๔.
เสียงกระพรวนดังเป็นจังหวะตามฝีเท้าที่ย่างเยื่องของเจ้าสัตว์ใหญ่หลายสิบตัว ที่พากันเดินเป็นแถวเป็นแนวยาวเหยียดไปตามสันทรายกลางท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ดูราวกับเป็นนาวาที่กำลังล่องล้อเกลียวคลื่นในมหาสมุทรก็ไม่ปาน
เหล่านาวาทะเลทรายต่างย่ำทรายมุ่งหน้าสู่โอเอซิสใหญ่ตามการบังคับของคนที่ขับขี่มันอย่างเงียบสงบ จนเมื่อใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ บุรุษหนุ่มที่นำขบวนจึงหันไปร้องบอกคนอื่นๆ ว่าการเดินทางใกล้จะสิ้นสุดแล้ว หลังจากเห็นกอปาล์มกับอินทผลัมสูงเด่นเหนือหลังคาบ้านเรือนแบนราบที่ปลูกติดกันเป็นพรืดอยู่ลิบๆ
หากเสียงของเขากลับไม่ได้ทำให้เหล่าชาวคาราวานกระตือรือร้นขึ้นมาเลย แม้พวกเขาจะล่วงรู้ว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางอยู่รอมร่อแล้วก็ตาม แต่อูฐทุกตัวก็ยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยไร้การกระตุ้นจากผู้ขับขี่มัน ราวกับจุดหมายและแสงที่ค่อยๆ อ่อนลงของดวงอาทิตย์ยามอัสดง เป็นเพียงภาพอันน่ารื่นรมย์ที่ควรค่าแก่การชื่นชมเท่านั้น
บุรุษหนุ่มผู้ผึ่งผายหัวเราะในลำคอเบาๆ ต่อภาพที่เห็นอยู่เบื้องหลัง ผู้คนเหล่านี้คือแพทย์ในหน่วยแพทย์อาสาที่เขาจัดตั้งขึ้นมา หลายคนเป็นมุสลิม หลายคนเป็นคริสต์ และมีอีกจำนวนหนึ่งที่นับถือศาสดาแห่งพุทธศาสนา พวกเขาละทิ้งซึ่งความสะดวกสบายในเมือง เพื่อชาวทะเลทรายที่ยากไร้ ทุกคนคงจะเหนื่อยและเพลียกับการเดินทางออกตรวจรักษาชาวบ้านตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาจึงคิดว่า ควรจะปล่อยให้เหล่าแพทย์อาสาได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบยามใกล้ค่ำกลางท้องทะเลทรายต่อไปอีกสักนิด
ชายหนุ่มผินหน้ากลับไปมองโอเอซิสของตน เมื่อมองจากที่สูงและไกลเช่นนี้ บ้านหลังคาแบนสีขาวขุ่นที่ปลูกติดกันเป็นพรืดนั้นดูคล้ายกับเป็นเขาวงกตก็ไม่ปาน เขาใช้สายตาลากไปตามเส้นถนนซึ่งแทรกตัวอยู่ระหว่างอาคารราวกับเป็นเด็ก ถนนที่วกวนไปมาเหล่านั้นนำพาเขาสู่ใจกลางเขาวงกต ซึ่งเป็นหมู่ตึกแข็งแกร่งแน่นหนา ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่สีเก่าซีดจางที่ทำให้หมู่ตึกเหล่านั้นดูเข้มขลังราวกับบุรุษชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายพันปี
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากที่นั่น จากชุมชนเล็กๆ ภายในป้อมปราการ บัดนี้ขยายใหญ่ออกไปจนล้นโอเอซิสและกลายมาเป็นชุมชนใหญ่ภายใต้การปกครองของพวกดุนยา จนกระทั่งถูกยกให้เป็นตำบลหลักของเขตการปกครองที่สามแห่งเมืองดุนยา เมื่อการปกครองถูกปฏิรูปภายใต้รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรอัซดิฮารในปัจจุบัน
“ท่านชีค”
เสียงหนึ่งจากท้ายขบวนร้องเรียกความสนใจของเขาให้ออกจากเกมในจินตนาการ ก่อนจะชี้ให้ดูจุดดำๆ ที่ประดับอยู่บนฟ้าเมื่อเขาหันไป แสงไฟวิบวับทำให้เขารู้ว่ามันกำลังดิ่งตรงมาทางนี้
“เฮลิคอปเตอร์?” บุรุษหนุ่มงึมงำคาดคะเน
“มันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ครับ”
ชีคหนุ่มพยักหน้า จ้องมองจุดนั้นค่อยขยายใหญ่กลายเป็นโครงร่างของเฮลิคอปเตอร์อย่างที่คาดเดา มันมาพร้อมกับเสียงกระหึ่มดังของเครื่องยนต์และใบพัดขนาดใหญ่ เมื่อมันบินมาอยู่เหนือศีรษะ ฝุ่นทรายก็คลุ้งขึ้นด้วยแรงลมกรรโชก ทำให้คนในกองคาราวานต้องยกผ้าขึ้นมาปิดปากปิดจมูกกันจ้าละหวั่น
ต่อเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นลอยผ่านไป แรงอัดอากาศอันเกิดจากใบพัดก็ค่อยซาลง ชีคหนุ่มโบกมือไปมาไล่ฝุ่นควันขณะที่สายตาจ้องมองเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นตลอดเวลา เมื่อเห็นมันลดระดับลงเหนือโอเอซิสใหญ่ที่ตนกำลังมุ่งไป คิ้วหนาจึงขมวดมุ่นขึ้นมาทันที
“ผู้พัน...ดูเหมือนลิฮาซจะมีแขกมาเยือนนะ” ชีคหนุ่มบอกกับคนข้างกาย
“ผมเห็นตราของเขตหนึ่งติดอยู่ที่หาง” ผู้พันบอก
“งั้นก็คงเป็นคนของชีคซอลีล” บุรุษหนุ่มเอ่ย ทำท่าว่าจะเร่งความเร็วอูฐขึ้น แต่ก็กลับปล่อยให้มันเดินเนือยๆ ต่อไปอย่างไม่เร่งร้อนใดๆ
เมื่อถึงประตูป้อมปราการใหญ่ คนเลี้ยงอูฐหลายคนต่างปรี่เข้ามาจับเจ้าสัตว์ตัวใหญ่เพื่อให้มันนั่งคุกเข่าลง ชีคหนุ่มกระโดดลงจากหลังนาวาทะเลทราย ปัดฝุ่นทรายออกจากเสื้อรุ่มร่าม ก่อนจะก้าวไปหาที่ปรึกษาราชการผู้สูงวัย ซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ตรงทางเข้าป้อมปราการใหญ่ ท่ามกลางเสียงมุอัซซินที่ดังมาจากหอสูงกลางเมือง เรียกร้องให้คนทำละหมาดเคล้าบรรยากาศในยามเย็น
“อัสลามมุ อะลัยกุม ท่านชีคอัลมาญิด”
“วะอะลัยกุมุสสะลาม ท่านมาฮัด” ชายหนุ่มตอบสลามอย่างสุภาพกับชายสูงวัยซึ่งมีหนวดเครายาวสีดำแซมด้วยสีดอกเลา ก่อนจะเอ่ยปากถามถึงข้อสงสัย “เมื่อครู่ผมเห็นเฮลิคอปเตอร์จากเขตหนึ่งบินผ่านมา มีใครมาเยือนเรางั้นหรือ”
“ท่านซุบาอีย์ ที่ปรึกษาของชีคซอลีลมาครับ เขามาขอพบท่านชีค”
ชายหนุ่มนิ่งคิด เสียงมุอัซซินยังคงดังอย่างไพเราะจับใจ เขาพยักหน้ารับรู้กับคนสนิท ซึ่งเป็นที่ปรึกษาสูงสุดแห่งลิฮาซมาตั้งแต่บิดาของเขายังมีชีวิตและดำรงตำแหน่งชีคอยู่
“ถ้างั้นท่านคงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะต้อนรับเขา”
“ครับท่านชีค”
“ผมจะพบเขาหลังละหมาดอัสริ”
อัลมาญิดเอ่ย มองที่ปรึกษาค้อมศีรษะให้แล้วเดินหายลับเข้าไปในอาคาร จึงค่อยเดินเลี่ยงไปเข้าอีกประตูหนึ่ง ลัดเลาะไปตามทางเดินภายในอาคาร โดยมีผู้พันและองครักษ์อีกสองคนเดินตามมาอย่างเงียบๆ เขาพยายามทำสมองให้ปลอดโปร่งเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนจากอีกโลกหนึ่ง ก่อนจะก้าวออกสู่ลานกลางแล้วเดินตัดข้ามไปยังมัสยิดใหญ่อันเปรียบเสมือนหัวใจของโอเอซิส
ที่นั่น อิหม่าม และ ผู้คนมากมายกำลังรอคอยเขาอยู่แล้ว เพราะเขาส่งคนให้มาแจ้งก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเข้ามาทำละหมาดร่วมด้วย ชีคหนุ่มกล่าวทักทายทุกคนอย่างสุภาพและอ่อนน้อมแม้จะเป็นชนชั้นปกครอง ก่อนจะไปยืนปะปนกับกลุ่มชาวบ้านราวกับเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
อิหม่ามยิ้มให้ชีคหนุ่ม ก่อนจะเริ่มกล่าวนำการละหมาดอัสริด้วยอาการสงบ และดวงตาเปล่งประกายแห่งความรู้แจ้งจนกระทั่งเสร็จสิ้นการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดในเวลาต่อมา
หลังละหมาด ชีคอัลมาญิดไม่ได้เร่งร้อนไปพบอาคันตุกะ เขายืนพูดคุยกับอิหม่ามและรับฟังเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านหลายเรื่อง ก่อนจะกลับเข้าห้องพักเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายที่เหนียวเหนอะ
“ผู้พันซาอิด” เขาหันไปเรียกหัวหน้าองครักษ์ที่ติดตามเขามาตลอดนับตั้งแต่ได้รับตำแหน่ง
“ครับท่านชีค”
“ผมจะอาบน้ำสักหน่อยนะ อย่าให้ใครเข้าไปกวน”
“ครับ” ผู้พันหนุ่มใหญ่ค้อมศีรษะ
ชีคอัลมาญิดพยักหน้าขรึมๆ แล้วผลักประตูเข้าไปในห้องพักที่แสนเรียบง่าย ห้องของเขาไม่มีแม้แต่เตียง มีเพียงเบาะหนานุ่มเหนือพรมสีมอซอกับตู้เสื้อผ้าแบบโบราณเก่าคร่ำ หากสิ่งเดียวที่หนาแน่นยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนั่นคือหนังสือมากมายที่เรียงรายอัดแน่นอยู่ที่ตู้หนังสือขนาดใหญ่ ซึ่งหนังสือเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่เขามีและอ่านมันเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายเล่มนักที่แออัดอยู่ในห้องทำงาน และยังมีอีกส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องสมุดเล็กๆ ซึ่งเปิดให้กับประชาชนได้มาใช้บริการอย่างไม่มีวันหยุดอีกด้วย
ชายหนุ่มถอดเสื้อรุ่มร่ามออก เผยให้เห็นร่างกายที่อุดมไปด้วยมัดกล้าม แซมด้วยแผลเป็นน้อยใหญ่ แผลเหล่านี้เป็นอนุสรณ์จากช่วงเวลาที่เขาผจญภัยไปในทะเลทรายเมื่อขวบปีที่ผ่านมา แม้การเดินทางจะเพื่อแสวงบุญและอย่างเป็นมิตร แต่ก็ยังไม่วายต้องต่อสู้กับผู้คนบางเผ่าที่ไม่เข้าใจเขา กล่าวหาว่าเขาเป็นพ่อมดหมอผีบ้าง เป็นสายลับบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ความตั้งใจดีก็สามารถแก้ปัญหาทุกอย่าง และทำให้เขาอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อมายืนอยู่หน้ากระจก อัลมาญิดยกมือขึ้นลูบรอยแผลเป็นตรงหน้าอกด้านซ้าย แผลนั้นทำให้เขาเกือบตายที่เทือกเขาดรูซ พวกดรูซเป็นอิสลามที่ถูกหล่อหลอมรวมกับความเชื่อของ พวกคริสต์ นอสติก และเพลโตใหม่ พวกเขาป่าเถื่อนแต่ก็รักพวกพ้อง วีรกรรมของพวกเขาเด่นชัดในสมัยที่พวกออตโตมานเข้ามายึดครองดินแดนแถบนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเล่นเอาพวกเติร์กขยาดไปตามๆ กันเลยทีเดียว ยังดีที่เขาฝึกฝนการต่อสู้แบบมวยปล้ำและฟันดาบมาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ เพราะเคยเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปแข่งขันระดับโลก จึงสามารถคว่ำนักรบชาวดรูซคนนั้นลงได้ แต่ก็ได้รับบาดแผลฉกรรจ์
ชัยชนะครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการนับถือและเยียวยาจากพวกดรูซ ผลจากอาการบาดเจ็บและการรักษาครั้งนั้น ทำให้เขาค้นพบภูมิปัญญาในการรักษาบาดแผลของชาวดรูซ พอนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับวิทยาการการแพทย์สมัยใหม่ก็ได้ตัวยารักษาบาดแผลชั้นดีมาอย่างไม่น่าเชื่อ
ชีคหนุ่มยิ้มก่อนจะผละจากกระจกแล้วก้าวลงในอ่างไม้ เขาอาบน้ำอย่างไม่เร่งร้อน การแช่น้ำแร่ผสมสมุนไพรอุ่นๆ ในอ่างไม้โอ๊คทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เขาสามารถอยู่ในน้ำได้ทั้งวันหลังจากการเดินทางอันสมบุกสมบัน แต่วันนี้แค่ครึ่งชั่วโมงก็คงจะพอ เพราะมีแขกสำคัญกำลังรอเขาอยู่ ซึ่งแทบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
เมื่อร่างกายสะอาดหมดจดแล้ว อัลมาญิดหยิบกางเกงและชุดกันดูราสีขาวสะอาดที่พับอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในตู้มาสวม ไม่คลุมศีรษะ ปล่อยให้ผมยาวหยักศกเปียกชื้นได้เป็นอิสระหลังจากต้องอบร้อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมมาทั้งวัน ก่อนจะเดินไปที่หน้ากระจกอีกครั้งแล้วหยิบกรรไกรมาตัดแต่งหนวดเครา เมื่อเป็นที่พอใจแล้วจึงมองดูตัวเองอย่างชื่นชมอีกครั้ง
“เอาล่ะ เรามาคุยกัน...ท่านซุบาอีย์”
ชายหนุ่มพูดกับตัวเองในกระจก พยายามทำหน้าและน้ำเสียงให้ดูเคร่งขรึม จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอน เพื่อจะมุ่งตรงไปยังห้องโถงกลาง ทว่าเพียงเปิดประตูออกไปก็กลับต้องชะงัก เมื่อเห็นหญิงสาวงามสะพรั่งมายืนขวางประตูอยู่พร้อมรอยยิ้มแฉ่งที่สามารถเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ทีเดียว
“ซาลีน่าฮ์” เขาเรียกเธอ
พันเอกซาอิดรีบปราดเข้ามา “ขอโทษครับ คือท่านหญิง...”
อัลมาญิดโบกมือ “ไม่เป็นไรผู้พันซาอิด ผมรู้จักนิสัยน้องสาวจอมแก่นคนนี้ดี”
ผู้พันหนุ่มใหญ่ค้อมศีรษะ ก่อนจะก้าวถอยไป เปิดโอกาสให้หญิงสาวขยับเข้าใกล้พี่ชายของเธอ
“น้องเห็นเฮลิคอปเตอร์จากเขตหนึ่งมาจอดที่ลานหน้าป้อม”
“เธอนี่ รู้เห็นไปเสียทุกเรื่องเลยนะ” อัลมาญิดส่ายหน้าอย่างระอากับความแก่นแก้วของน้องสาวต่างมารดา
เด็กคนนี้หากได้แม่ของเธอมาสักครึ่ง คงจะเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมคนหนึ่ง เพราะมีหน้าตาสะสวยไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดินทีเดียว
เป็นที่เล่าลือกันมานานแล้วว่า มารดาของซาลีน่าฮ์เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดของลิฮาซเลยทีเดียว เธอเป็นภรรยาคนที่สี่ของชีคอับดุลมุอิซผู้เป็นบิดาของเขา ทั้งคู่มีลูกด้วยกันเพียงคนเดียว นั่นคือซาลีน่าฮ์ผู้เป็นดั่งเจ้าหญิงของทุกคนภายในป้อมปราการแห่งนี้ แต่หลังจากคลอดทารกหญิงออกมาไม่นาน มารดาของเธอก็เสียชีวิตลงเพราะตกเลือด ทำให้ภรรยาคนที่สองของชีคอับดุลมุอิซต้องรับซาลีน่าฮ์มาเลี้ยงดูแทน เหมือนกับที่รับเลี้ยงดูเขาที่เป็นกำพร้ามารดา ทั้งอัลมาญิดและซาลีน่าฮ์จึงเติบโตมาเสมือนเป็นพี่น้องร่วมอุทรกันก็ไม่ปาน เพราะทั้งสูญเสียแม่บังเกิดเกล้าไปเหมือนกัน และได้รับการเลี้ยงดูอย่างห่วงใยอาทรจากแม่เลี้ยงผู้มีจิตใจเมตตาคนเดียวกัน
“ชีคซอลีลส่งคนมาหาพี่ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร”
“นี่พี่กำลังจะไปพบคนของชีคซอลีลหรือคะ” ซาลีน่าฮ์เอ่ยถาม ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
“ใช่” เขาพยักหน้า ขมวดคิ้วมุ่นมองท่าทางแปลกๆ ของน้องสาวด้วยความสงสัย “ทำไมหรือ?”
“น้อง...ขอไปฟังด้วยได้ไหมคะ” หญิงสาวกระโดดมาเกาะแขนเขา ทำหน้าทำตาออดอ้อนเหมือนเด็กอยากได้ของเล่น
อัลมาญิดหัวเราะ “นี่ถ้าเธอเป็นผู้ชาย พี่ก็คงไม่ต้องมาปวดหัวแบบนี้”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็ถ้าเธอเป็นผู้ชาย พี่ก็จะให้เธอสืบทอดตำแหน่งชีคแห่งลิฮาซแทนพ่อน่ะสิ”
“โหย...ตัวเองจะได้ไปเที่ยวผจญภัยในทะเลทรายใช่ไหมล่ะ” ซาลีน่าฮ์หน้าง้ำงอ
“พี่ไม่ได้ไปเที่ยวเสียหน่อย พี่ไปแสวงบุญด้วยการรักษาคน”
“นั่นแหละค่ะ ได้ไปไหนต่อไหน ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในป้อมปราการแบบนี้ อึดอัดจะแย่” หญิงสาวทำปากเบ้
ชีคหนุ่มยื่นมือไปจับศีรษะน้องสาวเขย่าเบาๆ “เรานี่มันแก่นแก้วจริงๆ แล้วอย่างนี้จะมีผู้ชายที่ไหนมาต้องตาไหมเนี่ย”
“ไม่มีก็ดีสิคะ” ซาลีน่าฮ์กระชับวงแขนแน่นพร้อมกับซบหน้ากับไหล่เขาอย่างออดอ้อน “น้องจะได้อยู่กับพี่อัลมาร์ตลอดไปไงล่ะ”
“โอ๊ย...ให้กำราบเธอไปตลอดชีวิต เห็นทีจะไม่ไหวล่ะ” พี่ชายแกล้งเย้าน้อง “เอาไว้พี่จัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะ จะจับเธอแต่งงานเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
“โหย...พี่อัลมาร์ใจร้ายอะ”
เขาหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะแกะวงแขนหนึบออก “เอาล่ะ พี่ต้องไปแล้ว”
“แล้วเรื่องที่น้องขอล่ะคะ”
อัลมาญิดเหลือบมอง ผู้พันซาอิด ที่ยืนอยู่กับองครักษ์ของเขาอีกสองคน ก่อนจะกระแอมแล้วแกล้งเอ่ยด้วยเสียงเข้ม
“พี่ไม่อนุญาต มันไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง”
แต่เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของน้องสาวก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ก่อนจะโอบไหล่เธอแล้วค้อมศีรษะลงไปกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ “แล้วก็อย่าให้พี่รู้นะ ว่าไปแอบฟังอยู่หลังม่านน่ะ ไม่งั้นพี่จะลงโทษเธอให้เข็ดหลาบเลยทีเดียว”
ซาลีน่าฮ์จ้องเขาตาแป๋ว ก่อนจะอมยิ้มแล้วเลิกเซ้าซี้เขาแทบจะทันที จากนั้นก็ถอยออกไปยืนสำรวมอยู่ข้างกำแพง
อัลมาญิดมองน้องสาวยิ้มๆ เขาส่ายหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างขบขันกับกิริยาของเธอ ก่อนจะออกเดินไปกับพันเอกซาอิดและองครักษ์อีกสองคนด้วยมาดขรึมโดยทำเป็นไม่สนใจน้องสาวคนสวยอีกเลย แม้จะรู้ว่าเธอจะต้องแอบตามมาอย่างแน่นอน
“อัสลามมุ อะลัยกุม ท่านชีคอัลมาญิด”
บุรุษสูงวัยผู้มาเยือนลุกขึ้นแล้วค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อมเมื่อเห็นชีคหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องโถง
“วะอะลัยกุมุสสะลาม ท่านซุบาอีย์”
อัลมาญิดตอบสลามแล้วเดินไปนั่งบนตั่งยาวสามเมตรที่ตั้งอยู่ระหว่างเสาสองต้น มันถูกทำให้นั่งสบายด้วยเบาะหนาและพรมที่เต็มไปด้วยลวดลายถักทอสวยงาม
ซุบาอีย์นั่งลงตรงตั่งอีกตัวที่วางได้ฉากกับตั่งของเขา ชายผู้สูงวัยมีผู้ติดตามมาด้วยสองคน ทั้งคู่เป็นคนร่างใหญ่กำยำ ยืนอยู่ด้านหลังเจ้านายด้วยดวงตาระแวดระวัง เพราะรอบๆ ห้องนี้เต็มไปด้วยนักรบเผ่าลิฮาซที่นั่งขัดสมาธิพิงกำแพงทำหน้าตาถมึงทึงอยู่นับสิบคน รวมทั้งผู้พันกับองครักษ์อีกสองคนที่เพิ่งมาถึงด้วย สายตาของเหล่านักรบจ้องมองไปยังอาคันตุกะทั้งสามราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อเสียเหลือเกิน
การมีนักรบประจำห้องโถงเมื่อมีผู้มาเยือนนั้นเป็นธรรมเนียบปฏิบัติของที่นี่ ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นแค่การข่มขวัญเบื้องต้นเท่านั้น จำนวนนักรบคุ้มกันและสีหน้าเข้มเครียดของพวกเขาทำให้ชีคหัวหน้าเผ่าดูน่าเกรงขามขึ้น และมันได้ผลดีเสียด้วย เนื่องจากผู้ใดได้มาอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเกรงกลัวไปตามๆ กัน ซึ่งอัลมาญิดก็สังเกตเห็นได้จากแววตาของซุบาอีย์ด้วย
คนของชีคหนุ่มคนเดียวที่ดูจะผ่อนคลายกว่าพวกนักรบชาวลิฮาซก็คือมาฮัด ชายสูงวัยนั่งอยู่บนตั่งตรงข้ามกับผู้มาเยือนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี เพราะชายสูงวัยทั้งสองเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน สมัยที่เรียนอยู่ในเขตการปกครองที่หนึ่งด้วยกัน ก่อนที่มาฮัดจะเรียนจบและเดินทางกลับมาทำงานที่บ้านเกิดและลงหลักปักฐาน สร้างครอบครัวกับญาติห่างๆ ของเพื่อนที่โอเอซิสลิฮาซนี่
ซุบาอีย์สนทนาปราศรัยกับชีคอัลมาญิดอย่างเป็นมิตร ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ และกล่าวสรรเสริญการปกครองด้วยความเมตตาของเขาต่อชาวลิฮาซและเผ่าใกล้เคียงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มเข้าประเด็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องโผบินจากเขตหนึ่งอันศิวิไลซ์มายังเขตสามอันทุรกันดารเช่นนี้
หลักฐานทางธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์ที่ซุบาอีย์นำมาเปิดเผยต่อเขาบ่งบอกว่า เวลานี้เขตการปกครองที่สามกำลังลอยอยู่เหนือทะเลน้ำมัน ซึ่งหากก่อสร้างแท่นขุดเจาะและโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว่ายี่สิบตารางกิโลเมตรที่นี่ มันจะสามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้ลิฮาซได้อย่างงาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ต้องแลกด้วยการรื้อถอนบ้านเรือนกันขนานใหญ่ รวมทั้งป้อมปราการแห่งนี้และมัสยิดกลางซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานด้วย เพราะพื้นที่ขนาดนั้นมันใหญ่พอๆ กับโอเอซิสลิฮาซอันเป็นศูนย์รวมการปกครองเขตที่สามเกือบทั้งโอเอซิสทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้น เราก็คงไม่ต้องคุยกันเรื่องนี้แล้วกระมัง” ชีคหนุ่มเอ่ยขึ้น
“แต่…”
“ท่านเห็นอินทผลัมเหล่านั้นไหม” อัลมาญิดแทรกขึ้น พร้อมชี้ผ่านช่องหน้าต่างไปยังทิวแถวต้นไม้ใหญ่ด้านนอก
“เห็นครับ” ซุบาอีย์รับเสียงแผ่วลังเล สายตาจ้องมองเขาอย่างสงสัยว่าเขากำลังจะพูดอะไร
“มีคนกล่าวว่า ยอดของอินทผลัมสูงจนสามารถสัมผัสปุยเมฆบนสรวงสวรรค์ได้...” ชีคหนุ่มชี้นิ้วขึ้นฟ้า ก่อนจะพลิกกลับชี้ลงดิน “ส่วนรากนั้น ก็หยั่งลึกลงสู่พิภพบาดาล”
ซุบาอีย์พยักหน้าช้าๆ โดยไม่ละสายตาจากชีคอัลมาญิด ชายหนุ่มยกมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาของผู้มาเยือนมีทีท่าแข็งกร้าวขึ้นราวกับจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว
“ลิฮาซก็เช่นเดียวกัน...”
ชายหนุ่มยกกาน้ำชาขึ้นรินใส่จอกแล้วยื่นให้ผู้มาเยือน ซุบาอีย์รับไปถือไว้ในมือ ดวงตายังคงจ้องเขาเขม็ง
“เรามีอารยธรรม มีประวัติศาสตร์ และมีประเพณีอันดีงาม ทุกอย่างถูกปลูก ถูกฝังเอาไว้ใต้ผืนแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล และมันก็หยั่งรากลงไปลึกไม่ได้น้อยไปกว่ารากของอินทผลัมเหล่านั้นเลย หนำซ้ำรากแห่งวัฒนธรรมเหล่านั้น ก็ยังยึดโยงร่างไร้วิญญาณของบรรพชนชาวลิฮาซมากมายที่ฝังอยู่ใต้นี้เอาไว้ ราวกับเป็นสายใยที่เชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทุกสรรพสิ่งหลอมรวมกันกลายเป็นสิ่งที่เจริญงอกงามอยู่เหนือผืนดินที่ท่านได้เห็นอยู่ในตอนนี้ มันสวยงามและกลายเป็นดินแดนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา”
ไม่มีเสียงโต้ตอบใดๆ จากอีกฝ่าย น้ำชาในถ้วยของซุบาอีย์กระฉอกออกมาด้วยแรงสั่นสะเทือนของความไม่พอใจ
“ทุกอย่างในลิฮาซยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสำหรับเรา” อัลมาญิดเอ่ยสรุป
“หมายความว่าท่านชีคไม่เห็นด้วยเรื่องการขุดเจาะน้ำมัน”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจที่อีกฝ่ายรับสาสน์ที่เขาสื่อได้ “สิ่งใดที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนของผม สิ่งนั้นจะไม่ได้รับการอนุมัติจากผมอย่างแน่นอน”
“แม้สิ่งนั้นจะนำมาซึ่งผลกำไรมหาศาลที่ท่านชีคจะสามารถนำมาพัฒนาเขตการปกครองของท่านให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับเขตอื่นๆ ได้งั้นหรือ”
“ทำไมต้องเหยียบย่ำรากเหง้าของตัวเองเพื่อให้ทัดเทียมคนอื่นละ ในเมื่อสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ก็เพียงพอจะทำให้ทุกคนที่นี่มีความสุขได้แล้ว”
“มีความสุขงั้นหรือ” ซุบาอีย์หัวเราะในลำคอเบาๆ คล้ายจะเย้ยหยันคำพูดของเขา “ถ้ามีความสุข แล้วทำไมท่านต้องเร่ร่อนออกไปรักษาคนฟรีๆ อีกล่ะ”
ชีคอัลมาญิดยิ้มอย่างใจเย็น “ท่านพูดเหมือนว่า ถ้าเขตการปกครองของผมเจริญอย่างเขตอื่นๆ แล้ว คนทุกคนในเขตจะสามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้อย่างนั้นแหละ ในเมื่อความเจริญนำพามาซึ่งค่าครองชีพและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น สูงจนไม่แน่ว่าคนที่ร่ำรวยที่สุดในเขตตอนนี้จะเข้ารับการรักษาด้วยราคาที่สมเหตุสมผลได้”
ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของซุบาอีย์อีก ดูเหมือนผู้มาเยือนจะเข้าใจเจตนารมย์ของชีคอัลมาญิดเป็นอย่างดีแล้ว สังเกตจากแววตาที่แข็งกร้าวขึ้น แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเสียดาย และดูเหมือนว่าจะไม่พอใจเขามากด้วยเช่นกัน
“ผมรู้สึกซาบซึ้งกับโอกาสที่ชีคซอลีลมอบให้คราวนี้ แต่ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจรับความปรารถนาดีของเขาได้ ผมหวังว่าท่านชีคจะไม่โกรธผม เพราะแผ่นดินนี้เป็นสมบัติที่ชีคอุมัร บรรพบุรุษของชีคซอลีลเองที่ประกาศต่อหน้าพระเจ้าว่าจะมอบให้ชาวลิฮาซทั้งปวงตราบนานเท่านาน ดั่งแผ่นจารึกที่ประทับอยู่ ณ ประตูเมืองแห่งลิฮาซนั่น”
ซุบาอีย์นิ่งงัน สีหน้าเครียดขึ้นตามลำดับ
“คืนนี้ผมขอให้ท่านได้พักผ่อนที่นี่สักคืน ผมสั่งให้มาฮัดจัดแจงที่พักให้ท่านเรียบร้อยแล้ว อาจไม่สะดวกสบายเท่าโรงแรมเล็กๆ ในเขตหนึ่ง แต่ผมรับรองได้ว่ามันจะเป็นที่พักที่ดีที่สุดที่เรามี”
“เห็นจะไม่รบกวนครับ ผมมีธุระจะต้องไปทำอีกหลายอย่าง”
“กลางค่ำกลางคืนอย่างนี้น่ะหรือ” เขาย้อนถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
ซุบาอีย์ชะงักกับสีหน้าและคำถามนั้น คงเข้าใจในความหมายที่แฝงนัยของเขาเป็นอย่างดี ชีคหนุ่มรู้สึกดีใจที่ตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนออันงดงามของผู้มาเยือน เพราะถึงลิฮาซจะไม่เจริญเท่าเขตอื่น แต่ประชาชนทุกคนก็กินอิ่ม นอนหลับได้ตามเวลา ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อดำรงไว้ซึ่งความศิวิไลซ์เหมือนเขตอื่นๆ
“ผมคงต้องขอตัวเสียที” ซุบาอีย์ลุกพรวดขึ้น ท่าทางฮึดฮัดนั้นทำให้เหล่านักรบลิฮาซถึงกับพากันขยับตัวอย่างขึงขังเช่นเดียวกัน
“ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครองท่าน ขอให้ท่านเดินทางสู่จุดหมายอย่างสวัสดี ฝากบอกชีคซอลีลด้วยว่าผมขอโทษ และขอบคุณในความปรารถนาดีของเขา” ชีคอัลมาญิดค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“ผมก็ขอให้อัลลอฮ์คุ้มครองท่านเช่นเดียวกัน” ชายสูงวัยค้อมศีรษะลง ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้แล้วเดินออกไปพร้อมผู้ติดตามทั้งสอง
นักรบลิฮาซคลายความขึงขังลงเมื่อผู้มาเยือนจากไปโดยดี หากมาฮัดกลับตรงกันข้าม เพราะที่ปรึกษาสูงวัยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมท่านชีคถึงปฏิเสธข้อเสนอของชีคซอลีลครับ”
“เมื่อครู่ ท่านไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกไปแล้วงั้นหรือ”
“ได้ยินครับ แต่...”
“ผมหมายความตามนั้นทุกประการ” อัลมาญิดแทรกขึ้น “ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาพูดเรื่องนี้กันอีก ชาวลิฮาซจะอยู่ที่นี่ไปตราบจนถึงวันที่มะลักอิสรอฟีลเป่าแตรประกาศวันโลกาวินาศ”
คำพูดของเขาทำให้มาฮัดนิ่งงันไปอีกคน บรรยากาศในห้องจึงเงียบลงจนน่าอึดอัด กระทั่งเสียงเฮลิคอปเตอร์กระหึ่มดังขึ้นเหนือป้อมปราการ ชีคอัลมาญิดจึงตัดสินใจลุกขึ้น
“เอาล่ะ ผมจะกลับไปพักผ่อนที่ห้องเสียหน่อย” เขาเอ่ยพร้อมกับบิดกายไล่ความเมื่อยล้า
“ขออัลลอฮ์คุ้มครองท่านชีค” มาฮัดค้อมศีรษะลง
“ขออัลลอฮ์คุ้มครองท่านเช่นกัน” ชีคหนุ่มกล่าว ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองที่ปรึกษาสูงสุดซึ่งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างแรงกล้า
ไกลจากโอเอซิสลิฮาซอันเงียบสงบเกือบร้อยไมล์ ในห้องที่ตบแต่งอย่างหรูหราใจกลางป้อมปราการใหญ่ มีเสียงเพลงพลิ้วหวานดังแผ่วเบาออกมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงรูปทรงโบราณ อาหารชั้นเลิศวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะยาวขนาดยี่สิบคนนั่ง แต่มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่กำลังนั่งรับประทานอาหารเหล่านั้นอยู่ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องไปทั่ว
“คุณจะกลับอัลรีฟพรุ่งนี้ใช่ไหม” ชีคซอลีลเอ่ยถามขึ้นขณะเฉือนเนื้อแกะในจาน
“ครบหนึ่งสัปดาห์แล้วนี่คะ” อัสมิฮานตอบ
“ผมอยากให้คุณอยู่ต่ออีกสักสัปดาห์...” เขาทอดเสียงลงพร้อมกับใส่ชิ้นเนื้อเข้าปาก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาเชื่อมฉ่ำ “หรือตลอดไป”
“นั่นคงต้องหลังจากเราแต่งงานกันละมั้งคะ ตอนนี้ฉันยังเป็นอิสระอยู่”
“คุณพูดเหมือนการแต่งงานคือการถูกจองจำ”
หญิงสาวยักไหล่ “สำหรับฉัน มันต่างกันแค่ไม่มีลูกกรงเท่านั้น”
“ผมจัดการให้ได้นะเรื่องนั้น”
หญิงสาวตวัดสายตามองค้อนความยอกย้อนของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง “อย่าลำบากเลยค่ะ เท่าที่เห็นที่พักของฉัน มันก็ไม่ต่างอะไรกันนักหรอก”
ชีคหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ผมล้อเล่นหรอกน่า ผมสัญญานะว่า หลังจากเราแต่งงานกัน ผมจะให้อิสระกับคุณเต็มที่”
“หมายความว่าฉันยังคงทำงานในบริษัทได้ใช่ไหมคะ”
“แน่นอน” เขาพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ถ้าคุณยังเหลือแรงพอจะลุกไปทำงานตอนเช้าได้นะ”
หญิงสาวชะงัก ดวงตาเข้มขุ่นเขียวขึ้นมาทันที “แหม...คุณนี่ช่างกรุณาเหลือเกินนะคะ”
“มันเป็นสิ่งที่สามีที่ดีควรปฏิบัติต่อภรรยาไม่ใช่หรือ”
“ค่ะ” เธอทำเสียงประชด
“คุณจะกลับกี่โมงล่ะ ผมจะไปส่ง” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง การยั่วให้ผู้หญิงโกรธไม่ใช่เรื่องดี แม้เขาจะรู้สึกว่าเวลาเธอโกรธจะมีเสน่ห์น่ารักไปอีกแบบก็ตาม
“ไม่เสียเวลาทำงานของคุณหรือคะ”
“ผมอยากไปส่งคุณ” ชีคหนุ่มตอบพร้อมหยอดคำหวาน “คุณสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด”
“จริงหรือคะ” เธอทำปากเบ้อย่างไม่เชื่อถือ
“จริงสิครับ” เขายืนยันหนักแน่น
“ฉันสำคัญสำหรับคุณ ถึงขนาดวันแรกก็ไม่อยู่ต้อนรับฉัน แถมตลอดสัปดาห์ที่ฉันอยู่ที่นี่ คุณยังมาพบฉันนับครั้งได้ และทุกครั้งที่พบกันก็อยู่แต่เฉพาะบนโต๊ะอาหารนี่เท่านั้น”
“แหม คุณนี่ช่างประชดประชันจริงๆ”
“ฉันพูดเรื่องจริง” เธอเชิดหน้าใส่เขา
“งานของเจ้าเมืองมันยุ่งนี่นา” ชีคหนุ่มแก้ตัว ก่อนจะทำเสียงอ่อนอ้อน “แต่ผมสัญญานะว่า หลังแต่งงานเราจะพบกันมากขึ้น อย่างน้อยนอกจากบนโต๊ะนี่ก็มีบนเตียงล่ะที่เราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันบ่อยๆ”
อัสมิฮานหันควับกลับมาจ้องเขาอย่างขึ้งโกรธที่เขาเอาแต่เฉไฉไปเรื่องบนเตียงตลอดเวลา
“ผมล้อคุณเล่นน่ะ เห็นคุณเครียดๆ”
“มันไม่ตลก คุณทำให้ฉันยิ่งเครียด”
ชีคหนุ่มห่อปาก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “โธ่คุณ เลิกทำหน้าเครียดตลอดเวลาเสียทีเถอะ”
หญิงสาวเบ้ปาก ก่อนจะเมินใส่เขาอีกครั้ง “ฉันอิ่มแล้ว อยากกลับห้องไปพักผ่อน”
“คุณยังไม่ได้ตอบผมเลยว่าคุณจะกลับกี่โมง”
“ฉันเชื่อว่าคุณสามารถรู้ได้เองโดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปาก” อัสมิฮานเอ่ย ก่อนจะลุกพรวดขึ้น ทำท่าว่าจะเดินผละไป แต่กลับต้องชะงักเมื่อเขาฉวยมือเธอไว้
“ผมอยากรู้จากปากคุณ”
เธอหันมามองเขาด้วยแววตาค้นหา ภายในนั้นเหมือนมีเพลิงลุกโชน แต่แล้วมันกลับค่อยๆ อ่อนแสงลง ก่อนที่เธอจะถอนใจออกมาเบาๆ “เครื่องออกเที่ยงตรงค่ะ”
“ถึงแม้เราจะเริ่มต้นกันไม่ดี แต่ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกแน่” ชีคซอลีลยิ้ม ก่อนจะดึงมือของเธอขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบา “ผมจะยกเลิกงานทุกงาน นัดสำคัญทุกนัด เพื่อไปส่งคุณ”
อัสมิฮานชะงักไปเล็กน้อย มุมปากเหมือนจะยกยิ้มแต่แล้วก็กลับเม้มแน่นสนิท ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออกจากมือของเขาแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันหลังให้เขาแล้วเดินออกจากห้องอาหารไปโดยไม่หันมามองใบหน้ายิ้มกริ่มอย่างพึงใจของเขาเลย
ความคิดเห็น |
---|