังไม่ยอมเลิกปลอมตัวออกไปแข่งกับพวกมืออาชีพพวกนั้น”

“ฉันเลยถูกขอร้องจากพวกกรรมการจัดการแข่งขันให้เลิกเสีย” เขาหัวเราะฝืนๆ ด้วยความรู้สึกเสียดาย เพราะบางทีก็ยังนึกถึงการแข่งขันอันสนุกตื่นเต้นแบบนั้นอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ก่อนจะตบลงบนราวระเบียงราวกับเป็นการปิดฉากการสนทนากลายๆ

“เอาละ เห็นทีผมคงจะต้องไปแล้ว หวังว่าท่านคงจะทำงานลุล่วงนะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย” ซุบาอีย์รับคำ

ชีคซอลีลพยักหน้า ก่อนจะหันหลังให้ที่ปรึกษาสูงวัย แล้วเดินตรงไปยังฝ่ายในของป้อมปราการแห่งดุนยา ที่ซึ่งว่าที่เจ้าสาวของเขาคงกำลังคอยที่จะได้เห็นความจริงใจของเขาแล้ว

 

[1]        จากเรื่อง เสน่หาเจ้าทะเลทราย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น