‘เงยหน้าขึ้นมองตาฉัน เธอจะได้รู้ไงว่าฉันพูดจริงๆ เอสเธอร์ ลี ไม่สิ...ช่อผกา หึ’
ภาพ เสียง และอารมณ์ของเขายังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของเธออย่างแจ่มชัด เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ แม้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่มันกลับเป็น...ไม่กี่นาทีที่เธอรู้สึกว่าเนิ่นนานเหลือเกิน ผู้ชายคนนั้นไม่ได้แตะต้องเธอแม้แต่ปลายเล็บ แต่เขากลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดราวกับถูกแรงมหาศาลบีบรัดไปทั้งตัว คงเป็นเพราะแววตาของเขา...แววตาที่ฉายผ่านนัยน์ตาดำสนิทสุดเกรี้ยวกราดคู่นั้นแน่ๆ ที่กดลมหายใจของเธอเอาไว้ คำขู่ที่เชือดเฉือนของเขาคมกริบไม่แพ้รอยยิ้มเหยียดหยันที่มุมปากนั้นเลย
อารมณ์รุ่มร้อนที่เขาสะบัดเข้าฟาดฟันทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปนั้น ยังคงตกค้างและซึมลึกอยู่ในหัวใจของเธออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจางหาย หญิงสาวชันขาเรียวขึ้นก่อนจะรวบมันด้วยสองแขน แก้มใสข้างซ้ายวางแนบกับหัวเข่าพร้อมกับที่สมองยังตกอยู่ในบ่วงความคิด
...เขารู้...
เขารู้ว่าเธอคือ เอสเธอร์ ลี ดวงตาคู่สวยส่ายไปมาด้วยความสับสน ที่นี่...นอกจากเธอแล้วก็มีแค่พี่เอกเท่านั้นที่รู้ว่าเธอเคยใช้ชื่อนั้นมาก่อน เขาไม่มีทางรู้มาจากพี่เอกแน่ แล้วถ้าอย่างนั้นเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน พลันความคิดหนึ่งก็ฉายวาบขึ้นในหัว...หรือว่า...เขาจะสืบประวัติเธอมาจากคนที่โรงแรม เขายิ่งคิดว่าเธอเป็นพวกขี้ขโมยอยู่แล้วด้วย มันก็คงไม่แปลกถ้าเขาจะหาทางตามจับหัวขโมยคนนั้น ดวงตากลมเบิกกว้าง
“เขาคง...ไม่หาทางจับเราส่งตำรวจหรอกใช่ไหมเนี่ย แล้วที่ขู่จะจับโยนลงบ่อบัวอะไรก็ไม่รู้นั่นอีก ประเทศไทยเขาฆ่าคนเป็นว่าเล่นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” สองมือบางเลื่อนลงทาบที่อกซ้าย แรงเต้นของมันไหวสั่นราวกับถูกกระแทกซ้ำๆ ยิ่งนึกถึงแววตาที่เขาจ้องกลับมา คนตัวเล็กที่กอดเข่าคุดคู้ก็เริ่มสั่นสะท้านตามแรงเขย่าของหัวใจไปด้วย
“ทำไมต้องคิดว่าฉันจะทำร้ายคนในบ้านด้วย แล้วทำไมต้องเกลียด ทำไมต้องไล่กันขนาดนี้ ไม่เห็นจะต้องขู่เลย ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างฉันจะไปสู้อะไรคุณได้...” เสียงสั่นเครือของหญิงสาวพรั่งพรูคำถามที่คับแน่นอยู่ในอก คำถามที่รู้ดีว่าพูดตรงนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ แต่ก็จำต้องระบายออกมาก่อน ก่อนที่มันจะ...กลั่นตัวเป็นน้ำตา
ช่อผกาเอื้อมมือคว้าเอาผ้าห่มผืนบางที่อยู่ห่างตัวไปไม่มากมาคลุมตัวเธอเอาไว้ราวกับหาที่คุ้มภัย ภายในห้องนอนที่สว่างไสว...ทว่าไม่รู้ทำไมเธอรู้สึกกลัวจับหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความหวาดกลัวที่เหมือนกำลังเดินอยู่ในความมืด...ความมืดในหัวใจของใครบางคน
ผู้ดูแลสาวที่หน้าตามีความสดใสไม่เต็มร้อยเดินไปยังห้องครัว เพราะอาการผวาจนต้องหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืนนั่นละ ตัวการใหญ่ที่ทำให้ใบหน้าของเธออิดโรย แล้วถ้ายังต้องเจอเขาทุกวันแบบนี้ละก็ คงหนีไม่พ้นนอนสะดุ้งทุกคืนแน่ๆ
“มาลี มีอะไรให้ช่อช่วยไหม” สมาชิกใหม่ของบ้านเอ่ยทักหญิงสาววัยไล่เลี่ยกัน ที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้าน
“อ้าว คุณช่อ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ”
คนฟังยิ้มตอบนิดๆ อยากจะบอกมาลีเหลือเกินว่าเธอ...แทบจะไม่ได้นอนเลยมากกว่า
“ไม่ต้องเรียกว่าคุณช่อหรอก เราก็น่าจะอายุใกล้ๆ กันใช่ไหม เป็นเพื่อนกัน...ได้ไหม เรียกช่อเฉยๆ ก็พอ ยังไงช่อก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านอยู่แล้ว ไม่ใช่เจ้านายของมาลีซะหน่อย”
“จะดีเหรอคะคุณช่อ” สาวใช้ยังคงลังเล
“ไม่เอาน่ะมาลี ช่อไม่มีเพื่อนเลย เป็นเพื่อนกับช่อนะ”
มาลีผลิยิ้มเมื่อได้ฟังเหตุผลของเจ้าของสายตาวิงวอน “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ”
“งั้น...ให้ช่อช่วยนะ” สาวร่างบางว่าพร้อมกับเดินตรงไปหาเพื่อนใหม่ที่กำลังคนอาหารในหม้ออยู่หน้าเตาไฟ
“อืม...งั้นช่อหยิบชามตรงชั้นซ้ายมือนั้นออกมาให้ทีนะ เอาออกมาสี่ใบ วันนี้มีข้าวต้มไก่”
ลูกมืออาสาหันมองตามคำบอกของแม่ครัวมือใหม่ ก่อนจะหยิบชามขนาดกลางลวดลายสวยงามออกมาวางบนโต๊ะจัดเตรียม ซึ่งตั้งอยู่กลางห้องครัว
“ช้อนอยู่ในลิ้นชักที่ตรงกับชั้นวางชามเลย” มาลีหันกลับมาบอกราวกับอ่านคำถามในหัวของหญิงสาวได้ จนช่อผกาแอบระบายยิ้มเพราะความเป็นทีมเวิร์กของพวกเธอ ก่อนจะจัดการตามหน้าที่
มาลียกหม้อข้าวต้มกลิ่นหอมฉุยจากเตามาวางลงบนแผ่นไม้รองก้นหม้อ เพื่อป้องกันความร้อนสัมผัสกับโต๊ะโดยตรง ควันที่ลอยฟุ้งออกมาจากหม้อ กำลังนำกลิ่นอันเย้ายวนมากระตุ้นกระเพาะของสองสาวให้ตื่นขึ้นมาทำงานก่อนเวลาอันควร
“หอมมากเลย น่ากินมากๆ ด้วย” ช่อผกายกมือขึ้นปิดปากราวกับกลัวว่าน้ำลายจะหกลงไปในหม้อระหว่างที่เจ้าตัวชะโงกดูสีสันชวนรับประทานของข้าวต้มไก่
“เดี๋ยวก็ได้ทานแล้ว ช่อเอาเยอะแค่ไหนบอกด้วยนะ ชามนี้ของช่อ”
“ชามนั้นของช่อเหรอ” สาวเจ้าขมวดคิ้วพลางชี้ไปยังชามที่อยู่ใกล้มาลีมากที่สุด
คนถูกถามพยักหน้า “ใช่ คุณย่าพริ้มเพราสั่งให้จัดของช่อขึ้นโต๊ะอีกที่นึงด้วย”
“อ้าว ถ้ารวมของช่อด้วย แล้วทำไมจัดแค่สี่ที่ล่ะ ไม่ใช่ห้าเหรอ” เพราะถ้าแค่คุณย่ากับแฝดสามก็สี่ที่แล้ว รวมเธอเข้าไปด้วยก็ต้องห้าที่สิ
“สี่ที่แหละถูกแล้ว คุณธามออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อคืน ยังไม่กลับมาเลย”
คนฟังกระตุกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของ...เขาคนนั้น แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาทีความโล่งใจก็เข้ามาแทนที่...ค่อยยังชั่วหน่อย อย่างน้อยเช้านี้ก็ไม่ต้องร่วมโต๊ะกับคนใจร้าย ถือว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้แก่การทำงานวันแรกก็แล้วกัน
แต่จะว่าไป...เมื่อคืนตอนห้าทุ่มเขายังตามมาอาฆาตเธออยู่เลย แสดงว่าก็ต้องออกไปหลังจากนั้น ออกจากบ้านยามวิกาลแบบนั้น...เดาได้ไม่ยากเลยว่าไปไหน
“คุณธาม...เขากลับเช้าแบบนี้บ่อยเหรอ” ช่อผกาหันไปถามคนที่ยังคงง่วนอยู่กับการตักข้าวต้มใส่ชาม เพราะถ้าคำตอบคือใช่ นั่นก็แปลว่าวันนั้นเธอจะไม่ต้องร่วมโต๊ะอาหารเช้ากับเขา แล้วก็ดูเหมือนว่าสวรรค์ไม่ได้ใจร้ายกับเธอเท่าไหรนัก
“ใช่ แถมกลับมานี่กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะ สี่ห้าเดือนที่มาลีอยู่ที่นี่มานะ คุณธามนอนที่บ้านนับครั้งได้เลย แถมฝนยังเคยบอกนะว่าบางทีตื่นมาตอนเช้าเจอคุณธามนอนอยู่โซฟาห้องรับแขกบ้าง ห้องทีวีบ้าง นอนไปทั่วบ้านเลย เมาจนขึ้นชั้นสองไม่ไหว ขับรถกลับมาได้ก็บุญแล้ว”
ช่อผกาพยักหน้าตามพลางยิ้มแห้งๆ ให้คนพูด
“เอ้อ แต่ต่อให้วันไหนคุณธามนอนที่บ้าน เธอก็ไม่รับอาหารเช้าหรอกนะ ก็จัดสี่ที่เหมือนเดิม ยกเว้นวันที่คุณธีร์นอนที่ค่ายทหารก็จัดแค่สามที่พอ” แล้วการอธิบายเพิ่มเติมที่ตามมาสมทบนั้นก็เปลี่ยนยิ้มแห้งๆ ของช่อผกาให้กลายเป็นยิ้มกว้าง ถ้าเขาไม่รับอาหารเช้า ก็เป็นไปได้ว่าเธอจะไม่ต้องเจอหน้าเขาตลอดทั้งวันจนกว่าจะถึงมื้อเย็นเลยน่ะสิ แบบนี้อาหารเช้าคงเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของวันแน่ๆ
ห้องนั่งเล่นขนาดเล็กด้านหนึ่งเป็นชานไม้ทอดยาวออกไปถึงสวนหย่อมข้างบ้าน กระจกบ้านใหญ่ที่ถูกใช้แทนผนังกั้นนั้น เมื่อเปิดผ้าม่านสีครีมที่ยาวจดพื้นออก จะยิ่งทำให้ห้องดูกว้างและโล่งสบายตา สีขาวของชุดตกแต่งก็ทำให้ห้องดูสว่างมากขึ้นอีก สมแล้วที่เป็นคฤหาสน์ของเจ้าของบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ ช่างออกแบบทุกส่วนในบ้านหลังนี้เอาไว้ได้อย่างลงตัวจริงๆ
ช่อผกานั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวที่ตั้งตระหง่านกลางห้อง โดยมีคุณย่าพริ้มเพรานั่งอยู่ตรงกลาง และนมผันนั่งถัดจากคุณย่าไปอีกที กิจกรรมที่กำลังดึงความสนใจของทั้งสามอยู่ในขณะนี้เป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากการเล่าเรื่องความหลังวัยเยาว์ของหลานชายคนโตให้คนที่อาจจะมาเป็นหลานสะใภ้ฟัง ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวอะไรกับเขาเลย
อัลบัมรูปจำนวนมากถูกนำมาวางเรียงเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะกระจก หญิงสาวกำลังกวาดสายตาไปตามภาพถ่ายที่ความซีดจางของสีนั้นบ่งบอกถึงอายุของมันได้ดี แต่ความสุขที่ถูกบันทึกเอาไว้นั้นคล้ายว่าไม่ได้จืดจางไปเลยแม้แต่น้อย มันยังคงฉายอยู่บนใบหน้าของหญิงชราสองท่านนี้อย่างชัดเจน
“คนที่ใส่แว่นเนี่ยหมอธัช สายตาสั้นมาตั้งแต่สิบขวบได้ละมั้ง ใช่ไหมนมผัน ใส่แว่นแต่ก็ยังน่ารักนะ หนูช่อว่าไหม”
คนถูกถามละสายตาจากภาพถ่ายเด็กชายสามคนยืนเรียงหน้ากระดาน แล้วหันไปฉีกยิ้มให้คนถาม
“ค่ะ หน้าตาดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากตอนนี้เท่าไหร่ด้วยนะคะ”
“ใช่ๆ ส่วนคนอ้วนๆ ข้างๆ นั่นเจ้าธีร์ กินเก่งที่สุดแล้วคนนี้ เมื่อก่อนใครๆ ก็เรียกว่าหมูธีร์ๆ เพิ่งจะมายืดเอาตอนจะเข้าเตรียมทหารนี่แหละ ส่วนตัวเล็กสุดนั่นก็ตาธาม ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่สามสี่ขวบ ตอนกลับมาเมืองไทยครั้งแรกนะพูดแต่ภาษาอังกฤษ คุยกับใครไม่รู้เรื่องเลย ทำเอาป่วนกันไปทั้งบ้าน”
“ใช่ค่ะคุณย่า อิฉันยังจำได้ ร้องไห้กระจองอแง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าคุณธามอยากได้อะไร”
ช่อผกามองสองคนที่กำลังระลึกความหลัง เล่าไปหัวเราะไปอย่างสนุกสนาน จนความสุขระบายขึ้นบนหน้าคนฟังอย่างเธอโดยไม่รู้ตัว
สาวร่างเล็กย้ายสายตาจากผู้ใหญ่สองท่านข้างๆ มาให้ความสนใจอัลบัมรูปที่เธอเปิดค้างเอาไว้ตรงหน้า จะว่าไป...แฝดสามดูแตกต่างกันไปคนละทางมาตั้งแต่เด็ก ที่จะเหมือนก็คงมีแค่...ความตี๋ละมั้ง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเมื่อความคิดในหัวกำลังจะทำให้เธอเสียมารยาทหลุดขำต่อหน้าผู้ใหญ่ ก่อนหญิงสาวจะพลิกเปิดอัลบัมรูปไปเรื่อยๆ เพื่อให้ภาพถ่ายเหล่านั้นค่อยๆ เล่าเรื่องราวของคนในบ้านให้เธอฟัง ยิ้มหวานผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง...อันที่จริงนี่ก็เป็นวิธีทำความรู้จักกับผู้ร่วมชายคา...ที่แปลกดีเหมือนกัน
ขณะที่เธอกำลังเพลิดเพลินอยู่กับช่วงเวลาวัยเด็กของฝาแฝดทั้งสามนั้น สายตาก็ดันไปสะดุดกับภาพภาพหนึ่งเข้า สองมือเด้งขึ้นปิดปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนดึงความสนใจจากอีกสองท่านในห้องให้หันมอง
เสียงหัวเราะร่วนของคุณย่าพริ้มเพราดังนำมาก่อน แล้วจึงเป็นเสียงหัวเราะของนมผันที่ตามมาสมทบ
“เมื่อตอนเด็กๆ ตาธามเขาชอบนักแก้ผ้าเล่นน้ำเนี่ย ป้าเขาก็เลยถ่ายรูปแบบนี้ไว้เยอะเลย”
หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก ได้แต่หันไปส่งยิ้มอย่างเขินๆ ให้คุณย่า อายจนร้อนไปหมดทั้งหน้า นึกแล้วอยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆ...ไอ้ช่อเอ๊ย แค่เห็นปิกาจูเด็กทำไมต้องเขินด้วยเนี่ย
“ทำอะไรกันอยู่ครับ เสียงหัวเราะดังไปถึงข้างนอกเลย” เสียงทักของสมาชิกอีกคนของบ้านช่วยเบรกความขวยเขินของเธอเอาไว้ได้เหมาะเจาะพอดี
“อ้าวหมอธัช กลับมาแล้วเหรอ ย่ากำลังให้หนูช่อดูรูปเราตอนเด็กๆ อยู่พอดีเลย”
ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตขาวหันไปเลิกคิ้วเล็กน้อยให้หญิงสาวที่นั่งอยู่
“แต่คุณย่าดูมากกว่าช่ออีกค่ะ สงสัยจะคิดถึงเด็กแฝดสามคนนี้มากๆ นมผันก็ด้วย”
“แหม หนูช่อ มันก็ต้องแน่ละสิ เมื่อก่อนนะรวมตัวกันเมื่อไหร่บ้านนี้เจี๊ยวจ๊าวไปหมด เดี๋ยวนี้เหรอ จะให้รวมตัวกันทีเรียกยากเรียกเย็น”
หมอหนุ่มฟังแล้วเดินมานั่งลงตรงโซฟาเล็กใกล้ๆ
“ผมขอโทษครับคุณย่า” ธัชเอ่ยสั้นๆ
คุณย่าพยักหน้ารับพร้อมยิ้ม
“เอาเถอะ ย่าเข้าใจว่าเราทุกคนก็ต้องทำงาน หมอธัชมาก็ดีละ อยู่คุยกับหนูช่อไปก่อนนะ ย่าว่าจะขึ้นไปเอนหลังข้างบนสักหน่อยก่อนจะอาบน้ำ” คนเป็นย่าใช้โอกาสนี้เป็นข้ออ้างแยกตัวออกมา เพื่อให้เวลาส่วนตัวกับทั้งสองคนบ้าง
“ให้ช่อไปดูแลคุณย่าดีกว่านะคะ” ผู้ดูแลสาวเอ่ยขึ้นอย่างรู้หน้าที่
“ไม่ต้องหรอกจ้ะหนูช่อ เดี๋ยวนมดูแลเอง นมฝากเก็บอัลบัมเข้าตู้แทนละกันนะ” นมผันคนรู้ใจคุณย่าเอ่ยตอบแทน
คนที่เพิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่พยักหน้ารับคำแต่โดยดี
“ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้างครับน้องช่อ” ชายร่างสูงว่าพลางช่วยคนตัวเล็กจัดเก็บข้าวของ
“สนุกดีค่ะ ช่อคุยกับคุณย่าแล้วก็นมผันเพลินจนแทบจะลืมเวลาไปเลย” ที่เธอพูดนั้นเป็นเรื่องจริง คุณย่าไม่ใช่คนชราที่ป่วยหนักจนต้องได้รับการดูแลในลักษณะผู้ป่วยเหมือนอย่างที่เธอทำที่โรงพยาบาล อาจจะเดินเหินช้าไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าแข็งแรงมากเมื่อเทียบกับผู้สูงอายุในวัยเดียวกัน
“ที่จริงแล้วผลตรวจสุขภาพล่าสุดของคุณย่าก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ที่ท่านอยากให้น้องช่อมาอยู่ที่นี่คงเป็นเพราะท่านเหงามากกว่าน่ะครับ ที่บ้านนี้ก็มีแต่หลานชาย ท่านอยากมีหลานสาวมานานแล้ว แค่บอกว่าน้องช่อตอบตกลงรับทำงานนี้ ท่านก็ยิ้มไม่หุบเลย สงสัยจะถูกใจน้องช่อเอามากๆ”
“โห ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ท่านใจดีกับช่อมากกว่า” ช่อผกาส่งยิ้มกลับไปให้คู่สนทนาที่แม้จะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่เธอก็รับรู้ความปรารถนาดีของเขาได้จากแววตาใจดีคู่นั้น
บทสนทนาของหนุ่มสาวทั้งสอง ที่ไม่มีอะไรมากกว่าไปการถามไถ่เรื่องราวทั่วไปในฐานะพี่ชายกับน้องสาวร่วมบ้าน กำลังถูกถ่ายทอดสู่สายตาของใครอีกคนที่กำลังเพ่งมองมาจากสวนหย่อมข้างบ้าน
ธามมองภาพที่อยู่ห่างออกไปนั้นด้วยสีหน้าไม่สื่ออารมณ์ ทว่าในใจของเขากลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความปั่นป่วนในอารมณ์กำลังก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ บุหรี่ในมือถูกยกขึ้นจดริมฝีปาก ก่อนเขาจะลดมือลงแล้วค่อยๆ พ่นควันโขมงออกมา โดยไม่ละสายตาจากการเคลื่อนไหวของผู้หญิงตรงหน้า
“ทำงานวันแรก...ก็ท็อปฟอร์มเลยนะครับ! น้องช่อ”
ช่อผกาแยกจากคู่สนทนาของเธอที่ห้องนั่งเล่นหลังจากเก็บข้าวของทุกอย่างกลับเข้าที่เรียบร้อย หน้าที่ต่อไปของเธอก็คือการเตรียมอาหารมื้อเย็น ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอหรอก แต่อย่างไรเสียช่วงเวลาก่อนอาหารเย็นนี้เธอก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว แถมทั้งมาลีและฝนก็เป็นเพื่อนใหม่ของเธอด้วย ได้เข้ามาช่วยงานทั้งสองในครัว ก็ยังดีกว่านั่งเหงาคนเดียวอยู่ที่ห้องเป็นไหนๆ
มือบางล้วงสมาร์ตโฟนขึ้นมาเช็กข้อความที่มาลีเพิ่งส่งมาให้เมื่อครู่ อ่านเนื้อหาแล้วก็พบว่าทั้งสองคนยังติดพันอยู่กับภารกิจรีดผ้ากองใหญ่ แต่ไม่เป็นไรหรอก ช่วยเตรียมของไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน
แม้ว่าตอนอยู่ที่สิงคโปร์เธอจะไม่ค่อยได้ทำกับข้าวกินเองสักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่แล้วมักจะได้ของกินฟรีมาจากครัวของห้องอาหารที่เธอไปร้องเพลงเป็นประจำ แต่นั่นมันก็เมื่อสองปีมานี้เอง เพราะเมื่อก่อนตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ครัวเล็กๆ ของบ้านเช่าในย่านเกลังนั้นก็เป็นสถานที่แห่งความสุขที่เธอกับแม่มักจะทำกับข้าวไป ร้องเพลงไป เสร็จแล้วก็ยกมากินกันแค่สองแม่ลูก แค่คิดถึงวันเก่าๆ ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
ผู้ช่วยพยาบาลสาวเดินไปเปิดประตูตู้เย็นบานใหญ่ กวาดสายตาดูว่ามีอะไรที่พอจะเป็นมื้อเย็นแสนอร่อยของวันนี้ได้บ้าง มือเล็กเอื้อมไปหยิบจับกล่องพลาสติกถนอมอาหารขึ้นดู พลันก็เหลือบไปเป็นผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตขาวที่ยืนพิงขอบประตูครัวอยู่ สาวน้อยจึงรีบปิดตู้เย็นก่อนจะหันไปส่งคำถามให้เขา ด้วยคิดว่าคนตรงนั้นอยากจะให้ช่วยอะไรหรือเปล่า
“พี่หมอธัชอยาก...” แล้วภาพรอยยิ้มมุมปากของคนที่ยืนกอดอกอยู่ก็ทำให้เธอกลืนเอาคำถามลงไปพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง “...คุณธาม!”
“ว้า เสียใจด้วยนะที่ไม่ใช่...พี่หมอธัชน่ะ”
คนตัวเล็กถึงกับหน้าถอดสีทันทีเมื่อแววตาคมกริบถูกส่งมาเชือดเฉือนเธอพร้อมกับคำพูด มือบางที่จับกันไว้ข้างหน้าเริ่มจิกเล็บเข้ากับเนื้อ เพื่อสะกดความสั่นไหวของหัวใจที่หวาดหวั่นเอาไว้
แล้วเสือร้ายก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ “ลืมอะไรไปรึเปล่าช่อผกา...เธอถูกจ้างให้มาดูแลคุณย่า ไม่ได้จ้างให้มา...ฉอเลาะกับผู้ชาย!”
คนฟังตวัดสายตาขึ้นมองตอบเขาทันที
“ฉันไม่เคยทำอะไรอย่างที่คุณว่า!” ช่อผกาข่มความกลัวแล้วเถียงกลับไป แม้หัวใจจะสั่นไหว แต่ในเมื่อเธอไม่ได้ทำอย่างนั้น เธอก็ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
ธามแค่นหัวเราะออกมา ก่อนจะบีบเสียงพูดให้เล็กลง “พี่หมอธัชคะ พี่หมอธัชขา เหอะ”
ชายหนุ่มสะบัดลมหายใจใส่ทิ้งท้าย ก่อนสองมือกำยำของเขาจะดันไหล่บางที่กำลังสั่นระรัวให้ช่อผกาถอยกรูดไปติดกับตู้เย็นด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ความตกใจจากการถูกจู่โจมที่รุนแรงและไม่ทันได้ตั้งตัวนี้ ทำให้สาวร่างบางออกแรงขัดขืน เพื่อให้เจ้าของแววตาดุร้ายที่กำลังขึงตาใส่เธออยู่นี้ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
แต่ดูเหมือน...มันจะไม่ใช่การกระทำที่ดีนักในเวลานี้
“จะดิ้นทำไม” เสียงตะคอกที่ดังราวกับถูกคำรามใส่ ทำให้คนตัวลีบแข็งทื่อไปฉับพลัน “ไม่ต้องดิ้น ฉันไม่เล่นหรอกนะไอ้บทตบจูบกับเธอน่ะ!”
คนเกรี้ยวกราดโน้มตัวมากัดกรามที่ข้างหูเธอ ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟัน “ขยะแขยง!”
หญิงสาวกำหมัดแน่น ก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วค่อยๆ ปล่อยออกมาอย่างแผ่วเบา ความกลัวและความโกรธเริ่มปะปนกันในความรู้สึก ใจอยากจะระเบิดใส่คนตรงหน้าให้เขารู้สึกเจ็บอย่างที่เขาทำกับเธอบ้าง แต่หญิงสาวรู้ตัวดีว่าทำอย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ...ทำร้ายตัวเองทางอ้อมเลย
“ถ้าคุณเกลียดฉันมาก คุณก็อยู่ในที่ของคุณ ทำหน้าที่ของคุณ ฉันก็จะอยู่ในที่ของฉัน ทำหน้าที่ของฉัน เราต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เหรอคะ” คำถามกึ่งวิงวอนถูกส่งออกไป หมายจะให้อะไรๆ ดีขึ้นบ้าง ทว่ามันกลับเป็นอีกครั้งที่ความพยายามของเธอ...ไร้ความหมาย
คนกุมอำนาจจ้องกลับมาอย่างเอาเรื่อง “ฉันก็กำลังทำหน้าที่ของฉันอยู่นี่ไง”
“หน้าที่ของคุณ?” คิ้วเรียวผูกเข้าหากัน
“ใช่ หน้าที่ของฉันคือปกป้องคนในบ้านนี้จากสิบแปดมงกุฎที่หวังจะรวยทางลัดอย่างเธอไง ระวังตัวเอาไว้ให้ดี ฉันไม่ปล่อยเธอแน่! ช่อผกา”
ความคิดเห็น |
---|