6

ตอนที่ 5


 

ตอนที่ชีคซอลีลบอกว่าจะยกเลิกนัดเพื่อมาส่งเธอกลับอัลรีฟ อัสมิฮานไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะหมายถึงการยกเลิกนัดตลอดทั้งสัปดาห์ แล้วจับเธอขึ้นเครื่องบินส่วนตัว เพื่อบินมาส่งเธอที่เมืองหลวงด้วยตัวเขาเองเลยแม้แต่น้อย

กว่าจะรู้ตัวอีกที เธอก็อยู่บนเครื่องบินส่วนตัวของเขาแล้ว มันเป็นเครื่องรุ่นโบอิ้ง ๗๕๗-๒๐๐ ที่มีลำตัวยาวกว่า ๑๕๓ ฟุต สีขาวทั้งลำและมีชื่อของเขาเป็นตัวอักษรภาษาอาหรับขนาดใหญ่สีเขียวติดอยู่ตรงส่วนหัว

ชื่อของเขาใหญ่ชนิดที่มองจากระยะไกลก็ยังเห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่องบินของใครเชียวล่ะ

ภายในมีห้องโดยสารที่ปรับขนาดจาก ๒๓๙ ที่นั่งให้เหลือเพียง ๔๓ ที่นั่ง เพื่อดัดแปลงให้เป็นบ้านพักลอยฟ้าที่ไม่เพียงแต่จะมีห้องนอนหรูหรา ยังมีห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก ห้องประชุม และห้องชมภาพยนตร์ด้วย และแทบทุกห้องล้วนมลังเมลืองไปด้วยสีทองจากทองคำยี่สิบสี่กะรัตอร่ามตาทีเดียว

เครื่องบินค่อยๆ ทะยานขึ้นฟ้าอย่างนุ่มนวล เมื่อไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดที่เหมาะสมแล้ว สัญญาณรัดเข็มขัดก็ดับลง ชีคซอลีลจึงปลดเข็มขัดนิรภัยที่หัวเข็มขัดทำจากทองคำของเขาออก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนผายมือให้เธออย่างสุภาพ

“อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงอัลรีฟ ไปหาอะไรรองท้องสักหน่อยดีกว่าครับ ผมให้เขาเตรียมของว่างให้แล้ว”

อัสมิฮานพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกเหมือนท้องเบาหวิว เพราะตอนเช้าเธอตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้านเกินกว่าจะรับประทานอะไรได้ลง จึงวางมือลงบนมือของเขาแล้วพยุงตัวขึ้น ระหว่างที่ขืนตัวลุกยืน เธอรู้สึกได้เลยว่าท่อนแขนของเขาแข็งแกร่งจริงๆ

จากนั้นเธอก็เดินตามเขาไปที่ห้องรับประทานอาหาร ซึ่งมีเก้าอี้นวมน่าสบายสีครีมสะอาดตาสี่ตัวล้อมอยู่รอบโต๊ะทำจากไม้มะฮอกกานีขัดมันซึ่งเดินขอบด้วยเส้นลวดทองคำยี่สิบสี่กะรัตโดยรอบ

ชีคซอลีลผายมือให้เธอนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง หลังจากนั้นเขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอพร้อมรอยยิ้มหวานหวาม ต้องยอมรับล่ะว่ารอยยิ้มของเขาเขย่าหัวใจของเธอได้ไม่น้อย โชคดีที่วินาทีต่อมา แอร์โฮสเตสก็ยกอาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟขั้นจังหวะการตกหลุมอากาศในหัวใจเธอ ไม่อย่างนั้นหัวใจของเธอคงอ่อนยวบลงแทบเท้าของเขาแน่

“ฉันคิดว่าคุณแค่จะมาส่งฉันที่สนามบิน” เธอเอ่ยขณะใช้ช้อนตักพุดดิ้ง

เขายักไหล่พลางกลืนเครื่องดื่มสีม่วงลงคอ “ตอนแรกก็คิดว่าอย่างนั้น แต่จู่ๆ ผมก็มาคิดขึ้นได้ว่าเราเริ่มต้นกันไม่ค่อยดีสักเท่าไร ผมเลยคิดว่าควรจะทำอะไรแก้ตัวบ้าง เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของผม”

“ขอบคุณค่ะ ที่พยายามทำให้มันดีขึ้น” เธอยิ้ม

“ผมชอบเวลาคุณยิ้มนะ”

อัสมิฮานชะงัก หลังจากเจอคำชมตรงๆ แบบนี้ ใบหน้าของเธอถึงกับร้อนวูบ ป่านนี้มันคงแดงก่ำจนเขาสังเกตเห็นแล้วว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับคำชมของเขา เธอรีบหุบยิ้มแล้วทำเป็นกินของหวานตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

“พุดดิ้งอร่อยนะคะ”

“อาลีเป็นกุ๊กมือดีที่สุดของดุนยา”

“ทุกอย่างต้องเป็นที่หนึ่งใช่ไหมคะ”

“ก็ทำนองนั้น” ชีคซอลีลหัวเราะเบาๆ “รวมทั้งคุณด้วย”

หญิงสาวทำเป็นไม่สนใจคำป้อยอของเขาทั้งที่หัวใจพองโตจนแทบจะคับอกแล้ว

“คุณจะอยู่อัลรีฟสักกี่วันคะ”

“สัปดาห์หนึ่งครับ”

“ความจริงคุณไม่ต้องรีบไปอัลรีฟก็ได้นี่คะ ประชุมบอร์ดอีกตั้งสัปดาห์”

“ก็ผมอยากไปส่งคุณไง” เขายิ้มหวาน

“งั้นเวลาที่เหลือคุณจะทำอะไรคะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมทำงานได้จากทุกที่บนโลกใบนี้ แม้กระทั่งบนเครื่องบินนี่ผมก็สามารถสั่งให้แท่นขุดเจาะในเขตของผมหยุดทำงานได้ แถมที่ตึกบุรจญ์ อัล ชุรูก ก็มีห้องทำงานของผมอยู่...คุณลืมไปแล้วหรือ”

“จริงสิคะ คุณเป็นกรรมการผู้ถือหุ้นใหญ่นี่” เธออดทำเสียงประชดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้

“คงไม่ใหญ่เท่าพ่อของคุณ”

“แต่ก็มีหุ้นมากกว่าฉัน” เธอย้อน

“เฉพาะตอนนี้เท่านั้นแหละครับ คุณลืมไปแล้วหรือว่าหลังจากที่เราแต่งงานกัน ทุกอย่างจะถูกหารสอง” เขาชูสองนิ้วขึ้น ก่อนจะโบกมือไปมาราวกับไล่ควันขุ่นจางๆ ระหว่างกันออก “ผมว่าเราเลิกพูดถึงเรื่องงานกันเถอะ จุดประสงค์การไปอัลรีฟครั้งนี้ของผม ไม่ใช่ไปทำงานอย่างเดียวนะ”

“แล้วไปทำอะไรอีกละคะ อย่าบอกนะว่าเพื่อไปส่งฉันอย่างเดียว”

ชีคหนุ่มยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองเธอวิบวับเป็นประกาย “ผมต้องการใช้เวลากับคุณ”

“กับฉัน?” อัสมิฮานยกมือขึ้นทาบอก

“ผมคิดว่าเราควรทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้”

“จำเป็นหรือคะ” เธอเมินหน้าซ่อนความขวยเขินไปทางอื่น

“จำเป็นสิ” ชีคซอลีลย้ำ “เรากำลังจะแต่งงานกันนะ ผมไม่อยากให้คืนแรกของเราเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน”

แก้มของเธอร้อนซู่เมื่อสะดุดหูกับคำว่า ‘คืนแรกของเรา’ เข้าให้ ต่อให้เด็กอมมือก็ยังรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

“ผมแค่อยากให้คุณเปิดใจรับผมมากกว่านี้ เพื่อความสุขของเราทั้งสองคน”

ชีคซอลีลวางมือข้างหนึ่งลงบนมือของอัสมิฮาน เธอสะดุ้งราวกับมีกระแสไฟแล่นผ่านเข้ามา อยากจะชักมือออกแต่ก็เหมือนมีแรงดูดมหาศาลรั้งเอาไว้ ก่อนจะกระตุกอีกครั้งเมื่อเขาใช้ปลายนิ้วเชยคางเธอให้หันไปหา ดวงตาของเขาวิบวับเป็นประกายยามที่สบตากับเธอ มันทำให้เธออ่อนระทวย หากไม่ได้นั่งอยู่บนเบาะนุ่มน่าสบายนี้ เธอคงแทบล้มทั้งยืนเลยทีเดียว

“คุณโอเคไหม หากผมจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณตลอดทั้งสัปดาห์”

“เอ่อ...” อัสมิฮานครางอย่างลังเล เธอขาดงานมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ไม่อยากจะใช้วันหยุดต่อไปอีกตั้งหนึ่งสัปดาห์ เพราะตอนนี้เธอกำลังสร้างผลงานให้บิดาพอใจกับโครงการใหญ่ของบริษัท

“ผมรู้ว่าคุณทำอะไรอยู่” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “โครงการอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรของคุณน่าสนใจทีเดียว ผมชอบมันนะ”

“ขอบคุณค่ะ” เธอค้อมศีรษะเล็กน้อย “แต่ความจริงมันไม่ใช่ความคิดของฉันเสียทีเดียวหรอกค่ะ ฉันแค่เข้ามาสานต่อโครงการจี.อี. (Green Energy) ของพี่อายิชเท่านั้น หากเขาไม่เริ่มเอาไว้ ฉันอาจไม่ได้ทำมันก็ได้”

“อายิช” ชายหนุ่มทวนคำ “พี่ชายคนโตของคุณน่ะเหรอ”

“ใช่ค่ะ เขาเป็นคนเริ่มต้นมัน ก่อนจะ...” อัสมิฮานทอดเสียงลง คำว่า ‘เสียชีวิต’ ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ โดยมีความเศร้าเต็มตื้นขึ้นมาแทน

“มีคนคิด แต่ไม่มีคนสานต่อ โครงการดีๆ ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก จริงไหมครับ”

“ค่ะ” เธอหัวเราะเบาๆ กับคำปลอบใจของเขา น้อยคนนักในอัซดิฮารหรอกที่รู้ว่าเกิดโศกนาฏกรรมอะไรกับครอบครัวของเธอบ้างเมื่อขวบปีก่อน

“ผมรู้นะว่าคุณตั้งใจกับมันมากแค่ไหน” ชีคซอลีลเอ่ย ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่อง “แต่ผมขอแค่เวลาสักเล็กๆ น้อยๆ ช่วงที่คุณพอจะเจียดมาให้ได้บ้าง รวมทั้งดินเนอร์อีกเจ็ดวันเท่านั้น”

“ขอเยอะนะคะเนี่ย” เธอเย้า

“ขึ้นอยู่กับความปราณีของคุณครับ” เขายิ้มหวานให้เธอ

อัสมิฮานทอดเวลาเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจออกมาแล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ ฉันจะพยายามหาเวลาพบคุณ ส่วนดินเนอร์คงไม่มีปัญหา”

“งั้นเป็นอันตกลงตามนี้” ชีคซอลีลสรุป ก่อนจะปล่อยมือเธอแล้วหันกลับไปสนใจของว่างน่าอร่อย

ใบหน้าคมคาย รอยยิ้มมีเสน่ห์ และสายตาหวานละมุนของชีคซอลีลทำให้อาหารว่างบนฟ้ามื้อนั้นอร่อยกว่ามื้อไหนๆ ตั้งแต่เธอนั่งเครื่องบินจากอัลรีฟไปดุนยา เมื่อได้ใช้เวลาเป็นส่วนตัวกันมากขึ้น ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า เขาเป็นคนคุยสนุกคนหนึ่งทีเดียว

ตลอดเส้นทางการบิน ชีคซอลีลเล่าเรื่องการต่อสู้กับชนเผ่าต่างๆ ของบรรพบุรุษ กว่าจะก้าวมาเป็นเมืองที่เป็นปึกแผ่นเหมือนทุกวันนี้ ดุนยาประกอบด้วยคนหลายเผ่า แต่ก็สุขสงบกว่าหลายแห่งที่แม้จะมีแต่คนเผ่าเดียวกันที่กลับแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนสถานการณ์ภายในวุ่นวาย บางแห่งถึงกับกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมาเลยทีเดียว

“ฉันได้ยินมาว่า ดุนยาก็ยังไม่ลงรอยกันดีนักกับเผ่าบางเผ่า”

“พวกลิฮาซ” เขาเอ่ย “คนพวกนี้หัวแข็ง ไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆ แต่ก็เป็นพวกที่รักสงบ ถ้าไม่มีใครไปยุ่งกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยุ่งกับใคร”

“แล้วทำไมถึงยอมเป็นพวกเดียวกับคุณล่ะคะ”

“ก็ไม่เชิงยอมเป็นพวกเดียวกันครับ เรียกว่าเป็นพันธมิตรกันมากกว่า” ชีคซอลีลตอบ

“พันธมิตร?”

“ในหนังสือแบบเรียนประวัติศาสตร์ของเราเล่าว่า ในยุคกลางชีคอุมัรยกกองทัพไปโจมตีพวกลิฮาซ ต่อสู้กันอยู่นานจนเสียกำลังไปทั้งสองฝ่าย แม้พวกลิฮาซจะมีกำลังน้อยกว่าแต่ก็สู้ใจขาด กำแพงเมืองสูงใหญ่และภูมิประเทศที่ล้อมรอบด้วยทะเลทรายทำให้พวกเขาได้เปรียบ หลังจากล้อมเมืองอยู่เป็นปี ชีคอุมัรจึงยื่นข้อเสนอสงบศึกด้วยการส่งทูตไปสู่ขอลูกสาวของชีคแห่งลิฮาซมาเป็นภรรยาคนที่สี่ และประกาศต่อพระพักตร์พระอัลลอฮ์ให้โอเอซิสอันกว้างใหญ่รวมทั้งบริเวณโดยรอบกว่าสามร้อยตารางกิโลเมตรที่เป็นเขตการปกครองที่สามในปัจจุบันนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนเผ่าลิฮาซ โดยผู้อื่นก็จะละเมิดมิได้ ไม่เว้นแม้แต่...ผม”

“พวกเขายอมหรือคะ คุณบอกว่าพวกเขาสู้สุดใจ”

“พวกเขาต้องยอมครับ เพราะช่วงที่ถูกปิดล้อม พวกลิฮาซเสียกำลังพลไปมาก แถมเสบียงก็ลดลงฮวบฮาบ บ้านเรือนหลายหลังเสียหายเนื่องจากปืนใหญ่ที่ระดมยิงเข้าไปทุกวี่ทุกวัน ป้อมปราการใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางโอเอซิสทุกวันนี้ก็พังเสียหายไปเยอะ”

“เพราะงั้นในที่สุดลูกสาวของชีคแห่งลิฮาซก็เลยกลายเป็นภรรยาคนที่สี่ของชีคอุมัร พร้อมกับตกเป็นเมืองขึ้นไปโดยปริยายสินะคะ” เธอสรุป

“ก็ทำนองนั้นครับ”

“เรื่องก็ทำท่าว่าจะจบด้วยดี แต่แล้วทำไมตอนนี้ ดุนยาถึงไม่ลงรอยกับพวกเขาคะ”

“เรื่องนั้นก็คงต้องย้อนไปเป็นร้อยปี มีการค้นพบสายแร่ทองคำในเขตของพวกลิฮาซ ทวดของผมพยายามเจรจาขอพื้นที่เพื่อทำเหมืองทองคำ แต่พวกเขายืนยันว่านั่นเป็นผืนดินศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จึงเกิดการขัดแย้งกันเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำสงครามกัน เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่พวกอังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคมพอดี ชนเผ่าทั้งหลายจึงรวบรวมแรงใจกันต่อต้าน ดุนยากับลิฮาซแม้จะขัดแย้งกัน แต่ก็จำเป็นต้องจับมือกันป้องกันศัตรู ถึงกระนั้นก็ไม่อาจต้านทานกองทัพที่ยิ่งใหญ่ของอังกฤษได้ หลังจากนั้นมาความสัมพันธ์ระหว่างดุนยากับลิฮาซก็เป็นไปอย่างไม่สนิทใจนัก เกิดความขัดแย้งกันอยู่เนืองๆ แม้กระทั่งล่าสุด...เรื่องน้ำมัน”

“ค้นพบบ่อน้ำมันในพื้นที่ของพวกเขาหรือคะ”

“ถูกต้องครับ” เขาพยักหน้า สีหน้าเครียดขึ้นมา “ผมส่งคนไปเจรจา แต่เขายืนกรานว่านั่นคือที่ที่ชีคอุมัรประกาศให้เป็นของพวกเขาต่อพระพักตร์พระอัลลอฮ์แล้ว”

“งั้นเราไม่ควรไปยุ่งหรือเปล่าคะ”

“แต่ที่นั่นมีน้ำมันมหาศาล มากมายกว่าที่อัซดิฮารเคยขุดค้นพบ เราจะได้กำไรมากมายจากบ่อนั่น”

“เท่าที่มีอยู่ เราก็ทำกำไรมหาศาลจากทั่วโลกได้แล้วนี่คะ”

“ของทุกอย่าง เมื่อใช้ก็ต้องหมดไปครับ ไม่วันนี้ก็ในอนาคต”

“จากข้อมูลที่ฉันมี กว่าน้ำมันจะหมดทุกบ่อคงจะเป็นอนาคตที่ไกลมาก หรืออาจไม่มีวันมาถึงเลยก็ได้ นักวิชาการหลายคนไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าน้ำมันจะหมดจากโลก” เธอแย้ง ก่อนจะไหวไหล่ช้าๆ “อัลลอฮ์คงทรงคิดว่าเรายังไม่ถึงเวลาใช้มันก็ได้ ถึงได้ส่งพวกลิฮาซมาปกป้องไว้”

ชีคซอลีลหัวเราะเบาๆ “แล้วเมื่อไรล่ะ ถึงจะใช้มันได้”

“วันที่บ่อน้ำมันของเราแห้งหมดมั้งคะ” เธอยักไหล่

“คุณบอกเองว่าน้ำมันไม่มีวันหมด แล้วถ้าอย่างนั้นอัลลอฮ์เนรมิตน้ำมันเอาไว้ที่นั่นแล้วบันดาลให้พวกลิฮาซมาปกป้องทำไมกัน”

“ไม่รู้สิคะ” อัสมิฮานส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

“บางทีเวลาที่เหมาะสมที่คุณคิด อาจเป็นวันนี้” ชีคซอลีลใช้นิ้วจิ้มลงบนโต๊ะหนักแน่น “ในช่วงระยะเวลาการปกครองของผม”

อัสมิฮานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง เป็นผู้บุกเบิก และต้องการจารึกชื่อตัวเองอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งมันทำให้เธอนึกถึงร็อชดาน พี่ชายบุญธรรมที่แสนดีและอดีตคู่หมั้นที่ทิ้งเธอไปเพราะความรัก

ร็อชดานทิ้งความฝันของเขาเพื่อรักแท้ แล้วกับชีคซอลีลล่ะ เขาจะยอมทำอย่างนั้นเพื่อเธอหรือเปล่า เธออยากจะถามเขาเรื่องนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเปิดใจให้เขา

“อัล ชุรูก ออยล์ คงยังไม่พร้อมสำหรับการลงทุน เพราะเราเพิ่งได้สัมปทานและเปิดบ่อใหม่ที่บาบิล”

“หลังเราแต่งงานกัน ผมมีแผนจะระดมทุนจากตลาดหุ้น หรือไม่ก็อาจร่วมทุนกับ โอเชียน ออยล์ เปิดบริษัทใหม่”

“คงเป็นโครงการใหญ่น่าดู”

ชีคซอลีลยิ้ม หากยังไม่ทันพูดอะไร การสนทนาของทั้งคู่ก็กลับต้องยุติลงกลางคัน เพราะนักบินเปิดสัญญาณให้รัดเข็มขัดและประกาศผ่านลำโพงว่า กำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติอัซดิฮารแล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วผายมือให้เธอ จากนั้นก็จับจูงไปนั่งประจำที่แล้วรัดสายเข็มขัดให้อย่างสุภาพ ก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ของตน

เครื่องร่อนลงช้าๆ และนิ่มนวล พาเธอกับชีคซอลีลถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ มีเฮลิคอปเตอร์ของ อัล ชุรูก ออยล์ มารอรับที่โรงเก็บเครื่องบิน และพาอัสมิฮานกับชีคหนุ่มบินต่อไปลงที่ดาดฟ้าอาคารบุรจญ์ อัล ชุรูก ซึ่งเปรียบเสมือนฐานบัญชาการของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่แห่งอัซดิฮาร

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” เธอบอกขณะจับผ้าคลุมศีรษะไม่ให้ปลิวไปตามแรงลมจากใบพัดเฮลิคอปเตอร์

“ยินดีครับ” เขาค้อมศีรษะ “ว่าแต่ค่ำนี้คุณมีแผนอะไรหรือเปล่า”

“ดินเนอร์ใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ”

อัสมิฮานนิ่งคิด เธอไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอง่ายไป จึงตอบแบบกึ่งรับกึ่งสู้

“ฉันรู้นะคะว่ารับปากคุณแล้ว แต่ขอฉันเช็คตารางงานกับเลขาฯก่อนได้ไหมคะ”

“งั้นตอนเลิกงาน ผมโทร.เช็คอีกทีดีไหม”

“ได้ค่ะ” เธอพยักหน้า ก่อนส่งยิ้มหวานให้เขา “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ดุนยานะคะ”

“ยินดีครับ” เขาค้อมศีรษะให้เธอ

อัสมิฮานมองเขาครู่หนึ่ง คิดว่าเขาก็เป็นคนน่าสนใจดี ถ้าไม่นับเรื่อง ‘ห้องทรมานอันแสนหวาน’ นั่น ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้เขาแล้วเดินเข้าไปในอาคาร บุรจญ์ อัล ชุรูก อันสูงใหญ่

 

ชีคอัลมาญิดแหงนมองไล่ขึ้นไปตามความสูงของอาคารบุรจญ์ อัล ชุรูก และหมู่ตึกรอบๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดเหมือนโดนล้อมกรอบไปด้วยแท่งปูนและกระจก นั่นเพราะเขาชินกับการอยู่ในที่โล่งกว้างอย่างทะเลทรายมากกว่าเสียแล้ว แม้จะเคยอยู่ในเมืองที่มีอาคารสูงระฟ้ามาในช่วงระยะเวลาที่เรียนการแพทย์ที่อังกฤษก็ตาม

ชายหนุ่มถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง เพราะไม่เคยคิดเลยว่า เวลาไม่กี่ปีจะทำให้เมืองอัลรีฟของราชอาณาจักรอัซดิฮารอันเงียบสงบ กลายเป็นมหานครใหญ่ที่เต็มไปด้วยความอึกทึกอย่างรวดเร็วเช่นนี้

ภายในล็อบบี้ของ บุรจญ์ อัล ชุรูก ถูกตบแต่งอย่างหรูหราด้วยพื้นหินอ่อนสีครีมขัดมันวาววับ มีพรมหนานุ่มสีแดงเลือดนกปูตรงทางเดิน ผนังบุด้วยผ้าไหมลายดอกไม้สลับกับกระจกที่ทำให้ห้องยิ่งดูกว้างขึ้น ชุดรับแขกบุนวมอย่างดีวางกระจายอยู่เกือบเต็มพื้นที่ เหนือเพดานมีโคมระย้าช่อใหญ่ทำจากคริสตัลส่องแสงระยิบระยับงามจับตา

เขาสอดส่ายสายตาหาคนที่นัดหมาย ก่อนจะพบชายชาวตะวันตกศีรษะล้านในสูทสีเข้ม เนคไทลาดโค้งไปตามหน้าอกและท้องที่หลามออกมาจนปลายไทห้อยต่องแต่งอยู่ใต้สะดือ

อัลมาญิดเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายของเขาทันที เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็ยืนขึ้น จากนั้นต่างคนต่างก็ยื่นมือออกมาสัมผัสทักทายกันอย่างมีไมตรี

“สันติสุขจงมีแด่ท่าน” อัลมาญิดเอ่ยทักทาย “คุณคงจะเป็นมิสเตอร์โทมัส ไมเออร์ จากเยอร์เก้น”

“ใช่ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางตื่นเต้น “ไม่คิดว่าท่านชีคจะมาเอง”

“ผมชอบจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ

“ดีครับ” โทมัสพยักหน้า ก่อนจะผายมือไปทางหญิงสาวหน้าหวานข้างกายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าภาพสีน้ำมันแบบอิมเพรสชันนิสม์รูปหนึ่งพอดี ใบหน้าของเธอแทบกลืนไปกับภาพนั้นจนเขาเกิดความประทับใจ

“นี่อันนา เกอร์ฮาร์ดท์ เป็นผู้ช่วยของผมครับ”

“ขอสันติสุขจงมีแด่คุณ มิสเกอร์ฮาร์ดท์”

“ขอสันติสุขจงมีแด่ท่านเช่นกันค่ะ ชีคอัลมาญิด”

อันนาย่อตัวลงค้อมศีรษะให้ ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วยื่นมือมาสัมผัสทักทายกับเขาพร้อมด้วยสายตาหวานฉ่ำ สัมผัสทักทายของเธอเต็มไปด้วยความเย้ายวน เธอขยับนิ้วชี้ยุกยิกบนฝ่ามือเขา ก่อนที่เขาจะถอนมือกลับมาแล้วกุมไว้เหนือหน้าท้องด้วยท่าทางสุภาพ

แต่อัลมาญิดก็อดลอบมองเธอไม่ได้ ผมของเธอยาวเป็นประกายสีทอง แต่งหน้าจัดจ้าน โดยเฉพาะริมฝีปากอวบอิ่มนั้นแดงแปร๊ดทีเดียว แม้จะอยู่ในชุดคลุมรุ่มร่ามอย่างคนพื้นเมือง มีผ้าคลุมบางๆ คลุมศีรษะ แต่ก็ยังสามารถเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าได้อย่างชัดเจน บ่งบอกได้เลยว่าภายใต้ผ้าเนื้อหนานั้น อุดมไปด้วยหนั่นเนื้อสมบูรณ์แค่ไหน

“เอ่อ...เชิญนั่งดีกว่าครับ” โทมัสผายมือไปที่เก้าอี้นวมน่าสบายด้วยท่าทางประหม่า หลังจากแนะนำทีมงานอีกสองสามคนให้เขารู้จัก

อัลมาญิดนั่งลงตามคำเชิญ โทมัสนั่งลงตรงข้าม ส่วนคนอื่นๆ ขอแยกตัวไปด้วยเหตุผลต่างๆ กัน คงเหลือแต่อันนาที่ทรุดตัวลงนั่งเยื้องมาทางเขาค่อนข้างมาก สายตาจับจ้องเขาตลอดเวลา เขาไม่ได้สนใจการอ่อยเหยื่อของหญิงสาวเท่าไรนัก แม้จะต้องตาต้องใจในความงดงามของเธอ เนื่องจากมีประเด็นอันสำคัญที่เป็นเหตุให้เขาดั้นด้นจากทะเลทรายอันแห้งแล้งมาสู่เมืองหลวงอันศิวิไลซ์นี่

โทมัสเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทเยอร์เก้น บริษัทยาและเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมนี เขานำทีมมาสำรวจเส้นทางที่คณะกรรมการของบริษัทจะเดินทางไปดูงานในหน่วยแพทย์อาสาที่ลิฮาซ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการช่วยเหลือด้านยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ตามที่ชีคหนุ่มได้ทำเรื่องร้องขอไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว

ที่ชีคอัลมาญิดเลือกขอความช่วยเหลือจากบริษัทเอกชนมากกว่าองค์กรของรัฐและองค์กรระหว่างประเทศเพราะคิดว่ายังมีอีกหลายเมืองที่ประสบปัญหาด้านอนามัยมากกว่า ประกอบกับสืบรู้มาว่าบริษัทนี้มีงบช่วยเหลืออยู่ จึงติดต่อไป แต่ก็ใช้เวลานานพอดูกว่าพวกเขาจะหันมามอง

โทมัสนำข่าวดีมาให้ เขาบอกว่ามีแนวโน้มสูงว่าลิฮาซจะได้รับความช่วยเหลือ เพราะไม่ได้มีภาวะสงครามกลางเมืองเหมือนในประเทศอื่น เพียงแต่ต้องการทำตามขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งของที่จะส่งมาจะได้ใช้ประโยชน์จริงๆ และไม่ถูกแย่งชิงไประหว่างทางเท่านั้น

“ไม่มีกองโจรทะเลทรายมานานหลายทศวรรษแล้วครับ เรื่องปล้นชิงสิ่งของไม่ต้องเป็นห่วง” เขาบอก

“ได้ฟังแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย”

“แต่ถึงกระนั้น ทางเราก็ไม่ประมาท ระหว่างทางลำเลียง เราจะส่งหน่วยทหารมาคุ้มกันให้เป็นอย่างดี” อัลมาญิดเสริม “ส่วนเรื่องการเดินทางก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเช่นกัน เรามีเครื่องบินจากอัลรีฟไปถึงดุนยา ที่นั่นมีถนนตัดผ่านทะเลทรายจนไปถึงหมู่บ้านซัลมูนซึ่งเป็นเมืองชายขอบของเขตการปกครองที่หนึ่ง จากที่นั้นเราอาจใช้รถโฟร์วิลล์หรืออูฐเพื่อขนส่งยาไปยังโอเอซิสลิฮาซ ใช้เวลาโดยรวมแล้วก็แค่สามถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น”

“แหม ถ้าสะดวกสบายอย่างนี้ ทุกอย่างคงผ่านฉลุย”

“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณกับทีมของคุณไปสนามบินนะครับ เราจะได้ไปสำรวจเส้นทางกัน”

“ได้ครับ” โทมัสตอบ

“ว่าแต่ระหว่างทางที่ไปลิฮาซ พวกคุณสองคนอยากจะทดลองนั่งอูฐหรือโฟร์วิลล์ดีครับ”

“อูฐค่ะ” หญิงสาวตอบ ดวงตาวิบวับเป็นประกาย

“เป็นทางเลือกที่ท้าทายมากครับ” อัลมาญิดเอ่ยพร้อมรอยยิ้มพึงใจ

“เอ่อ...ถ้างั้นผมขอไปทางรถก็แล้วกัน จะได้ศึกษาอีกเส้นทางหนึ่งไปด้วย” โทมัสบอกอ้อมแอ้มพร้อมใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อตรงขมับ “ส่วนคนอื่นๆ ผมจะแจ้งให้ท่านชีคทราบอีกทีนะครับ ว่าจะมีใครอยากขี่อูฐไปบ้าง”

“ได้ครับ...ผมจะให้คนจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม”

“ขอบคุณท่านชีคมากนะครับที่อำนวยความสะดวกพวกเรา”

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกคุณ” ชีคหนุ่มเอ่ยอย่างถ่อมตน ก่อนจะชวนอาคันตุกะทั้งสองพูดคุยถึงแผนงานต่างๆ สักพัก จึงขอตัวไปพักผ่อน

“แล้วถ้ามีปัญหาอะไร เราสองคนจะติดต่อท่านชีคได้ที่ไหนคะ” อันนาแทรกขึ้นขณะที่อัลมาญิดกำลังจะยื่นมือไปสัมผัสกับเจ้านายของเธอเพื่อเป็นการบอกลา

“ปัญหา?” เขาทวนคำ

“ฉันแค่เผื่อไว้ค่ะ” เธอยิ้มหวาน ปรายตาให้เขาอย่างยั่วยวน “ที่นี่ต่างบ้านต่างภาษา พวกเราพูดอาหรับไม่ได้ อาจต้องพึ่งคงที่รู้ภาษาถิ่นดีกว่า ท่านชีคมีโทรศัพท์ไหมคะ”

อัลมาญิดหัวเราะเบาๆ กับการจู่โจมของหญิงสาว ก่อนจะโบกมือช้าๆ “ผมไม่ใช้ของพวกนั้นหรอกครับ”

อันนาทำหน้าแปลกใจ เพราะในยุคปัจจุบันนี้ โทรศัพท์มือถือแทบจะกลายเป็นปัจจัยที่หกสำหรับมนุษย์ไปเสียแล้ว

“เอาเป็นว่า ถ้ามีปัญหาอะไรจะติดต่อผม ก็โทร.ไปที่ห้องพักได้เลยครับ ค่ำนี้ผมคงไม่ไปไหน” ชีคหนุ่มเอ่ยพร้อมกับบอกหมายเลขห้องให้คนทั้งสองรับทราบ จากนั้นก็ขอตัวเดินจากมา เพราะรู้สึกเพลียกับการเดินทางและอึดอัดกับสภาพของเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารสูงใหญ่มากมายเต็มที

เมื่อไปถึงห้องพัก ซึ่งเป็นห้องแบบธรรมดา ไม่ใช่ห้องสวีทหรูหรา เขาก็ถอดชุดกันดูรากับกูฟียะห์ออกแล้วเดินเปลือยท่อนบนไปเปิดน้ำใส่อ่าง หวังว่าจะแช่น้ำให้สบายแล้วนอนพักเพื่อเตรียมเดินทางกลับลิฮาซในรุ่งเช้า

ทว่ายังไม่ทันเดินออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู อัลมาญิดรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษจากบริการต่างๆ ของโรงแรม เขาเดินออกจากห้องน้ำไปที่ประตู มองลอดช่องเล็กๆ ออกไปข้างนอก แล้วก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าคนที่มากดกริ่งนั้นคือ อันนา เกอร์ฮาร์ดท์

อัลมาญิดขมวดคิ้วมุ่น หันไปหยิบกันดูรามาสวม ก่อนจะเปิดประตูออกไปพบกับหญิงสาวชาวเยอรมัน

“สวัสดีค่ะ ท่านชีค” เธอยิ้มหวาน

“ขอสันติจงมีแด่คุณ มิสเกอร์ฮาร์ดท์” เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย

“เรียกอันนาดีกว่าค่ะ”

“ครับ คุณอันนา” เขาพยักหน้า “คุณอันนามีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”

“แหม ใครจะกล้าล่ะคะ” หญิงสาวยิ้มเจื่อน “ฉันแค่อยากหาคนไปรับประทานอาหารเย็นด้วยน่ะค่ะ ก็เลยลองมาชวนท่านชีคดู”

“แล้ว มิสเตอร์ ไมเออร์ กับคนอื่นล่ะครับ”

“มิสเตอร์ ไมเออร์ ขอตัวพักผ่อนค่ะ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปเที่ยวแบบ...ผู้ชาย”

“อืม…” ชายหนุ่มครางในลำคอ จ้องมองใบหน้าสวยหวานอย่างคิดคำนึง

ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน แม้จะเคยผ่านผู้หญิงมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เจอคนที่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้อย่างลงตัวจริงๆ ไม่เป็นเพราะเขาไม่ถูกใจเธอ ก็เป็นเพราะพวกเธอไม่ถูกใจเขา หลายคนที่ผ่านเข้ามาคิดว่าตำแหน่งลูกชายชีคเจ้าเมืองในตะวันออกกลางจะทำให้เขามีฐานะมั่งคั่ง แต่พอคบหากันจริงๆ แล้วรู้ว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยอย่างที่คิด พวกเธอก็ตีจากไปอย่างไม่มีเยื่อใย

อันนาเป็นคนสวย ท่าทางคล่องแคล้ว แม้จะมีท่าทางเฟลิตไปสักหน่อย แต่มันก็คงจะไม่ยุติธรรมกับทั้งเขาและเธอนัก ถ้าเขาปิดโอกาสตัวเองที่จะได้ทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้อีกสักนิด ไม่เพียงแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เพราะหลายครั้งที่เขารู้จักคนที่ภายนอกดูสมถะ แต่ในที่สุดก็กลับพบว่ามันเป็นแค่เพียงอาภรณ์หนังแกะที่หุ้มหมาป่าเอาไว้เท่านั้น

บางทีเจ้าหน้าที่สาวจากบริษัทยายักษ์ใหญ่คนนี้ อาจเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองก็ได้ ใครจะรู้

“ที่นี่ผู้หญิงเดินตามท้องถนนคนเดียวคงไม่เหมาะนักใช่ไหมคะ” เธอโยนคำถามใส่เขาหลังจากเขานิ่งไปครู่ใหญ่ “แถมฉันเองก็ไม่ค่อยรู้ภาษาอาหรับเท่าไร คงแย่หากเกิดปัญหาอะไร”

“ผมขอเวลาสักสิบนาที” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด

อันนายิ้มหวาน ก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางด้านหลังเขา “งั้นฉันเข้าไปรอข้างในได้ไหมคะ”

“ชายหญิงไม่ควรจะอยู่ในห้องเดียวกัน” อัลมาญิดปฏิเสธอย่างสุภาพ “อีกอย่างห้องผมก็คับแคบ ผมว่าคุณไปรอที่ล็อบบี้ดีกว่าครับ”

หญิงสาวชะเง้อข้ามไหล่เขาเข้าไปในห้อง “แปลกนะคะ ทำไมคุณถึงมานอนห้องธรรมดาล่ะ”

“ก็แค่ที่ซุกหัวนอนคืนเดียวนี่ครับ พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางต่อแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะสิ้นเปลืองไปทำไม” ชีคหนุ่มตอบ “อีกอย่าง ผมไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรนี่ครับ ถึงจะได้เสียเงินค่าห้องพักแพงๆ”

“ถ่อมตัวไปไหมคะ” เธอค้อน

ท่าทางอย่างนั้นอาจเป็นเพราะเธอคิดว่าชีคเจ้าเมืองทุกคนจะต้องร่ำรวยมหาศาล มีแนวโน้มว่าเธอจะเป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ผ่านมาไม่น้อย นั่นทำให้เขาต้องเผื่อใจเอาไว้สักหน่อย

“ผมขอเวลาสิบนาที แล้วจะลงไปพบคุณที่ล็อบบี้” อัลมาญิดย้ำ

“โอเคค่ะ” อันนาพยักหน้าอย่างผิดหวัง ก่อนจะถอยออกไปหนึ่งก้าวเพื่อให้เขาปิดประตู

เมื่อกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง อัลมาญิดจึงเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ ปิดน้ำก๊อกที่ไหลลงอ่าง เปิดฝาท่อระบายน้ำเพื่อให้น้ำเหล่านั้นไหลลงไป ก่อนจะถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำจากฝักบัวอย่างรวดเร็วแทนที่จะแช่น้ำอุ่นให้สบายกายอย่างที่ตั้งใจไว้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น