๒.
อัสมิฮานรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกทีที่เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมต้องมานั่งแกร่วรอผู้ชายอยู่แต่ในห้องเช่นนี้ ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นทำเหมือนไม่เห็นความสำคัญของเธอเลยสักนิดเดียว เพราะไม่เพียงแต่ไม่มาต้อนรับเธอ ยังปล่อยให้เธอรออย่างไม่รู้ว่าเขาจะมาปรากฏตัวเมื่อไรอีกต่างหาก
ชีคซอลีลทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน ทำราวกับเธอคือนางฮาเร็มคนใหม่ที่ต้องรอเข้าถวายตัว
ใช่สิ...คนที่เคยมีฮาเร็มเป็นของตัวเอง ก็คงคิดว่าผู้หญิงไม่มีค่าเทียบเท่ากับงาน หรือแม้กระทั่งสิ่งอื่นๆ ที่ต้องทำในชีวิตประจำวันกระมัง
เมื่อเสียงเตือนจากนาฬิกาเรือนใหญ่ดังกังวานขึ้น ความหงุดหงิดของอัสมิฮานก็มาถึงขีดสุด เพราะมันหมายความว่าเธอนั่งรอชีคซอลีลอยู่ในห้องนี้จนครบสองชั่วโมงแล้ว จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วกดหมายเลขผู้ช่วยของเธอทันที
“ครับ คุณอัส...” ปลายสายตอบรับด้วยเสียงสุภาพ แต่เธอไม่รอให้เขาพูดจบ
“ฮัซซาน...ฉันจะกลับแล้ว จัดการเรื่องรถไปสนามบินกับตั๋วเครื่องบินให้ฉันที”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ สาวใช้ทั้งสองก็เบิกตาโพลงแล้วหันมองหน้ากันเลิกลัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าจะพูดอะไรออกมา เพราะเธอมีท่าทางโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด
“แต่เราเพิ่งมาถึงนะครับ” ฮัซซานท้วงมาตามสาย
“เราไม่ได้เพิ่งมาถึง...ฮัซซาน” เธอบอกอย่างฉุนเฉียว “เรามาถึงตั้งสองชั่วโมงแล้วต่างหาก”
“แต่…”
“สองชั่วโมง” อัสมิฮานย้ำ “จนป่านนี้ ชีคซอลีลก็ยังไม่โผล่หัวมาเลย”
คำที่แสดงความกราดเกรี้ยวทำให้ปลายสายเงียบไป แม้คนที่นั่งกระสับกระส่ายอยู่ต่อหน้าเธอก็พลอยอึกอักไปด้วย ก่อนที่ฮัซซานจะเอ่ยออกมาอย่างยอมจำนนในที่สุด
“ก็ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้”
“ดี” อัสมิฮานบอกแล้ววางสายไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพาย จากนั้นก็ลุกขึ้นท่ามกลางความงุนงงของคนรับใช้สาวทั้งสองที่ได้ยินบทสนทนาตลอด
อัสมิฮานเดินมุ่งตรงไปยังประตู แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็กลับต้องชะงัก เพราะสาวใช้ทั้งสองตัดสินใจวิ่งถลันมาขวางไว้พร้อมกางแขนออกเป็นกำแพงมนุษย์
“คุณคะ อย่าเพิ่งไปเลยค่ะ รอพบท่านชีคก่อนเถอะ” บูรอนอ้อนวอน
“ไม่” เธอคำราม “หลีกไป”
“ไม่ค่ะ ถ้าคุณไป พวกเราเดือดร้อนแน่เลย” เกากับเสริม
ถึงแม้จะสงสารคนทั้งคู่ แต่อัสมิฮานก็เหลืออดกับพฤติกรรมของชีคซอลีลเกินกว่าจะใส่ใจ จริงอยู่ที่เธอไม่ได้ยินดีจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าของบ้านที่ขึ้นชื่อว่ากำลังจะมาเป็นสามีของเธออย่างหมางเมินเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของเธอขุ่นมัวมากขึ้น อัสมิฮานแยกเขี้ยว ก่อนจะใช้สองมือดันร่างของสาวใช้ทั้งสองไปให้พ้นทาง
ทั้งสามคนยื้อยุดกันอยู่สักพักใหญ่ ก่อนที่จะเป็นสาวใช้ที่พ่ายแพ้แรงอารมณ์ของอัสมิฮาน ทั้งคู่ถูกเหวี่ยงไปคนละทางสองทาง เปิดทางให้เธอดิ่งตรงไปที่ประตูแล้วกระชากมันเปิดออก
ทว่า...แทนที่จะก้าวออกไปได้ทันทีอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก อัสมิฮานกลับต้องชะงักเมื่อเห็นว่า ที่หลังประตูไม้แกะสลักอย่างงดงามบานนี้ มีร่างสูงใหญ่ของชีคซอลีลยืนขวางกั้นอยู่จนเกือบไม่เหลือช่องว่างให้เธอเล็ดลอดออกไปได้ รูปร่างใหญ่โตของเขาทำเอาเธอถึงกับผงะ และต้องก้าวถอยหลังมาสองก้าวเพื่อที่จะได้เงยหน้ามองใบหน้าคมเข้มของเขาได้อย่างถนัดตา
ชีคซอลีลอยู่ในชุดกันดูราสีขาวสะอาด คลุมศีรษะด้วยผ้าโกตรา ใบหน้าเข้มคร้ามเสริมด้วยหนวดงามราวกับใช้ปลายพู่กันตวัด และเคราที่ตัดแต่งอย่างดีทำให้เขาดูหน้าเกรงขามขึ้นไม่ใช่น้อยเมื่อพิศมองในระยะใกล้เช่นนี้
“อัสลามมุ อะลัยกุม”
เขากล่าวสลามพร้อมค้อมศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงและความสุภาพของเขาทำให้อัสมิฮานชะงักนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะสะดุ้งอย่างนึกขึ้นได้ว่าเผลอมองสำรวจเขานานเกินงาม จึงค้อมศีรษะลงแล้วตอบสลาม
“วะอะลัยกุมุสสะลาม”
“ผมขออภัยที่ทำให้คุณต้องรอ การดีเลย์ของสายการบินและตารางงานที่ถูกกำหนดไว้แล้วทำให้ผมไม่มีทางเลือกมากนัก”
ชีคหนุ่มค้อมศีรษะอีกครั้ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วยิ้มให้เธอราวกับว่าทำแค่นั้นก็สามารถลบล้างความผิดทั้งปวงไปได้
‘ไม่เคยนึกโทษตัวเองเลยงั้นสิ’ หญิงสาวคิดในใจ พร้อมเมินหน้ามึนตึงไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไร
“คุณพร้อมจะเดินชมเรือนหอของเราหรือยัง”
“ความพร้อมของฉันมันถูกเผามอดไหม้ไประหว่างรอคุณตั้งสองชั่วโมงมาแล้วล่ะค่ะ”
เขาหัวเราะ เสียงใสนั้นเขย่าหัวใจเธอจนสั่น อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองค้อนเขาให้วงใหญ่
“ผมหวังว่าคงจะยังมีเถ้าหลงเหลืออยู่บ้าง และหวังว่ามันจะติดไฟลุกโชนขึ้นมาอีก หากเราเริ่มเดินไปเรื่อยๆ”
‘ไม่...ฉันจะกลับอัลรีฟ’
อัสมิฮานคิด แต่เธอก็กลับไม่ได้พูดออกไป อะไรบางอย่างบนใบหน้างดงามที่เย่อหยิ่งตรงหน้าทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก อาจเป็นดวงตาแพรวพราวหรือรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยประกายเสน่ห์ระยิบระยับนั้นก็ได้
“เชิญครับ” ชีคหนุ่มผายมือ
แม้ภาวะอารมณ์จะสั่งสมองให้ต่อต้านเขา เพราะต้องการสั่งสอนคนโอหังอย่างเขาให้รู้สำนึกเสียบ้างว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ยอมศิโรราบต่อเขาง่ายๆ เหมือนพวกนางฮาเร็มทั้งหลายของเขา ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามที่สมองสั่งการ สองเท้ากลับก้าวตามคำเชื้อเชิญอย่างสุภาพของเขาไปอย่างว่าง่าย
ดูเหมือนเขาจะมีพลังอะไรบางอย่างที่สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้หญิงได้จริงๆ
อัสมิฮานกุมมือวางอยู่บนท้องน้อยที่ปั่นป่วนระหว่างเดินเคียงคู่ไปกับเขา มองดูเขาเดินไปตามทางเดินด้วยความหมั่นไส้ ท่วงท่าสุขุมเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เลยต่อความผิดของตัวเอง ท่าทางของเขาองอาจ สองมือไขว้หลัง อกผายไหล่ผึ่งสมกับเป็นบุรุษเพศที่กล้าแกร่ง เป็นผู้นำแห่งเมืองที่ถูกขนานนามว่ามั่งคั่งไม่เป็นสองรองเมืองไหนๆ ในราชอาณาจักรอัซดิฮาร
หนำซ้ำใบหน้าของเขายังคมคายและเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนมองอีกต่างหาก
มิน่าล่ะ ผู้หญิงมากมายถึงยอมพลีกายให้เขา แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของความต้องการอันมากล้นของเขาก็ตาม
“ห้องที่คุณใช้พักผ่อนเมื่อครู่ เดิมทีเป็นห้องนอนของผม”
“แล้วตอนนี้ล่ะคะ”
“สัปดาห์นี้มันจะเป็นห้องนอนของคุณชั่วคราว”
“ชั่วคราว?” อัสมิฮานทวนคำด้วยความสงสัย
“หลังจากผ่านพิธีวิวาห์ตามหลักศาสนา ห้องที่คุณใช้พักผ่อนเมื่อครู่ ก็จะกลายเป็นห้องหอของ...เรา”
หญิงสาวชะงักเมื่อเขาเน้นคำสุดท้ายหนักแน่นพร้อมส่งรอยยิ้มหวานหวามให้เธอ ใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบเมื่อสายตากระทบกับประกายแวววาวในดวงตาของเขา ท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมาราวกับทะเลคลั่ง หัวใจเต้นรัวแรง ผิวกายสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนาของเขา หรือเป็นเพราะรอยยิ้มอันงดงามที่ประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นกันแน่
อัสมิฮานพยายามเก็บอาการ ควบคุมตัวเองให้นิ่งที่สุดด้วยการบีบมือตัวเองแน่น เธอจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเขาเด็ดขาด
“ฉันมีคำถามมากมายอยากจะถามคุณ” เธอกัดฟันเอ่ย
“เอาไว้ตอนรับประทานอาหารดีไหม ผมสัญญาว่าจะตอบคุณทุกคำถามระหว่างเราสำราญกับรสชาติอาหารและบรรยากาศของสถานที่ที่ผมจัดเตรียมเอาไว้สำหรับมื้อแรกของเรา” ชีคซอลีลเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้บานใหญ่
“ตอนนี้ผมมีอะไรจะให้คุณดูเยอะแยะไปหมด”
หญิงสาวยืนนิ่ง มองเขาหันไปเปิดประตูโดยใช้สองมือผลักบานไม้แกะสลักหนาหนักทั้งสองบานเปิดกว้าง ก่อนจะหันมาควงแขนสองสามรอบแล้วผายมือเชื้อเชิญเธอให้ผ่านประตูบานนั้นเข้าไป
อัสมิฮานก้าวตามไปอย่างว่าง่ายราวกับกวางสาวแสนเชื่องที่ถูกราชสีห์ชักชวนสู่ถ้ำอันมืดมิด แต่วินาทีที่ท้าวเล็กๆ ของเธอเหยียบย่างลงบนพื้นกระเบื้องหินอ่อนข้างใน ดวงตาของเธอก็ต้องเบิกกว้างอย่างตะลึงพรึงเพริดไปกับความวิจิตรตระการตาของห้องโถงใหญ่ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงในป้อมปราการแบบโบราณหลังนี้
ห้องโถงนี้ใหญ่ราวครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอลได้ มันเป็นทรงกลมอยู่ใต้หลังคาโดมที่ตกแต่งประดับประดาด้วยสีทองอร่ามและลวดลายทรงเรขาคณิตอันวิจิตร มีเสาหินขนาดใหญ่รองรับหลังคาโค้งขนาดมหึมาหลายต้น เหนือช่วงว่างระหว่างเสาหินเหล่านั้นมีช่องแสงกรุกระจกโดยรอบ เพื่อให้แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาสร้างความสว่างไสวให้กับห้องได้ กลางห้องมียังสระน้ำใหญ่ที่ประดับด้วยน้ำพุสามชั้น พื้นล้วนปูด้วยหินอ่อนเงางาม มีเพียงทางเดินรอบๆ ห้องเท่านั้นที่ปูพรมเปอร์เซียนุ่มเท้า ดูราวกับภาพลานเซรากลิโอของฌอง-เลออง เจอโรม ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่เขียนถึงสวรรค์บนดินของผู้ชายในดินแดนอาหรับก็ไม่ปาน
ความงดงามนั้นทำให้อัสมิฮานอดวาดภาพสาวงามมากมาย นุ่งน้อยห่มน้อยและเปลื้องผ้า เรียงรายระเกะระกะอยู่ในห้องนี้เหมือนในภาพขึ้นมาไม่ได้เลยทีเดียว
“เมื่อก่อนคุณคงมีความสุขมากในห้องนี้” อัสมิฮานเอ่ยกึ่งประชด
“ผมยอมรับ” เขาตอบดื้อๆ เล่นเอาอารมณ์ของเธอกระตุกขึ้นมา แต่ก็ไม่เท่ากับคำอธิบายที่ตามมา
“ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ ผมจะไปนั่งตรงนั้น” ชีคซอลีลชี้ไปที่พื้นยกสูง มีชุดโซฟาหรูหราตั้งเด่นอยู่ “ผมจะจิบน้ำชาแล้วมองดูสาวๆ ของผมสนุกสนานกัน จากนั้นก็คัดเลือกมาหนึ่งหรือสองคนสำหรับค่ำคืนอันแสนหวาน”
อัสมิฮานเบ้ปาก ความชิงชังในตัวเขาหวนกลับมาหลังจากรู้วิธีการคัดเลือกแกะไปเชือดในโรงฆ่าสัตว์ของเขา
“น้ำเสียงคุณเหมือนยังอาลัยอาวรณ์”
“ผมไม่ปฏิเสธ” เขาหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาคล้ายจะเยาะหยันเธอ “ผมยังคงเป็นผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ทางเพศพร้อมรอการปลดปล่อย”
คำตอบของเขาทำเอาเธอชะงัก ใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา ก่อนจะกระแทกเสียงใส่เขาด้วยความโมโห
“แล้วยกเลิกไปทำไมล่ะ”
เขาหัวเราะเยาะเธออีกครั้ง “นั่นคงเป็นหนึ่งในคำถามที่คุณอยากถามใช่ไหม”
“ใช่” เธอตอบลุ่นๆ
“ผมยืนยันว่าจะตอบทุกคำถามของคุณระหว่างมื้ออาหาร” ชีคหนุ่มบ่ายเบี่ยงด้วยน้ำเสียงกวนใจเธอ ก่อนจะเดินช้าๆ ไปรอบๆ ห้อง ตามทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดง
อัสมิฮานเดินตามไป อดไม่ได้ที่จะหยุดมองภาพวาดบนผนังอยู่หลายครั้ง ด้วยความสงสัยว่าภาพเหล่านี้เป็นของแท้หรือไม่ เพราะล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น โดยเฉพาะภาพของ โกลด มอแน ศิลปินคนโปรดของเธอที่เธอกำลังยืนจ้องอยู่อย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นของจริงอย่างใกล้ชิดขนาดนี้
“ภาพนั้นผมเป็นคนประมูลมา”
เธอชะงัก ละสายตาจากภาพอิมเพรสชั่นนิสม์ของศิลปินชื่อก้องโลกไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ยี่สิบล้านเหรียญ” ชีคซอลีลกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนไม่โอ้อวด แต่ก็เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง
“คุณชอบ มอแน หรือคะ”
“เขาคือราชาแห่งอิมเพรสชั่นนิสม์” เขายิ้ม ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วเดินต่อไป
ชีคซอลีลพร่ำพรรณนาอย่างแสนภาคภูมิใจว่าห้องนี้เคยมีผู้หญิงนับร้อยมานั่งเล่นบ้าง นอนเล่นบ้าง บ้างก็เล่นน้ำอยู่กลางสระ บ้างก็เล่นเกมกระดานอยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง บางคนอ่านหนังสือ บางคนร้องคาราโอเกะ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็ฝึกซ้อมเต้นรำ
“คุณเต้นรำเป็นไหม” เขาโพล่งขึ้นพร้อมกับหยุดฝีเท้ากึกจนเธอเกือบจะชนแผ่นหลังเขา ยังดีที่ยั้งไว้ได้ทันเสียก่อน
“เต้นรำ?” อัสมิฮานขมวดคิ้วมุ่น
เขาหันมายิ้มให้เธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “ระบำหน้าท้องอะไรเทือกนั้น”
“ลืมไปได้เลย” เธอโบกมืออย่างนึกขึงโกรธ ถึงเธอจะสามารถเต้นระบำหน้าท้องอันเย้ายวนนั้นได้ เธอก็ไม่มีวันเต้นต่อหน้าเขาเด็ดขาด
“ผมก็ว่างั้น” ชีคหนุ่มหัวเราะแล้วหันหลังให้
เสียงหัวเราะเหมือนจะดูถูกเธอทำให้อัสมิฮานเจ็บจี๊ดขึ้นมา อยากจะข่วนเขาสักสองสามทีด้วยความหมั่นไส้ แต่เธอก็ทำได้เพียงขบฟัน กำหมัดแน่นแล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ
ชีคซอลีลผลักประตูบานหนึ่งเข้าไป ข้างในเป็นห้องเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกำยาน มีเตียง อ่างอาบน้ำ และเครื่องเรือนอีกนิดหน่อย
“ผมกับผู้หญิงที่ถูกคัดเลือกจะเข้ามาอยู่ในนี้ คุณอยากเข้าไปดูใกล้ๆ ไหม”
“ไม่ล่ะ” อัสมิฮานปฏิเสธทันควัน ‘ฉันไม่ใช่นางฮาเร็มที่ถูกเลือก’
ชีคซอลีลหัวเราะในลำคอ “ตอนนี้ผมเปลี่ยนมันเป็นห้องสปาไปแล้ว ว่างๆ คุณก็มานอนเล่นให้เกากับหรือบูรอนนวดสปาได้นะ สองคนนี้ฝีมือดีทีเดียว แล้วคุณจะได้รู้ว่าทำไมผมถึงจ้างสาวใช้แพงนัก”
หญิงสาวหันไปมองคนรับใช้ส่วนตัวทั้งสองที่เดินตามมาตั้งแต่ห้องพัก ทั้งคู่ยืดอกแล้วยิ้มให้เธออย่างมั่นใจในฝีมือการนวดของตน อัสมิฮานยิ้มตอบก่อนจะหันไปมองชีคซอลีลปิดประตูบานนั้น
“คุณไม่ได้พาพวกเธอไปที่ห้องนอนหรือคะ”
“ไม่เคยมีใครไปที่นั่นครับ พวกเธอจะอยู่แต่ในส่วนของผู้หญิงเท่านั้น คุณเป็นผู้หญิงคนแรกและคนสุดท้ายที่จะได้นอนในห้องนั้น”
อัสมิฮานฝืนยิ้ม เธอเกลียดการแบ่งส่วนชายกับหญิงแบบนี้ แต่ก็รู้สึกดีใจที่ไม่ต้องใช้ห้องร่วมกับผู้หญิงคนไหนของเขา
หลังจากนั้นชีคซอลีลก็พาเธอเดินไปตามทางเดินรอบๆ ห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งปูลาดด้วยพรมสีกุหลาบต่อ พร้อมกับแนะนำห้องกิจกรรมทีละห้องสลับกับพูดถึงเรื่องภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนัง แต่กลับเดินเลยประตูบานหนึ่งซึ่งมีรูปปั้นตั้งขวางอยู่ไป ราวกับไม่เห็นมัน
“ห้องนี้ล่ะ” เธอประท้วงพร้อมชี้ไปที่ประตูบานนั้น
เขาหันมามองเธอสลับกับประตูบานนั้น ก่อนจะส่ายหน้า “คุณไม่อยากเห็นมันหรอก”
“ทำไม” หญิงสาวถามอย่างดื้อดึง
“มันเป็นห้องที่...อืม...ไม่น่าดูนัก”
“คุณมีความลับอะไรซ่อนอยู่งั้นหรือ ยังมีผู้หญิงซุกซ่อนอยู่หรือไงคะ ไหนคุณว่าจะเปิดทุกซอกทุกมุมของที่นี่ให้ฉันเห็นไง”
“ยกเว้นห้องนี้” เขายืนกราน
“คุณไม่ทำตามสัญญา” อัสมิฮานท้วง จ้องมองเขาเขม็งเพื่อแสดงความเด็ดขาดเอาจริงเอาจัง และพร้อมจะยกเลิกข้อตกลงทุกอย่างหากเขายังขัดขืน
ท่าทางขึงขังของเธอทำให้ชีคซอลีลหลับตาลงพร้อมถอนใจเฮือกใหญ่อย่างยอมจำนน จากนั้นจึงหันไปกระซิบกระซาบกับบูรอน ก่อนที่สาวใช้คนสวยจะรีบเดินตัดข้ามห้องออกไปทางประตูใหญ่ ทิ้งให้เกากับยืนยิ้มเจื่อนอยู่ลำพัง
อัสมิฮานขมวดคิ้วมุ่นมองดูชีคหนุ่มกับสาวใช้ที่เหลืออยู่อย่างอึดอัดใจ เพราะดูเหมือนจะมีเธอเพียงคนเดียวในห้องอันกว้างใหญ่นี้ ที่ไม่รู้ว่าหลังประตูบานนี้มีอะไรกันแน่
“ก่อนอื่น ผมขอบอกว่าผมเคยเข้าไปใช้ห้องนี้แค่สองสามครั้งเท่านั้น เพราะขัดความต้องการของผู้หญิงทั้งสองสามคนนั้นไม่ได้ และมันก็เป็นแค่อารมณ์นึกสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้เสพติดอะไร”
“เสพติด...คุณหมายถึงอะไร” อัสมิฮานร้องถาม หัวใจเต้นถี่อย่างนึกหวาดหวั่นอะไรบางอย่างขึ้นมา
“มันเป็นห้องที่มีมาตั้งแต่สร้างป้อมปราการแห่งนี้” เขาวางมือทาบลงบนประตู “หลายร้อยปีมาแล้วที่มันยังคงสภาพเช่นนี้ ราวกับเป็นมรดกตกทอดที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เครื่องมือทุกชิ้นในนั้นมีตราสัญลักษณ์ของชีคแต่ละคนในตระกูลของผม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนมันเป็นอนุสรณ์ ผมจึงไม่อยากทำลายหรือเปลี่ยนแปลงมัน เลยใช้วิธีปิดตายแทนเพื่อให้คุณสบายใจได้ว่า ผมจะไม่พาคุณเข้าไปเด็ดขาด หากคุณไม่ยินยอมหรือขอร้องผม ฟังอย่างนี้แล้วคุณยังอยากจะให้ผมเปิดอีกหรือเปล่า”
“ค่ะ” เธอพยักหน้า “ฉันยืนยัน”
ชีคซอลีลโน้มน้าวคนไม่เก่งเหมือนที่คิดไว้แต่แรกเลย คำถามสุดท้ายเหมือนเขาจะอยากให้เธอบอกว่า...
‘ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากดูแล้ว’
แต่ประโยคทั้งหลายก่อนหน้านั้น มันชวนให้คนขี้สงสัยและพยายามจะหาเหตุยกเลิกข้อตกลงทุกอย่างอย่างเธอไม่อาจปฏิเสธได้
ชีคหนุ่มถอนใจ ก่อนจะหัวเราะในลำคออย่างยอมแพ้
ไม่นานหลังจากนั้น บูรอนก็กลับมาพร้อมกับพวงกุญแจที่ทำจากเหล็กเส้นดัดเป็นห่วง มีลูกกุญแจแบบโบราณร้อยอยู่สองดอก ซึ่งเมื่อดูจากบานประตูไม้แบบโบราณและแม่กุญแจคล้องโซ่แล้วก็เห็นว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว ดูเหมือนมันจะเป็นมรดกตกทอดที่มีมาแต่โบราณอย่างที่เขาบอกจริงๆ
ชีคซอลีลรับพวงกุญแจเหล็กนั้นมา แล้วสอดตัวเข้าไปในช่องว่างระหว่างประตูกับรูปปั้นนักรบโบราณ เขาหันมามองเธออีกครั้งเหมือนกับจะถามย้ำความแน่ใจอีกครั้ง แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่ถามเมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นของเธอ จึงหันไปสอดลูกกุญแจเข้ากับแม่กุญแจที่ยึดโยงโซ่เหล็กไว้ เมื่อปลดล็อกแล้วจึงค่อยๆ ดึงโซ่ออก วางกองไว้ข้างตัว แล้วสอดลูกกุญแจอีกดอกกับช่องที่ประตู พอได้ยินเสียงแกร๊ก เขาก็หันมามองเธออีกครั้งราวกับจะถามย้ำว่าต้องการให้เขาเปิดหรือไม่
อัสมิฮานเดินไปยืนข้างๆ เขาอย่างแสดงเจตนารมย์ว่าต้องการเห็นมันจริงๆ เขาจึงถอนใจแล้วใช้สองมือผลักบานประตูหนาหนักเข้าไป
“ผมเรียกมันว่า ‘ห้องทรมานอันแสนหวาน’”
อัสมิฮานสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเช่นนั้นพร้อมกับกลิ่นอับๆ ที่โชยออกมา ต่อเมื่อบานประตูเปิดออกจนสุด เธอก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมเขาถึงเรียกมันว่า...
‘ห้องทรมาน’
นั่นเพราะมันดูราวกับห้องสอบสวนนักโทษในยุคกลางก็ไม่ปาน ภายในนั้นอัดแน่นด้วยเครื่องทรมานแบบต่างๆ มากมาย มีทั้งแขวนอยู่กับผนังและวางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด
พอเธอเห็นเตียงศิลาดำเมื่อม สมองของเธอก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวจนได้คำตอบว่า ทำไมห้องน่ากลัวๆ นี้ถึงมาอยู่ในฮาเร็มที่เต็มไปด้วยสาวๆ มากมาย และทำไมมันถึงต้องมีคำว่า ‘แสนหวาน’ ต่อท้ายด้วย
“อัลลอฮ์”
หญิงสาวอุทานเมื่อนึกภาพตัวเอง ถูกพันธนาการนอนอยู่บนเตียงเย็นเยียบนั้น โดยมีชีคซอลีลถือเครื่องมือทรมานอยู่ในมือ ทั้งเธอและเขาต่างไม่ได้สวมอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ความคิดเห็น |
---|