ชายหนุ่มในชุดสูทเหล่อเนี้ยบมองเวทีที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งมีคู่บ่าวสาวที่คนหนึ่งยิ้มหน้าบานแฉ่งอย่างสดใส ในขณะชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวนั้น แม้จะมีใบหน้าเรียบนิ่ง ยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย แต่ก็เรียกว่าหล่อจนคนในงานอิจฉาเจ้าสาวเลยทีเดียว
จะไม่ให้อิจฉาได้อย่างไร ในเมื่อคนเป็นเจ้าบ่าวคือ ปรมัตถ์ พระเอกสุดฮอตที่สาวๆคลั่งไคล้ทั่วประเทศ แถมการแต่งงานในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มกระแสตกแต่อย่างใด เมื่อแฟนคลับของเขาไม่ใช่แฟนคลับธรรมดา แต่เป็นแฟนคลับที่รักกันไปถึงจิตวิญญาณ เข้าใจในความเป็นปุถุชน พร้อมใจกันสนับสนุนในทุกด้าน เรียกว่าจะซัพพอร์ตกันไปจนถึงรุ่นลูกของปรมัตถ์เลยทีเดียว
ปรเมศวร์กลับมาเมืองไทยได้เกือบเดือนแล้ว ตอนที่กลับมาถึงใหม่ๆ เขารู้สึกเซอร์ไพรส์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อบิดามารดาบอกเล่าถึงเรื่องราวการกลับมาของปรมัตถ์ น้องชายหัวดื้อของเขาที่ออกจากบ้านไปเพราะทะเลาะกับพ่อ เจ้านั่นอยากเป็นนักแสดงแต่พ่ออยากให้สืบทอดธุรกิจ แถมใจแข็งและทิฐิสูงทั้งคู่ คนลูกก็สู้ยิบตาอยากพิสูจน์ว่าสามารถไปถึงฝั่งฝันด้วยลำแข้งของตัวเอง ในขณะที่คนพ่อไม่ยอมละทิฐิ เพราะตัวเองเป็นฝ่ายไล่ลูกชายไปเอง แถมยังดูถูกดูแคลนในอาชีพที่นายปรมัตถ์เลือกเดินว่าสิ้นคิด...
ทว่านานวันเข้า การที่คนเป็นลูกไม่กลับมาก็ทำให้พ่อของเขาทุกข์ตรมจนสุขภาพทรุดโทรมลงไปมาก ต้องให้น้องเขยมาช่วยดูแล ส่วนเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกไม่แท้ เมื่อเรียนจบปริญญาตรีก็ถูกส่งไปเรียนต่อโทที่อเมริกาพร้อมกับฝึกงานที่โรงแรมในเครือกลางกรุงนิวยอร์ก พร้อมกับเข้าบริหารงานเป็นผู้บริหารเต็มตัวเมื่อเรียนจบปริญญาโท
เซอร์ไพรส์ที่สอง เจ้าน้องชายนั่นแต่งงานจดทะเบียนสมรสเรียบร้อย กับหญิงสาวที่อายุห่างกันเป็นรอบ แถมรูปร่างหน้าตาไม่ใช่สเปกมันเลยด้วยซ้ำ แต่จากที่มารดาของเขาเล่าก็ดูท่าจะปลื้มเจ้าหล่อนอย่างออกนอกหน้าทีเดียว นั่นก็เพราะหนูเก้ของแม่เป็นกามเทพให้ครอบครัวของเขากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งนั่นเอง
เจ้าบ่าวเจ้าสาวของงานในวันนี้ก็คือนายปรมัตถ์กับเกวลี น้องชายน้องสะใภ้ของเขานั่นเอง นัยว่าการจัดงานแต่งวันนี้บิดามารดาจัดงานเลี้ยงฉลองสมรสอย่างเอิกเกริก ก็เพราะต้องการประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ดาราหนุ่มชื่อดัง ปอนด์ ปรมัตถ์ เป็นลูกชายพวกท่านและเพื่อสยบข่าวลือที่ว่าครอบครัวของปรมัตถ์รังเกียจลูกสะใภ้โนเนมอย่างเกวลี
คนอย่างคุณนายปรางทิพย์ลองได้รักใครแล้ว ใครอย่าได้มาแตะ ลูกสะใภ้คนนี้หากพูดไปแล้ว ดูท่าจะรักมากกว่าลูกชายสองคนเสียอีก เนื่องจากท่านอยากได้ลูกสาวมานาน แล้วยายหนูเก้นั่นก็ได้อย่างใจท่านทุกอย่าง คิดแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา...
จะว่าไป เริ่มแรกที่เขาเข้ามาอยู่ในบ้านฉัตรแก้ว ตอนนั้นปรมัตถ์อายุประมาณสองขวบ ส่วนเขาห้าขวบ เจ้านั่นน่ารักเหมือนกับ...อ่า ตุ๊กตาบาร์บี้ เพราะคุณแม่ซึ่งก็คือป้าแท้ๆ ของเขา ชอบจับเจ้าปอนด์ไว้ผมยาวประบ่า แล้วแต่งหญิงให้มันซะน่ารัก ดีที่คุณพ่อออกปากกับคุณแม่ว่าเจ้าปอนด์เริ่มโตจะเข้าอนุบาลแล้ว เดี๋ยวลูกสับสน กว่าคุณแม่จะยอมลงให้ คุณพ่อก็ต้องกล่อมอยู่เป็นเดือน
เขาเองก็แอบสงสารมันอยู่เหมือนกัน แต่พอมันโตขึ้นกลับกลายเป็นเสือร้ายไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ทั้งที่หน้าหวานขนาดนั้น...
ชายหนุ่มหลบเหล่าสาวๆที่ต่างเข้ามาพูดคุยทำความรู้จัก ทั้งเข้ามาแบบเอียงอายและจู่โจมถึงเนื้อถึงตัว รวมถึงลูกสาวของบรรดาคุณหญิงคุณนายที่เป็นเพื่อนกับมารดาของเขา ซึ่งเข้ามาทางมารดาให้พามาแนะนำให้เขารู้จักแต่ละคนมองเขาราวกับอาหารหวาน จนตัวเขาเองยังแอบกลัวใจพวกเธอ
ปรเมศวร์มองหาน้ำเปล่าเพื่อดับกระหาย มีบริกรเดินผ่านมาพอดีพร้อมกับค้อมกายให้เขา ชายหนุ่มจึงหยิบมาหนึ่งแก้วแล้วเดินไปที่ซุ้มอาหารซึ่งตอนนี้แทบไม่มีใครสนใจ เนื่องจากทุกคนดูจะสนใจคู่บ่าวสาวและพิธีกรในงานกันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีการพูดจาหยอกเย้าแซวกันเล่นบนเวที
ชายหนุ่มในชุดสูทหรูจากห้องเสื้อชาร์ลส์ที่เขาไว้ใจและเป็นเพื่อนปาร์ตี้ในวงสังคม ด้วยความสูง ๑๘๘เซนติเมตรทำให้เขาดูสมาร์ทจนสาวๆมองตามตาละห้อย แม้แต่หนุ่มๆนิยมชายก็มองเขาตาปรอยทีเดียว การต้องหาที่หลบคนจึงค่อนข้างยากเมื่อกลายเป็นที่จับตาในความโดดเด่น
ปรเมศวร์อาศัยช่วงที่คนสนใจบ่าวสาวบนเวทีเดินไปหลบที่มุมหนึ่งซึ่งเป็นซุ้มขนมหวาน และยืนมองจากตรงนี้ขึ้นไปบนเวที ด้วยความสูงเกินมาตรฐานชายไทยจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเห็นคนบนเวที
ทว่ายืนดูไปสักพักก็เริ่มหิว เขาจึงหันกลับมาทางซุ้มอาหารด้านหลัง ก็พบว่ามันเป็นซุ้มอาหารหวานพวกเค้กมะพร้าว บราวนี่ และเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มพายบลูเบอร์รี่ และอีกมากมายละลานตาทีเดียว ในขณะที่เขากำลังจะยื่นมือไปหยิบเค้กมะพร้าวที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน กลับมีเสียงไอและสำลักขึ้นมา
เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็นเด็กสาวในชุดเมดน่ารัก ติดป้ายชื่อพนักงาน กำลังสำลักอยู่ เมื่อสังเกตดีๆ ก็เห็นเธอหน้าแดงพร้อมกับพยายามกลั้นไอไม่ให้เสียงดัง ตาเหลือกลานด้วยความตกใจ ในขณะแก้มป่องจากอาหารในปากที่ยังเคี้ยวไม่หมด มือข้างหนึ่งจับอยู่ที่คอ ส่วนอีกข้างทุบอกปั้กๆ อย่างพยายามระงับอาการสำลัก ดูตลกจนเขาขำออกมาเบาๆ
คนตัวโตเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้เลยยื่นแก้วน้ำของตัวเองที่จิบไปเพียงเล็กน้อยให้เธอ คนตรงหน้าตาโตจ้องเขาอย่างตื่นตระหนก แต่ก็รีบคว้าแก้วน้ำไปดื่มจนหมดแก้ว พลางทำสีหน้าเหยเกเมื่อหายสำลักและกลืนอาหารลงไปได้
เธอรีบวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วยกมือไหว้เขา พร้อมเอ่ยเสียงกระซิบ
“เอ่อ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉัน คือ...” ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงก็เดินผ่านมา เขาตรวจตราตามซุ้มอย่างเข้มงวดด้วยสายตาราวกับเครื่องสแกน เธอจึงรีบบอกคนตัวสูงที่ยืนอยู่ “ขอร้องละค่ะ คุณอย่าบอกคนที่กำลังเดินมานั่นว่าฉันกินอาหารนะคะ...”
ทั้งที่ชายหนุ่มผู้เป็นแขกในงานไม่ได้ตอบรับคำอะไร แต่เขากลับขยับมายืนบังเธอและทำเป็นยืนเลือกเค้ก ภัสสรรีบก้มเอียงหน้าหลบความผิด สายตาเหลือบเห็นว่าผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงยืนอยู่ห่างจากชายร่างสูงหน้าตาดีคนนี้ แต่เพียงครู่เขาก็เดินจากไป และเธอได้ยินแว่วๆว่า “ตามสบายนะครับ คุณ...มีอะไรให้รับใช้ก็เรียกผมได้นะครับ” ด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมเหลือเกิน
เธอฟังไม่ถนัดนักว่าเขาชื่ออะไร ด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังจากบนเวทีเพราะเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาว ทั้งเสียงฮือฮา เสียงแฟลชดังระรัว แล้วเสียงผู้คนก็ยิ่งดังเข้าไปอีกเมื่อเจ้าสาวหอมแก้มเจ้าบ่าวรัวๆ ที่ลักยิ้มสองข้าง คนหลงเมียได้แต่ยิ้มระรื่นแกมเอ็นดูเจ้าสาวตัวน้อยของเขา แล้วรวบตัวมาเจ้าสาวจูบโชว์นักข่าวในงานเสียเลย นักข่าวบางคนแทบลืมถ่ายรูป เพราะมัวแต่ดูเพลินจนแข้งขาแทบอ่อนระทวยไปพร้อมกับเจ้าสาวกันเลยทีเดียว
“เขาไปแล้วครับ” เสียงที่เอ่ยขึ้นทำให้เธอหันมาและเงยหน้ามองเขาด้วยความขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะคะ จริงๆ แล้วมันเป็นกฎน่ะค่ะว่าห้ามพวกเราพนักงานกินอาหารในงาน”
“แล้วทำไมคุณไม่ทำตามกฎล่ะ ในเมื่อต้องมาทำอาชีพนี้”
“จริงๆ ฉันเพิ่งมาทำงานนี้วันแรกน่ะค่ะ แล้วเอ่อ ฉันก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน มันเลยหิวจนแสบท้องไปหมด แถมเค้กก็น่ากินมากด้วย ฉันเลยอดใจไม่ไหว แล้วเค้กนี่ก็เหลือเต็มเลยค่ะ หลังจากเสร็จพิธี เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้ แขกก็กลับหมดแล้ว”เธอพยายามอธิบาย
“แล้วทำไมคุณไม่รอให้จบงานก่อนล่ะ หลังจากนั้นค่อยกินก็ได้”
“ก็เค้กมันน่ากินนี่คะ เจ้าช็อกโกแลตหน้านิ่มนี่ ฉันเห็นแล้วท้องร้องเลย” เธอบอกเขาพลางชี้ไปที่เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มด้วยสายตาละห้อยทีเดียว จนคนมองอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ และเขาเพิ่งสังเกตว่าที่ปากด้านบนของเธอเลอะช็อกโกแลตดูตลกชะมัด
“คุณคงยังไม่อิ่มสินะ ดูก็รู้”
“หืม คุณอ่านใจคนได้ด้วยเหรอคะ แหะๆ เค้กหน้านิ่มเนื้อละมุนแบบนี้ สามชิ้นกำลังดีเลยค่ะ” เธอยิ้มให้พลางมองสบตาด้วยแววระยิบระยับ ราวกับหลงรักเขาเสียนักหนา แต่ปรเมศวร์รู้ว่ามันไม่ใช่ เพราะแววระยิบระยับนั่นเธอมอบมันให้แก่เจ้าเค้กหน้านิ่มต่างหาก
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก รู้สึกแปลกๆ เมื่อเจอสายตาบอกรักช็อกโกแลตของเธอ
“เอางี้ ผมจะบังให้คุณเอง แล้วคุณก็กินเจ้านั่นอีกชิ้น คราวนี้ค่อยๆ กินล่ะ”
“เอ่อ จะดีเหรอคะ” เธอว่าอย่างลังเล พลางชะเง้อมองหาหัวหน้าฝ่ายจัดเลี้ยง พนักงานตามซุ้มต่างๆ เธอก็เห็นว่าไม่มีใครสนใจใครเลย “งั้นฉันจะกินอีกชิ้นนะคะ รองท้องไปก่อน กว่าจะได้กลับบ้านคงอีกนานเลย”
ภัสสรรีบหยิบชิ้นเค้กที่มีฟอยล์สีเงินรองอยู่ด้านล่างไปกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีชายหนุ่มใจดีบังให้และเธอเอนตัวหลบไปอีกทาง ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็ส่งเสียงให้สัญญาณกับเขา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แม้จะผิดกฎแต่คุณก็ยังเข้าใจฉัน แถมยังช่วยฉันอีก” เธอยิ้มให้เขา พร้อมกับใช้หลังมือปัดเศษช็อกโกแลตที่ติดมุมปาก
“ไม่เป็นไร ก็คุณหิวนี่นา แล้วของมันก็เหลืออยู่แล้ว” เขาบอกยิ้มๆ พลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปปาดเช็ดช็อกโกแลตที่อยู่ตรงมุมปากด้านบนเฉียงไปทางแก้มออกให้เสียเอง
ภัสสรไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ดูคุกคามอะไรเธอ แถมยังใจดีและสุภาพมากอีกด้วย
“อุ๊ย ขอบคุณค่า มือคุณเปรอะเลย” เธอว่าอย่างเขินๆ ที่กินมูมมามต่อหน้าเขา เลยรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กให้อีกฝ่าย เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตนเองมีสิ่งนี้อยู่ในกระเป๋ากระโปรง
เขารับไปแล้วเช็ดที่มือด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่แทนที่จะคืนผ้าเช็ดหน้าให้เธอ เขากลับยัดมันใส่ลงในกระเป๋ากางเกงไปหน้าตาเฉย
คนที่มองตามอิริยาบถแขกหนุ่มใจดีในงานจึงทำตาโตงงงัน จะเอ่ยปากขอคืนก็รีบหุบปากลงฉับเมื่อเกิดลังเลไม่กล้าขึ้นมา แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกับการที่เขาช่วยเธอจากหัวหน้าฝ่ายจัดเลี้ยง แถมยังให้เธอกินเค้กของโปรดอีก
ภัสสรได้แต่มองผ้าเช็ดหน้าที่ปักเองกับมือเป็นอักษรตัว P และมีรายละเอียดในตัวอักษรที่เป็นรูปดอกกุหลาบ ใบไม้ และลวดลายเล็กๆ ที่ตั้งใจทำ แล้วเธอก็เพิ่งทำได้เป็นผืนแรกเสียด้วย งือ เสียดาย
ชายหนุ่มทำเป็นเมินสายตาของหญิงสาวที่มองตามผ้าเช็ดหน้าตาละห้อยทีเดียว ไม่รู้ทำไมเขาจึงรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งให้เธอทำสีหน้าตลกๆ ยิ่งมองก็ยิ่งอารมณ์ดี อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้มองเขาด้วยสายตาแบบที่หญิงสาวคนอื่นมอง เขาจึงพูดคุยกับเธอได้อย่างสบายๆ
“ตั้งใจทำงานล่ะ ผมไปนะ” เขาบอกเธอด้วยเสียงเรียบนิ่งพลางเหลือบมองป้ายชื่อที่ติดตรงหน้าอกของหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มจนตาหยีแล้วยกมือไหว้เขา โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเลิกงานแล้ว ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงก็เรียกเธอไว้ ในขณะที่พนักคนอื่นทยอยกลับกันไปบ้างแล้ว ภัสสรรับค่าตอบแทนมาเก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย พร้อมกับได้รับข่าวดีว่าให้เธอมาใหม่ในเช้าวันพรุ่งนี้ เขามีตำแหน่งให้เธอทำ เอาไว้ค่อยมาคุยรายละเอียดกันทีหลัง เพราะวันนี้ดึกมากแล้ว
ภัสสรยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายขณะยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมกับสายตาหวานเชื่อมเพราะความง่วงนอน แถมยังเผลอหาวออกมาหนึ่งทีให้ได้อายและเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก เธอรีบปิดปากแล้วยิ้มให้เขาอย่างเขินๆ
สาธิตเป็นชายวัยห้าสิบที่อายุมากกว่าเธอถึงสองรอบ เรียกว่าเป็นพ่อเธอได้ด้วยซ้ำ แม้เขาจะดูเข้มงวดด้วยตำแหน่งหน้าที่ แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขาดูเป็นคนดีมากคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะที่เสียมารยาท” เธอรีบบอกเขาพลางทำหน้าแหย
“เธอชื่ออะไรนะ” เขาไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับเอ่ยถามชื่อเธอ
“ภัสสรค่ะ”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงชื่อเล่นน่ะ”
“พัดค่ะ” เธอบอกเขาพลางทำมือโบกไปมา เพื่ออธิบายความหมายชื่อไปด้วย
“อื้ม พรุ่งนี้เธอก็มาแต่เช้า สักแปดโมง แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีนะ” เขาบอกย้ำอีกครั้งราวกับกลัวเธอจะลืม
“ค่ะ” เธอรับคำ “งั้นพัดไปก่อนนะคะ”
“เอ้อ เดี๋ยวก่อน เอานี่กลับไปกินที่บ้านด้วย ของในงานแต่งเหลือเยอะเลย พอดีว่าวันนี้มีงานแต่งของน้องชายเจ้าของโรงแรม ท่านเลยสั่งให้พนักงานแบ่งกันเอากลับบ้านไปกินน่ะ เธอรังเกียจรึเปล่า”
“เอ๋ จริงเหรอคะ! ไม่รังเกียจเลยค่ะ” ภัสสรตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่ามันเป็นกล่องเค้ก หลังจากรับถุงกระดาษที่มีกล่องสีขาวค่อนข้างใหญ่และกล่องใสๆ เล็กลงมาสักครึ่งของกล่อง “แล้วคนอื่นเล่าคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาแบ่งกันไปหมดแล้ว เหลืออันนี้ที่ฉันกันเอาไว้ให้น่ะ แล้วก็มีพวกแซนด์วิชด้วย” เขาบอก แววตาอ่อนแสงลงด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นท่าทีดีใจของอีกฝ่าย
“เจ้าของโรงแรมใจดีจังเลยนะคะ”
“อืม ท่านใจดี แต่กับเฉพาะบางคนเท่านั้นละ” เขาแค่นเสียงที่ฟังดูทะแม่งๆ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ด้วยวันนี้เป็นความโชคดีไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ได้ทั้งงานได้ทั้งขนม แค่นี้ก็นอนหลับฝันดีแล้ว
“งั้นพัดกลับก่อนนะคะ” เธอยกมือไหว้ชายสูงวัยกว่ามากทั้งถุงขนม
“ไปเถอะ กลับบ้านดีๆ”
“ค่ะ บ้านพัดอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวเรียกมอเตอร์ไซค์ไปค่ะ” ว่าแล้วก็หันหลังเดินเร็วๆ ออกไปด้วยสีหน้าสดใส
ชายวัยกลางคนมองตามหลังอีกฝ่ายพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เขาเดินกลับเข้าไปในตึกที่อยู่ด้านหลังโรงแรม ในส่วนที่เป็นออฟฟิศพนักงาน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาใครบางคน
“เรียบร้อยแล้วครับ พรุ่งนี้เธอจะมาตอนแปดโมง”
ปลายสายถามกลับมา
“ครับ เธอบอกว่าจะกลับมอเตอร์ไซค์วิน”
“ออกไปนานรึยัง”
“เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่ครับ”
“โอเค...เรื่องนี้เก็บไว้เป็นความลับนะ”
“ครับ ผมไม่ได้บอกใคร”พูดจบสาธิตก็วางสายพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ส่ายศีรษะเมื่อคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขา แค่ทำตามความต้องการของคนที่เป็นนายก็พอ
ตัวเขาก็ต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน ทุ่มเททำงานมานานขนาดนี้ ไม่กี่ปีก็เกษียณ ถึงเวลาก็ต้องถอยให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน เขาคิดพลางเก็บเอกสารบนโต๊ะ แล้วหยิบกระเป๋า มองสำรวจห้องว่าปิดไฟปิดคอมพ์เรียบร้อยแล้ว จึงปิดล็อกห้อง แล้วเดินไปที่ลานจอดรถเพื่อกลับบ้านเสียที
ในขณะภัสสรเดินออกมาถึงด้านหน้าโรงแรมพอดีกับที่รถเบนซ์สีดำมันปลาบแล่นมาพร้อมกับบีบแตร เธอจึงหันไปมอง ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มใจดีนั่นเอง
“คุณ...”เธอไม่ได้แปลกใจที่เจอเขา เพราะรู้ว่าชายหนุ่มเป็นแขกที่มาในงาน แต่แปลกใจที่เขาบังเอิญกลับเวลาเดียวกับเธอ
“ผมทำธุระอยู่น่ะเลยเพิ่งกลับ ว่าแต่คุณจะกลับบ้านใช่มั้ย ไปทางไหนล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หารถยาก เผื่อเป็นทางที่ผมผ่านก็นั่งไปด้วยกัน ผมจะจอดให้ลง” เขารีบบอกเมื่อเห็นเธอทำตาโตมองเขาด้วยความแปลกใจ ผู้หญิงคนนี้อ่านง่ายชะมัด ความรู้สึกแสดงออกมาทางสายตาหมดเลย
“บ้านฉันอยู่ทางโน้นค่ะ ไม่ไกลจากที่นี่มากเท่าไหร่ จริงๆ ฉันไปเองก็ได้ค่ะ ไม่อยากรบกวนคุณ” เธอชี้มือบอกเส้นทางและชื่อซอย แต่สายตาเกรงใจและหวาดระแวงปรากฏให้เห็นชัดเจน
“ไม่รบกวนหรอก เป็นทางผ่านพอดี ผมต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าผมจะเป็นคนไม่ดี เพราะที่นี่มีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพคนเข้าออกไว้หมด”
“เอ่อ...”
“รถด้านหลังจี้ตูดมาแล้ว ขึ้นมาเถอะ”เขารีบบอกเมื่อเห็นไฟจากรถคันหลังส่องมา
ภัสสรมองตามสายตาของเขาก็เห็นว่ามีรถมาจริงๆ เธอจึงรีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับ ในขณะที่ปรเมศวร์ยิ้มมุมปากอย่างขำๆ แล้วรีบเคลื่อนรถออกทันที
“เป็นไงบ้าง ทำงานเหนื่อยมั้ย”
“ค่ะ อ่า ไม่ค่ะ พัด เอ่อ ฉันไม่ได้ทำอะไรมากหรอกค่ะ แค่ยกอาหารไปไว้ที่ซุ้ม แล้วคอยดูแลแขกที่มารับประทานอาหารน่ะค่ะ”
“เรียกตัวเองว่าพัดนั่นละ เรารู้จักกันแล้วนี่นา ฉันชื่อเม...ป้อน่ะ” เขาบอกไปแบบนั้น ไม่รู้ทำไมต้องเปลี่ยนใจบอกชื่อนี้กับหญิงสาวที่เขาเพิ่งได้เจอ ทั้งที่ชื่อนี้มีแต่คนในครอบครัวเท่านั้นที่เรียกขาน
ก็แค่ไม่อยากเอาเปรียบเธอ เขาหาข้ออ้างให้ตัวเอง แล้วพูดคุยเป็นกันเองกับอีกฝ่ายอย่างง่ายๆ
เสียงทุ้มเจือรอยขำนิดๆ จนเธอต้องหันไปมอง ก็เห็นว่าเขายิ้มที่มุมปากให้เธอพร้อมดวงตาพราวระริกทีเดียว แล้วหันไปขับรถต่อ
“ทำไมพัดถึงมาทำงานนี้ได้ล่ะ”
“จริงๆ วันนี้พัดมาสมัครงานน่ะค่ะ แล้วพอดีทางฝ่ายจัดเลี้ยงขาดคน เลยเสนอให้พัดลองทำดู เทรนนิดหน่อยก็ได้แล้วค่ะ พัดก็เลยรับ เพราะพัดเพิ่งจบมาใหม่ ยังไม่มีงานทำ งานนี้เลยสบายๆ ได้ค่าขนมมาแบบไม่เสียเวลาเปล่าไปหนึ่งวัน”ภัสสรหัวเราะขำตัวเองนิดหน่อย นาทีนี้งานอะไรก็รับหมด ขอให้สุจริตไม่ผิดศีลธรรมก็พอ เธออยากมีเงินเยอะๆ จะได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายพ่อแม่บ้าง
“แล้วพัดมาสมัครตำแหน่งอะไรเหรอครับ” เขาทำเสียงจริงจังจนเธอนึกสงสัย เพราะการที่เธอมาสมัครงานในโรงแรมหรูนั่นมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาสักนิด แต่เธอก็ตอบไปด้วยคิดว่าไม่ได้เสียหายอะไร
“พัดมาสมัครงานประชาสัมพันธ์ค่ะ แต่เห็นเขาบอกว่าตำแหน่งพวกนี้เต็มแล้ว เมื่อกี้ทางผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปคุยใหม่ เดี๋ยวเขาจะดูตำแหน่งงานให้ คงเห็นว่าพัดตั้งใจทำงานน่ะค่ะ แต่ที่ไหนได้ ไปแอบกินขนมเขาซะหลายชิ้น”ภัสสรยังพูดเจื้อยแจ้วติดตลก ด้วยเห็นว่าเขาไม่มีผลอะไรต่องานของเธอ แถมยังรู้เห็นเป็นใจให้เธอกินขนมเสียอีก
“อืม...” เขาฟังเงียบๆ และรับทราบในสิ่งที่เธอเล่า
หญิงสาวสังเกตว่าเขาเป็นคนพูดน้อยและค่อนข้างถือตัว แม้กับเธอ เขาจะใจดีมาส่งและพูดคุยบ้าง แต่เธอรับรู้ถึงความเคร่งเครียดในขณะที่เขาขับรถอยู่เงียบๆ ซึ่งเธอแอบมองเขาด้วยความระแวงระวังภัยนั่นเอง แม้จะยอมขึ้นรถมาด้วย แต่ก็ยังไม่วางใจนัก
จากนั้นบรรยากาศในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อชายหนุ่มดูจะตั้งใจขับรถค่อนข้างมาก มีบางครั้งที่หันมาถามทางไปบ้านเธอ แล้วในรถก็เงียบเชียบดังเดิมจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน เป็นโอกาสให้เธอได้แอบสังเกตเขาเป็นระยะ
“คุณป้อเป็นแขกฝ่ายเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวคะ” ในที่สุดภัสสรก็เป็นฝ่ายถามขึ้นมา ด้วยไม่อยากให้บรรยากาศในรถเงียบเหงาเกินไป ไม่รู้ทำไม ยิ่งมองผู้ชายตัวสูงข้างๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความเหงาและเศร้าหมองแปลกๆ เธอไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
“หือ...” เขาหันมามองเธอด้วยแววตาแปลกใจในประโยคที่เธอถาม จนหญิงสาวรู้สึกผิดที่เสียมารยาทถามออกไปในเรื่องที่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันไม่ควรถาม
“เอ่อ ขอโทษค่ะที่พัดละลาบละล้วง” ภัสสรขยับตัวยุกยิกอย่างอึดอัดกับสายตาเคร่งขรึมของเขา
“โอ๊ะ ไม่นี่ ไม่ได้ละลาบละล้วงสักนิด ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก นี่ฉันเผลอทำหน้าดุใส่พัดไปเหรอ ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ” เขาพูดแล้วหันมายิ้มให้เธอนิดๆ “ฉันค่อนข้างเครียดเรื่องงานน่ะ เพราะเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แล้วก็ต้องมาดูแลงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง อาจต้องปรับเปลี่ยนอะไรอีกเยอะ เลยเครียดไปหน่อย”
“อ้อค่ะ” เธอตอบเขาแค่นั้น ด้วยกลัวจะเผลอเสียมารยาทกับเขาอีกในขณะหลุบตามองกล่องขนมที่กอดอยู่ราวกับมันเป็นที่พึ่ง
“ฉันเป็นแขกฝ่ายเจ้าบ่าวน่ะ” ปรเมศวร์เลือกจะบอกแค่นั้น ด้วยไม่อยากให้เธอเกร็งในการพูดคุยกับเขา หากรู้ว่าเป็นพี่ชายเจ้าบ่าว แถมยังเป็นผู้บริหารโรงแรมที่เธอไปสมัครงานเสียอีก
“ท่าทางเจ้าบ่าวจะรวยมากเลยเนอะ แถมยังเป็นดาราดังด้วย เจ้าสาวก็น่ารักมาก สมกันสุดๆ เลยค่ะ พัดแอบมองชุดเจ้าสาวตั้งหลายครั้ง มันสวยมากจนตาพร่าไปหมด ชายผ้างี้ยาวเฟื้อยแล้วก็อลังการเหมือนในหนังเลยค่ะ ดูๆ ไปแล้วเจ้าสาวก็เหมือนเจ้าหญิงนะคะ”
“อื้ม สองคนนั้นเหมาะสมกันดี” เขาตอบรับอย่างประหยัดคำพูด ทั้งที่ภัสสรเผลอพูดอย่างตื่นเต้นไปตั้งมากมาย “ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงมีความฝันที่จะได้แต่งงานกับผู้ชายรวยๆ สักคน”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าแต่งกับคนรวยแล้วชีวิตแห้งแล้ง พัดไม่แต่งดีกว่า” เธอทำเสียงเหมือนโกรธเขานิดๆ กับคำพูดดูถูกผู้หญิง
“คงจะมีแต่พัดละมั้งที่คิดแบบนี้ เพราะที่ฉันเจอมาก็มักเลือกเงินมากกว่าความรัก”
“คุณป้ออย่าเหมารวมสิคะ...อ๊ะ นั่นค่ะ คุณป้อจอดที่ซอยซ้ายมือข้างหน้าเลยค่ะ” เธออยากจะว่าเขาให้มากกว่านี้ แต่ถึงซอยเข้าบ้านเสียก่อน
“บ้านพัดต้องเข้าซอยรึเปล่า” เขาชะลอรถแล้วถามด้วยเสียงอ่อนจนเธอจับน้ำเสียงได้ ว่ามันมีความห่วงใย
“ค่ะ แต่มันไม่ลึกเท่าไหร่ เดินเข้าไปหน่อยเดียวก็ถึงแล้ว”
แทนที่เขาจะจอด แต่กลับเลี้ยวเข้าไปในซอยแทน แล้วหันมาถาม
“หลังไหนบอกด้วยแล้วกัน บ้านอยู่ไม่ลึกนี่นา ไม่เสียเวลาฉันหรอก” เขาอ้างมาแบบนี้ เธอเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ก็ดีเหมือนกัน เพราะนี่มันก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว แม้จะเดินเข้าออกซอยนี้มาตั้งแต่เกิด แต่เธอก็ไม่เคยกลับบ้านดึกขนาดนี้มาก่อน อย่างมากก็แค่สองทุ่ม
ซอยบ้านเธออยู่ไม่ลึกนัก ด้านหน้าเป็นหมู่บ้านทาวน์เฮาส์สองชั้นซึ่งไม่มียามเพราะโอนให้เขตดูแลแล้ว และทางเข้าสามารถทะลุมาที่ส่วนชุมชนบ้านของเธอได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ครึ่งตึกและอยู่ริมน้ำ ที่สุดเขาก็ขับมาส่งเธอจนถึงหน้าบ้าน บ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้หลังไม่ใหญ่นัก มีรั้วไม้สีฟ้าลอกๆ สูงเลยศีรษะเมื่อเธอลงไปยืนอยู่ด้านหน้า และรั้วก็ไม่ได้ห่างจากประตูตัวบ้านเท่าไร รถเบนซ์สปอร์ตสีดำของเขาเครื่องไม่ดังนัก คนในบ้านจึงแทบไม่ได้ยินเมื่อมีรถมาจอดคนในชุมชนส่วนใหญ่ก็เข้าบ้านปิดประตูนอนกันแล้ว มีเพียงบางบ้านที่ยังเปิดไฟสว่าง
“ขอบคุณนะคะ” เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้มแหยๆ หลังจากยกมือไหว้เขาทั้งถุงในมือ เพราะเป็นกังวลว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายมาตลอดทาง เลยรู้สึกผิดที่คิดไม่ดีกับคนใจดีแบบเขา แถมเขายังไม่มีท่าทีคุกคามหรือจีบเธอแม้แต่น้อย เขาเพียงคอยถามทางเป็นระยะเหมือนคนไม่ชินทาง นอกนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย แถมยังเป็นเธอเองที่ชวนเขาคุย คนรวยแบบเขาคงไม่มาสนใจหญิงสาวแบบเธอหรอก คิดแล้วก็ขำตัวเอง
ตอนที่เธอก้าวลงจากรถนั้น มีลมเอื่อยๆ โชยมาพร้อมกับกลิ่นดอกปีบหอมหวานที่บ้านเธอปลูกและตัดเล็มไม่ให้สูงนัก ได้กลิ่นแล้วทำให้เธออารมณ์ดี ที่ขุ่นเคืองเขาในเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปสิ้น ภัสสรจึงยิ้มกว้างให้เขาพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกที่มาถึงบ้านอย่างปลอดภัยและยืนรอส่งเขากลับรถเพื่อออกจากซอยตามมารยาท เนื่องจากมันเป็นซอยตัน มีทางออกทางเดียว
ปรเมศวร์กลับรถเสร็จชะลอรถมาใกล้ๆ กับที่เธอยืนอยู่ เขามองหญิงสาวที่ยิ้มกว้างโบกมือบ๊ายบายให้อย่างน่ารักและใสซื่อ ไม่มีแววตาเสน่หาในตัวเขาสักนิด แล้วเปลี่ยนใจจอดรถข้างหน้าเธอในระยะที่เอื้อมถึง หญิงสาวมีสีหน้าแปลกใจนิดๆ ในขณะที่เขาลดกระจกลงแล้วเอาแขนเท้าขอบประตู ยื่นตัวออกไปนิดๆ จนได้กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ที่เขาไม่รู้ว่าคือดอกอะไร ผสมกับกลิ่นตัวหอมอ่อนๆ ของหญิงสาวที่ก้มตัวลงมาหาเขา
“คุณป้อ...มีอะไรรึเปล่าคะ หรือว่ากลัวจะออกปากซอยไม่ถูก” เนื่องจากว่าก่อนมาทางบ้านเธอ ในหมู่บ้านด้านหน้ามีสี่แยกแบ่งหมูบ้านเป็นโครงการๆ ซึ่งบางทีแท็กซี่ก็หลงไปทางนั้นแล้วหาทางออกไม่เจอ ต้องสังเกตตู้โทรศัพท์และชื่อป้ายโครงการ
เขายื่นหน้าออกมามองหน้าเธอด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก มันดูรื่นรมย์ผสมกับแววเศร้าสร้อย อีกแล้วเธอใจแป้วชะมัดเวลาเห็นแววตาแบบนี้ของเขา
“บ้านพัดอยู่ริมคลองเหรอ ถ้าไม่สังเกตไม่รู้เลย” เขาชะเง้อคอมองไปทางหลังบ้าน เห็นศาลาหลังน้อยอยู่ริมคลองได้รางๆ เพราะบ้านเธอตามไฟเอาไว้
“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ ยกมือไหว้ชายหนุ่มใจดีอีกครั้ง จากนี้ก็คงไม่ได้พบกัน เพราะต่างเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีทางจะมาเจอกันได้เลย
“ไปละ กินเค้กให้อร่อยนะ” เขาว่าพลางยิ้มนิดๆ แล้วกดกระจกขึ้น รอยยิ้มของชายหนุ่มทั้งหล่อและดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับพระเอกในหนังสือการ์ตูนที่ตัวสูงขายาวและมีใบหน้าผิดมนุษย์ เอ่อ เธอหมายถึงเขาหล่อมากจนไม่น่าเป็นมนุษย์ น่าจะเป็นเทพบุตรหรือเทวดามากกว่า
ภัสสรยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ แล้วรีบหันหลังไปไขประตูรั้วเข้าบ้านอย่างทุลักทุเลเพราะถุงใบใหญ่ในมือ ชายหนุ่มมองหญิงสาวจากกระจกมองหลังเพราะไฟดวงกลมที่อยู่ตรงรั้วสว่างมากทีเดียว เขาหัวเราะออกมาอย่างขำๆ
“ตลกชะมัด ยายเด็กบ๊อง”เขาขับรถช้าๆ เคลื่อนออกไป มองกระจกอีกทีก็เห็นเธอก้าวผ่านประตูรั้วเข้าไปแล้ว แต่ชะโงกตัวออกมาจากประตูมองเขาหน้าตาตื่นๆ แล้วผลุบหายเข้าไปในบ้าน
ปรเมศวร์ยิ้มมุมปากอย่างรื่นรมย์ หัวสมองปลอดโปร่ง รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาดกับการได้พบเจอหญิงสาวตัวเล็ก ตาโตแบ๊วๆ ดูธรรมดา
...แต่ในความรู้สึกกลับไม่ธรรมดาเสียอย่างนั้น
“หึๆ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างขำๆ
“กลับมาแล้วเหรอลูก” คนเป็นแม่เอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นลูกสาวเดินเข้ามาในบ้านที่ไม่กว้างนัก มีเพียงโซฟาไม้ตัวยาวที่วางชิดผนัง ภัสรากำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ ขณะรอลูกสาวกลับบ้าน ภัสสรโทร.มาบอกตั้งแต่ช่วงสายๆ แล้วว่า ตัวเองได้งานชั่วคราวที่โรงแรมหรูไม่ไกลจากบ้านนัก และอาจกลับบ้านช้า เธอเลยนั่งรอหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ โดยสามีนั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างๆ “มายังไงเหรอลูก ทำไมแม่ไม่ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์เลย”
“เอ่อ พอดีว่าคนที่โรงแรมมาส่งค่ะ บ้านเขาผ่านแถวนี้พอดี”
“หิวไหมลูก แม่แบ่งกับข้าวไว้ให้แน่ะ อยู่ในตู้กับข้าวนั่นละ” คนเป็นแม่กุลีกุจอบอกลูกสาว เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายถือของอะไรมาพะรุงพะรัง แต่ไม่ทันอีกคนที่ลุกไปช่วยแล้ว
“โอ๊ะ กล่องอะไรเบ้อเริ่มเลยลูก” คนเป็นพ่อที่ไปช่วยหิ้วของแหวกถุงดูของด้านใน แล้ววางไว้ที่โต๊ะเตี้ยข้างหน้าโซฟา
“ขนมเค้กค่ะพ่อ เป็นของที่เหลือจากในงานค่ะ แต่ว่าไม่ใช่ของเหลือเดนนะคะ เป็นของใหม่ที่ยังไม่มีใครแตะค่ะ กินได้ แล้วก็มีแซนด์วิชด้วย พ่อแม่ชิมได้เลยนะคะ เดี๋ยวพัดขอไปอาบน้ำแป๊บ แล้วจะลงมาคุยด้วย” บอกบิดามารดาด้วยรอยยิ้มสดใสแล้ว เธอก็รีบวิ่งขึ้นชั้นบนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อกลับลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่างด้านหลังบ้านติดกับส่วนครัว
ในขณะที่สองสามีภรรยานั่งกินเค้กคนละชิ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พลางดูโทรทัศน์ไปด้วย พอลูกสาวเดินออกมาจากด้านหลังบ้านก็หันไปยิ้มให้
“เค้กอร่อยมากเลยลูก ท่าทางจะแพง พ่อไม่เคยกินเค้กนิ่มๆ แบบนี้มาก่อนเลย ว่ามั้ยน้อง” วันชัยบอกลูกสาวพลางยิ้มกว้างจนเห็นช็อกโกแลตติดฟัน ดูตลกจนลูกสาวขำแล้วหันไปถามภรรยา
“อื้ม อร่อยมากลูก เค้กมะพร้าวนี่ก็อร่อย ทั้งหอมทั้งนุ่ม” ภัสราไม่ได้ตอบสามี แต่บอกลูกสาวพร้อมกับตักเค้กเข้าปากไปอีกคำ
“ค่ะ อร่อยมากจริงๆ เดี๋ยวพัดจะลงมาชิมเค้กมะพร้าวบ้าง” ว่าพลางก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปใส่เสื้อผ้า ไม่นานก็ลงมาหาพ่อแม่ ปะแป้งเย็นหอมกรุ่นในชุดนอนเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นแค่เข่า ผ้าเนื้อนิ่มพื้นขาวพิมพ์ลายกล้วยหอมกระจายทั่วตัว พลางนั่งลงแทรกกลางระหว่างพ่อแม่
“ไม่เห็นมีใครกินแซนด์วิชเลย ไม่ชอบเหรอคะ” เธอสังเกตว่ากล่องแซนด์วิชใสยังไม่ถูกเปิดออก
“โอย พ่อแม่กินข้าวอิ่มแล้วลูก แต่ยังกินขนมได้อยู่ คนละชิ้นก็พุงกางแล้ว” คนเป็นพ่อว่าพลางเอามือลูบกระหม่อมลูกสาวสุดที่รักเบาๆ ด้วยสายตาเอ็นดู คนเป็นแม่เลยถามออกมา
“จะกินข้าวเลยไหม เดี๋ยวแม่ไปช่วยยกออกมา”
“อุ๊ย ไม่ต้องค่ะแม่ เดี๋ยวพัดทำเอง แค่ไปขายของแม่ก็เหนื่อยมากแล้ว เดี๋ยวพัดมาค่ะ ตักราดเอาดีกว่า” ว่าพลางก็ลุกเดินเข้าครัวไปแล้วกลับออกมาพร้อมข้าวโปะไข่เจียวและแกงส้มดอกแคผักบุ้งถ้วยเล็กมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงกับพื้นเพื่อกินอาหารอย่างง่ายๆ
“แซนด์วิชนี่หนูก็เอาใส่ตู้เย็นไว้กินพรุ่งนี้นะลูก” คนเป็นแม่บอกด้วยรอยยิ้ม มองลูกสาวกินอาหารจากฝีมือตัวเองด้วยความรักหมดหัวใจ
ภัสสรเป็นลูกสาวคนเดียวที่ได้อย่างใจทุกอย่าง คนแถวนี้มักเมาท์มอยว่ามีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ไปโรงเรียนแป๊บๆไม่ทันทำบัตรประชาชนก็มีผัวแล้ว แถมมั่วสุมวันๆเอาแต่ซ้อนมอเตอร์ไซค์แว้นกันเป็นกลุ่มเป็นแก๊ง เปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียกันหน้าด้านๆ ไม่ทันเรียนจบม.๓มันก็ท้องป่อง ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก กลายเป็นปัญหาสังคมที่แก้ไม่ตก
เด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งจึงมีอยู่มากมายในสถานเลี้ยงเด็ก หรือไม่ก็ทิ้งให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง พอโตขึ้น เด็กก็มีพฤติกรรมคล้ายเดิมเพราะอยู่ในสังคมที่ต่ำตม มีน้อยเท่าน้อยที่จะใฝ่เรียนและตั้งใจทำมาหากินเพื่ออนาคตของตัวเอง ชีวิตของเด็กจึงวนลูปอยู่แบบนี้
เด็กสาวอย่างภัสสรจึงถูกปรามาสในเรื่องนี้ไปด้วย ใจของพ่อแม่นั้นอยากจะย้ายออกไปจากชุมชนแห่งนี้เหลือทน แต่ก็ติดที่เงินน้อย เธอกับสามีไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย สามีกับเธอนั้นพายเรือขายขนมจีนน้ำยาหาเช้ากินค่ำ เงินทองพอกินพอใช้ ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเหมือนคนอื่นก็ถือว่าดีนักหนา
ดีที่ช่วงนี้รายได้ดีเมื่อเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เธอกับสามีพายเรือไปขายของที่ตลาดริมคลอง นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกันมากมายจนตลาดคึกคัก ทำให้เจ้าของที่ริมคลองซึ่งอยู่ติดตลาดทำบ้าง ตลาดจึงยาวไปตลอดแนวริมคลองเป็นระยะไกลพอสมควรทีเดียว ทำให้มีร้านค้าเป็นจำนวนมาก มีทัวร์ต่างประเทศมาลง
พ่อค้าแม่ค้าบนบกนั้นมีมาก แต่พ่อค้าแม่ขายบนเรือยังมีน้อย นัยว่าขายยากและขายของได้น้อย เนื่องจากเรือแคบและวางของได้จำกัด แต่เธอกับสามีมักน้อย หวังกำไรไม่มาก ขายหมดที่ทำไปบนเรือก็กลับบ้านสบายใจ
ตอนนี้สองผัวเมียเลยมีเงินเก็บกับเขาบ้างแล้ว เอาไว้ได้เยอะหน่อยพอที่จะดาวน์บ้านและส่งธนาคาร ยายหนูพัดมีเงินเดือนช่วยส่งอีกแรง พร้อมเมื่อไร ครอบครัวของเธอก็จะย้ายออก บ้านหลังนี้เป็นมรดกของพ่อสามีก็จริง แม้จะอยู่มานานและผูกพัน แต่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และอันตรายที่อาจเกิดกับลูกสาวก็ทำให้เธอกังวล
“แม่คะ พรุ่งนี้พัดอาจได้งานทำแล้วค่ะ ทางโรงแรมที่พัดไปสมัครงานเขากำลังดูตำแหน่งงานให้อยู่ เลยนัดสัมภาษณ์พัดอีกครั้ง” เธอบอกมารดาหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ตอนนี้นั่งกินเค้กมะพร้าวตบท้ายอย่างเอร็ดอร่อย
“โอ๊ย ลูกพ่อโชคดีจริง ถ้ายังไงโทร.มาส่งข่าวบ้างนะลูก เผื่อพ่อจะได้ไปรอรับหน้าหมู่บ้าน” คนเป็นพ่อเอื้อมมือไปตักเค้กมะพร้าวชิ้นที่ลูกสาวกินอยู่มาชิม “เออ มันอร่อยจริงด้วย พ่อชอบมากกว่าเค้กช็อกโกแลตซะอีก”
“มีอีกหลายชิ้นเลยค่ะพ่อ แต่อย่ากินมากนะคะ เดี๋ยวเบาหวานถามหา”ลูกสาวแหย่บิดาอย่างสนิทสนม
“ไม่ต้องกลัว พ่อแข็งแรง ตรวจแล้วไม่เป็น ผลของการออกกำลังกายก็ดีแบบนี้ละ ไม่ต้องพึ่งยา” วันชัยหัวเราะขำ พลางหันไปหาคนเป็นภรรยา “คนนี้ละไม่แน่ กินแล้วก็นอน ไม่ยอมออกกำลังกาย ดีที่ทำขนมจีนเอง เลยได้ออกกำลังไปในตัว”
พ่อกับแม่หมักแป้งทำขนมจีนเองกับมือ มีทั้งแป้งสดและแป้งหมักให้ลูกค้าเลือก วันจันทร์ถึงศุกร์พ่อแม่จะพายเรือขายขนมจีนน้ำยาล่องตามคุ้งน้ำละแวกคลองที่เชื่อมต่อกัน แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์สองสามีจะเพิ่มความน่ากินด้วยการใส่สีธรรมชาติลงไปในแป้งด้วย ขนมจีนจึงมีหลากสี ส่วนน้ำยาก็มีทั้งน้ำยาปลาช่อนเข้มข้น น้ำยาป่ารสเผ็ดจัดจ้าน น้ำพริกรสหวานหอม แล้วก็แกงเขียวหวานที่มีให้เลือกทั้งไก่และหมู
แม่บอกว่าเพื่อความน่าสนใจของสินค้า เอาใจลูกค้าให้มาซื้อ แต่ก็ได้ผลจริงๆ เพราะขายดีมาก เรียกว่าหมดทุกวันจนแม่ยิ้มหน้าบาน พ่อพายเรือร้องเพลงกลับมาบ้านพร้อมขนมจากเรือของแม่ค้าเจ้าอื่นที่ช่วยอุดหนุนกัน เป็นมิตรภาพของพ่อค้าแม่ค้าแบบไทยๆ ที่ยังหาได้ในตลาดริมคลอง
“พี่วันละก็ น้องจะเอาเวลาไหนไปออกกำลังกาย กว่าจะขายของกลับมาบ้านก็เย็นย่ำ ไหนจะเก็บล้าง เตรียมของอีก ไม่ไหวละ ขอกินอิ่มนอนหลับก็พอแล้ว” ภัสราบอกกลั้วเสียงหัวเราะ
แม่ของเธออายุอ่อนกว่าพ่อเป็นสิบปี เวลาไม่อาจทำลายความรักความห่วงใยและความเสมอต้นเสมอปลายของสองคนนี้ได้เลย เคยพูดคุยเรียกขานกันแบบไหนก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น พ่อกับแม่มักเรียกกันว่า ‘พี่’ กับ ‘น้อง’ ดูน่ารักไม่แคร์สื่อกันเลยทีเดียว
ช่างน่าอิจฉาจริงจริ๊ง...ภัสสรยิ้มในใจ
“น้องก็อ้างแบบนี้ทุกที ปลุกไปเดินเช้าๆ ก็ไม่เอา เสียเวลาสักครึ่งชั่วโมงก็ได้เหงื่อแล้ว” คนเป็นสามียังต่อว่าไม่เลิก แต่ฟังแล้วดูจะเป็นการกระเซ้ากันมากกว่าพูดจริงจัง เพราะการเรียกขานกันแบบงุ้งงิ้งนี่ละ
“ไม่เอาละพี่วัน น้องไปนอนดีกว่า ขี้เกียจฟังคนขี้โม้” ภัสราค้อนให้สามี แล้วลุกขึ้นจะเก็บจานเก็บช้อนที่กินเค้กเมื่อครู่ แต่ลูกสาวเอ่ยห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ เดี๋ยวพัดเก็บล้างเอง พ่อกับแม่ไปนอนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาทำขนมจีนน้ำยาอีก ส่วนพัดก็ต้องตื่นไปสัมภาษณ์งานเหมือนกัน”
“น้องไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่อยู่คุยกับหนูพัดสักประเดี๋ยว แล้วจะตามขึ้นไป” วันชัยบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ คนเป็นภรรยาจึงเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟัน เดินปะแป้งออกมาหน้าผ่อง แล้วขึ้นบันไดไปนอน
สองพ่อลูกยังคงนั่งกินเค้กคุยกันกะหนุงกะหนิง
“พรุ่งนี้พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งปากซอยเหมือนเดิมนะลูก” คนเป็นพ่อบอก มองลูกสาวตัวน้อยของเขาอย่างแสนรักและภาคภูมิใจ
ชีวิตประจำวันของครอบครัว ซึ่งเขาต้องไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนใกล้บ้านตอนเข้าเรียนอนุบาลจนถึงประถม แต่พอลูกเข้าเรียนมัธยม เขาก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกที่หน้าปากซอยหมู่บ้านแทน โดยลูกสาวจะขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเองจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย และตอนนี้ก็กำลังจะทำงาน
ภัสสรเป็นเด็กดี ไม่เคยมีเรื่องชู้สาวให้เขาต้องเป็นห่วงเลย ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยอาจมีเพื่อนชายเข้ามาบ้าง แต่ภัสสรก็คบแบบเพื่อนหมด และตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือจนจบ
“ค่ะพ่อ รอฟังข่าวดีนะคะ” คนเป็นลูกยิ้มให้พ่อ บอกด้วยน้ำเสียงสดใส
“เก่งจริงๆ ลูกพ่อ เดี๋ยววันรับปริญญาพ่อจะให้รางวัล” ลูกสาวเพิ่งจบมาใหม่ๆ เลยยังไม่ถึงเวลาเข้าพิธีรับประกาศนียบัตร “สงสัยต้องเตรียมตัดชุดหล่อๆแล้ว คอยดูนะจะแต่งให้โก้ พวกปากหอยปากปูแถวนี้จะได้หุบปากซะที”
“พ่อก็ แค่ทุกวันนี้พ่อแม่บอกไปทั่วว่าพัดเรียนจบมหา’ลัย พวกลุงๆป้าๆแถวนี้ก็ตาร้อนผ่าวกันแล้ว” เธออดขำพ่อแม่ไม่ได้ วันที่เธอนำใบจบการศึกษากับทรานสคริปต์มาให้ ท่านก็รีบเดินออกไปโม้กับคนแถวๆนี้ให้รู้กันทั่ว ว่าลูกฉันนี่ละจบปริญญาตรีเชียวนะ ใครอย่าได้มาสบประมาท
ว่าไปแล้ว คุณวันชัยกับคุณภัสราก็ร้ายไม่เบาเลยละ ฮ่าๆ
หลังจากนั่งคุยเล่นดูรายการโปรดด้วยกันสักพักพ่อก็เดินไปดูประตูว่าล็อกเรียบร้อย แล้วไปนอนบ้าง เธอจึงเก็บของปิดไฟชั้นล่างเพื่อขึ้นห้องนอน
พอปิดไฟ มีเพียงแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างเหล็กดัด หัวถึงหมอนแทนที่จะหลับ แต่กลับนอนลืมตาโพลงอยู่เช่นนั้น เมื่อใจดันกระหวัดไปนึกถึงชายหนุ่มที่มาส่งเธอเข้า
แปลกจังที่แววตาวิบวับระคนเศร้าโศกของเขายังติดอยู่ในหัวไม่อาจลบเลือนได้เลย แม้ยามหลับตาก็กลับยิ่งแจ่มชัด ในความมีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงนั้น เมื่อมองลึกลงไป เธอเห็นความเศร้าและเย็นชาที่กัดกินเขาอยู่ อะไรนะที่ทำให้คนใจดีอย่างเขามีแววตาแบบนี้
เธอไม่ได้คิดถึงเขาแบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรักใครสักคน
แต่มันเป็นภาพจำที่ติดอยู่ในหัว
สงสารเหรอ ไม่น่าใช่
แล้วความรู้สึกนี้มันเรียกว่าอะไรกันนะ
เห็นอกเห็นใจ? ใช่...โอ๊ย นี่เธอคงจะบ้าไปแล้ว เขาออกจะรวย เพอร์เฟกต์ หล่อร้ายชวนหลงใหลขนาดนั้น คงมีคนรายล้อมเต็มไปหมด โดยเฉพาะสาวๆ เฮ้อ...นอนดีกว่า
ทว่าจนแล้วจนรอดภัสสรก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ เมื่อแววตาวิบวับระคนเศร้าของชายหนุ่มใจดีคนนั้นยังติดตาติดใจไม่ยอมออกไปไหน กระทั่งง่วงจัดจึงผล็อยหลับไปเอง
ปรเมศวร์ขับรถเข้าไปในคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่และโอ่อ่า ในสวนแบบอังกฤษตามไฟไว้ตลอดเส้นทางที่รถวิ่งไปจนถึงหน้าบ้าน และขับไปจอดในโรงรถ จากนั้นจึงเดินเร็วๆ เข้าไปในตัวคฤหาสน์ เขามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่ม บิดามารดาคงขึ้นนอนกันหมดแล้ว มีสาวใช้วิ่งออกมารับหน้า เพื่อสอบถามว่าเขาต้องการอะไรหรือไม่ เขาเลยบอกให้ไปนอนเสีย
ชายหนุ่มเพียงเดินขึ้นบันไดตรงโถงกลางไปเงียบๆ ห้องของเขาอยู่ตรงกลางๆ ของบ้าน ในขณะที่พ่อกับแม่อยู่ห้องทางปีกขวา บ้านหลังนี้ทั้งใหญ่และกว้างขวางตามสไตล์ยุโรปที่เน้นความหรูหราและอลังการ ไม่ใช่สไตล์ของเขา แต่ก็อยู่มาตั้งแต่เด็ก จนไปอยู่อเมริกา และได้กลับมาอยู่ถาวรอีกครั้ง
ปรเมศวร์เปิดประตูห้องอันกว้างขวางราวกับโรงแรมห้าดาว ที่แบ่งโซนห้องนอน ห้องแต่งตัว ชุดโซฟานั่งเล่น และห้องน้ำ ระเบียง ทุกอย่างดูหรูหราและสะดวกสบายราวกับเขาเป็นเจ้าชายก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทออกพาดไว้บนโซฟา จากนั้นจึงเดินเข้าไปในส่วนห้องแต่งตัว ถอดเสื้อผ้าเครื่องกายเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย ปกติเขาจะใช้เวลาในการแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายจากการทำงานค่อนข้างนาน แต่วันนี้เขาอยากนอนมากกว่า จึงใช้เวลาอาบน้ำและใส่เสื้อผ้าไม่นาน ก็ออกมานอนบนเตียง กำลังจะปิดไฟนอนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เขาลุกจากที่นอนไปยังชุดโซฟานั่งเล่นที่ตัวเองพาดเสื้อสูทเอาไว้บนพนักพิง ล้วงลงในกระเป๋าเสื้อไม่มีของที่ต้องการ เลยเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ค้นหาอะไรบางอย่างกับเสื้อผ้าที่วางพาดเอาไว้บนราวเตี้ย ซึ่งตอนสายๆ สาวใช้จะเข้ามาแยกเสื้อผ้าไปซักรวมถึงเข้ามาทำความสะอาดห้อง ที่สุดชายหนุ่มยิ้มออกมาทันทีเมื่อค้นในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมา
มันมีรอยเปรอะช็อกโกแลตนิดหน่อย เขาเดินถือมันออกมาแล้วนั่งตรงปลายเตียง กางผ้าผืนเล็กสีขาวออก ก็เห็นว่าที่มุมหนึ่งมีลายปักดอกไม้ใบไม้เล็กประกอบขึ้นเป็นรูปตัว P อย่างน่ารัก
ตัว P คงย่อมาจาก ‘พัด’ สินะ...ปรเมศวร์ใช้นิ้วลูบบนลายปักนั้น สังเกตเห็นว่ามันไม่ได้สวยสมบูรณ์แบบนัก ลายปักยังโย้ๆเย้ๆ คงเพิ่งหัดปัก
ตลกดี...คิดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเผลอไผล ดวงตาพราวระยับโดยไม่รู้ตัว
เขาใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับปลายผ้าทั้งสองขึ้นส่องก็รู้สึกขัดใจกับรอยเปื้อนช็อกโกแลตเล็กๆนั่น จึงเดินเข้าห้องน้ำไปที่อ่างล้างหน้า ซักด้วยสบู่เหลวโดยขยี้เบาๆ ไม่นานก็ล้างออก แล้วตากไว้กับราวพาดผ้าที่กำแพง ผ้าผืนบางๆ ผึ่งลมไว้ไม่กี่ชั่วโมงก็แห้ง เพราะอยู่ใกล้หน้าต่างเล็กๆที่ระบายอากาศ
ปรเมศวร์เดินกลับออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แล้วกลับขึ้นไปนอนบนเตียงกว้างตามเดิม ปิดไฟจะนอนก็นอนไม่หลับตามที่ตั้งใจไว้ ภาพหญิงสาวตัวเล็กๆ ผมยาว ไว้ผมหน้าม้า ตาโตแบ๊วๆ เหมือนลูกแมว กลับแจ่มชัดในความทรงจำ เขาแทบจะได้ยินเสียงเมี้ยวๆอยู่ข้างหูด้วยซ้ำ
ท่าทีหงอๆ แต่เวลาไม่พอใจที่ได้ยินเขาพูดผิดหูขึ้นมา ก็เหมือนจะตาวาววับพร้อมจะโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัวทันที
ถ้าไม่ถึงบ้านเธอก่อน เขาอาจจะได้เห็นคนตัวเล็กขี้โมโหก็ได้
เวลาโกรธแล้วตอบโต้จะเป็นอย่างไรนะ เขาชักอยากเห็นเสียแล้วสิ
แมวน้อยจะมีเขี้ยวเล็บอะไรเจ็บแสบขนาดไหน
หรือบางทีอาจขย้ำเขาด้วยเขี้ยวคมเล็กๆ เมื่อยามจวนตัว...
“หึๆ” ปรเมศวร์ยิ้มกริ่มทีเดียวเมื่อคิดว่าอาจถูกอีกฝ่ายฝังเขี้ยวลงบนต้นคอ หากไปแหย่แมวน้อยให้โกรธ
“แม่ครับ ช่วยด้วย แม่ ผมเจ็บ โอ๊ย พี่ครับ อย่าทำผมเลย ผมเจ็บ ผมจะไม่ดื้อไม่ซน ผม...ฮือๆ”
เด็กชายปารมีร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวด เขาเผลอทำแก้วน้ำล้มลง ด้วยกลัวว่ามันจะกลิ้งตกโต๊ะลงไปแตก เขาเลยรีบตะปบแก้วเอาไว้ แต่แทนที่จะคว้าไว้ได้ เหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เมื่อแก้วล้มลงพร้อมกับที่มือน้อยปัดโดนถ้วยแกงกะทิหมูใส่ฟักคว่ำไปด้วย มันไหลนองบนโต๊ะและโดนเสื้อผ้าสามีใหม่ของแม่ที่นั่งตรงข้ามเปรอะเต็มไปหมด
‘เสื้อกู ไอ้ปลา มึง!!’
หลังจากนั้นเขาก็ถูกชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าแม่หลายปีตบอย่างแรงจนร่วงตกเก้าอี้ถลาลงไปนอนเค้เก้กับพื้น กำลังงงๆกับแรงกระทบที่ถูกมือใหญ่ฟาดเพียะกึ่งกกหูกึ่งแก้ม ได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะในหู แก้มชาร้อน สมองมึนเบลอ เข่าและแขนที่ลงถึงพื้นก่อนมีรอยแตกจนรู้สึกแสบ
‘ไอ้เด็กเหี้ย มึงทำอะไรของมึงเนี่ย มึงทำเสื้อกูเปื้อนหมดเลยเห็นมั้ย ไอ้จัญไร’
‘วี ปลามันไม่ได้ตั้งใจ’ แทนที่ปรารถนาจะลุกขึ้นมาดูลูกชาย แต่กลับรีบไปดูเสื้อผ้าของผัวหนุ่ม พลางหันมาด่าเด็กชายอย่างโมโห
‘ไอ้วี แกนี่มันโง่จริงๆ ทั้งโง่ทั้งเซ่อ โอ๊ย มึงนี่มันน่ารำคาญจริง พ่อมึงก็ผลักภาระ เอามึงมาให้กู สารเลวจริงๆ’ ว่าพลางก็หันไปหาผ้ามาเช็ดให้ผัวรักอย่างพะเน้าพะนอ ไม่แม้แต่จะมาสนใจว่าลูกชายเป็นอย่างไรบ้าง
เด็กชายปลาลุกขึ้นมานั่ง แผลเก่ายังไม่ทันหาย แผลใหม่บนเข่าและศอกก็มาใหม่ รอยฟกช้ำทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันหลายจุด เมื่อเจ็บ เด็กที่ผิวเนื้ออ่อนก็ร้องไห้ออกมา ยิ่งร้องไห้เสียงดัง ผัวใหม่แม่ก็ปรี่เข้ามาเตะซ้ำจนเขาตัวงอ จุกจนร้องไม่ออก
หูข้างที่ไม่โดนตบได้ยินเสียงชายใจร้ายด่าทอเขาเสียงดัง เหมือนว่านายวีจะเข้ามาเตะซ้ำ แต่แม่ที่ยืนตัวสั่นหน้าซีดรีบร้องห้ามออกมา พร้อมกับดึงตัวชายหนุ่มเอาไว้
แม่ช่วยเขาแล้ว แม่ปกป้องเขา...
เด็กน้อยยิ้มออกมาเมื่อลืมตาขึ้นมอง ตอนนี้เขาทั้งเจ็บปวดและระบมไปหมด
‘อย่าวี...อย่าทำมันเลย เดี๋ยวมันตายขึ้นมาหรอก’
แต่...เหมือนว่าแม่จะไม่ได้ช่วยเขา แม่เพียงเป็นห่วงว่าผู้ชายใจร้ายที่เป็นผัวแม่จะถูกตำรวจจับ
แม่ไม่ได้ปกป้องเขา...แม่ไม่เคยปกป้องเขาเลยด้วยซ้ำ
ไหนใครบอกว่าคนที่รักเราที่สุดก็คือพ่อแม่
แล้วแม่ที่กอดผู้ชายที่ทำร้ายลูกตัวเองคนนี้ล่ะ...
เด็กชายปลาร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง
แต่ตอนนี้เขาเจ็บเหลือเกิน ไม่มีใครช่วยเขาได้
เขาไม่มีใครเลย
เขากำลังจะตายใช่ไหม...
ถ้าเขาตายไปคงมีแต่คนดีใจ
ตัวภาระที่ไม่มีประโยชน์กับใคร ตัวภาระที่น่ารังเกียจ
คนที่ไม่มีใครต้องการอย่างเขาไม่น่าเกิดมาเลย
เขาเหนื่อยล้าและเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่อยากลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้อีก ทำไมโลกใบนี้โหดร้ายกับเขานัก ทำไม...
เขาไม่อยากหาคำตอบแล้ว เขาอยากพัก...พอแล้วกับโลกใบนี้
เด็กชายปลาหลับตาพร้อมกับความมืดที่เข้าครอบงำ สติหลุดลอยไปกับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ
“แม่...” เสียงทุ้มแหบต่ำเปล่งออกมาอย่างยากเย็น พร้อมกับที่เขาลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืด แสงที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างในคืนเดือนหงายทำให้มองเห็นข้าวของภายในห้องได้เลือนรางเมื่อมีน้ำตาไหลอาบใบหน้า ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ พลางถอนหายใจออกมา
ปรเมศวร์ลุกขึ้นนั่งบนเตียงกว้าง เกลี่ยน้ำตาของเด็กชายออกจากแก้มเบาๆ ความหดหู่และเศร้าเกาะกินจนหน่วง หนาวเหน็บเข้าไปถึงหัวใจ ความฝันเมื่อครู่ช่างแจ่มชัดกว่าครั้งไหนๆ เขาไม่ได้ฝันถึงวัยเด็กมานานมากแล้ว และในความฝันนั้นล้วนเป็นความทรงจำเก่าก่อนที่เคยเกิดขึ้นจริง
มันติดอยู่ในความทรงจำในวัยเด็กที่ไม่เคยลบเลือนไปจากใจได้เลย
ชายหนุ่มลุกจากเตียงไปยืนกอดอกริมหน้าต่างบานยาว ทอดสายตามองลงไปยังสวนสวยที่ตามไฟเอาไว้
เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมจึงฝันถึงเรื่องราวในวัยเด็กขึ้นมา
เป็นเพราะเขามาอยู่เมืองไทยและรู้อยู่แก่ใจว่า คนที่ทำร้ายจิตใจอยู่ไม่ไกลจากอิทธิพลของเขาที่จะยื่นมือไปจัดการเมื่อไรก็ได้
ปรเมศวร์ให้คนตามสืบว่าผู้หญิงใจร้ายคนนั้นอยู่ที่ไหน และผู้ชายคนนั้นที่เคยทำร้ายเขาอย่างแสนสาหัสเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้อมูลอยู่ในมือของเขาหมดแล้ว เวรกรรมได้ตามสนองผู้หญิงคนนั้นอยู่ไม่น้อยเลย
ผู้หญิงคนนั้นทั้งแก่และทรุดโทรมลงมาก ในขณะที่มันคนนั้นเข้าสู่วัยกลางคนและไม่ได้ซื่อสัตย์กับเจ้าหล่อน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังทนอยู่กับมันและหาเงินมาปรนเปรอมันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ส่วนชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขาซึ่งก็อายุมากตามวัย แต่ดูภูมิฐานขึ้น และอยู่กับครอบครัวใหม่อย่างมีความสุข คงลืมไปแล้วว่ายังมีลูกชายอยู่อีกคน หึๆ
ปรเมศวร์เหยียดยิ้มมุมปาก เยาะเย้ยให้ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่...
ความคิดเห็น |
---|