9

บทที่ ๙



บทที่ ๙ 

 

 “ทำดีมากตาล พัฒนาขึ้นเยอะ” ณัทกรเอ่ยชม

“พี่ภูของแกไม่อึ้งไปเลยหรือ”

ทั้งสามนัดเจอกันที่ร้านกาแฟเจ้าประจำใกล้คอนโดมิเนียมของกานต์รวี ขณะที่สาวหล่อมีสีหน้าเหมือนงัวเงียเพราะเพิ่งกลับจากประเทศจีน

“อึ้งสิ เขาคงคิดว่าฉันไม่กล้า” ลวิตราไม่คิดว่าตนจะกล้าพูดออกไป แต่ตอนนั้นโมโหจนเลือดขึ้นหน้าที่ถูกด่าว่า ผู้หญิงใจแตก 

“ตอบโต้ไปบ้างก็ดีนะตาล ต่อไปจะได้ไม่กล้าหือ”

“ไม่รู้ป่านนี้น้าแพรวไปพูดถึงไหนแล้ว”

ลวิตราจับได้ถึงสายตาที่มองมาแปลกๆ ของแขกในงาน แต่หล่อนไปร่วมงานกับครอบครัวจึงไม่มีคนกล้าเข้ามาทักอะไร เช้านี้หญิงสาวรีบหาข่าวกอสซิปอ่านทันที แต่กลับไม่มีข่าวหล่อนกับภูรินทร์ มีแค่ข่าวถอนหมั้นกันสายฟ้าแลบของไฮโซสาวอีกคนแทน 

“พูดก็ดีสิ เวลากระชั้นเข้ามาทุกวัน ถ้าพี่ภูเงียบมันน่ากลัวออกนะ เผลอๆ เขาอาจจะไม่แคร์ว่าแกจะเป็นไง ไหนๆ ตระกูลก็ไม่ถูกกันแล้ว เรื่องอะไรจะยอมถูกบังคับให้แต่งงาน”

“อย่างนี้แผนการของเราก็ล้มเหลวสิ” ลวิตราพ้อ 

“มันก็ไม่อย่างนั้นหรอก เพราะแกยังมีแผนการขั้นต่อไป จำที่ฉันเคยบอกได้ไหม ถ้าแผนเอพลาด ก็ต้องดำเนินการตามแผนบีต่อ” ณัทกรยกแก้วกาแฟลาเต้แก้วโปรดขึ้นจิบ จีบปากจีบคอพูด

 “จะให้ฉันไปที่บ้านเขาเนี่ยนะ” เท่าที่หล่อนทราบ ภูรินทร์อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่และปู่ ขาดก็แต่เพียงน้องสาวคนเล็กที่ย้ายไปอยู่กับยายเท่านั้น

“ใช่ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะเร่งให้ทุกอย่างเร็วขึ้น ลองคิดดูสิตาล ครอบครัวของพี่ภูเป็นที่รู้จักในวงสังคม แถมแม่เขายังเป็นครู ถ้าเกิดมีผู้หญิงไปเรียกร้องความเป็นธรรมที่บ้าน คิดหรือว่าเขาจะไม่ยอมตกลงแต่งงานกับแก”

“แต่ฉันไม่กล้า”

“ถ้าไม่กล้าก็เตรียมตัวเขียนพินัยกรรมได้เลย เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ”

ลวิตราถึงกับอึ้ง นึกถึงคำทำนายของณัทกร เวลากระชั้นเข้ามา แม้พักนี้หล่อนจะมีบาดแผลน้อยลงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคำทำนายนั้นจะไม่เป็นจริง หล่อนมองเพื่อนรักสองคนอย่างชั่งใจ 

“ฉันให้แกดูนี่ เผื่อจะตัดสินใจง่ายขึ้น”

กานต์รวีส่งรูปในมือถือให้ดู ภาพนั้นถ่ายที่สนามบินที่อเมริกา นับตั้งแต่หล่อนกลับมาที่นี่เพื่อนรักก็ให้คนคอยสอดส่องพฤติกรรมของมธุริน

“มิวบินมาหาพี่ภูที่นี่หรือ”

“ใช่ สายของฉันรายงานว่ายายแม่มดนั่นขึ้นเครื่องมาแล้ว ถ้าแกยังลังเลอยู่ละก็ เตรียมตัวไปพบยมบาลได้เลย”

 

“กินช้าๆ สิจิ๋ว ประเดี๋ยวก็เสียวฟันหรอก”

ภูรินทร์มองเด็กสาวตรงหน้าแล้วอมยิ้ม ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีนภัสสรก็ยังมีนิสัยเหมือนเด็กอยู่วันยังค่ำ แม้ตอนนี้เจ้าตัวจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม นภัสสรไม่เหมือนลูกสาวบ้านอื่นเนื่องจากหล่อนไม่ได้อาศัยอยู่กับครอบครัว นั่นก็เพราะเหตุร้ายเมื่อหลายปีก่อน 

“กินช้าเดี๋ยวพี่ภูก็แย่งจิ๋วน่ะสิ”

“พี่เคยแย่งที่ไหน ไม่มีใครตะกละเหมือนเราหรอก”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปยีหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู ริมฝีปากบางบัดนี้เลอะไอศกรีมเป็นคราบ ภูรินทร์ส่งทิชชูให้ด้วยมืออีกข้าง

“เลอะเทอะใหญ่แล้ว ไหนว่าโตแล้ว ทำไมยังกินมูมมามอีก”

“อย่ามาว่าเค้านะ พี่ภูใจร้าย หายไปตั้งนาน ไม่มาหาจิ๋วเลย”

“ไม่มาหา แต่ก็ไลน์คุยกับเราทุกวันยังไม่พอใจอีกหรือ”

แม้จะอยู่คนละบ้านแต่ภูรินทร์คุยกับน้องสาวทุกวัน หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวครั้งนั้น นภัสสรก็หวาดกลัวจนไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมได้ หล่อนย้ายไปอยู่บ้านไม้ของยาย แม้เป็นบ้านหลังเล็กแต่อบอุ่นไม่น้อยกว่ากันเลย 

บ้านยายพลุกพล่านเพราะท่านเป็นแม่ค้าขายขนมจีบ ซาลาเปา ลูกค้าคือคนที่มาวิ่งออกกำลังกาย บางวันก็มีคนมารับขนมจีบไปขาย แม้ภูรินทร์จะคิดถึงน้องมาก แต่เพื่อช่วยให้นภัสสรเยียวยาบาดแผลในจิตใจ เขาก็จำต้องยอม 

“พี่ภูอะ จิ๋วไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“พี่รู้ ไม่อย่างนั้นไอ้แบร์ไม่มาจีบหรอก นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย”

ภูรินทร์พลาดที่ไม่รู้ว่าชัยภัคดิ์สนใจน้องสาวตน ทั้งคู่พบกันโดยบังเอิญในพลาซาแห่งหนึ่ง ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์โดยที่พี่ชายอย่างเขาไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย แต่พอรู้ความจริงภูรินทร์ก็ออกโรงคัดค้านเต็มที่ เพราะอายุที่ต่างกันแถมตระกูลยังเป็นคู่แค้นกัน แต่ทั้งคู่ก็ใช้เวลาพิสูจน์ว่ารักใคร่ชอบพอกันจริงๆ ชายหนุ่มจำต้องยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อเห็นแก่น้องสาว 

“พี่ภูพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว ก็ไหนบอกว่ายอมรับลุงหมีแล้วไม่ใช่หรือ”

“พี่หมั่นไส้มัน ไม่เห็นเหมาะกับจิ๋วเลยสักนิด ทั้งแก่กว่า โง่กว่า แถมหน้าตาก็งั้นๆ” ชายหนุ่มค่อน สำหรับคนหวงน้องสาวมองยังไงชัยภัคดิ์ก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด

“ลุงหมีออกจะหล่อ”

“หล่อตายละ พี่ยังไม่ได้ฟ้องจิ๋วเลยว่าวันนั้นพี่เจอมันที่งานด้วย มันยืนคุยกับสาวๆ”

ได้ทีภูรินทร์ก็รีบใส่ไฟทันที ความหวังเล็กๆ ของเขาคืออยากให้ทั้งสองเลิกกัน 

นภัสสรยิ้มหวานเอียงหน้ามาซบ “อย่าเรียกลุงหมีว่ามันสิพี่ภู เขาเป็นแฟนจิ๋วนะ”

ภูรินทร์พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ หน้าหงิกงอ “พี่ไม่เข้าใจเลยว่าจิ๋วถูกใจอะไรมัน ผู้ชายหล่อๆ มีให้เลือกเยอะแยะ”

นภัสสรยิ้มละไมเหมือนเช่นเดิม ก่อนจะตักไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปากแล้วเลื่อนไปด้านข้าง 

“จิ๋วอิ่มแล้ว”

“อะไรกัน ไหนบอกว่าอยากเบิ้ลสองถ้วยไม่ใช่หรือ”

“ก็พี่ภูเอาแต่บ่นลุงหมีนี่นา”

“เออ...พูดถึงไม่ได้เลยใช่ไหม มันน่าน้อยใจจริงๆ ดูเหมือนจิ๋วจะรักมันมากกว่าพี่ชายแท้ๆ เสียอีกนะ”

“ใครบอก จิ๋วรักทั้งคู่นั่นละ สำหรับพี่ภู จิ๋วรักแบบพี่ชายสุดหล่อ แสนดี สายเปย์ ส่วนลุงหมีก็รักแบบแฟน”

ภูรินทร์แอบทำหน้าเบ้ แต่รู้ว่าถึงพูดไปนภัสสรก็คงไม่เปลี่ยนใจ เขาจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน

“ที่คณะเป็นยังไงบ้าง เรียนแล้วชอบไหม”

นภัสสรทำตามความฝันของตัวเองด้วยการสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สำเร็จ สมาชิกครอบครัวทุกคนดีใจมาก ตลอดเวลาที่น้องสาวมุ่งมั่นในการสอบก็ได้ชัยภัคดิ์เป็นคนติวให้ 

“ยากสิ แต่สบายมากสำหรับจิ๋ว พี่ภูไม่ต้องห่วง ว่าแต่พี่เถอะ พักนี้ทำไมถึงขมวดคิ้วอยู่เรื่อย”

“งานยุ่ง อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

เขาหมายถึงทั้งงานและเรื่องส่วนตัว จนบัดนี้ภูรินทร์ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำเช่นไรกับลวิตราดี 

“ว้า...ทำแต่งาน อย่างนี้จิ๋วก็อดไปงานแต่งพี่ภูน่ะสิ”

“งานแต่ง?” ภูรินทร์ทวนคำ ขมวดคิ้ว ก่อนนึกถึงชัยภัคดิ์ขึ้นมา วันนั้นฝ่ายนั้นก็อยู่ในงานด้วย หรือว่านภัสสรไปได้ยินอะไรมา “ไอ้หมีหัวงูนั่นบอกอะไรจิ๋ว”

“โธ่...พี่ภูก็ มาเรียกลุงหมีแบบนี้ได้ยังไง เสียหายหมด”

“บอกพี่มาว่าไอ้แบร์มันเล่าว่าอะไร”

นภัสสรยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยคำพูดที่ทำให้ภูรินทร์ต้องอึ้ง

“เขาบอกว่าแขกในงานเขาลือกันให้แซ่ดว่าพี่ภูจะแต่งงานน่ะสิ”

“จะบ้าหรือ เพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว” ภูรินทร์แก้ตัวทั้งที่ในใจเริ่มหวั่น หรือว่าเลขาฯ ของคุณหญิงสุภากระจายข่าวไปเรียบร้อยแล้ว

“จิ๋วก็บอกไปเหมือนกันว่าเป็นไปไม่ได้หรอกที่พี่ภูจะแต่งงานสายฟ้าแลบโดยที่คนในบ้านไม่รู้...พี่ภูว่าจริงไหม”

 

“ผลตรวจวันนี้ดีมากครับ ผลเอคโคและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่ในเกณฑ์ ตอนนี้ก็แค่ต้องควบคุมความดันและไขมันให้ปกติเท่านั้น”

วันนี้คือวันตรวจตามนัดของอายุรแพทย์โรคหัวใจ ภูดิศยิ้มขณะที่แพรนวลยื่นมือไปแตะแขนสามี ตลอดเวลาหลังการบายพาส ผู้ป่วยต้องมีการตรวจติดตามอาการอยู่เสมอ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเป็นโรคที่พบบ่อยในปัจจุบัน เกิดจากการเสื่อมของหลอดเลือดอีกทั้งยังมีไขมันกับหินปูนไปสะสมทำให้หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง ปัจจัยเสี่ยงคือความดันโลหิตสูง   เบาหวานและไขมัน ตอนที่มีอาการครั้งแรกภูดิศกำลังอยู่ในห้องประชุม เขามีอาการแน่นหน้าอกและหมดสติจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล 

ผลการตรวจพบว่าเขามีเส้นเลือดหัวใจตีบ ซึ่งปกติแล้วมีการรักษาสองอย่าง นั่นคือการทำบัลลูนและการทำบายพาสเส้นเลือดซึ่งก็คือการผ่าตัด สำหรับของภูดิศนั้นเส้นเลือดตีบไม่มากจึงใช้การรักษาด้วยการทำบอลลูน หลังการรักษา เขาต้องกินยาลดไขมันและควบคุมโรคแทรกซ้อนต่างๆ แพทย์แนะนำให้หยุดงานเพื่อพักผ่อน ลดน้ำหนักและดูแลตัวเองให้มากขึ้น

“ขอบคุณหมอมากนะครับ ถ้าไม่ได้หมอช่วยผมคงแย่”

“ต้องขอบคุณคุณภูดิศต่างหากครับ ที่เป็นคนไข้ที่ดี รวมถึงคนในครอบครัวก็ช่วยดูแลเป็นอย่างดีด้วยทั้งเรื่องอาหารการกิน”

แพรนวลลาออกจากงานเพื่อดูแลสามี ทั้งนี้เพื่อช่วยดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก 

“ทางเรายินดีปฏิบัติตามคุณหมอสั่งทุกอย่างค่ะ”

“นัดครั้งต่อไปเป็นทุกสามเดือนนะครับ ถ้าอาการปกติเหมือนอย่างนี้หมอจะนัดห่างขึ้น แต่คุณภูดิศต้องตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีนะครับ”

“ได้ครับหมอ”

“ผมจะให้ผู้ช่วยออกใบนัดให้นะครับ”

ภูดิศลุกขึ้น ประนมมือไหว้หมอ แพรนวลประคองสามีออกจากห้องตรวจ พวกเขาเลือกมาใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้เพราะอยู่ใกล้บ้าน อีกทั้งยังสนิทสนมคุ้นเคยกับแพทย์ที่ตรวจเป็นอย่างดี...ขณะเดินออกมารอนอกห้อง ผู้ช่วยก็นำใบนัดมาให้ แพรนวลฟังรายละเอียดแล้วรับในนัดมา ทั้งสองเดินลงไปยังห้องยาที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งเพื่อรับยา ตอนที่ตรงไปหยิบบัตรคิวห้องยา เสียงทักจากใครบางคนก็ดังขึ้น

“คุณภูดิศ เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

คนตรงหน้าคือคู่ค้าที่เคยติดต่อกันมานานมีชื่อว่าประสงค์ 

“อ้าว คุณประสงค์ โลกกลมจริงๆ ไม่นึกว่าจะเจอกันที่นี่ เดี๋ยวนี้เราสองคนต้องนัดกันที่โรงพยาบาลแล้วสินะ”

ภูดิศพูดติดตลก ทั้งคู่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ประสงค์ก็มีโรคความดัน เมื่อปีที่แล้วเขาป่วยเป็นอัมพฤกษ์เพิ่งจะดีขึ้นเมื่อต้นปีนี้เอง แต่ตอนนี้ยังต้องใช้ไม้เท้าอยู่ ข้างกายคือศรีภรรยาซึ่งรู้จักสนิทสนมกันดีกับครอบครัวนฤบาลบดี

“สวัสดีค่ะพี่แพรนวล ดีใจที่ได้เจอกันนะคะ พาพี่ภูดิศมาตรวจใช่ไหมคะ”

“ค่ะ หมอนัด แต่อาการดีขึ้นแล้วค่ะ”

“ดีใจด้วยนะคะ ตอนที่ได้ยินว่าพี่ภูดิศป่วย ฉันกับคุณประสงค์ก็เป็นห่วงมาก อยากจะไปเยี่ยม แต่อาการของคุณประสงค์เองก็ไม่สู้ดี เดินเหินก็ไม่ค่อยถนัด”

“ไม่เป็นไรครับ แค่ส่งความคิดถึงมาก็พอแล้ว ได้ข่าวว่าตอนนี้ลูกสาวมาทำงานแทนหรือครับ” ภูดิศเอ่ยขึ้น บุตรสาวของทั้งคู่เรียนจบจากอเมริกาเช่นเดียวกัน เป็นผู้หญิงทำงานที่ดูคล่องแคล่ว

“ค่ะ น้ำฝนเพิ่งไปงานเลี้ยงการกุศลของคุณหญิงสุภาเมื่อคืน เห็นบอกว่าเจอคุณภูรินทร์ด้วย แต่แขกในงานเยอะเลยไม่ทันได้ทักกัน”

“ใช่ค่ะ เมื่อคืนนี้ตาภูไปงานเลี้ยงมา”

“เห็นว่ากำลังจะมีข่าวดีใช่ไหมคะ ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีคงหมดห่วง”

แพรนวลกับภูดิศหน้าซีดเผือด ทั้งคู่มองภรรยาของประสงค์ 

“อะไรนะคะ”

“อ้าว ก็เห็นน้ำฝนบอกว่าคุณภูรินทร์กำลังจะแต่งงานไม่ใช่หรือคะ”

ภูดิศอึ้งมากกว่าเดิม เขาหันมองภรรยา สองคนต่างตกใจ

“ผมว่าคงไม่ใช่แล้วละครับ ภูยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน ตอนนี้แค่เวลาจะพักผ่อนยังไม่มีเลย บริษัทเราเพิ่งเริ่มโครงการใหม่ อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง”

“หรือคะ...น้ำฝนบอกว่าได้ยินคุยกันในงานว่าคุณภูรินทร์กำลังจะแต่งงาน เห็นว่าเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ชื่ออะไรนะ อ๋อ...หนูลวิตรา”

แพรนวลมองหน้าสามีเลิ่กลั่ก ทั้งสองถามย้ำอีกครั้ง

“ลวิตราเป็นใคร”

“ก็ลูกสาวคนเล็กของตระกูลเลอเลิศพงศ์ ฉันกับคุณประสงค์ยินดีด้วยนะคะ ไว้งานแต่งเราต้องไปร่วมแน่นอน”

“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วละครับ ตาภูไม่เคยรู้จักสนิทสนมกับหนูลวิตราอะไรนั่น ภูเป็นลูกชายคนโตก็เท่ากับต้องเป็นผู้สืบสกุล เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะมาทำเหมือนเด็กเล่นขายของไม่ได้”

“อ้าว...”

“ใจเย็นๆ ค่ะคุณ ฉันว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ อาจจะคนละภูกันหรือเปล่าคะ บางทีอาจจะไม่ใช่ลูกเรา” แพรนวลแก้

“ไม่รู้ละ ไหนคุณลองโทร. หาตาภูซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงปล่อยให้ลือกันไปมั่วๆ แบบนี้”

สีหน้าของภูดิศเปลี่ยนราวกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เขาดูเคร่งเครียด

“นี่คุณ ดูสิ ไปถามอะไรซอกแซก คุณภูดิศเครียดเลยเห็นไหม” ประสงค์ดุภรรยาและหันไปหาภูดิศต่อ “ผมขอโทษแทนภรรยาด้วยนะครับ ลูกสาวเราคงจะเอาข้อมูลผิดๆ มาเล่าแน่ คุณภูดิศอย่าถือสาเลยนะครับ ไว้มีโอกาสผมจะแวะไปหาที่บ้านนะครับ ผมกับภรรยาขอตัวก่อน”

ทั้งสองรีบปลีกตัวออกไป ขณะที่แพรนวลกดโทรศัพท์หาภูรินทร์แต่เขาไม่รับสาย

“ตาภูคงยุ่งอยู่ค่ะ อาจจะประชุม ถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์”

“ช่างมันเถอะ เอาไว้ไปคุยกันที่บ้าน แต่ข่าวมั่วแน่ๆ”

แพรนวลแตะแขนสามี รับรู้ได้ถึงความเครียด นับตั้งแต่ลูกสาวคนเล็กที่เกิดไปชอบพอกับชัยภัคดิ์ แม้ผู้เป็นพ่อจะไม่ได้อาละวาดแต่ก็ไม่ค่อยพอใจ แต่เนื่องจากนภัสสรยังเด็ก ทางครอบครัวจึงยอมให้คบหากันไปก่อน 

“ใจเย็นๆ นะคะ” แพรนวลปลอบ

“จะเย็นได้ยังไง ทำไมภูไม่เคยบอกว่ารู้จักลูกสาวบ้านนั้น แล้วเอาหนูมิวไปทิ้งไว้ที่ไหน”

ครอบครัวต่างรับรู้ว่าภูรินทร์มีแฟนแล้วชื่อมธุริน และวางแผนจะแต่งงานกัน

“โธ่...คุณคะ ถ้ารู้จักจริงแล้วจะทำไม สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของอดีตนะคะ”

“แต่ผมรับไม่ได้ ลำพังจิ๋วก็เครียดพอแล้ว แต่ถ้าเป็นภู นั่นเท่ากับว่าเราสองคนต้องไปสู่ขอลูกสาวบ้านนั้น เราอาจทำเป็นลืมแต่คนบ้านนั้นไม่ลืมแน่ มีหวังต้องหาเรื่องกระแนะกระแหนหาว่าตระกูลเราขี้โกงอีกจนได้”

“แต่เราก็รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้โกง”

“เรารู้แต่คนอื่นไม่รู้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อต้องปิดบังเรื่องตอนนั้นเอาไว้ด้วย”

“คุณหมายความว่ายังไงกันคะ”

“ผมมั่นใจว่าคุณพ่อรู้ว่าใครเป็นคนยักยอกเงินยี่สิบล้านไปน่ะสิ”

 

ทันทีที่กลับถึงบ้าน ภูดิศก็ตรงไปถามความจริงจากลูกชายทันที สีหน้าของเขาร้อนใจจนรู้สึกได้ 

“ไม่จริงนะครับคุณพ่อ ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนั้น เราเพิ่งเคยเจอกันในงานเลี้ยงของคุณหญิงสุภา”

“แน่ใจนะ แล้วทำไมคนถึงลือไปได้ขนาดนี้”

ภูรินทร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงให้ฟัง ตอนที่ลวิตราแกล้งตีขลุมคล้องแขนต่อหน้าเลขาฯ คุณหญิงสุภา ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เขาไม่น่าเสียท่าลวิตราเลย หล่อนจงใจใช้คนในงานบีบ ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมาชายหนุ่มพยายามปิดข่าว ตอนที่มีคอลัมน์ซุบซิบอักษรย่อ เขาก็ให้เลขาฯ ติดต่อคนที่ลงข่าวเพื่อถอดข้อความออกไป ดังนั้นที่ผ่านมาครอบครัวจึงไม่ระแคะระคายเรื่องนี้

“เธอเข้ามาคล้องแขนผม แล้วคุณแพรวก็เข้าใจผิด”

“มิน่า คนถึงได้พูดกัน พ่อก็ว่าแล้วว่าแกกับลูกสาวบ้านนั้นต้องไม่เคยรู้จักกันแน่ๆ”

“แปลกจัง ไม่ได้สนิทแต่กลับมาปล่อยข่าวลือให้ภูเสียหายเนี่ยนะ” แพรนวลบ่น หล่อนเองก็เพิ่งรู้ว่าวรดามีลูกสาว นั่นก็เพราะที่ผ่านมาคนที่ปรากฏตัวในวงสังคมอยู่บ่อยๆ คือลวัศกร

“พิลึกกันทั้งบ้านนั่นละ ไม่อย่างนั้นจะมานั่งด่าคนอื่นปาวๆ ว่าขี้โกงหรือ”

“โธ่...คุณคะ นั่นมันเรื่องในอดีต เอามาพูดอีกทำไมกัน” แพรนวลแก้

“ก็มันหงุดหงิดนี่ ตอนที่ได้ยินคุณประสงค์พูด ผมก็รู้แล้วว่ามั่ว มีอย่างที่ไหน ลูกชายเราหรือจะไปรักกับตระกูลคู่แค้นแล้วจะแต่งงานโดยที่เราไม่รู้ได้ยังไง”

ภูรินทร์นิ่ง ก้มหน้า เขากำมือแน่น ข่มความโกรธ เขาจะให้บิดารู้ไม่ได้ว่าถูกข่มขู่ 

ภูดิศพูดต่อ “แกก็ต้องระวังตัวให้ดี ผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีแผนการอะไรก็ได้   ถ้าเจอที่งานอีกละก็อยู่ห่างๆ ไว้เป็นดี”

“ครับคุณพ่อ ผมทราบ ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับเธอเด็ดขาด”

“ดีแล้วละลูก ภูต้องระวังเอาไว้ เกิดหนูมิวรู้เข้าอาจจะไม่ชอบใจก็ได้ คนรักกันก็ต้องให้เกียรติกันจริงไหม” แพรนวลติง 

“ผมจะระวังตัวไม่ให้เกิดข่าวลือแบบนี้อีก คุณพ่อกับคุณแม่สบายใจได้ครับ ตอนนี้ผมยังไม่คิดเรื่องแต่งงานแน่นอน แค่งานที่บริษัทก็วุ่นจนหัวหมุนแล้ว”

“ทำงานแต่ก็ต้องพักผ่อนบ้างนะ แม่เป็นห่วง”

“คุณก็ชอบทำเหมือนตาภูเป็นเด็กอยู่เรื่อย ลูกโตแล้วนะ เป็นถึงประธานบริษัท คุณยังประคบประหงมเหมือนลูกแหง่อยู่ได้”

“ก็ฉันรักลูกนี่คะ ถึงจะอายุยี่สิบเก้าแล้ว แต่สำหรับฉันก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ มาภู...มาให้แม่กอดหน่อย”

ภูรินทร์โอบมารดาเอาไว้ ซ่อนความเคร่งเครียดเอาไว้ในอก เรื่องเริ่มจะยากขึ้น ครอบครัวเริ่มระแคะระคายเรื่องข่าวลือ ถ้าวันหนึ่งทุกคนรู้ว่าเขาต้องแต่งงานกับลวิตราเรื่องคงจะยากกว่านี้ เขาควรจะจัดการปัญหายังไงดี

“แกเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ผมห่วงเรื่องประชุมพรุ่งนี้ ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ มีเอกสารอีกหลายอย่างที่ต้องเตรียม”

หนุ่มร่างสูงประนมมือไหว้บิดา เขาเดินขึ้นห้อง สีหน้าเคร่งเครียด เห็นทีต้องรีบเคลียร์เรื่องของลวิตราให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด แต่จนบัดนี้เขายังหาทางออกดีๆ โดยไม่ต้องแต่งงานกับหล่อนไม่ได้เลย

 

“เซอร์ไพรส์!”

สาวร่างเพรียวที่โผเข้ามากอดภูรินทร์เต็มแรงทำเอาชายหนุ่มชะงัก เขากำลังจะเดินออกไปกินอาหารเที่ยงแต่กลับพบใครบางคนเข้าเสียก่อน 

“คุณมาได้ยังไง”

ชายหนุ่มปั้นหน้านิ่ง ค่อยๆ แกะมือที่โอบรอบเอวออก นึกไม่ถึงว่ามธุรินจะบินมาเมืองไทย หญิงสาวยังสวยเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เจอกัน แต่น่าแปลกที่ภูรินทร์กลับไม่ได้รู้สึกเสน่หาหล่อนเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่ได้คุยกัน เขากลับนึกถึงภาพหล่อนกับปฐวีอยู่เรื่อย

“แหม...ภูคะ นี่คุณไม่ดีใจเลยหรือคะ มิวอุตส่าห์บินมาเซอร์ไพรส์คุณถึงบริษัทเลยนะคะ ทำไมต้องทำหน้าบึ้งด้วย”

“มาถึงเมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่ส่งข้อความบอกผมก่อน”

ครั้งสุดท้ายที่คุยกันทางไลน์คือเมื่อสองวันก่อน ตอนนั้นมธุรินไม่ได้เอ่ยปากสักคำว่าจะมาเมืองไทย

“ถ้าบอกแล้วภูจะยอมให้มิวมาที่นี่งั้นหรือคะ”

“ถ้ารู้ว่ามา ผมจะได้ไปรับ”

“แน่นะคะ แต่มิวไม่บอกดีกว่า จะได้ดูว่าคุณแอบซุกใครเอาไว้หรือเปล่า” หญิงสาวคล้องแขนชายหนุ่ม 

พิไลลักษณ์ยืนมอง มธุรินหันไปส่งยิ้มหวาน แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่

“เอ่อ...ถ้าคุณภูมีแขก ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

“จะไปไหนก็ไปเถอะค่ะคุณเลขาฯ... คนนี้หรือเปล่าคะที่ภูเคยบอกว่าชื่อพิไลลักษณ์ เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของคุณ”

มธุรินตีขลุม ทั้งที่ความจริงแล้วภูรินทร์แทบไม่เคยเล่าเรื่องบริษัทให้ฟังเลย ก่อนจะลดระดับความสัมพันธ์กัน เขาเคยพูดเสมอว่างานบริษัทเป็นของตระกูล และไม่ต้องการให้หล่อนเข้ามายุ่ง หลังเกิดเรื่องภูรินทร์ก็ยิ่งทำตัวเหินห่างมากขึ้น ครั้นพอหล่อนจะชวนคุยเรื่องบริษัท เขาก็รีบตัดบท 

“คุณพิไลเป็นเลขาฯ ผม”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณพิไล ฉันชื่อมธุริน เรียกว่ามิวก็ได้ อ้อ...แล้วช่วยยกเลิกนัดตอนบ่ายวันนี้ทั้งหมดของภูด้วยนะคะ เพราะว่าภูจะออกไปเที่ยวกับแฟน”

พิไลอ้าปากค้าง มองภูรินทร์เลิ่กลั่ก 

ชายหนุ่มหน้าตึง หันไปสั่งเสียงเข้ม “ไม่ต้องคุณพิไล ผมยังทำงานเหมือนเดิม ช่วยเตรียมเอกสารประชุมตอนบ่ายสองให้เรียบร้อยด้วย”

มธุรินหน้าบึ้ง หันไปกระเง้ากระงอดใส่ “ภูคะ นี่ใจคอคุณจะไม่พามิวไปฉลองหน่อยหรือคะ มิวอุตส่าห์บินมาหาถึงที่นี่”

หญิงสาวเกาะแขนแล้วเอียงหน้าเข้าไปซบ

“ก็เพราะว่าคุณเหนื่อย ผมถึงอยากให้พักไงล่ะ คุณชอบบ่นว่าเจ็ตแล็กเวลาเดินทางข้ามทวีปไม่ใช่หรือ อีกอย่างช่วงบ่ายผมมีประชุมสำคัญมาก คงเลื่อนไม่ได้”

“ภูใจร้าย”

“ผมมีงานต้องทำ ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่างานผมยุ่งมาก ถ้าคุณห่วงว่าผมจะไปกับคนอื่นละก็สบายใจได้ ผมอยู่บริษัทแทบทั้งวัน”

มธุรินเม้มปากแน่นด้วยความน้อยใจ พอเห็นสีหน้าจริงจังของแฟนหนุ่มก็ไม่กล้าโยเยต่อ “ก็ได้ค่ะ มิวจะรอจนกว่าคุณเลิกงาน แต่เย็นนี้คุณต้องไปกินข้าวเย็นกับมิวนะคะ มิวมีเรื่องอยากคุยกับคุณเยอะมาก”

“นี่คุณกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่งั้นหรือ คราวนี้จะอยู่สักกี่วัน”

“เปล่าค่ะ มิวกลับมาอยู่เมืองไทยถาวรเลย มิวคุยกับที่บ้านแล้ว ท่านไม่ว่าถ้ามิวไม่สบายใจที่จะอยู่อเมริกาต่อ ก็มาเริ่มต้นศึกษางานของที่บ้าน”

“ก็ดีเหมือนกันนะ ครอบครัวคุณคงดีใจมาก เพราะคุณอยู่ที่อเมริกานานแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ

“แล้วภูล่ะคะ ไม่ดีใจบ้างหรือ ถ้ามิวอยู่เมืองไทย เราสองคนจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น จะได้ปรับความเข้าใจกันยังไงล่ะคะ”

“ผมว่าเราเข้าใจกันดีแล้วนะมิว คุณคือเพื่อนสนิท วันนั้นผมพูดกับคุณยังไง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม”

“แต่มิวรักคุณนะคะ ที่ผ่านมามิวผิดที่ละเลยคุณ แต่หลังจากนี้มิวสัญญาจะทำตัวให้ดีขึ้น”

ภูรินทร์ค่อยๆ แกะแขนหญิงสาวออกและกุมมือหล่อนไว้หลวมๆ แทน เขาเหลือบเห็นสายตาพนักงานหลายคนที่มองมา 

“เอาเถอะ เรื่องนั้นเราค่อยว่ากัน ตอนนี้ไปกินข้าวกันก่อน คุณกินอะไรก็ได้ใช่ไหม”

“ค่ะ อะไรก็ได้ที่ภูอยากกิน มิวกินได้ทุกอย่าง เพื่อคุณคนเดียว”

“แน่ใจนะ งั้นวันนี้เราไปกินอาหารข้างทางกัน คุณไม่ได้มาเมืองไทยนานแล้ว คงไม่ได้กินข้าวแกงมานาน เจ้านี้อร่อยมาก ผมเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง”

ชายหนุ่มเดินนำโดยมีมธุรินเดินตามอยู่ข้างหลัง ไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของหญิงสาวงอง้ำด้วยความหงุดหงิดอย่างที่สุด

 

“บ้าที่สุด! ลากฉันไปกินข้าวแกงเนี่ยนะ!”

เมื่อกลับถึงบ้านมธุรินก็เขวี้ยงกระเป๋าถือลงบนโซฟาทันที หล่อนหงุดหงิดจนแทบจะกรี๊ดออกมา แต่เพราะอยู่ต่อหน้าภูรินทร์จึงต้องข่มเอาไว้...ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ หล่อนสู้อุตส่าห์บินมาเซอร์ไพรส์เขาที่เมืองไทย แต่ชายหนุ่มเย็นชา ทำเหมือนเป็นแค่คนรู้จัก 

ตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวแกงอยู่ข้างทาง ชายหนุ่มก็เอาแต่คุยโทรศัพท์ติดต่องาน อากาศร้อนเพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศแถมยังอยู่ข้างถนน พนักงานบริษัทต่างผลัดกันนั่งราวกับเก้าอี้ดนตรี มธุรินสวมเสื้อไหมพรมคอเต่าจึงยิ่งรู้สึกอบอ้าว หล่อนอยากถอดเสื้อทิ้งแต่ทำไม่ได้ หลังกินข้าวเสร็จ ภูรินทร์ก็รีบร้อนไล่หล่อนกลับ โดยอ้างว่าติดงานและต้องเตรียมการประชุม มธุรินไม่มีทางเลือกจึงต้องยอม แม้เขาสัญญาว่าจะพาหล่อนไปกินอาหารเย็น แต่คำสัญญานั้นก็ไม่มีอะไรแน่นอน ร่างบางมองเงาสะท้อนในกระจก นึกถึงสิ่งที่คุยกับมารดา

‘มิวต้องกลับเมืองไทยค่ะแม่ ไม่อย่างนั้นมิวจะต้องเสียภูไปตลอดชีวิต’

หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น ภูรินทร์ก็ลดระดับความสัมพันธ์ หญิงสาวยอมรับว่าคบเผื่อเลือก สำหรับหล่อนแล้วปฐวีก็คือเครื่องจักรทางเพศ แต่ภูรินทร์คือผู้ชายที่หล่อนตั้งใจจะแต่งงานด้วย แต่พอความลับถูกเปิดเผยหล่อนจึงตามง้อเพื่อขอคืนดี แต่ความแตกต่างของเวลาแถมอยู่คนละประเทศจึงทำอะไรไม่ถนัดนัก

“ไปอารมณ์เสียมาจากไหนฮึยายมิว”

มธุรินเงยหน้าและก็พบว่ามารดากำลังเดินลงบันไดมา หล่อนประนมมือไหว้

“ก็ภูสิคะแม่ พามิวไปกินอะไรก็ไม่รู้”

“ไม่ถูกใจงั้นหรือ แล้วทำไมไม่บอกเขาไปว่าลูกชอบอะไรล่ะ”

“บอกได้ที่ไหน ภูงานยุ่งค่ะแม่ วันๆ ก็ทำแต่งงาน แค่เวลาจะคุยกันยังไม่มีเลย... ไม่ไหวแล้วค่ะ มิวเหนียวตัวไปหมด ขอตัวไปอาบน้ำแล้วนอนพักสักสองสามชั่วโมงนะคะ ปวดหัวมาก”

ร่างบางยกมือขึ้นแตะตรงขมับและนวดเบาๆ 

มารดาเดินเข้ามาหา “ไปเถอะ แม่ให้คนจัดห้องไว้ให้แล้ว ส่วนกระเป๋าก็ยกขึ้นไปแล้ว โฟมหอมที่ลูกชอบวางอยู่ข้างอ่างจากุซซี แช่ให้สบายเถอะ”

มธุรินโผเข้าไปกอดเอวมารดาอย่างประจบ “แม่น่ารักที่สุด รู้ใจมิวทุกอย่างเลย”

“ไม่ต้องมาอ้อนแม่เลย เราน่ะมันเด็กไม่รู้จักโต กลับมาคราวนี้ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะ อย่าลืมว่าตาภูเป็นนักธุรกิจพันล้าน ถ้ามีภรรยาที่ไม่เป็นโล้เป็นพายจะอายเขานะ”

“แม่คะ อย่าว่ามิวแบบนี้สิ”

“แม่ไม่ได้ว่า ก็มิวเป็นคนขอที่จะกลับเมืองไทย แม่ก็ตามใจทุกอย่าง แต่มิวต้องอย่าลืมสิ่งสำคัญนะลูก คนรักกันน่ะต้องมีความเหมาะสมกันด้วย ภูเองก็เรียนจบปริญญาโท ส่วนลูก...”

“แม่คะ ไหนแม่บอกว่าจะไม่พูดเรื่องที่มิวเรียนไม่จบยังไงล่ะคะ”

“เอาเถอะ อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปเลย ขึ้นห้องไปพักผ่อนก่อน แล้วค่ำๆ ค่อยมาคุยกับคุณพ่อ”

“นี่พ่ออยากคุยกับมิวหรือคะ”

“ใช่ ถามหาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว” มารดาพยักหน้า สีหน้าเคร่งเครียด 

“เรื่องอะไรแม่พอทราบไหมคะ”

“ก็เรื่องข่าวลือเกี่ยวกับแฟนของลูกน่ะสิ”

“ข่าวลืออะไรคะ”

“แม่ไม่รู้หรอก เอาเป็นว่าถ้าลูกพร้อมเมื่อไหร่ค่อยไปคุยกับคุณพ่อในห้องหนังสือก็แล้วกัน”

 

“ไม่จริงนะคะพ่อ! เป็นไปไม่ได้!”

มธุรินแทบจะลืมความอ่อนล้าไปในทันที หล่อนเพิ่งจะข่มตาหลับไปแค่สองชั่วโมงตอนที่บิดาให้สาวใช้มาเรียก แต่พอได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ความง่วงก็มลายหายเป็นปลิดทิ้ง กลับกลายเป็นหัวเสียแทน

“เบาๆ หน่อยสิ จะตะโกนทำไม อยู่กันแค่นี้เอง”

“ข่าวมั่วแน่ๆ ภูไม่มีวันแต่งงานกับคนอื่น” มธุรินโต้กลับอย่างหัวเสีย แค่ได้ยินข่าวลือว่าภูรินทร์จะแต่งงานกับคนอื่น หล่อนก็ถึงกับนั่งไม่ติด 

“แกแน่ใจได้ยังไงว่าแฟนไม่ได้แอบคบคนอื่น”

“ภูไม่ใช่คนอย่างนั้นค่ะพ่อ ภูไม่มีทางทรยศมิว” มธุรินโต้ หล่อนถือตัวว่าเป็นที่หนึ่งในใจภูรินทร์มาตลอด ที่ผ่านมาถึงได้ย่ามใจ แม้ว่าลับหลังหล่อนจะแอบมีสัมพันธ์กับผู้ชายมากหน้าหลายตา แต่ต่อหน้ามธุรินจะแสดงตัวเป็นแฟนที่ช่างเอาอกเอาใจ 

“แกอาจจะมองคนผิด เขาอาจแค้นที่แกมั่วกับคนอื่นไปทั่ว”

ข่าวลือเรื่องลูกสาวเปลี่ยนคู่ควงไปทั่วแว่วมาถึงหูผู้เป็นพ่อเช่นเดียวกัน แต่เพราะรักลูกมากจึงไม่เคยพูดอะไรในเรื่องนี้ ส่วนมารดานั้นตามใจลูกทุกอย่าง ตอนที่มธุรินประกาศก้องว่าจะกลับเมืองไทย แม้มารดาจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ขัดไม่ได้ 

“นี่พ่อด่ามิวงั้นหรือคะ แน่สิ ทีพ่อยังมีอีหนูเป็นพรวน”

“มิว อย่าลามปามคุณพ่อนะ” มารดาเอ่ยห้าม 

บิดาของหล่อนก็เหมือนกับเศรษฐีทั่วๆ ไปที่มักจะมีบ้านเล็กบ้านน้อย แต่มารดาของหล่อนใจกว้าง ท่านถือหลักว่าหากไม่ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวแล้วก็ยอมรับได้ แต่ห้ามพาออกงานเพื่อรักษาหน้ากันก็เท่านั้น

“แม่คะ นี่แม่เข้าข้างพ่อหรือคะ”

“เรากำลังพูดกันด้วยเหตุผลนะมิว ที่พ่อถามก็เพราะได้ยินข่าวลือมา คนที่ไปงานการกุศลของคุณหญิงสุภาเขาพูดกันให้แซ่ด และแม่ก็เห็นว่ามันมีมูลเพราะคนที่พูดเป็นถึงเลขาฯ คุณหญิง”

“นังผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“ลวิตรา ลูกสาวคนเล็กของตระกูลเลอเลิศพงศ์” บิดาโต้

“ตระกูลนั้นมีลูกสาวด้วยหรือ ทำไมมิวไม่เคยเห็น”

ถ้าพูดถึงทายาทตระกูล ทุกคนคุ้นกับลวัศกร เพราะเขาคือนักธุรกิจหนุ่มดาวรุ่งซึ่งกำลังเป็นที่จับตามอง เขาเป็นที่กล่าวขวัญถึงเพราะเป็นผู้นำกระแสอนุรักษ์พลังงาน

“เห็นบอกว่าไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่จบมัธยม ดีไม่ดีจะไปเรียนรัฐเดียวกับมิวด้วยละมั้ง”

สมัยอยู่เมืองนอก ภูรินทร์ค่อนข้างเนื้อหอมไม่น้อย นักศึกษาหลายคนต่างชม้ายชายตา แต่ติดตรงที่ว่าเขาไม่เคยมองคนอื่น อาจจะมีผู้หญิงบางคนทำตัวเป็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงก็เป็นได้ 

“แต่ภูรักมิวคนเดียว”

“แน่ใจนะ แกจะคิดเองเออเองไม่ได้ แฟนแกเนื้อหอมน้อยเสียที่ไหน ระวังไว้เถอะ จะโดนเขี่ยทิ้งไม่รู้ตัว”

“คุณพ่อ!” มธุรินแหวเสียงสูง ยิ่งได้ยินว่าจะถูกทิ้ง หัวใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม ผู้หญิงที่ทั้งสวยและรวยอย่างหล่อนมีแต่คนมารุมจีบ สมัยอยู่อเมริกา หนุ่มๆ ทั้งไทยและเทศต่างพากันมองหล่อน 

“เอาน่ามิว ที่คุณพ่อถามก็เพื่อจะเตือนลูก ยังไงเสียนี่ก็เป็นเรื่องของลูกกับภูรินทร์ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกันเถอะนะ ก่อนทุกอย่างมันจะสายเกินไป”

“มิวจะโทร. หาภูเดี๋ยวนี้ ยังไงต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”

“เอะอะก็โวยวาย เพราะแบบนี้นี่ละ ผู้ชายเขาถึงได้เบื่อ”

“พ่อ!”

“คุณคะ ใจเย็นๆ กับลูกหน่อย”

“ที่ฉันเตือนก็เพราะสงสาร ผู้ชายไม่ชอบให้ผู้หญิงทำตัวเป็นแม่มดหรอก แกต้องรู้จักมีจริตจะก้าน รู้จักอ่อนหวานเข้าใส่ อย่างนี้ภูรินทร์ก็ไปไหนไม่พ้นแล้ว”

“จริงของคุณพ่อนะมิว ลูกต้องค่อยๆ คุย ภูรินทร์เป็นนักธุรกิจ เขาคงไม่ชอบให้เราแว้ดๆ ใส่ จำที่แม่บอกได้ไหม”

“จำได้ค่ะ แม่บอกว่าเสน่ห์ของผู้หญิงก็คือความอ่อนหวาน”

“นั่นละ ใช้วิธีนั้นหลอกถามภูรินทร์ว่าตกลงเขาจะเอายังไงกันแน่ แต่ถ้ามันเป็นแค่ข่าวลือก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงละก็ ลูกจะปล่อยให้ใครแย่งภูไปไม่ได้เด็ดขาด”

“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ภูคือคนที่มิวรัก มิวจะไม่ยอมเสียเขาไปเด็ดขาด”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น