๓.
“ฉันจะกลับ!”
อัสมิฮานโพล่งขึ้นทันทีที่ตั้งสติได้ หลังจากชะงักงันไปนานเมื่อเห็นสภาพ ‘ห้องทรมานอันแสนหวาน’ ของชีคซอลีล แล้วจินตนาการว่าตัวเองถูกกระทำเช่นไรบ้างในห้องนั้น
นั่นเพราะภายในนั้นมันเต็มไปด้วย โซ่ แส้ กุญแจมือ ชุดหนัง หน้ากาก ที่แขวนประดับไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนราวที่ทำจากไม้ขัดมันวาววับกับขอเหล็กสีดำเมื่อม กลางห้องยังมีเตียงศิลาหลังใหญ่ รูปทรงทึบตันของมันทำให้ดูเหมือนแท่นบูชายัญก็ไม่ปาน แถมตรงหัวเตียงยังมีโครงเหล็กดัดซึ่งทำเป็นลวดลายที่เหมาะแก่การพันธนาการได้อย่างลึกล้ำอีกด้วย เหนือขึ้นไปนั้นมีไม้กางเขนขนาดเท่าตัวคน มีเชือกหนังอยู่ที่ปลายทั้งสี่ด้านซึ่งไม่บอกก็รู้ว่ามันมีไว้สำหรับทำอะไร
นี่มัน ‘วิตถาร’ ชัดๆ
“ผมเสียใจ แต่ผมเกรงว่าคุณจะยังกลับไม่ได้”
“ทำไม”
“ไม่มีเที่ยวบินกลับอัลรีฟจนกระทั่งถึงพรุ่งนี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือผมยังพาคุณเดินชมไม่ทั่ว ตามที่เราได้ตกลงกันไว้”
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วค่ะ”
ภาพตัวเองนอนอยู่บนแท่นศิลาในสภาพเปลือยเปล่าและมีบาดแผลเต็มตัวทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ชีคซอลีลหรี่ตามองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักพเยิดหน้าส่งสัญญาณให้สาวใช้ทั้งสองออกไป ทั้งบูรอนและเกากับค้อมศีรษะให้เธอกับเขาอย่างรู้ในท่าทางของเจ้านาย ก่อนจะปลีกตัวเดินออกจากห้องไปทันที
เขาหันมาจ้องมองเธอ หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเบือนหน้าหลบสายตาของเขาด้วยหัวใจเต้นรัว
“ที่คุณร่ำร้องจะกลับ...” ชีคหนุ่มทอดเสียงลงครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่ห้องทรมานอันแสนหวาน “เป็นเพราะห้องนั้นหรือเปล่า”
“ใช่”
อัสมิฮานตอบชัดถ้อยชัดคำ พยายามคว้าโอกาสล้มเลิกการแต่งงานกับเขาเต็มที่ ถ้าพ่อเธอรู้เรื่องนี้ มันก็เป็นเหตุผลพอที่จะทำให้ท่านไม่สามารถบังคับเธอได้อีก
ชีคซอลีลขมวดคิ้วมุ่น “นี่คุณโกรธที่ผมปิดตายมันเอาไว้งั้นหรือ”
“ไม่ใช่” เธอรีบปฏิเสธทันควันหลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกเดือดดาลขึ้นเมื่อถูกดึงเข้าไปพัวพันกับความผิดปรกติของเขา “ฉันไม่ใช่พวก...”
“วิตถาร” เขาต่อคำพร้อมรอยยิ้มยั่วเมื่อเห็นเธอชะงักไปนาน
“ใช่”
“ผมคิดว่าน่าจะเรียกว่า รสนิยมที่แตกต่าง น่าจะดีกว่านะครับ”
“คุณจะเรียกว่าอะไรก็ช่างเถอะ แต่ฉันรับไม่ได้” อัสมิฮานโพล่งขึ้นอย่างเหลือทน
“คุณไม่ใช่พวกวิตถาร” ชีคหนุ่มย้ำคำก่อนจะยักไหล่ “ผมก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคุณเลิกกังวลได้เลย และผมขอแสดงความเสียใจด้วย หากคุณจะเอาห้องนี้มาเป็นข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานกับผม”
“ทำไม” เธอตวัดสายตาจ้องเขาเขม็ง
“เพราะผมปิดมันไปแล้วนะสิ” เขาตอบหน้าตาย “ผมมีเจตนาลืมมันเสีย แต่คุณยืนยันจะให้เปิดเอง”
“แต่นี่มันแสดงถึงความ...” อัสมิฮานชะงักรู้สึกอึดอัดที่จะพูดคำนั้นออกไป
“วิตถาร” ชีคซอลีลต่อคำให้อีกครั้งพร้อมรอยยิ้มยั่วเช่นเคย
“ใช่” อัสมิฮานกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ กลิ่นหนังโชยออกมาทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน “มันบ่งบอกนิสัยคุณ ถ้าเกิดฉันแต่งงานกับคุณขึ้นมาจริงๆ แล้วคุณนึกสนุกเปิดมันอีก ฉันคงรับไม่ได้”
“คุณผู้หญิง” ชีคซอลีลเรียกเธออย่างสุภาพเป็นเชิงปราม “ผมบอกคุณก่อนจะเปิดห้องนี้แล้วว่า ผมเคยใช้มันแค่สองสามครั้งเท่านั้น และมันก็เป็นความต้องการของผู้หญิงที่เข้าไปกับผมด้วย ผมไม่ได้มีรสนิยมอย่างที่คุณปรักปรำ แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าบางครั้งก็มีอารมณ์แบบ...”
เธอมองเขาคิดหาคำด้วยใจเต้นรัว
“นึกสนุก” ชีคซอลีลเอ่ยออกมาในที่สุด
“นึกสนุก?” อัสมิฮานทวนคำด้วยความรู้สึกเหมือนอกจะระเบิด
“พวกหล่อนชวน มีหรือผมจะปฏิเสธที่จะลองอะไรที่มันแปลกๆ บ้าง” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะรีบยกมือห้ามเมื่อเห็นเธออ้าปากจะประท้วงเขา “แต่ผมขอบอกว่า ถึงมันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี ผมก็ไม่พิศมัยมันมากเท่ากับความโรแมนติกของห้องก่อนหน้านี้หรอกนะ”
อัสมิฮานอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เธอไม่สามารถใช้ห้องนี้มาเป็นข้ออ้างทำลายการแต่งงานได้จริงๆ อย่างที่เขาพูด เนื่องจากเขาแสดงเจตจำนงว่าจะปิดตายมันเอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะมีโซ่คล้อง ล็อกประตูอีกชั้น แถมยังมีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งขวางเอาไว้อีกต่างหาก
“มีอะไรอีกไหมที่ฉันควรรู้” เธอตัดสินใจถามออกไปในที่สุด
“ผมกำลังจะพาคุณไปดู” ชีคซอลีลยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนจะก้มลงหยิบโซ่ขึ้นมา ดึงทดสอบความแข็งแรงของมันเสียงดังกึกก้องห้องโถงสองสามครั้ง
เสียงกังวานของโซ่ทำเอาหัวใจเธอหายวาบ ขาเรียวงามขยับก้าวถอยหลังไปทีละก้าวตามแรงดึงโซ่ของเขาอย่างระแวง
“ผมขอล็อกห้องนี้ก่อนก็แล้วกัน เพื่อให้คุณสบายใจ”
อัสมิฮานกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ รู้สึกเหมือนเป็นลูกบอลที่ถูกแมวขี้เล่นอย่างเขากลิ้งเล่นไปมาอยู่บนพื้น ได้แต่มองเขาใช้แม่กุญแจคล้องโซ่นั้นไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะหันมายื่นกุญแจให้เธอ
“อะ...อะไรคะ”
“เพื่อความสบายใจของคุณ ผมให้คุณเก็บไว้”
“ตะ...แต่ฉัน...”
ชีคซอลีลค้อมศีรษะลงมาใกล้ อัสมิฮานเอนหลังโดยสัญชาตญาณจนเกือบล้ม ดีที่เขายื่นมือมารองหลังเธอเอาไว้เสียก่อน แต่มันก็ทำให้ตอนนี้เธอถูกเขาพันธนาการเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาเสียแล้ว
“ผมยกกุญแจให้คุณ เผื่อวันไหนคุณนึกสนุก...”
ความหมายของเขาแจ่มชัด และมันทำให้เธอโกรธอีกครั้งจนเรียกสติออกจากเสน่หาอันใกล้ชิดที่อบอวลอยู่รอบตัวเธอได้ ก่อนจะรีบใช้สองมือผลักอกเขาโดยแรง จากนั้นก็ตบเขาฉาดใหญ่
“อย่าดูถูกฉัน” เธอคำรามใส่เขา “ฉันไม่ได้มีนิสัยอย่างคุณ”
แทนที่เขาจะเจ็บจนโกรธ ชีคซอลีลกลับยิ้มพร้อมลูบแก้มข้างที่โดนตบเบาๆ ราวกับคนที่สุขสมกับการกระทำอันรุนแรง
‘อี๊…นี่เขาเป็นพวกซาดิสม์จริงๆ ใช่ไหมเนี่ย’
เขาก้าวเท้ายาวๆ ก้าวเดียวก็มาประชิดตัวเธอ มือหนาดึงมือเธอไปแล้ววางกุญแจนั้นลง ประกาศอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่ต้องการมันอีกต่อไป หากเธอไม่ประสงค์
“มาเถอะ ผมจะพาคุณไปดูฮามัม” ชีคซอลีลเปลี่ยนเรื่องไปทันที
คำว่าฮามัมมาจากภาษาอารบิก หมายถึงความร้อน แต่ในความเข้าใจของคนทั่วไป มันคือห้องอาบน้ำแบบตุรกีที่เน้นการใช้ความร้อน มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากโรงอาบน้ำแบบโรมันนั่นเอง
ห้องนั้นอยู่ถัดจากห้องโถงอันวิจิตรงดงามแห่งนี้ไปไม่กี่ก้าว เป็นห้องที่เล็กกว่า แต่ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามกว่ากันมากทีเดียว
เพียงแค่เปิดประตูเข้าไปในโถงกลาง อัสมิฮานก็พบว่ามันเป็นโรงอาบน้ำที่น่าใช้บริการมากทีเดียว ทั้งห้องตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าครามแซมสีทอง ซึ่งทำให้ห้องดูอบอุ่นน่าสบายไม่น้อย ห้องเป็นทรงแปดเหลี่ยมที่มีเสาหินอยู่ตรงมุมทั้งแปด เสาเหล่านั้นรองรับหลังคาโค้งที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคลวดลายปราณีตสวยงาม ตรงยอดโดมมีช่องแสง เวลากลางวันก็จะมีแสงส่องลงมาตรงสระน้ำพุเล็กๆ ทรงแปดเหลี่ยมที่อยู่ตรงกลางห้อง สร้างเสียงและบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์ เหมาะสำหรับเป็นห้องเตรียมตัวและปรับอุณหภูมิให้พร้อมสำหรับห้องร้อน ซึ่งมีสี่ห้องอยู่ตามด้านทั้งสี่ของห้องโถง
“นอกจากจะใช้เวลาในห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ นางฮาเร็มบางคนก็จะมานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องนี้ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน” ชีคซอลีลเอ่ยเมื่อมาถึงห้องเย็นซึ่งมีรูปร่างลักษณะคล้ายห้องโถงสีฟ้าครามแต่เล็กกว่า สำหรับพักผ่อน นั่งจิบชา และสังสรรค์กัน
ออกจากฮามัมแล้ว ชีคซอลีลก็พาเธอเดินไปยังโรงนอนซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่อีกเช่นกัน แต่มีโครงสร้างคล้ายอพาร์ตเมนต์สามชั้น ชั้นละห้าห้องอยู่สองข้างทาง ทั้งหมดมีจำนวนสี่หลังด้วยกัน ซึ่งหากคำนวณคร่าวๆ ก็น่าจะมีอยู่สักหนึ่งร้อยยี่สิบห้องด้วยกัน แต่ละห้องเมื่อมองเข้าไปก็พบว่า ล้วนถูกตกแต่งด้วยสีชมพู มีเตียง ตู้ และม่านลวดลายอ่อนช้อยแทบทั้งสิ้น มีอยู่สิบห้องที่ดูใหญ่กว่าเพื่อน ห้องหนึ่งมีบริเวณสวนเล็กๆ เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ
อัสมิฮานวาดภาพผู้หญิงเป็นร้อยรวมกันอยู่ที่นี่ ทุกคนสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น มีเครื่องอำนวยความสะดวกและความรื่นรมย์มากมาย คงต้องใช้เงินเยอะแน่ๆ หากต้องการคงสภาพที่นี่ให้เป็นสวรรค์อยู่ตลอดเวลา
“ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเปลี่ยนมันเป็นอะไรดี เลยคงเอาไว้อย่างนี้” ชีคซอลีลบอก ก่อนจะหันมาหาเธอแล้วโยนคำถามหยั่งเชิง “คุณมีไอเดียไหม”
“ไม่มีค่ะ” เธอส่ายหน้า
“งั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน เผื่อคุณคิดออก”
“คงต้องใช้เงินมากมหาศาลถึงจะหล่อเลี้ยงที่นี่ได้”
เขาไหวไหล่ “ในอดีตเรามั่งคั่งด้วยเหมืองทอง เพชร พลอย เรามีตลาดใหญ่ซึ่งเป็นชุมทางของพวกคาราวานจากทุกมุมเมือง จนเมื่อค้นพบน้ำมันตามแหล่งต่างๆ ความมั่งคั่งนั่นก็เพิ่มพูนขึ้น แต่เราก็ยังเป็นแค่ผู้ครอบครองวัตถุดิบเท่านั้น”
“เพราะงั้นคุณถึงจ้องจะฮุบ อัล ชุรูก ออยล์ งั้นสิ”
“เรียกว่าเป็นกลไกด้านการลงทุนดีกว่าครับคุณผู้หญิง” ชีคซอลีลหัวเราะ “อัล ชุรูก ออยล์ เป็นฝ่ายเปิดขายหุ้นในตลาดทุนเองนี่นา ผมก็แค่ซื้อมาเพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์กับวัตถุดิบที่เรามี ก็เท่านั้นเอง”
“แต่ตอนนี้คุณมีหุ้นมากกว่าฉันเสียอีก”
“ก็ไม่ได้มากไปกว่าที่คุณพ่อของคุณมี”
“อีกหน่อยก็มากกว่า” เธอทำปากเบ้ “ท่านจะยกให้คุณนี่ หากคุณแต่งงานกับฉัน”
“ถึงงั้น...สุดท้ายผมก็จะมีหุ้นไม่มากไปกว่าคุณอยู่ดี” เขาแย้งด้วยร้อยยิ้ม
อัสมิฮานขมวดคิ้วมุ่นมองเขาด้วยความฉงน
“พ่อคุณเป็นคนฉลาด” ชีคซอลีลบอก มือยังไขว้กันอยู่ด้านหลัง ทำให้อกแกร่งยืดขึ้น ดูสง่างาม “ท่านบอกว่าหากผมกับคุณแต่งงานกัน ทุกอย่างจะถูกหารสอง นั่นเท่ากับว่าคุณจะมีหุ้นเพิ่มขึ้นในจำนวนที่มากกว่าผม”
“แต่สุดท้ายเราสองคนก็มีเท่ากัน”
เขาดีดนิ้ว “นั่นแหละ สิ่งที่พ่อของคุณต้องการ ท่านรักคุณ ต้องการความมั่นคงให้คุณเมื่อท่านไม่อยู่แล้ว”
อัสมิฮานถอนใจ แม้จะเข้าใจดีว่าบิดารักและเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน แต่หากท่านจะไว้ใจเธอบ้าง ปล่อยให้เธอบริหารงานทั้งหมดเอง เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ถัดจากโรงนอนก็เป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดสู่สวนสวยที่เต็มไปด้วย กุหลาบหลากสี มะลิ เวอร์บีน่า เพลน และสนไซเปรส เป็นสวนที่ถูกตกแต่งใหม่ และถูกออกแบบโดยนักภูมิสถาปัตย์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส มีทางเดินเล็กๆ ทอดตัวไปทั่ว สองข้างทางมีบ่อเล็กๆ ที่มีบัวหลากสีและปลาคราฟสวยงามน่าชมว่ายไปมา ตรงกลางสวนมีสระใหญ่ มีศาลาเล็กๆ ให้นั่งพักชมความงามของธรรมชาติที่ถูกจัดแต่งขึ้นโดยฝีมือมนุษย์อยู่ริมสระนั้น บรรยากาศทั้งหมดชวนให้เพลิดเพลินเจริญใจไม่น้อย
“ทั้งหมดนี่จะเป็นของคุณ หากเราแต่งงานกัน”
“คุณนี่ใจป้ำจริงๆ นะคะ” เธอประชด
“ผมคิดว่าคุ้มค่ากับ อัล ชุรูก ออยล์ นะ”
หญิงสาวเบ้ปาก เพราะผลตอบแทนจากหุ้นของบริษัทนั้นนับว่ามากมายมหาศาล สามารถหล่อเลี้ยงที่นี่ได้อย่างสบาย แม้จะมีหญิงสาวมาเพิ่มอีกสักกี่คนก็ตาม
“เอาล่ะ ผมว่าถึงเวลาที่ผมจะตอบคำถามกับคุณเสียที” ชีคหนุ่มผายมือไปกลางสวน “เราไปนั่งที่ศาลานั่นกันเถอะ ผมให้คนเตรียมอาหารเย็นเอาไว้สำหรับเราแล้ว”
ศาลาที่เขาเอ่ยถึงนั้น เป็นโครงสร้างคอนกรีตยื่นเข้าไปในสระน้ำกว้างใหญ่ มีลักษณะแปดเหลี่ยมเหมือนห้องโถงภายในฮาเร็ม ผิดก็แต่ระหว่างเสาทั้งแปดต้นที่รองรับหลังคาโค้งไม่มีผนังและประตู มันเปิดโล่งทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของสวนแห่งนี้ได้สามร้อยหกสิบองศาทีเดียว ตรงกลางมีโต๊ะเก้าอี้หินอ่อนที่มีแจกันดอกไม้ถูกจัดแต่งอย่างดีวางอยู่
“เชิญครับ” เขาผายมือให้เธอนั่ง ก่อนจะตบมือสองสามครั้ง พนักงานหญิงหลายคนก็ทยอยนำอาหารมาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด
“เราใช้เวลาทั้งบ่ายเดินชมฝ่ายใน ผมว่าคุณคงจะหิวแล้ว” ชีคซอลีลเอ่ยขณะนั่งลงตรงข้ามเธอ
เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็ไล่พวกพนักงานหญิงเหล่านั้นออกไป เหลือเพียงเขากับเธอในสวนสวยอันกว้างใหญ่อีกครั้ง ทำให้บรรยากาศรอบกายกลับมาความเงียบเหงาอีกครั้งหนึ่ง
“ที่นี่กว้างใหญ่มาก ฉันคงต้องเหงาแน่ๆ ถ้าต้องอยู่ลำพังกับบูรอนและเกากับ”
“คุณต้องการคนเพิ่มอีกไหมล่ะ”
หญิงสาวนิ่งคิด
“ทั้งห้องโถง ห้องอาบน้ำ สวนแห่งนี้ คงต้องมีคนงานทำความสะอาด คนสวน และอื่นๆ อีกหลายร้อยคนมาทำงานทุกวัน ใช่ไหมคะ”
“ก็ใช่” เขาพยักหน้า
“ถ้างั้นฉันคิดออกแล้วล่่ะว่าเราจะทำอะไรกับอดีตเรือนนอนของพวกนางฮาเร็มดี”
“อะไรหรือ” ชีคซอลีลถามอย่างสนใจ
เธอยิ้มแป้น “ก็ทำเป็นเรือนนอนของพวกคนงานสิคะ”
“อืม...เป็นความคิดที่เข้าท่า” เขาพยักหน้า “งั้นผมจะให้คนจัดการเรื่องนี้ระหว่างที่คุณกลับไปอัลรีฟก็แล้วกัน”
“ค่ะ” อัสมิฮานพยักหน้า “แบบนี้มันคงไม่เงียบเหงาแล้ว”
“คุณจะไม่รำคาญหรือ คงเจี๊ยวจ๊าวน่าดูถ้ามีคนมากๆ มารวมกัน”
“ไม่หรอกค่ะ” หญิงสาวทำหน้าแหยแล้วเหลียวมองไปรอบๆ “มันก็ยังดีกว่าเงียบจนวังเวงแบบนี้”
ชีคหนุ่มหัวเราะ “งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า ผมจะกันพื้นที่บางส่วนให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องเข้าได้ เพื่อที่จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเรา...ดีไหม”
“ก็ดีค่ะ” อัสมิฮานอมยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรู้สึกขวยเขินกับคำว่า ‘พื้นที่ส่วนตัวของเรา’ เพราะทำให้นึกถึงภาพในจิตนาการที่เธอสร้างขึ้นระหว่างเที่ยวชมฮาเร็ม
“คุณว่ามีคำถามจะถามผม”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉันได้ยินมาว่าคุณมีผู้หญิงนับร้อยอยู่ในฮาเร็ม และที่ฉันเห็นเมื่อครู่ ก็การันตีได้ว่า สิ่งที่ฉันได้ยินมาไม่ผิดนัก แต่ฉันก็อยากได้ยินจากปากคุณว่ามันจริงหรือที่คุณมีผู้หญิงครอบครองมากขนาดนั้น”
“อืม…” เขาเกาคางอย่างครุ่นคิด “เรื่องตัวเลขนี่ผมไม่ถนัดเสียด้วยสิ แต่โดยรวมๆ น่าจะมากกว่านั้น”
“มากกว่านั้น?” อัสมิฮานทวนคำอย่างตระหนก
ชีคซอลีลนิ่งไปสักพัก ดวงตาของเขาทอประกายครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจสรุปโดยย่อให้เธอฟัง
“ผมมีคนโปรดอยู่สักโหลหนึ่งได้มั้ง นอกนั้นก็จะเป็นพวกที่สมัครใจอยู่ประจำราวๆ ยี่สิบสามสิบคน พวกเธอได้เงินเดือนที่พอจะทำให้ครอบครัวสบายไปทั้งชาติ ที่เหลือนอกจากนั้นก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาแล้วก็ออกไป คนพวกนี้จะมีคนของผมจัดการคัดเลือกมาให้อีกที โดยไม่มีการฉุดคร่าหรือซื้อหาจากตลาดค้าทาสเหมือนสมัยก่อน”
คำตอบนั้นทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง ในขณะเดียวกัน ความแปลกใจก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นและทำให้เธออยากจะถามคำถามสุดท้ายกับเขาตอนนี้เลย แต่อัสมิฮานก็คิดว่าควรอดใจไว้ก่อน เพราะต้องการค้นหาความจริงมากกว่าจะฟังเพียงลมปากจากเขา
“อ้อ...ผู้หญิงทุกคนจะผ่านการตรวจจากแพทย์ ทุกคนสะอาดหมดจด คุณหมดห่วงเรื่องโรคติดต่อได้”
อัสมิฮานเบ้ปาก “คุณกับผู้หญิงพวกนั้นมี...เอ่อ...ความสัมพันธ์กันทุกคนเลยหรือคะ”
“ไม่หรอก” เขาโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “บางคนมาแล้วก็ไปโดยที่ผมไม่ทันเห็นด้วยซ้ำ”
อัสมิฮานขมวดคิ้วมุ่น “แล้วคุณเสียเงินเสียทองไปมากมาย จ้างพวกเธอมาเพื่ออะไรกัน”
ชีคซอลีลยักไหล่ “มันเหมือนมรดกตกทอด ผมสืบทอดสมบัติชิ้นนี้มา จึงต้องการเติมความงดงามให้กับสถานที่อันน่ารื่นรมย์นี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าตอนนี้มันเงียบเหงาวังเวงแค่ไหน การมีสาวงามนับร้อยคนมาเดินกันเต็มไปหมด มันงดงามเกินบรรยายออก คุณว่าไหม”
“แค่ความรื่นรมย์ของคุณ แค่นั้นหรือคะ”
“ก็ไม่เชิง” เขาส่ายหน้า “ผมต้อนรับอาคันตุกะที่นี่ รัฐมนตรีเอย นายทหารระดับสูงเอย นักการทูต นักกีฬา ดาราฮอลีวูด ผู้กำกับ...”
เขายกมือขึ้นนับนิ้วตามก่อนจะโบกมือไปมาเมื่อมันเกินจำนวนนิ้วของเขาไปแล้ว
“นางฮาเร็มหลายคนถูกขอไปชุบเลี้ยง บางคนกลายเป็นภรรยาออกหน้าออกตาของผู้มีชื่อเสียง บางคนกลายเป็นคนดัง เป็นนักร้องชื่อก้อง ดาราหลายคนก็ถูกผู้กำกับชื่อดังที่แวะมาเยี่ยมเยียนที่นี่ ชวนไปแสดงหนังจนโด่งดังก็หลายคน ถ้าผมเอ่ยชื่อพวกเธอ คุณจะต้้องร้องอ๋อ”
“ฉันไม่อยากรู้หรอกค่ะ” อัสมิฮานโบกมือ ลึกๆ แล้วก็พอจะเดาได้อยู่ เพราะมีข่าวออกมาประจำว่าดาราคนโน้น นักร้องคนนั้น และนางแบบหลายต่อหลายคนก็เคยมาขุดทองที่นี่อยู่เนืองๆ
“สรุปว่าคุณสร้างมันเพื่อความรื่นรมย์ส่วนตัว และเพื่ออวดผู้ชายคนอื่น”
“บางทีมันก็แสดงออกถึงการมีอำนาจและบารมี”
“ตลกนะคะ” อัสมิฮานหัวเราะฝืนๆ “คุณทำเหมือนผู้หญิงไม่มีค่า แต่พวกเธอกลับสามารถบ่งบอกถึงระดับความมีตัวตนในสังคมของคุณได้”
“คุณผิดแล้ว ทั้งหมดนี่เป็นเพราะผมให้ค่ากับผู้หญิงมากต่างหาก ผู้หญิงถึงให้ค่ากับผมจนเป็นที่ยำเกรงของใครหลายต่อหลายคนได้”
อัสมิฮานส่ายหน้า ความเชื่อเรื่องการกดขี่ทางเพศถูกหยั่งรากลึกในหัวใจของผู้ชายทุกคนไปเสียแล้ว ไม่ว่าชาติใดภาษาใด พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่จะทำทุกวิถีทางให้อยู่เหนือผู้หญิงเสมอ เธอแทบนึกไม่ออกเลยว่า วันหนึ่งหากเธอได้ครอง อัล ชุรูก ออยล์ ขึ้นมาจริงๆ แล้วเธอนึกสนุกอยากสะสมผู้ชายบ้าง อะไรมันจะเกิดขึ้นกับเธอ
“ในเมื่อผู้หญิงพวกนั้นคือการแสดงถึงอำนาจบารมีของคุณ ทำไมคุณถึงปล่อยพวกเธอไปเสียล่ะ”
ชีคซอลีลวางช้อนส้อม หยิบผ้าเช็ดปาก ยกแก้วน้ำคริสตัลขึ้นจิบอย่างใจเย็น จากนั้นก็เอนหลังพิงพนัก ก่อนจะกอดอกแล้วส่งยิ้มให้เธอ
“ผมไม่มีอะไรจะต้องพิสูจน์กับคนอื่นแล้ว ผมคือชีคซอลีลในสายตาของทุกคน แต่ไม่นานมานี้ ผมรู้สึกว่ามีคนคนหนึ่งทำให้ผมอยากพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรพอ...”
อัสมิฮานขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเขาทอดเสียงลง “ใครคะ?”
ชีคหนุ่มยิ้มแล้วชี้นิ้วมาที่เธอ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“คุณ”
อัสมิฮานตัวแข็งทื่อราวกับปลายนิ้วของเขาคือไม้วิเศษของพ่อมดผู้ทรงภูมิ และคำสั้นๆ ที่เขาเอ่ยล่าสุดคือเวทมนตร์สะกดใจ
“ผมยังจำสายตาของคุณในวันแรกได้ดี คุณไม่สนใจผมเลย”
“ฉันคิดว่าไม่จำเป็น” เธอให้เหตุผล
“นั่นแหละที่สะกิดใจผม”
“คุณต้องการพิสูจน์อะไรกับฉัน” อัสมิฮานย้อนถาม
“ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมจริงใจ”
“ด้วยการยกเลิกฮาเร็มนี่น่ะหรือ”
“ใช่แล้ว” เขาพยักหน้าขรึมๆ
“ทำไมคุณถึงทำทุกอย่างนี้เพื่อฉัน” อัสมิฮานพยักหน้าขึงขัง แสดงให้เขาเห็นว่าเธอต้องการคำตอบที่แท้จริง มิใช่คำตอบสวยหรูเหมือนสีสันและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เอาไว้ล่อแมลงให้ติดกับ หรือความงดงามอย่างนกยูงตัวผู้ที่รำแพนหางหลอกล่อตัวเมีย
“เพราะผมต้องการเพียงแค่คุณ”
หญิงสาวชะงัก ดูเหมือนท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจังของเธอจะใช้ไม่ได้กับหนุ่มเจ้าสำราญอย่างเขา เธอไม่รู้ว่าคำหวานนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่มันก็มีผลกระทบต่อใจเธอไม่น้อยทีเดียว
“เฮ้...ผมพูดจริงนะ” เขายืนยัน
“จะให้ฉันเชื่อหรือคะ ในเมื่อคุณเคยมีผู้หญิงสวยๆ ที่คัดมาแล้วนับร้อยอยู่ในนี้ ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่ได้สวยกว่านางฮาเร็มคนโปรดของคุณ อาจเทียบไม่ติดกับพวกผู้หญิงหลายคนที่เข้ามาแล้วกลับออกไป โดยที่คุณยังไม่เคยปรายตามองเธอเลยด้วยซ้ำ”
“อย่าประเมินตัวเองต่ำสิครับ” ชีคซอลีลยิ้มอย่างใจเย็น ใช้ส้อมจิ้มเนื้อย่างราดโยเกิร์ตเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่สักพักก็กลืนลงคอ “จริงอยู่ที่คุณไม่ได้สวยระดับนางงามจักรวาล แต่คุณก็ยังจัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มผู้หญิงที่สวยเอามากๆ”
“ขอบคุณ” อัสมิฮานกระแทกเสียง
เขายิ้มหวานกับคำประชดของเธอ “แต่ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณเหนือกว่าผู้หญิงอีกหลายคน และอาจทุกคนที่ผมเคยพบด้วยซ้ำ มันทำให้คุณมาอยู่แถวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย”
“อะไรคะ” เธอเอ่ยถาม ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ “อย่าบอกนะคะว่าเพราะฉันเป็นลูกสาวของอับบาส”
เขาหัวเราะกับคำถากถางของเธอ ก่อนจะยกแก้วคริสตัลขึ้นดื่มน้ำใสสะอาดอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบผ้าขาวจากตักขึ้นเช็ดปากอย่างใจเย็นพร้อมกับใช้นิ้วชี้เคาะที่ขมับตัวเองเบาๆ
“ในนี้ครับ ที่ทำให้คุณเหนือคนอื่น”
“สมองน่ะหรือ” เธอตีความจากที่เห็น “ฉันคิดว่าในนางฮาเร็มทั้งหมดของคุณ ก็น่าจะมีคนที่ฉลาดพออยู่บ้างนะ”
“ถ้าพวกเธอฉลาดพอ ก็คงไม่สมัครมาอยู่ที่นี่หรอกครับ”
“พวกเธออาจไม่มีทางเลือก คนเราไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองกันทุกคน ฉันแค่โชคดีกว่าพวกเธอ”
ชีคซอลีลหัวเราะเบาๆ
“คุณหัวเราะอะไร” เธอถามอย่างขึ้งเคียด
“มีลูกสาวเศรษฐีแบบคุณมากมายในอัสดิฮาร พวกเธอไม่ทำอะไรเลย วันๆ มีความสุขกับงานบ้าน สนุกกับการชอบปิง มีชีวิตอยู่ในกรอบของผู้เป็นพ่อ เพียงเพื่อรอผู้ชายดีๆ สักคนที่ท่านจะหามาให้ ระหว่างนั้นก็ตั้งความหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนดีเหมือนพ่อเธอ แล้วก็ย้ายตัวเองจากกรอบเดิมไปสู่กรอบใหม่ซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก และในความเป็นจริง หลายคนกลับต้องโชคร้าย ถูกสามีกระทำให้ชอกช้ำระกำใจ...” เขาเอ่ยยืดยาวก่อนจะชี้มาที่เธออีกครั้งด้วยไม้กายสิทธิ์ส่วนตัวของเขา
“ซึ่งผิดกับคุณ”
อัสมิฮานผงะเล็กน้อย
“คุณพยายามพิสูจน์ว่าตัวเองสามารถบริหารงานในองค์กรระดับโลกได้ ผมเห็นทุกอย่างที่คุณทำในบริษัท คุณทำได้ดีทีเดียว แต่เสียอย่างเดียวที่พ่อของคุณจงใจที่จะมองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำมาทั้งหมด เพราะท่านโฟกัสแค่ว่าผู้ชายคนไหนจะปกป้องคุ้มครองคุณได้เท่านั้น”
คำพูดของเขาทำให้เธอถึงกับสะอึก หัวใจวูบไหวร้าวราญ การถูกมองข้ามเป็นเรื่องน่าอาย โดยเฉพาะคนคนนั้นคือพ่อของเธอเอง พ่อที่ให้ความรัก ให้การศึกษา และสอนให้เธอเข้มแข็ง แต่กลับไม่เชื่อว่าเธอสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้โดยไม่ต้องมีผู้ชายมาช่วยค้ำชู
“นั่นเพราะเขาคิดว่าคุณคือแม่ตุ๊กตาตัวน้อยของเขาเสมอ ต่อหน้าคนอื่น เขาปฏิบัติต่อคุณอย่างไม่ใส่ใจเหมือนผู้เป็นพ่อทุกคนในอัซดิฮารที่ปฏิบัติต่อบุตรี แต่ลึกๆ แล้ว ผมรู้ว่าเขารักคุณมาก สังเกตจากสิ่งที่เขาสรรหาให้คุณ โดยเฉพาะความรู้ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ของประเทศนี้ไม่เคยได้รับ”
หญิงสาวหรี่ตามองเขาอย่างนึกทึ่งที่เขาสามารถมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งทีเดียว
“อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณมีค่าพอจะเปลี่ยนโลกของผม หรืออาจเปลี่ยนโลกของผู้ชายทั่วทั้งโลกนี้ได้ นั่นคือ...” เขายกมือขึ้นตบอกข้างซ้ายของตัวเองเบาๆ
“คุณมีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้”
“หัวใจที่ไม่ยอมแพ้” เธอทวนคำ
ชีคซอลีลพยักหน้า “หนึ่งปีมานี้ผมเห็นทุกอย่างที่คุณทำ มันทำให้คุณเอาชนะใจผมได้ และนั่นคือเหตุผลที่ผมชื่นชอบคุณจนไม่เสียดายเลยที่จะปล่อยให้ฮาเร็มร้างลงไปตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกับพ่อของคุณ”
อัสมิฮานชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนถูกคลื่นสึนามิถาโถมเข้าใส่ เธอไม่ได้เตรียมใจมาให้พร้อมรับคำตอบแบบนี้จากเขา คำถามและคำตอบทุกข้อก่อนหน้านี้เหมือนทำให้เขาดูแย่มากขึ้นในช่วงเวลาขณะนั้น จนเมื่อเขาตลบหลังเธอด้วยคำพูดอันเรียบง่ายแต่สวยหรู มันก็ทำให้เธอเกือบจะเผลอยิ้มรับไมตรีของเขาออกไป
แต่ไม่ล่ะ...เธอเพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แสดงความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามกดมันไว้ เพราะไม่อยากให้เขาได้ใจ เพียงครึ่งวันมันยังเร็วเกินไปที่จะเปิดรับเขา ในเมื่อเธอยังเห็นจุดบกพร่องหลายจุดในตัวเขา ทั้งเรื่องทัศนคติที่มีต่อผู้หญิง เงินทอง และอำนาจ ซึ่งนั่นก็หมายรวมไปถึงสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน นั่นคือ...
ด้านมืดสนิทของเขาที่เธอเพิ่งเห็นในห้องทรมานอันแสนหวานซึ่งถูกปิดตายอยู่ในห้องโถงใหญ่ใจกลางฮาเร็มแห่งนี้อีกด้วย
ความคิดเห็น |
---|