7

บทที่ ๗


บทที่ ๗ 

 

ทุกครั้งที่ลวิตรารู้สึกกลุ้ม หล่อนมักต้องมานั่งปรับทุกข์กับใครคนหนึ่ง ครอบครัวของหล่อนเป็นครอบครัวใหญ่   ประกอบไปด้วยปู่ย่า พ่อแม่และพี่ชาย ทุกคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน นอกจากลวัศกรจะเป็นหนุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว เขายังสร้างบ้านด้วยแนวคิดเดียวกันอีกด้วย ก่อนจะสร้างบ้าน พี่ชายได้ปรึกษากับสถาปนิกที่สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว คอนเซปต์บ้านในฝันที่ต้องการคือให้บ้านนี้ประหยัดพลังงานและพึ่งพิงธรรมชาติ ลวัศกรออกแบบบ้านให้มีระบบไหลเวียนน้ำของตัวเอง มีการเชื่อมต่อน้ำในบ่อปลาตั้งแต่ชั้นบนถึงชั้นล่าง บ่อเลี้ยงปลาเป็นระบบเปิดแต่ไม่ต้องระบายน้ำทิ้ง แหล่งน้ำส่วนใหญ่มาจากน้ำฝนที่ตกตามธรรมชาติ ผ่านเครื่องกรองน้ำและสารกรองต่างๆ จนมาเป็นน้ำที่ใสสะอาดหมุนเวียนกันใช้รวมถึงน้ำในบ่อปลาด้วย

ในด้านพลังงานไฟฟ้า พี่ชายติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์รุ่นที่ดีที่สุดเพื่อประหยัดพลังงาน และเปลี่ยนพลังงานนั้นมาเป็นไฟใช้ในบ้าน แต่ขณะเดียวกันก็มีพลังไฟฟ้าสำรองเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินกรณีที่ฝนตกหรือแผงโซลาร์ไม่ทำงาน 

แปลนบ้านลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยม หนึ่งกล่องใหญ่ประกอบด้วยสามกล่องเล็กเพื่อสร้างพื้นที่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น รวมถึงระเบียงสวน พื้นที่ชั้นล่าง คือส่วนกลางสำหรับสมาชิกทุกคนทำกิจกรรมด้วยกัน กึ่งกลางคือห้องอาหารสองข้างคือบ่อปลา นอกจากนั้นบนชั้นหลังคายังมีพื้นที่ปลูกพืชผักสวนครัวสำหรับใช้ประกอบอาหาร 

บิดาเลือกที่ดินแปลงสวยจำนวนถึงสี่ไร่ เผื่อว่าในอนาคตลูกชายหรือลูกสาวแต่งงานไปและต้องการแยกไปอยู่บ้านต่างหาก พี่ชายภูมิใจบ้านหลังนี้มากเพราะคือต้นแบบของบ้านประหยัดพลังงาน จุดเด่นอีกอย่างคือสวนเต็มไปด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิด ดอกไม้ ผลไม้ ผนังแต่ละด้านออกแบบให้ช่วยลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ด้วยการปลูกพืชไม้เลื้อยทั้งตีนตุ๊กแก และต้นไม้ชนิดอื่นๆ เพื่อช่วยดูดซับไอแดดทำให้บ้านเย็นจนแทบไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศด้วยซ้ำ 

แปลนบ้านออกแบบให้มีการไหลเวียนของทิศทางลมเข้าและออกทำให้บ้านเย็นสบาย ปู่กับย่าของหล่อนอาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านทางปีกซ้ายซึ่งพื้นที่ได้มีการออกแบบให้เหมาะกับผู้สูงอายุเนื่องจากพื้นเรียบไม่มีขั้นบันได ทั้งห้องนอนห้องน้ำพื้นเรียบ เผื่อว่าในอนาคตจะสามารถใช้รถเข็นไปมาได้ 

ลวิตราตรงเข้าไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ติดกับครัวกลาง ย่าของหล่อนมักใช้เวลาส่วนใหญ่ตรงนี้ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นร่างที่คุ้นตานั่งทำขนมอยู่ ปีนี้ย่าลมอายุเจ็ดสิบปลายแล้วแต่ยังแข็งแรง แม้ตาฝ้าฟางเนื่องจากสูงอายุ แต่ก็ยังกระฉับกระเฉง ทุกเช้าย่าจะเข้าครัวคอยคุมป้าน้อยทำอาหารให้ทุกคนในบ้าน หลังจากนั้นจึงจะแบ่งสำหรับส่วนหนึ่งไปให้ปู่ในห้อง

นับตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา หล่อนก็แวะมาทักทายย่าแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ยุ่งเพราะต้องออกไปข้างนอกพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน 

“อ้าว ตาล เข้ามาสิ”

ลวิตราประนมมือไหว้ ถลาเข้าไปนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนตั่งไม้ ย่าของหล่อนกำลังปั้นแป้ง บนถาดมีแป้งลูกกลมเล็กๆ สี่สีด้วยกัน 

“คุณย่าทำอะไรอยู่คะ ให้ตาลช่วยไหม”

“บัวลอยจ้ะ ทำเป็นหรือลูก ไหนคราวที่แล้วบอกว่าไม่ชอบทำอาหารไม่ใช่หรือ”

ลวิตราเป็นคนหนึ่งที่ออกปากว่าไม่ชอบเข้าครัว สำหรับหล่อนแล้วการนั่งเป็นเวลานานชวนอึดอัดไม่น้อย

“ไม่ค่อยถนัดค่ะ แต่พอทำได้”

หล่อนมองไปในถาดและเห็นแป้งที่ย่ากำลังปั้น ขั้นตอนการทำบัวลอยนั้นเริ่มจากการทำส่วนของบัวลอยด้วยการนำแป้งข้าวเหนียวกับน้ำมาขยำรวมกัน ย่าเลือกใช้สีบัวลอยทั้งหมดจากธรรมชาติ ดังนั้นจึงมีการแบ่งแป้งเป็นสีส่วน สีนั้นมาจากน้ำใบเตย เผือก ฟักทองและบีตรูต นวดแป้งกับเผือกที่นึ่งและบดละเอียด น้ำใบเตยที่ปั่นและกรองแล้ว ฟักทองและบีตรูตที่นึ่งแล้วนำมาบดเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นก็นำมาปั้นแต่ละส่วนเป็นก้อนกลมๆ พักเอาไว้ ส่วนน้ำกะทินั้นต้องนำไปต้มให้เดือดใส่น้ำตาลทรายและเกลือ เมื่อปั้นบัวลอยเสร็จเอาไปลวกในน้ำเดือดและช้อนขึ้นพักใส่น้ำมันเอาไว้ เมื่อจะรับประทานจึงจะตักใส่ถ้วย...พ่อของหล่อนชอบไข่หวานฝีมือย่าเป็นที่สุด 

หญิงสาวมองในถาดก่อนจะหยิบแป้งส่วนที่เป็นสีม่วงขึ้นมาและปั้นเป็นก้อนตามที่ย่าเคยสอน หล่อนเหลือบมองย่า ร่างที่อวบขึ้นเล็กน้อยแต่ยังสมวัยยิ้มอย่างอารี กิจวัตรในทุกวันคือย่าจะตื่นมาตักบาตร หลังจากนั้นก็เข้าครัวคุมแม่ครัวให้เตรียมอาหารเช้าให้ทุกคน หลังจากนั้นช่วงสายก็ร้อยมาลัย บางทีก็เตรียมขนมและของว่างเอาไว้ให้ทุกคน 

“ไหวหรือลูก ย่าทำเองก็ได้นะ เดี๋ยวเลอะหมด”

“โธ่...คุณย่าคะ ตาลโตแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็ก” หญิงสาวโวย ทำเอาผู้สูงวัยอดยิ้มไม่ได้ 

“วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกหรือ ทำไมมีเวลามาหาย่าได้”

“ตาลเบื่อค่ะ รถติด สู้มานั่งทำขนมอยู่กับคุณย่าแบบนี้ดีกว่า คิดถึงที่สุด”

ร่างบางเอียงหน้ามาซบไหล่แบบประจบ 

ย่ามองหล่อนแล้วอมยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าเป็นสมัยเด็กนะ ย่าต้องคิดว่าตาลมาขออะไรแน่ๆ เลย จริงไหม”

“แหม...คุณย่าคะ ตาลน้อยใจแล้วนะ ที่มาหาเพราะคิดถึงต่างหาก” หญิงสาวอ้อน 

ลลนาหลุบตามองอย่างรู้ทัน “แต่ตาลต้องอยากให้ย่าช่วยอะไรแน่เลยใช่ไหมจ๊ะ”

ลวิตราอมยิ้ม นอกจากแม่แล้ว ย่าลลนาสนิทกับหล่อนที่สุด ท่านใจดีและเข้าใจหล่อนมาก ย่าพูดถูก ลวิตราไม่สบายใจในสิ่งที่บิดาพูด 

“ตาลแค่อยากให้คุณย่าเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังค่ะ”

“เก่าขนาดไหนล่ะ เอาตั้งแต่สมัยย่าสาวๆ เลยไหม” ย่าพูดติดตลก ตั้งแต่ไหนแต่ไรท่านเป็นผู้ใหญ่อารมณ์ดี น้อยครั้งมากที่จะเห็นย่าหงุดหงิด

“สมัยนั้นคุณย่าคงต้องเนื้อหอมมากแน่ๆ หนุ่มๆ คงจีบกันเป็นพรวนเลยใช่ไหมคะ”

ลลนาโคลงศีรษะ นัยน์ตาเป็นประกาย 

“ใครว่า ไม่มีใครจีบย่าเลยต่างหาก เพราะตอนนั้นย่าชอบเดินกับแป้ง”

“ย่าปราณปรียาหรือคะ”

ลวิตราจำได้ว่าย่าของภูรินทร์มีชื่อว่าปราณปรียา หลายคนเล่าว่าท่านสวยมาก เป็นถึงดรัมเมเยอร์ของมหาวิทยาลัย

“ใช่จ้ะ แป้งสวยมากจนทุกคนมองเห็นแต่แป้ง จนลืมย่าไปหมด แม้กระทั่งปู่ของหลาน”

แม้ลลนาจะสวยน่ารัก แต่เนื่องจากปราณปรียาเป็นถึงดรัมเมเยอร์ของมหาวิทยาลัยจึงเป็นที่สนใจของทุกคน ตอนที่สามหนุ่มเข้ามาขายขนมจีบ ลลนาเองก็อยู่ด้วย หล่อนแอบพึงใจปู่เลอสรรค์ แต่เขากลับไม่ได้มองหล่อนสักนิด จนกระทั่งเขาอกหักจากปราณปรียา ลลนาจึงคอยปลอบใจ ความเห็นใจแปรเปลี่ยนเป็นความรักและสุดท้ายก็แต่งงานกัน

“คุณย่าลมของตาลสวยออก สงสัยหนุ่มๆ ในมหาวิทยาลัยตาไม่ถึงเสียมากกว่า” ลวิตราอ้อน วางแป้งลงบนถาดแล้วเอื้อมมือมาเกาะแขน

“ปากหวานจังเลยนะ รู้จักพูดเอาใจคนแก่ด้วย”

“คุณย่าของตาลยังสาว ยังสวย ปู่คงแกล้งทำเป็นไม่สนใจเพื่อจะจีบคุณย่าต่างหาก”

“ไม่ใช่หรอก แป้งสวยมากจริงๆ ขนาดย่าเองเป็นผู้หญิงยังอดมองไม่ได้ สวย รูปร่างดี ผมยาวดกดำเป็นเงา และแป้งก็คุยเก่งมาก”

“คุณย่ารู้จักกับคุณย่าแป้งมานานแล้วหรือคะ”

“เราสองคนเรียนมัธยมด้วยกัน แล้วก็มาเจอกันอีกตอนสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ เรารู้จักกันมานานมาก”

“สนิทกันมากใช่ไหมคะ”

“ใช่ แต่น่าเสียดายตอนที่เกิดเรื่อง ย่าเองก็พลอยไม่พูดกับแป้งไปด้วย”

ย่าหมายถึงตอนที่ปู่ทั้งสามเกิดความขัดแย้งกัน ลวิตราได้ฟังเรื่องนี้มาหลายครั้ง ย่าเคยเล่าว่ามันเกิดจากเรื่องเงินแต่ไม่เคยลงรายละเอียด 

“คุณย่าเล่าให้ฟังได้ไหมคะว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น”

“ได้สิจ๊ะ เมื่อก่อนปู่สามคนต่างก็จีบแป้ง แต่สุดท้ายแป้งก็เลือกแต่งงานกับภาคภูมิทั้งที่เขาดูธรรมดากว่าใครเพื่อน”

ภาคภูมิกับปราณปรียาไปเรียนที่อังกฤษด้วยกัน ความใกล้ชิดทำให้สุดท้ายก็รู้ใจกันและตัดสินใจแต่งงาน สร้างความผิดหวังให้หนุ่มอีกสองคนเป็นอันมาก แต่เนื่องจากเป็นเพื่อนสนิทเขาจึงต้องยอมรับ 

“คุณย่าแป้งรักปู่ภาคภูมิใช่ไหมคะ”

“จ้ะ เพราะภาคภูมิเอาใจแป้งน้อยที่สุด แต่เธอก็รู้สึกว่าเขามั่นคงที่สุด สุดท้ายทั้งสองคนก็ตัดสินใจแต่งงานกัน”

“เพราะแบบนี้หรือเปล่าคะ สามตระกูลถึงได้ผิดใจกัน”

“ไม่ใช่เรื่องหลักหรอก แต่เพราะทั้งสามคนเปิดบริษัทด้วยกัน ต่างคนต่างลงหุ้นเป็นเงิน แต่แล้วจู่ๆ เงินในบริษัทก็หายไปยี่สิบล้าน”

ลวิตราชะงัก เบิกตากว้าง “ปู่ภาคภูมิโกงหรือคะ”

“ข้อนั้นย่าก็ไม่รู้ แต่แป้งยืนยันว่าสามีไม่มีทางโกงเด็ดขาด เทียมก็อ้างว่าไม่ใช่เขา สุดท้ายโทษกันไปโทษกันมา พอตกลงเรื่องเงินกันไม่ได้ ทั้งสามคนก็เลยไม่มองหน้ากัน ต่างคนต่างแยกไปเปิดบริษัทของตัวเอง”

“คุณย่าเชื่อไหมคะว่าปู่ภาคภูมิไม่ได้โกง”

ลลนาก้มหน้า สีหน้าเคร่งเครียด “บอกตรงๆ นะว่าตอนแรกย่าก็ไม่เชื่อ เขาน่าสงสัยที่สุด เพราะเป็นคนคุมบัญชี จะเบิกจ่ายอะไรก็ต้องผ่านเขา เพราะแบบนี้ย่าก็เลยโกรธและไม่ยอมพูดกับแป้ง มานึกถึงตอนนี้ย่ายังเสียใจไม่หาย เราสองคนไม่ได้คุยกันหลายปีจนกระทั่งแป้งเสีย”

ลลนาขอบแดงก่ำ ลวิตรารู้ดีว่าย่ารู้สึกเสียใจมาก เพื่อชดเชยความผิด ท่านจึงตักบาตรกรวดน้ำให้ย่าแป้งอยู่เสมอๆ 

“แต่ปู่ภาคภูมิไม่น่าโกง” ลวิตราเคยเห็นรูปถ่ายของภาคภูมิหลายครั้ง แม้อายุเจ็ดสิบปลายแล้ว แต่ยังดูแข็งแรง นัยน์ตาดูมุ่งมั่น สีหน้าจริงใจ 

“มันพูดยาก หลักฐานมันชี้ไปที่เขา ทุกคนเลยไม่เชื่อ ก็อย่างว่าละนะ การทำการค้าสิ่งที่สำคัญคือความซื่อสัตย์ ปู่ของตาลโกรธมากถึงขั้นไม่เผาผีเลยทีเดียว โชคดีหน่อยที่พอมาถึงรุ่นพ่อของหลาน ความขัดแย้งก็ลดลง”

“แต่คุณพ่อก็ยังไม่ชอบบริษัทพีพีเรียลเอสเตต”

“ไร้สาระมาก แต่ละคนก็อายุมากกันแล้ว ควรจะให้อภัยกันถึงจะถูก”

“คุณปู่เกลียดตระกูลนั้นมากหรือคะ”

“จ้ะ...ถึงจะน้อยลงแต่ก็ยังไม่ชอบหน้า แล้วก็บังเอิญสามบริษัทมาทำธุรกิจแบบเดียวกันอีก ทั้งรุ่นลูก รุ่นหลาน อีนุงตุงนังไปหมด”

ลวิตรารู้ความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี สมัยลวัศกรเรียนอยู่มัธยม เขาก็เคยแข่งตอบปัญหากับภูรินทร์หลายครั้ง ทั้งสองจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมาและเขม่นกันอยู่ในที แม้ว่าตอนนี้พี่ชายหล่อนทำท่าจะไปสมัครเป็นลูกเขยตระกูลเจริญกิจพัฒนา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกความบาดหมางจะหายไปทันที

“คุณย่าว่าการแต่งงานจะช่วยให้ความขัดแย้งลดลงไหมคะ”

ลวัศกรเองก็เคยคิดถึงตรงจุดนี้ ในวันที่สองตระกูลต้องมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง สำหรับคนที่เคยกินแหนงแคลงใจ กว่าจะเข้าหน้ากันติดคงต้องใช้เวลา โชคดีที่ว่าที่พี่สะใภ้ของหล่อนขอยืดเวลาไปก่อน ทำให้ทุกคนมีเวลาได้ปรับตัว

“พูดยากนะตาล ทุกอย่างมันเกิดจากเงินที่หายไป ย่าว่าถ้าสุดท้ายแล้วยังไม่รู้ว่าเงินนั้นหายไปไหนกันแน่ ทั้งสามคนไม่มีทางมองหน้ากันติดหรอก อย่างตาต้นตอนที่ไปชอบหนูเดียร์ ก็ต้องฝ่ายด่านหินอยู่เหมือนกัน เพราะทางนั้นก็ระแวงเรา แต่โชคยังดีนะ ถ้าเกิดตาต้นไปชอบพอลูกสาวคนเล็กของตระกูลนฤบาลบดีคงจะวุ่นกันมากกว่านี้”

“มีลูกสาวคนเล็กด้วยหรือคะ”

“นี่ตาลไม่เคยรู้หรือ”

ลวิตราขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ลลนายิ้มแล้วพูดต่อ

“มีจ้ะ ชื่อว่าหนูจิ๋ว เห็นว่าไปอยู่กับทางฝั่งยาย”

สมัยเด็กนภัสสรเคยถูกลักพาตัว หลังจากนั้นเด็กสาวก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว ทางบ้านจึงส่งให้ไปอยู่กับยายและมีบอดีการ์ดคอยตามประกบ

“มิน่า ตาลถึงไม่เคยเห็นน้องเลย”

“ย่าก็เคยเห็นแค่ตอนเด็กๆ ไม่รู้โตขึ้นแล้วจะสวยขนาดไหน ตระกูลนั้นได้เชื้อจากแป้งไปเต็มๆ ผู้ชายก็หล่อ ผู้หญิงก็สวย”

ลวิตรานึกถึงใบหน้าคมสันของภูรินทร์ เขาได้ส่วนดีจากพ่อและแม่โดยเฉพาะนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น ส่วนผิวก็ได้มาจากปราณปรียา ถึงแม้ไม่ขาวจัดแต่ก็เนียนสมชายชาตรี ความเฉียบขาดคงมาจากปู่ภาคภูมิ

“มิน่า พี่ภูถึงได้หล่อ”

“ใครหล่อนะจ๊ะ” ลลนาถาม 

ลวิตราเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปาก

“ปละ...เปล่าค่ะ ตาลก็พูดไปเรื่อย” หญิงสาวแก้ตัวละล่ำละลัก ขืนให้ใครรู้ว่าหล่อนแอบชอบภูรินทร์เรื่องคงจะยุ่ง ฟังจากที่ย่าเล่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาหลายสิบปีคงยากที่จะหายไปได้ง่ายๆ ยกเว้นหล่อนจะรู้ว่าเงินจำนวนนั้นหายไปไหน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว หล่อนคงไม่รู้จะไปสืบความจริงจากที่ไหน

“ตาลคงไม่ได้แอบชอบหนุ่มๆ บ้านนู้นใช่ไหม บอกย่ามานะ”

คนมีชนักติดหลังรีบแก้ตัวเสียงสั่น

“โอ๊ย ปละ...เปล่านะคะคุณย่า ตาลจะไปชอบเขาได้ยังไง้!” หล่อนพูดเสียงสูง รีบหลุบตาลงเพราะกลัวว่าย่าจะจับได้

“แล้วไป...ย่าจะบอกอะไรให้นะ ถ้าตาลจะมีแฟน อย่าสนใจผู้ชายตระกูลนฤบาลบดีเด็ดขาด ทั้งปู่ ทั้งพ่อต้องคัดค้านแน่ๆ แล้วยังพี่ชายตัวดีของเราอีกนะ”

“พี่ต้นเนี่ยนะคะ”

“ใช่ เห็นเงียบๆ แต่หวงน้องสาวมาก ย่าเชื่อว่าตาต้นต้องค้านหัวชนฝาเป็นคนแรก”

“ทั้งที่ตัวเองก็หลงรักลูกสาวบ้านคู่แค้นงั้นหรือ”

“ตาลก็ลองดูก็แล้วกัน แต่ย่าเชื่อว่ามองไม่ผิด”

 

ภูรินทร์อ่านข้อมูลของหญิงสาวที่วางอยู่ตรงหน้าเขา...สองวันต่อมา ศุภกิจก็ส่งเอกสารทั้งหมดมาให้ ภายในแฟ้มมีรูปถ่ายสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ประวัติการศึกษา เพื่อนสนิท ที่น่าประหลาดใจก็คือลวิตราเรียนอยู่รัฐเดียวกันกับเขาแถมยังมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกต่างหาก 

ชายหนุ่มลองทบทวนดูว่าเคยเห็นหญิงสาวมาก่อนหรือไม่ รูปสมัยเด็กของหล่อนมีน้อยมาก ศุภกิจอ้างว่าครอบครัวหล่อนไม่ค่อยพาลูกสาวคนเล็กออกงาน ผิดกับลวัศกรที่มีภาพปรากฏหราในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ในเรื่องเรียนลวิตราเป็นเด็กเรียนเก่ง หล่อนจบมัธยมศึกษาด้วยเกรด ๔.๐๐ และจบมหาวิทยาลัยได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้านบริหารธุรกิจ และวางแผนจะเรียนต่อปริญญาโท แต่สุดท้ายกลับเปลี่ยนใจกลับเมืองไทยเสียก่อน 

หล่อนมีเพื่อนสนิทสองคน หนึ่งคือชายหัวใจหญิง มีชื่อว่าณัทกร ส่วนอีกคนนั้นเป็นสาวหล่อชื่อว่ากานต์รวี รายนี้เขาคุ้นหน้าอยู่บ้างเพราะเพิ่งได้รับรางวัลนักธุรกิจดาวรุ่ง อายุน้อยแต่ร่ำรวยร้อยล้าน เนื่องจากเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ที่กำลังโด่งดังแซงหน้าคู่แข่ง

ในด้านชีวิตส่วนตัว ลวิตราไม่เคยมีแฟน ดังนั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าหล่อนต้องการให้เขารับผิดชอบลูกในท้องแทนแฟนหนุ่มเป็นอันตกไป ส่วนเรื่องการแก้แค้นนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากลวิตรามีบทบาทในครอบครัวน้อยมาก ตระกูลเลอเลิศพงศ์ตอนนี้อยู่ภายใต้การบริหารของลวัศกรเป็นหลัก ส่วนเลิศพงศ์ซึ่งเป็นบิดาคอยคุม เลอสรรค์เกษียณไปนานแล้ว และใช้เวลาส่วนใหญ่ที่บ้าน ยกเว้นประชุมกรรมการบริหารถึงจะปรากฏตัวสักครั้ง ดังนั้นการที่บริษัทอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทยก็เป็นเพราะฝีมือการบริหารของลวัศกรนั่นเอง 

“แล้วเรื่องในผับล่ะ คุณได้หลักฐานอะไรบ้างไหม”

ศุภกิจยื่นรายละเอียดซึ่งเป็นรูปถ่ายในผับ ทั้งหมดมาจากกล้องวงจรปิดที่เห็นแค่ภูรินทร์กับลวิตราเดินขึ้นห้องไปด้วยกันในลักษณะที่ทั้งคู่โอบไหล่กัน แต่นอกจากนั้นหาไม่ได้

“คงมีใครสักคนแอบขโมยเทปวันนั้นไป”

นักสืบหนุ่มไปที่ผับและใช้อำนาจเงินรวมถึงเส้นสายที่มีทั้งหมด แต่ได้คำตอบเพียงว่ากล้องวงจรปิดวันนั้นใช้งานไม่ได้ พอศุภกิจดูกลับพบว่าข้อมูลหายไปแค่ส่วนเดียว เมื่อถามพนักงานที่ทำงานในวันนั้น ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่นั่งดื่มอยู่ด้วยกันก่อนจะพากันขึ้นห้อง  

“ในโรงแรมล่ะ น่าจะพอมีหลักฐาน ผมคิดว่าถ้าผมโดนวางยาจริงๆ ลวิตราไม่น่าจะอุ้มผมคนเดียวไหว”

“ทุกอย่างเป็นแผน คุณลวิตราต้องการให้คุณแต่งงานด้วย ไม่มีเหตุผลอื่น”

“เธออ้างว่าท้อง คุณพอมีอะไรแก้ต่างให้ผมได้ไหม”

“ข้อนี้ผมจนใจ ผมลองไปสอบถามโรงพยาบาลที่เธอไปประจำ แต่ทางนั้นอ้างว่าเป็นความลับของคนไข้ เปิดเผยไม่ได้”

ภูรินทร์พยายามคิดว่าใบรับรองแพทย์ที่อ้างว่าตั้งครรภ์นั้นมาจากโรงพยาบาลหรือคลินิก แต่เขากลับนึกไม่ออกเพราะเห็นแค่แวบเดียว อีกทั้งหญิงสาวยังรีบดึงคืนกลับไป ทิ้งไว้แค่รูปถ่าย หล่อนอ้างว่าพร้อมจะตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอหลังคลอดเมื่อเขายอมแต่งงานด้วย 

“แสดงว่าผมคงหาเหตุผลมาแก้ต่างเรื่องนี้ไม่ได้”

น่าเสียดายที่วันนั้นภูรินทร์มัวแต่ตกใจ เขาเคยได้ยินว่าพยานหลักฐานบนเตียงหลังจากเสร็จกิจน่าจะพิสูจน์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงหรือเปล่า แต่วันนั้นเขารีบร้อนออกมา มีแต่เพียงรูปถ่ายที่ลวิตราเอามาให้ดูเท่านั้น 

“ผมลองสะกดรอยตามเธอ สองวันมานี้ลวิตราออกจากบ้านน้อยมาก ขลุกอยู่กับบ้าน ที่บ้านเธออยู่กันหลายคน”

รูปถ่ายของบ้านลวิตราอยู่ตรงหน้า ภูรินทร์เคยเห็นมาหลายครั้งแล้วเพราะคือต้นแบบของบ้านอนุรักษ์พลังงาน บ้านของตระกูลเลอเลิศพงศ์ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรสุดหรูแห่งหนึ่ง เขาเคยเห็นลวัศกรสัมภาษณ์ออกโทรทัศน์ด้วยความภาคภูมิใจ ยอดจองบ้านพักในโครงการสูงขึ้นหลายเท่าตัวก็เพราะโมเดลนี้ ลูกค้าหลายคนต่างต้องการบ้านที่คล้ายๆ กัน

“ลวิตราสนิทกับใครที่สุด”

“ย่ากับแม่ครับ เธอเป็นลูกคนเล็ก แล้วก็เรียนเก่งมาก ผมสืบทราบว่าสมัยประถมเธอเคยได้รับรางวัลระดับประเทศในด้านคณิตศาสตร์ แต่ไม่รู้จู่ๆ ทำไมตอนหลังเธอถึงไม่ยอมเข้าร่วมแข่งขันแม้แต่รายการเดียว”

“เธอเรียนโรงเรียนเดียวกับผมด้วยใช่ไหม” ภูรินทร์คุ้นๆ ว่าสองพี่น้องเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน 

ศุภกิจพยักหน้า ยื่นรูปถ่ายสมัยมัธยมศึกษาก่อนที่ลวิตราจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศทันทีที่เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่หกให้

“นี่คือรูปใบเดียวที่โรงเรียน นอกจากนั้นผมหาไม่ได้จริงๆ ครูที่โรงเรียนเล่าว่าเธอเป็นเด็กขี้อายแต่ก็เป็นอัจฉริยะ คิดเลขเก่งมาก แต่แล้วกลับปฏิเสธพรสวรรค์ของตัวเอง”

“เด็กอัจฉริยะแต่ใช้ความฉลาดแบล็กเมล์คนอื่น ไร้สาระที่สุด”

ศุภกิจยื่นซองที่ภายในมีเงินค่าจ้าง เขาเอ่ยขึ้น สีหน้าเคร่งเครียด “อันนี้ผมคืนให้คุณภูครับ ที่ผมทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง หาหลักฐานให้คุณหลุดจากข้อกล่าวหาไม่ได้”

ภูรินทร์ผลักซองคืนไป เขามองศุภกิจด้วยสีหน้าชื่นชม “ไม่เลย คุณทำให้ผมเข้าใจอะไรดีขึ้น คุณพูดถูก ลวิตราต้องการแต่งงานกับผม และถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ผมรู้จุดประสงค์ของเธอ นอกจากการใกล้ชิดกับเธอ”

“คุณภูมีแผนแล้วหรือครับ”

“ใช่...ผมคงต้องเข้าถ้ำเสือก่อนถึงจะได้ลูกเสือ และคราวนี้ผมจะทำให้แม่เสือสิ้นลายด้วยมือของผมเอง”

 

ภูรินทร์ทำงานยุ่งจนเกือบจะลืมแผนการของตัวเองไปเลย นับตั้งแต่ได้ข้อมูลของลวิตรามาเขาก็พยายามอ่านทวนหลายครั้งเพื่อวิเคราะห์จุดอ่อน โชคร้ายที่เขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นไม่ได้เลย ภาพที่ตัวเองเดินโอบไหล่ลวิตราออกไป คงจะเป็นหลักฐานมัดตัวชิ้นสุดท้ายที่บอกว่าเขาได้เผลอล่วงเกินหญิงสาว แต่ภูรินทร์ยังไม่ยอมแพ้ เขาต้องหาทางพบเธออีกครั้งก่อนตัดสินใจว่าจะยอมรับการแต่งงานหรือไม่

 แม้ว่าตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างสามตระกูลจะลดลงบ้างแล้ว เนื่องจากรุ่นหลานต่างเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตผ่านไปแล้ว อย่างชัยภัคดิ์เองก็มาชอบพอกับนภัสสรน้องสาวของเขา แม้จะไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายแต่เมื่อน้องสาวเลือก ภูรินทร์ซึ่งเคยคัดค้านสุดตัวก็ต้องยอมรามือ เรื่องความรักต้องปล่อยให้น้องสาวตัดสินใจ เขาได้แต่ปรามนภัสสรว่าต้องดูชัยภัคดิ์ไปนานๆ เนื่องจากอายุต่างกันมาก ฝ่ายชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ขณะที่น้องสาวเขาเพิ่งจะมัธยมปลายเท่านั้น ยังดีที่ฝ่ายนั้นเข้าตามตรอกออกตามประตู อีกทั้งยังมียายของเขาคอยสนับสนุน ทางครอบครัวจึงจำเป็นต้องลดทิฐิ 

แต่ลวัศกรนั้นต่างออกไป ภูรินทร์ไม่ถูกชะตาอีกฝ่ายเพราะท่าทางกวนๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้ลวัศกรเคยชนะงานประมูลโครงการคลองระบายน้ำหลากไปอย่างฉิวเฉียด สร้างความแค้นใจให้เขาเป็นอันมาก ถ้าต้องไปเป็นน้องเขยให้อีกฝ่ายโขกสับ เขาต้องอกแตกตายแน่ๆ 

หนุ่มร่างสูงนั่งเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว พนักงานต่างทยอยกันกลับ เหลือเพียงภูรินทร์ที่ยังเคลียร์งานบนโต๊ะไม่เสร็จ 

น่าแปลกที่พักนี้เขาคิดถึงลวิตราบ่อยมาก อย่างวันนี้พิไลสวมกระโปรงสีแดง เขาก็นึกถึงลวิตราตอนอยู่ในผับ เขาจำได้ว่าหล่อนสวมชุดสีแดงเพลิง ตอนที่พนักงานฝ่ายบัญชียกมือขึ้นเสยผม เขาก็เผลอคิดถึงท่าทางของหล่อนขึ้นมาอีก...เขาเผลอกำมือแน่น เขาคงหมกมุ่นกับการถูกแบล็กเมล์มากเกินไป   สมองถึงได้มีภาพตีกันมั่วไปหมดอย่างนี้ 

เสียงเคาะประตูทำให้ภูรินทร์หันเก้าอี้กลับมา 

 “อ้าว ยังไม่กลับอีกหรือ”

พิไลลักษณ์เดินเข้ามาพร้อมกับวางซองจดหมายลงตรงหน้า ในมืออีกข้างถือถุงของขวัญ “นี่บัตรเชิญงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้นะคะคุณภู แล้วก็ของที่คุณสั่งให้ฉันซื้อเอาไว้ให้”

 งานของภูรินทร์ยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกไปชอปปิง แต่เขาก็ได้เลขาฯ ผู้ทรงประสิทธิภาพช่วยจัดการให้ทุกอย่าง นับตั้งแต่ลงตารางนัด เตือนก่อนจะถึงวันนัด ช่วยวางแผนการเดินทาง จัดหาของขวัญ เช็คของขวัญ หน้าที่ของภูรินทร์คือไปร่วมงานสังคมตามกำหนด ในฐานะประธานบริษัทเขาต้องออกงานแทบทุกวัน

 “งานเลี้ยงอะไรหรือ ผมลืมไปเลย”

 “งานการกุศลของคุณหญิงสุภาค่ะ”

 คุณหญิงสุภาคือภรรยาของนายพลสุวพงษ์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับพีพีเรียลเอสเตตมานานมากแล้ว หลายครั้งที่เขาเคยขอคำปรึกษาจากท่านนายพลในเรื่องงาน รวมถึงโครงการรีสอร์ตล่าสุดนี้ด้วย 

 “ผมลืมสนิทเลย พรุ่งนี้งั้นหรือ”

 “ใช่ค่ะ จัดที่โรงแรม...”

 พิไลลักษณ์เอ่ยชื่อโรงแรมที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้า เนื่องจากเป็นโรงแรมหรูตั้งอยู่กลางเมือง รถราค่อนข้างติด ภูรินทร์จึงเคยบอกเลขาฯ ว่าจะนั่งรถไฟฟ้าไปแทน 

 “ขอบคุณมากนะที่ช่วยเตือน รวมถึงที่ช่วยหาของขวัญด้วย”

 “ข้างในเป็นแจกันคริสตัลนำเข้าจากสวิสฯ ค่ะ คุณภูเอาไปร่วมประมูลในงานคุณหญิงก็ได้นะคะ จะได้เท่ากับร่วมทำบุญไปในตัว”

 “ขอบใจมากนะ แจกันสวยถูกใจผมมาก”

 เขาแค่เปรยๆ กับเลขานุการสาวว่าต้องการของไปร่วมประมูล นอกจากนั้นยังส่งลิสต์ไปให้อีกสองสามอย่าง หลังจากนั้นก็ลืมไปเลย ไม่นึกเลยว่าเวลากระชั้นอย่างนี้พิไลลักษณ์ยังสามารถหาของที่ต้องการได้ทันเวลา สีหน้าที่ดูนิ่งกว่าปกติทำให้ภูรินทร์อดสงสัยไม่ได้ 

 “คุณมีอะไรหรือเปล่า...”

 “เอ่อ...”

 “พูดมาเถอะคุณพิไล ไม่ต้องกลัวหรอก ผมยินดีรับฟัง”

 “คือว่างานของคุณหญิงต้องมีแขกไปร่วมงานจำนวนมาก เท่าที่ฉันทราบ ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์คงไปร่วมงานทุกบริษัท”

ภูรินทร์หูผึ่ง คิดถึงลวัศกรและชัยภัคดิ์ขึ้นมา 

 “หมายถึงลวัศกรงั้นหรือ”

“ใช่ค่ะ ถ้าคุณลวัศกรไม่ว่าง ก็อาจจะเป็นคุณเลิศพงศ์กับคุณวรดา ฉันได้ยินมาว่าบริษัทนั้นต้องไปร่วมงานประมูลเพราะสนิทกับคุณหญิงสุภามาก”

 “ลวิตราจะมาด้วยหรือเปล่า”

 “ฉันไม่แน่ใจว่าเธอจะตามพี่ชายไปงานหรือเปล่า ถ้าเกิดเจอทั้งสองคนพร้อมกันเข้า...”

 หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น ภูรินทร์ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงอีกเพราะกำลังหาทางแก้ปัญหา โชคดีที่พิไลลักษณ์เป็นเลขาฯ ที่ไม่พูดมากและไม่ชอบนินทา เขาจึงวางใจได้ ตอนนี้แม้แต่ครอบครัวเขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้   

 “ผมไม่จำเป็นต้องกลัวเขา เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าวุ่นวายมากนักละก็ ผมจะอธิบายให้เขาฟังเอง”

 “แต่ถึงยังไงคุณลวิตราก็เป็นน้องสาว เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงคุณจะอธิบายไป ฉันเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อ”

 “แต่ผมจะไม่ยอมหลบหน้า ไม่มีทาง”

 “ฉันแค่เป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดเรื่อง”

 “ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้าจะมีคนต้องกลัวควรเป็นลวิตราต่างหาก เพราะเธอคือคนที่วางแผนบ้าๆ นี่”

 “อะไรนะคะ”

 “ผมกำลังอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูล เอาไว้ให้แน่ใจกว่านี้ก่อน แล้วผมจะเล่าให้คุณฟัง ยังไงเสียก็ขอบใจมากนะที่คุณเป็นห่วง”

 “ระวังตัวด้วยนะคะคุณภู ถึงคุณลวัศกรจะเป็นนักธุรกิจแต่ก็กวนใช้ได้”

            “ผมจะระวังตัว ผมแค่อยากจะหยั่งเชิงว่าครอบครัวนั้นรู้หรือไม่รู้อะไรบ้างเท่านั้น เรื่องจะปะทะกันลืมไปได้เลย”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น