8

บทที่ ๘


บทที่ ๘ 

 

 งานเลี้ยงการกุศลของคุณหญิงสุภาคลาคล่ำไปด้วยแขกเหรื่อมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นเซเลบทั่วฟ้าเมืองไทย ภูรินทร์ก้าวเข้าไปในงานเพื่อทักทายเจ้าภาพ ก่อนจะมอบของขวัญที่เตรียมมาให้

 “สวัสดีครับคุณหญิง ยินดีด้วยนะครับ”

“เอาอะไรมาอีกแล้วล่ะภู บอกแล้วไงว่าคนกันเอง”

คุณหญิงสุภาเจ้าของงานอายุราวหกสิบปลาย ใบหน้ายังคงมีเค้าความงามของวัยสาว ท่านจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นเพื่อนำเงินประมูลไปช่วยเด็กชาวเขา

“แค่ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ครับ”

“เล็กน้อยที่ไหน นี่มันแจกันคริสตัล ซื้อเสียเงินเสียทองทำไมกันจ๊ะ”

ของขวัญที่เลขาฯ สาวเตรียมมานั้นบรรจุอยู่ในกล่องที่ฝาด้านบนใสจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แค่เห็นลวดลายอันวิจิตรก็รู้ได้ว่าราคาคงแพงมากทีเดียว 

“ผมอยากเอามาร่วมประมูลครับ เผื่อจะมีส่วนช่วยเด็กชาวเขาได้บ้าง”

งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อระดมเงินทุนหาซื้ออุปกรณ์สำหรับป้องกันความหนาว ทั้งผ้าห่ม เสื้อสำหรับเด็กบนดอยที่มีฐานะยากจน แขกที่มาร่วมงานจะส่งของขวัญมาประมูล รายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคเพื่อซื้อเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้เด็กชาวเขาบนดอย

“งั้นฉันจะรับไว้ ไหนๆ ภูก็อุตส่าห์มาแล้ว วันนี้แต่งตัวหล่อมากเลยนะ”

ชายหนุ่มสวมทักซิโดสีดำทั้งชุด ด้วยส่วนสูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นต์ทำให้เขาดูโดดเด่น 

“คุณหญิงชมผมอีกแล้ว”

“รู้ตัวไหมว่าพอภูเดินเข้ามา สาวๆ มองกันใหญ่เลย ว่าแต่ทำไมวันนี้ไม่พาแฟนมาด้วยล่ะจ๊ะ”

คุณหญิงสุภาเคยเจอภูรินทร์ที่อเมริกาและได้พบกับมธุรินครั้งหนึ่ง ท่านยังเคยชมว่าทั้งคู่เหมาะสมกันมาก 

“มิวยังอยู่อเมริกาครับ เลยไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้”

ภูรินทร์อมยิ้ม นับตั้งแต่เขาลดระดับความสัมพันธ์กับมธุริน ชายหนุ่มก็ไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งคนในครอบครัว เขายอมรับว่ายังไม่อาจสนิทสนมกับหล่อนได้เหมือนเดิม อีกทั้งหากสุดท้ายแล้วมธุรินพิสูจน์ตัวเองได้จริง ไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปรักหล่อนได้เหมือนเดิมหรือเปล่า 

“มิน่า...ภูถึงได้ฉายเดี่ยว ทำตัวตามสบายก็แล้วกันนะ ฉันขอไปต้อนรับแขกคนอื่นก่อน”

ภูรินทร์โค้งให้คุณหญิงอย่างสุภาพ รู้ดีว่าท่านต้องดูแลแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในวันนี้ แขกที่เริ่มทยอยกันมาทำให้ทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะร่ำรวย อาหารที่จัดเลี้ยงเป็นแบบค็อกเทล มีซุ้มอาหารหลายหลากให้เลือก 

สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจไม่ใช่อาหาร แต่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่ชื่อว่าลวัศกรต่างหาก ถ้าเป็นอย่างที่เลขาฯ สาวบอกจริง เขาอาจจะมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายในงานวันนี้...แค่นึกถึงใบหน้ากวนๆ ก็อดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้ 

สิ่งที่ภูรินทร์อยากรู้ก็คือลวัศกรระแคะระคายเรื่องที่เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด เขาเดาว่าหญิงสาวน่าจะยังไม่บอกความจริง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่จะจัดการอะไรก็คงง่ายขึ้น ชายหนุ่มคงไม่ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนมาบีบบังคับให้แต่งงานเป็นแน่ เขาจะต้องหาทางเลี่ยงอย่างที่สุด ตาคมกวาดมองไปรอบๆ จนกระทั่งปะทะกับร่างสูงที่คุ้นตา อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ และเป็นรอยยิ้มที่ภูรินทร์หมั่นไส้สุดๆ เขาเดินเข้าไปใกล้เมื่อชายคนนั้นส่งยิ้มมาให้

“ไม่นึกว่าจะเจอนายที่นี่”

ภูรินทร์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงบูดสนิท ความสัมพันธ์ของทั้งสองเปลี่ยนจากศัตรูไปเป็นสงบศึกชั่วคราว นั่นก็เพราะชัยภัคดิ์กับนภัสสรเป็นแฟนกัน แต่ยังก่อน เขาแค่ ‘ยอม’ เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ ใครจะรู้ นภัสสรยังเด็กอาจจะเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ และถึงเวลานั้นเขาจะหัวเราะเยาะชัยภัคดิ์ที่เป็นโคแก่แต่ริจะกินหญ้าอ่อน ที่ผ่านมาภูรินทร์พยายามขัดขวางความรักของทั้งคู่จนสุดตัว เพราะอายุที่ต่างกันมากอีกทั้งยังเป็นลูกของตระกูลที่เกลียดกัน แต่เมื่อนภัสสรแสดงจุดยืนชัดว่าชอบพอชัยภัคดิ์ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้อีก

“ทำไม คิดว่ามีแต่นายที่มางานนี้ได้งั้นหรือ ฉันเองก็สนิทกับคุณหญิงสุภาเหมือนกัน” ชายหนุ่มตรงหน้าโต้ 

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ใช่เพื่อนซี้ตายแทนกันได้ แต่ตรงกันข้าม สามตระกูลเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่พร้อมจะห้ำหั่นกันในเชิงธุรกิจ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนเสือสามตัวกินน้ำจากบ่อเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อบริษัทซีเคพีคอนสตรักชันซึ่งชัยภัคดิ์บริหารอยู่เพิ่งประกาศข่าวดีที่ชนะการประมูลโรงพยาบาลมูลค่าหลายพันล้านไปไม่นานนี้เอง

“สนิทแล้วไง คุณหญิงสุภาถือว่าบริษัทพีพีเรียลเอสเตตเป็นที่หนึ่งอยู่ดี”

“แน่ใจหรือ แล้วทำไมบริษัทฉันชนะการประมูลรัวๆ เลยล่ะ”

“ไอ้แบร์” ภูรินทร์กัดฟัน แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกลับมาแบบไม่เกรงกลัว ยิ่งมองภูรินทร์ก็ยิ่งหงุดหงิด จนถึงป่านนี้ชัยภัคดิ์ก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกให้ จะมีบ้างที่อีกฝ่ายสงบปากสงบคำเวลาอยู่ต่อหน้าน้องสาวเขาเท่านั้น “ไม่ต้องมาทำเป็นคุย นายทิ้งจิ๋วไว้ที่ไหน ทำไมไม่พาน้องฉันมาด้วย”

“จิ๋วติดงานที่คณะ ฉันชวนแล้ว แต่เธอบอกว่ามาไม่ได้”

“ไม่ใช่ว่าฉายเดี่ยวเพื่อจะได้จีบสาวถนัดๆ หรอกนะ อย่าลืมว่าฉันจับตาดูนายอยู่ ทุกฝีก้าวเลยด้วย ถ้าพลาดละก็...” ภูรินทร์พูดอย่างขวางๆ 

“ฉันไม่ใช่คนหลายใจ นายก็รู้”

“ไม่รู้โว้ย ไม่ได้รู้ใจนายอะไรขนาดนั้น จะไปไหนก็ไปเถอะ ขวางหูขวางตาชะมัด”

ชัยภัคดิ์อมยิ้ม เดินปลีกตัวออกไป ทิ้งให้ภูรินทร์หงุดหงิดอยู่คนเดียว เขาไม่กล้าทำอะไรผลีผลามก็เพราะรักน้องสาวมาก นภัสสรแสดงท่าทีชัดว่ารักอีกฝ่าย เขาในฐานะพี่ชายจึงได้แต่ตามดู นับตั้งแต่ตัดสินใจคบกัน ชัยภัคดิ์ก็เข้าตามตรอกออกทางประตู การไปไหนมาไหนด้วยกันล้วนแต่อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่  พี่ชายอย่างเขาจึงทำได้แค่ปั้นหน้าเคร่งเพื่อข่ม...เขาลอบมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าชัยภัคดิ์เดินไปคุยกับนักธุรกิจอีกคนก็เลิกสนใจ 

เขาหันไปมองประตูแทน ระหว่างนั้นก็ตักของว่างใส่จาน แขกหนาตามากขึ้นเพราะใกล้เวลาประมูล แต่พอเห็นหญิงสาวในชุดราตรีสีม่วงปรากฏตัวขึ้น ภูรินทร์ก็ตกตะลึง ลวัศกรไม่ได้มางานนี้ด้วย นอกนั้นคือคุณเลิศพงศ์กับคุณวรดา ทั้งสามกำลังทักทายกับคุณหญิงสุภาที่ประตู

ภูรินทร์ยอมรับว่าไม่อาจละสายตาไปจากร่างแน่งน้อยตรงหน้าได้ ลวิตราดูสวยกว่าทุกวัน ชุดราตรีสีนี้เหมาะกับหล่อน ยิ่งประกอบกับการแต่งหน้า ผมเกล้าขึ้นปล่อยปอยผมระข้างแก้ม บนลำคอระหงมีสร้อยเพชรน้ำงามประดับอยู่เข้าชุดกับต่างหู ชุดเป็นเดรสคอวีผ่าลึกจนเห็นร่องอก 

ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าลวิตราหุ่นดีมาก เอวคอด สะโพกผายพองาม เรียวขายาว ด้วยส่วนสูงที่เกินมาตรฐานหญิงไทยทั่วไปทำให้เหมาะที่จะเป็นนางแบบ หล่อนสวมส้นสูงจึงยิ่งสูงกว่าคุณวรดา จังหวะที่หันหน้ามาพอดี ทั้งสองก็ประสานสายตากัน ชายหนุ่มจ้องกลับอย่างไม่กลัว คลี่ยิ้มพร้อมกับก้าวไปหาอย่างหมายมาด

 

ลวิตราสั่งตัวเองว่าต้องไม่ตื่นเต้น รีบหันหลังกลับ หล่อนไม่ใช่เด็กประถมที่เคยฉีกหน้าภูรินทร์อีกต่อไปแล้ว ภาพสะท้อนในกระจกบานใหญ่ในห้องจัดเลี้ยงเผยให้เห็นหญิงสาวที่งดงามราวกับนางฟ้า แขกในงานหลายคนต่างพากันชื่นชม แต่ทำไมพออยู่ในสายตา ‘พี่ภู’ หล่อนถึงได้รู้สึกประหม่า 

หล่อนจะทักทายเขาดีหรือหลบหน้าดี? ใจที่เต้นตึ้กตั้กถี่รัวทำให้สุดท้ายแล้ว ลวิตราก็เลือกที่จะหลบสายตา หล่อนมั่นใจว่าเขาคงไม่กล้าเข้ามาทักหล่อนต่อหน้าพ่อกับแม่เป็นแน่...หญิงสาวจงใจใช้คุณวรดาเป็นเกราะกำบัง ซึ่งก็ได้ผล เมื่อภูรินทร์เห็นว่าหล่อนอยู่กับครอบครัวจึงเสเดินไปทางอื่นแทน 

พ่อกับแม่จงใจพาหล่อนมางานนี้ด้วย เพราะต้องการอวดว่าลูกสาวกลับมาแล้ว หญิงสาวเดินทักทายแขกจนทั่ว ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจในวงการเดียวกัน 

ผ่านไปเกือบสิบห้านาที เสียงประกาศบนเวทีก็ดังขึ้นว่ากำลังจะมีการประมูล ทุกคนต่างแยกย้ายไปนั่งโต๊ะที่จัดไว้ แขกที่อายุน้อยจะยืนอยู่รอบๆ ซุ้มอาหาร 

“แม่กับพ่อไปนั่งก่อนนะ” 

โต๊ะจัดไว้สำหรับสมาชิกอาวุโส ส่วนใหญ่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจที่เคยเจอกันมาหลายครั้ง ลวิตราได้แต่ฟังผู้ใหญ่คุยกันแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง นั่นก็เพราะเพิ่งกลับมา 

“ตาลขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะคุณแม่ วันนี้ท้องไส้ไม่ดียังไงไม่รู้”

“เสร็จแล้วรีบกลับมานะตาล เผื่อมีคนถามหา แม่จะได้แนะนำให้รู้จัก”

“ค่ะคุณแม่”

สาวร่างบางเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงตรงไปตามทางเดิน มือเริ่มสั่นเมื่อเห็นจากปลายหางตาว่ามีใครเดินตาม เมื่อถึงหน้าห้องน้ำกลับมีป้ายติดว่าซ่อม พนักงานคนหนึ่งชี้ให้หล่อนไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ชั้นสองแทน 

หญิงสาวรีบเดินขึ้นบันไดแทน เมื่อถึงหน้าห้องน้ำก็ผลักประตูเข้าไป ภายในมีหญิงสาวอีกคนเพิ่งออกจากห้องน้ำ ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นแขกที่มาร่วมงาน อีกฝ่ายโค้งทักทายตามมารยาท ลวิตราเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จก็กลับออกมา หล่อนผลักประตู เหลียวซ้ายแลขวา แต่แล้วจู่ๆ กลับมีมือแข็งแรงคว้าข้อมือเอาไว้ หญิงสาวสะดุ้ง พอเห็นว่าเป็นใครก็ตกใจสุดขีด

“คุณภูรินทร์!”

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน นี่เธอยังมีหน้ามางานนี้อีกงั้นหรือ”

หญิงสาวดึงมือกลับ ข่มใจจ้องภูรินทร์กลับแม้จะกลัว ลึกๆ ลวิตรามั่นใจว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไรผลีผลามเนื่องจากแขกอยู่ในงานเป็นจำนวนมาก 

“นี่มันงานการกุศล ทำไมฉันจะมาไม่ได้”

“เพราะเธอเป็นสิบแปดมงกุฎ เที่ยวหลอกคนอื่นไปทั่วยังไงล่ะ”

ลวิตราเม้มปาก เจ็บจี๊ดเมื่อโดนต่อว่า ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพราะคำทำนายเป็นหลัก ตอนนี้หล่อนเหมือนคนที่ขึ้นบนหลังเสือ หากไม่เดินต่อไปก็คงต้องจบชีวิตอย่างอนาถ ทิฐิทำให้โต้ไปว่า

“แต่มันเป็นเรื่องจริง เราสองคนเป็นผัวเมียกันแล้ว และฉันก็กำลังตั้งท้องลูกของคุณ”

“แน่ใจนะว่าเธอท้อง ด้วยหุ่นแบบนี้เนี่ยนะ”

ตาคมปรายมองไปยังท้องน้อย ลวิตราหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นบัง ไม่รู้เป็นอะไร ต่อหน้าภูรินทร์หล่อนถึงเสียความมั่นใจอยู่เรื่อย เมื่อรู้ว่าเสียเปรียบจึงเดินหนี แต่เขากลับเดินตามมา 

“จะหนีไปไหนลวิตรา เรายังคุยกันไม่จบเลย หรือว่าเธอกลัวว่าคนอื่นเขาจะจับได้ ถามจริงๆ เถอะ ทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำไมต้องบังคับให้ฉันแต่งงานด้วย”

“เพราะคุณพรากพรหมจรรย์ของฉันไปยังไงล่ะ จะต้องให้ย้ำสักกี่ทีว่าฉันเป็นของคุณแล้ว”

“ฮึ...จะให้ฉันเชื่อว่าฉันเป็นผู้ชายคนแรกของเธองั้นสิ”

คำพูดที่เปรียบเสมือนหอกทิ่มแทงลวิตราอีกรอบ หญิงสาวยอมรับว่าแผนการนี้ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าใดนัก แต่เพราะไม่มีทางเลือก ในวันที่เห็นภูรินทร์เมาอยู่ที่ผับ หล่อนก็รู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ทุกอย่างมันเหมือนตกกระไดพลอยโจน

“ใช่...คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ฉันไม่เคยมีใคร”

“เพราะแบบนี้ใช่ไหมเธอถึงได้เดินตามฉันตั้งแต่สมัยอยู่อเมริกา วางแผนมานานแล้วละสิ”

ลวิตราอ้าปากค้างอีกรอบ หรือว่าภูรินทร์จะรู้..แต่ก็ไม่น่า หลายปีที่ผ่านมาสายตาเขามีแต่มธุรินคนเดียว ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนพักอยู่ฝั่งตรงข้าม   

“ฉันเปล่า...คุณต่างหากที่ดื่มเหล้าจนเมา แล้วพาฉันขึ้นห้อง หลักฐานในกล้องวงจรปิดก็มี ไม่เชื่อไปขอดูสิ”

“คิดว่าลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้จะทำให้ฉันยอมหรือ บอกมาว่าเธอใส่ยาอะไรลงไปในแก้วเหล้าของฉัน”

“ฉันเปล่า”

“ไม่จริง เธอโกหก”

มือที่กุมรอบข้อมือเผลอบีบแรงจนเจ็บ ลวิตรานิ่วหน้า กำลังจะโต้เถียงแต่แล้วกลับมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นก่อนทำให้ทั้งคู่ต้องยุติบทสนทนาลง เมื่อเห็นบุคคลที่สามภูรินทร์ก็คลายมือออกกลบเกลื่อนสีหน้าทันที  

“อ้าว หนูตาล ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะจ๊ะ ทำไมไม่ไปนั่งกับคุณพ่อคุณแม่ที่หน้าเวทีล่ะคะ”

ผู้หญิงตรงหน้าชื่อแพรวพรรณ เป็นเลขาฯ ของคุณหญิงสุภา อีกทั้งยังสนิทสนมกับครอบครัวหล่อนเพราะเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของมารดา

“คือว่าตาลมาเข้าห้องน้ำค่ะ น้าแพรว”

“การประมูลกำลังจะเริ่มแล้วนะจ๊ะ รีบเข้าไปเถอะ ประเดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วง”

สายตาที่กวาดมองมาทำให้ภูรินทร์ยืนนิ่ง แพรวพรรณมองอย่างนึกขึ้นได้แล้วก็ทัก

“อ้าว คุณภูเองหรือคะ นึกว่าใคร นี่มาเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหนูตาลหรือคะ”

ภูรินทร์กัดกรามแน่น ท่าทางเกรงใจทำให้ลวิตราคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ สิ่งที่จะแก้เผ็ดคำพูดประชดประชันของอีกฝ่าย เขาเอาแต่ตอกหน้าหล่อนว่าเป็นผู้หญิงใจแตก ถึงเวลาเอาคืนบ้างแล้ว  มือบางสอดเข้าไปคล้องแขนเขาอย่างถือวิสาสะ

“พี่ภูน่ารักมากเลยค่ะน้าแพรว รู้ว่าห้องน้ำเปลี่ยว ก็เลยอาสามาเป็นเพื่อน”

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายชะงัก หันมองหญิงสาวที่มีท่าทีเปลี่ยนไป  

“ตายจริง นี่น้าตกข่าวอะไรหรือเปล่าจ๊ะเนี่ย หนูตาลกับคุณภู...เอ่อ...”

“ไม่ครับ...ไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่าเข้าใจผิด” ภูรินทร์โต้กลับพยายามดึงมือออก แต่ลวิตรากลับยึดแขนเขาเอาไว้เอียงหน้าไปซบ ชายหนุ่มถลึงตาใส่ ลวิตราก็ฉีกยิ้มหวานหน้าตาเฉย

“ใช่ค่ะน้าแพรว เราสองคนรู้จักกัน พี่ภูเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับตาลด้วยค่ะ”

“คุณ...” ภูรินทร์มองดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ 

ลวิตราสบตาอย่างไม่ยี่หระ “ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยคะพี่ภู ไม่ต้องกลัวหรอกนะคะ น้าแพรวคงไม่ไปบอกใครหรอกค่ะว่าเราสองคนใกล้จะมีข่าวดี”

ภูรินทร์ตาโตกว่าเดิมเกือบเท่าตัว สีหน้าเขาเหมือนอยากจะฉีกเนื้อลวิตราออกเป็นชิ้นๆ 

“อะไรนะจ๊ะ นี่หนูตาลกับคุณภู ตายจริง น้าไม่รู้เลยนะคะเนี่ย”

“รู้แล้วเหยียบไว้นะคะคุณน้าแพรว ตาลยังไม่ได้บอกใครเลยค่ะ แม้แต่คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังไม่รู้... เราไปกันดีกว่านะคะพี่ภู งานกำลังจะเริ่มแล้ว”

หล่อนเป็นฝ่ายดึงแขนภูรินทร์ให้เดินตาม เขายื้อไว้ แต่พอเห็นสายตาที่มองมาของแพรวพรรณก็ถลึงตาดุ เมื่อลับตาคน เขาก็กระชากแขนออก 

“เธอทำอะไร”

ลวิตรายืนตัวขึ้น เชิดหน้าจ้องมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ก็ทำให้ทุกคนได้รู้ยังไงล่ะคะว่าเราสองคนสนิทกัน ขอบคุณคุณภูมากนะคะ อ้อ ตอนนี้ตาลคงต้องเปลี่ยนไปเรียกพี่ภูแทน พี่ภูเก๊ง...เก่งที่ทำให้ละครฉากนี้สำเร็จไปด้วยดี ตาลว่านี่คือการเตรียมพร้อมที่ดีนะคะ ก่อนที่ข่าวการแจกการ์ดของเราจะแพร่ออกไป”

 

 ภูรินทร์พลาด!

 เขาไม่น่าประมาทลวิตรา หญิงสาวคนนั้นร้ายกว่าที่คิด หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อ ก็แน่สิ หากหล่อนเป็นสาวไร้เดียงสาคงไม่เอาภาพเปลือยมาแบล็กเมล์คนอื่น นับตั้งแต่เริ่มการประมูลชายหนุ่มก็สังเกตว่าสายตาของคนในงานเปลี่ยนไป ข่าวลือกับการนินทาคงแพร่กระจายไปทั่วงานแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาจึงรีบขอตัวกลับก่อน

 ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าจะไม่ยอมตกเป็น ‘เบี้ย’ ให้หญิงสาวหลอกใช้อีก เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอขับรถเร็วจนถึงบ้าน หนุ่มร่างสูงก้าวเข้าไปในห้องรับแขก เสียงโทรทัศน์ดังแว่วมาทำให้รู้ว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่

 “คุณแม่ยังไม่นอนอีกหรือครับ”

 มารดาของเขามีชื่อว่าแพรนวล ท่านเคยเป็นครูมาก่อน แต่หลังจากภูรินทร์กลับมารับตำแหน่งประธานบริษัท มารดาก็ลาออกเพื่อมาดูแลบิดาซึ่งต้องเข้ารับการบายพาสเส้นเลือดหัวใจ สิ่งที่ภูรินทร์เห็นมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโตคือความรักและห่วงใยระหว่างสามีภรรยา คนอื่นอาจจะคิดว่าเขากับนภัสสรโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย มีทุกอย่างเพียบพร้อมแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญนั้นไม่ใช่เงินทองแต่คือความอบอุ่นในครอบครัวต่างหาก 

ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ยามบิดาป่วย มารดาก็จะคอยเช็ดตัวดูแล ช่วงที่ทำบายพาส ท่านก็จะคอยกำกับดูแลเรื่องอาหารให้ดีต่อสุขภาพ แม้ว่าในบ้านจะมีแม่ครัว แต่มารดาถือว่าเป็นหน้าที่หลัก ท่านทำทุกอย่างด้วยความรัก

 “ยังเลย แม่รอภูอยู่ งานหนักมากหรือลูก แม่แทบไม่ได้เจอภูเลย”

 “ขอโทษครับคุณแม่ที่ผมกลับดึก การก่อสร้างโรงแรมรุดหน้าไปมาก ผมมีประชุมแทบทุกวัน วันนี้ก็เพิ่งไปงานเลี้ยงการกุศลของคุณหญิงสุภามา”

 “อย่าโหมงานเกินไปจนลืมพักผ่อนนะ พักนี้ลูกผอมไปนะ” แพรนวลลุกขึ้นมาแตะแขนลูกชาย 

เขาโอบแม่เอาไว้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว การที่ลูกชายอายุยี่สิบเก้าจะกอดผู้เป็นแม่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก น้องสาวเขาก็กอดแม่ทุกครั้งที่เจอ 

 “คิดถึงคุณแม่ครับ”

 “ถ้าคิดถึงก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้แม่ต้องเป็นห่วง ลูกทำแต่งานจนจะเหมือนหุ่นยนต์อยู่แล้ว อย่าไปฟังคุณพ่อให้มากนัก”

 ภูรินทร์คือความหวังของตระกูลนฤบาลบดี ตลอดเวลานับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามารับตำแหน่ง บิดาพูดเสมอว่าอยากให้บริษัทประสบความสำเร็จเหนือบริษัทอื่นๆ 

 “คุณพ่อก็แค่อยากให้งานออกมาดี”

 “แต่บางทีแม่ก็รู้สึกว่ามันกดดันเกินไป ตระกูลของเราไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวเองมากมายขนาดนั้น เงินทองเท่าที่เรามีอยู่ก็ใช้กันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ภูควรจะมีเวลาส่วนตัวบ้าง แวะไปเจอน้องหรือพักผ่อนอยู่บ้าน”

 “ผมโทร. คุยกับจิ๋วเกือบทุกวันนะครับ ยกเว้นว่าน้องติดงานที่มหาวิทยาลัย ผมเลยไม่กล้าโทร. ไปกวน มะรืนนี้ก็ว่าจะนัดจิ๋วไปกินข้าว”

 “ก็นั่นละ แม่สงสารภูที่ต้องแข่งกับคนอื่น”

 มารดากำลังหมายถึงเรื่องของสามตระกูล หลายปีที่ผ่านมาต่างขับเคี่ยวกันในเรื่องงาน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอด ภูรินทร์ก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาหลายครั้ง สำหรับเขาแล้วช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด เท่าที่เขารู้ ปู่ภาคภูมิคือผู้ชายที่ซื่อสัตย์มาก ท่านไม่มีทางโกงเงินหุ้นส่วนอย่างเด็ดขาด 

 “แต่คุณปู่ไม่ได้โกงบริษัท มันไม่ยุติธรรมเลยที่ท่านต้องถูกกล่าวหา”

สิ่งที่ภูรินทร์แปลกใจก็คือปู่ไม่ค่อยยอมพูดถึงเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปู่ก็จะเอาแต่เลี่ยง หลายครั้งที่ท่านมักจะนั่งถอนหายใจเฮือกๆ อย่างกลัดกลุ้ม หลังจากย่าเสียชีวิต ปู่ก็ยิ่งเก็บตัวอยู่ในห้องมากขึ้น 

 “นี่ภูเชื่อจริงๆ หรือว่าถ้าบริษัทของเราประสบความสำเร็จมากกว่าตระกูลอื่นๆ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตอนนั้นคุณปู่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเงินที่หายไป”

 ภูรินทร์เคยถามตัวเองด้วยประโยคนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบ เขาคิดเสมอว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ที่ปู่ไม่ยอมพูดน่าจะเป็นเพราะลำบากใจ 

 “ไม่ครับ”

 “แม่ว่าความบาดหมางของตระกูลควรจะจบลงได้แล้ว จิ๋วเองจะได้ไม่ต้องลำบาก ลองคิดดูสิว่าถ้าในอนาคตจิ๋วต้องแต่งงานกับพ่อแบร์แล้วจิ๋วจะมองหน้าคนฝั่งนู้นติดหรือ ถ้าเรายังไม่ลืมเรื่องเก่าๆ”

 นภัสสรเคยผ่านความยากลำบากในจุดนี้ เพราะทันทีที่ครอบครัวรู้เรื่องที่ชัยภัคดิ์กับหล่อนชอบพอกัน หล่อนก็ต้องฝ่าแรงเสียดทานมากมาย แม้ภูรินทร์จะไม่เห็นด้วยแต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมเพราะสงสารน้องสาว 

 “ผมก็เคยเตือนน้องแล้วว่าให้ตัดใจ”

“สายเกินไปแล้วละภู จิ๋วรักพ่อแบร์ น้องตัดใจไม่ได้หรอก สิ่งที่เราต้องทำก็คือลืมเรื่องในอดีตไปเสีย”

ภูรินทร์อึ้ง เขาก็อยากลืม แต่อีกสองตระกูลอาจจะไม่คิดเช่นนั้น ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากัน คำถามก็ผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“คุณแม่พอทราบไหมครับว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ทำไมหลักฐานถึงชี้มาที่คุณปู่”

สิ่งที่ภูรินทร์รับรู้ก็คือ เมื่อเงินหายไปยี่สิบล้าน ภาคภูมิซึ่งเป็นคนคุมบัญชีจึงต้องรับผิดชอบ 

 “เอกสารเบิกเงินมีลายเซ็นคุณปู่”

 “ต้องมีคนปลอมลายเซ็นแน่ๆ เรื่องแบบนี้คิดไม่ออกได้ยังไง อาจจะไม่ใช่หนึ่งในสามคนแต่เป็นคนอื่น”

 “นี่ภูสงสัยใครหรือ”

 “ผมไม่ทราบ แต่คุณปู่น่าจะรู้ เอาไว้ผมจะลองถามดู”

“ไม่ได้นะภู พักนี้คุณปู่สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม่ไม่อยากให้ท่านมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ เราปล่อยให้มันผ่านไปตามความต้องการของคุณปู่ไม่ดีหรือ”

ภาคภูมิทำสัญญาเพื่อคืนเงินจำนวนนั้นให้บริษัทโดยการผ่อนชำระ แต่เนื่องจากรอยร้าวที่ยากจะประสานแม้ว่าสุดท้ายแล้วเงินจะถูกแบ่งคืนไปในจำนวนที่เท่ากัน แต่ความเป็นเพื่อนก็ขาดสะบั้นลงในทันที ช่วงแรกปราณปรียาพยายามเป็นกาวใจให้ทั้งสามคน แต่ยิ่งพูดความบาดหมางก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก หนักเข้าถึงกับไม่ยอมมองหน้ากัน 

“แต่มันไม่ยุติธรรมเลย คนเป็นเพื่อนควรจะเชื่อใจกัน คนคบกันมานานยังไม่รู้จักนิสัยใจคอกันอีกหรือ ใจแคบชะมัด”

 ภูรินทร์โต้ สำหรับเขาแล้ว เงินจำนวนนั้นไม่มากถ้าเทียบกับเงินทุนหมุนเวียนในตอนนี้ แต่ถ้าเทียบกับเมื่อหลายสิบปีก่อน เงินยี่สิบล้านถือว่ามากทีเดียว การที่คุณปู่ทำสัญญาคืนเงินก็คล้ายกับเป็นการยอมรับผิดกลายๆ

 “จะว่าเขาอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะภู เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร”

 เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เพื่อนรักสามคนต้องมาแตกคอกัน แม้ว่าตอนนี้ต่างคนต่างมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลายครั้งที่บังเอิญพบกันในงานเลี้ยง แต่ก็เลือกที่จะอยู่ในมุมของตัวเอง 

 “คุณแม่ว่าคุณปู่จะอยากพบปู่เทียมกับปู่เลอสรรค์ไหมครับ”

“แม่ไม่แน่ใจ ทุกครั้งที่ถาม คุณปู่ก็ไม่ยอมตอบ จนแม่เองก็จนใจ”

“ถ้ามีโอกาส ผมจะลองคุยกับคุณปู่ดูดีไหมครับ เผื่อจะช่วยแบ่งเบาอะไรได้บ้าง”

“ถ้าภูคิดว่าดีก็ลองทำสิ นี่ก็ดึกมากแล้ว แม่ขอโทษนะภูที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมา ภูทำงานมาเหนื่อยยังต้องมาฟังเรื่องเครียดๆ อีก”

“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมเข้าใจ”

“ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวดีกว่า”

 “ครับ พรุ่งนี้ผมไม่รีบ ไว้ผมจะลงมากินข้าวพร้อมกับคุณแม่”

 ภูรินทร์กอดมารดาอีกครั้ง เขาเดินขึ้นห้อง โดยมีแพรนวลมองตาม หล่อนมองไปยังรูปถ่ายของแม่สามีซึ่งติดอยู่บนฝาผนัง ปราณปรียาเป็นศูนย์รวมความรักของทุกคนในบ้าน แต่เมื่อหล่อนเสียชีวิตไป คนในบ้านก็ตกอยู่ในความโศกเศร้า โดยเฉพาะภาคภูมิที่ไม่สดใสเหมือนเดิม แม้เวลาจะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม แต่ความเหงาก็ยังคงอยู่ 

“คุณแม่ยังอยู่แถวๆ นี้หรือเปล่าคะ นวลอยากให้ความปรารถนาของคุณแม่เป็นจริง ทุกคนจะได้สบายใจเสียที”

 แพรนวลถอนหายใจ เงยหน้ามองรูปอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจเดินขึ้นห้อง หล่อนปิดไฟดวงสุดท้ายกลางห้องรับแขก ทิ้งไว้เพียงความมืดที่ครอบงำ...

 

 ท่ามกลางความมืด ดวงวิญญาณที่แพรนวลเพิ่งคิดถึงนั้นยืนอยู่ แต่ภพภูมิที่ต่างกันทำให้ลูกสะใภ้ไม่อาจเห็นได้ ปราณปรียาสวมชุดกระโปรงเต้นรำสีเขียวมะกอก ชายกระโปรงเป็นหางปลา ทุกครั้งที่เต้นรำด้วยชุดนี้ใครๆ ต่างก็ชมว่าสวย แต่วันนี้ใบหน้าของหญิงสูงวัยไม่ได้สดใสเหมือนเช่นเคย นั่นก็เพราะคำปรับทุกข์ของลูกสะใภ้กับหลานชายที่ดังมาเข้าหู

 ตลอดสิบปีที่ผ่านมาปราณปรียาเป็นวิญญาณเร่ร่อน หล่อนวนเวียนอยู่ในบ้านหลังนี้ นั่นก็เพราะที่นี่มีความทรงจำดีๆ มากมาย ถึงจะเป็นวิญญาณและรู้ในหลายๆ เรื่องที่มนุษย์ไม่รู้ แต่คงมีปริศนาเดียวที่คิดไม่ตกนั่นก็คือเงินก้อนนั้นหายไปไหน 

สีหน้าหม่นเศร้าของสามียามถูกถามถึง ทำให้ปราณปรียาอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะรู้ว่าเงินส่วนนี้หายไปไหน แต่เลือกที่จะยอมรับผิดและทำให้ทุกอย่างจบ แม้เงินส่วนนั้นจะได้ถูกใช้คืนไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงติดตัวคือความไม่สบายใจ การที่ต้องถูกเพื่อนรักทั้งสองคนตราหน้าว่าขี้โกงเปรียบเสมือนถูกแส้ที่มองไม่เห็นโบยตี แต่แม้จะเคยเพียรถามสามี เขาก็เอาแต่ส่ายหน้า 

เงาโปร่งแสงหลับตาครู่เดียวก็ปรากฏตัวในห้องนอนชั้นล่างของคฤหาสน์ ภาคภูมิเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องนี้หลังจากปราณปรียาเสียชีวิตได้สองปี ก็เพื่อสะดวกในการใช้ชีวิตเพราะร่างกายทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่สำหรับปราณปรียาแล้ว เขาคือสามีที่หล่อเหลาที่สุด 

หล่อนคิดเสมอว่าโชคดีที่ได้เจอกับภาคภูมิ เขาคือคนที่เข้ามาเติมเต็มหัวใจหล่อนด้วยความรัก   

ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา ไม่เคยมีสักวันที่หล่อนต้องร้องไห้ ภาคภูมิเอาใจภรรยาทุกอย่าง นับตั้งแต่ให้ช่างชาวอิตาลีสร้างห้องแต่งตัวให้เป็นของขวัญครบรอบแต่งงาน ทั้งสองเป็นคู่สามีภรรยาที่รักและเอาใจใส่กันและกัน ปราณปรียาตอบแทนความรักของสามีด้วยการดูแลเขาอย่างดีเยี่ยม มีเพียงสิ่งเดียวที่ภรรยาอย่างหล่อนยังทำไม่สำเร็จคือทำให้สามตระกูลที่เคยบาดหมางเข้าใจกัน 

 “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะทำให้คุณกับเพื่อนมาคุยกันเหมือนเดิมให้ได้ ฝันร้ายของคุณจะได้จบลงเสียที”

            หล่อนเอียงหน้าไปกระซิบข้างหูสามี แม้ว่าภาคภูมิจะไม่ได้ยิน เขาไม่ได้มองเห็นหล่อนเหมือนนภัสสร สิ่งที่หล่อนทำได้คือเข้าฝันเขาบ้างในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ แต่ปราณปรียาก็ไม่ท้อ แม้จะเป็นแค่วิญญาณแต่หล่อนคือวิญญาณที่มีความปรารถนาอันแรงกล้า เพื่อจะทำสิ่งที่สามีต้องการให้สำเร็จในที่สุด...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น