10

บทที่ ๑๐


บทที่ ๑๐ 

 

 ปฐวีโยนโทรศัพท์มือถือลงบนโซฟาเมื่อถูกตัดสาย สีหน้าบึ้งตึง 

 “แฟนไม่ยอมรับโทรศัพท์หรือไง ถึงไปลงกับโทรศัพท์”

ประภัทรพูดยิ้มๆ แต่ปฐวีไม่ขำด้วย สองพ่อลูกอยู่ในห้องรับแขก ชายหนุ่มกลับมาเมืองไทยได้สองวันแล้ว ที่ผ่านมาเขาพยายามโทร. หามธุรินตามเบอร์ที่หล่อนเคยให้เอาไว้ แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมรับสาย บางครั้งก็ปิดโทรศัพท์หนีเสียอีก

 “แฟนที่ไหน ก็แค่คู่นอน”

“แล้วจะร้อนใจไปทำไม ก็ไหนบอกว่ามีคู่นอนครบทุกประเทศไม่ใช่หรือ ขาดคนนี้ไปเสียคน แกคงไม่ลงแดงตายหรอก”

บิดาพูดติดตลก แต่ปฐวีขำไม่ออก เขารับไม่ได้เพราะรู้ว่ามธุรินกำลังจะกลับไปหาภูรินทร์ แม้จะใช้นามสกุลเดียวกันแต่เขาเทียบอีกฝ่ายไม่ได้สักนิด ครอบครัวภูรินทร์ร่ำรวย มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ 

ปฐวีเป็นนักเรียนทุน การเงินของครอบครัวเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งบิดาทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จก็จะส่งเงินไปให้ แต่หากกิจการขาดทุน เงินเหล่านั้นก็จะหายไป ปฐวีจึงต้องช่วยเหลือตัวเอง อาศัยที่เป็นคนปากหวาน เขาคบกับแฟนชาวต่างชาติฐานะดีหลายคน เงินที่พวกหล่อนปรนเปรอให้ถูกนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หลายคนตราหน้าว่าเขาเป็นแมงดา แต่ปฐวีก็ไม่สน เขาแค่ต้องการบรรลุจุดมุ่งหมายของชีวิตเท่านั้น ทันทีที่เรียนจบเขาก็ตั้งใจจะกลับเมืองไทย

“พ่อว่างหรือไง ถึงได้มาแขวะผมเล่น” ชายหนุ่มโต้ 

พ่อกับแม่เลิกกัน ขณะที่แม่แท้ๆ ไม่เคยสนใจลูกชายเลยแม้แต่น้อย ปฐวีเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของพี่เลี้ยง บางครั้งเขาต้องไปอยู่กับปู่ ยามที่พ่อเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่จีน แต่สิ่งหนึ่งที่ฝังหัวชายหนุ่มมาตั้งแต่เล็กนั่นคือความอยุติธรรมที่ครอบครัวได้รับหลังจากปู่ภาคภูมิไล่ปู่ปิยะออกจากบ้าน 

“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ก็เห็นวันๆ แกเอาแต่จ้องโทรศัพท์ หรือว่าถูกผู้หญิงเขาเฉดหัวทิ้งแล้ว”

“พ่อ นี่ผมกำลังกลุ้มอยู่นะ”

“มัวแต่สนใจเรื่องผู้หญิง ทำไมไม่รู้จักคิดบ้างว่าจะมาช่วยกันพลิกฟื้นบริษัทยังไง กิจการเรายิ่งย่ำแย่อยู่”

“ก็เพราะพ่อบริหารจนขาดทุน เจ๊งไม่รู้จะเจ๊งยังไงแล้ว ทีนี้จะมาให้ใครเขาช่วยล่ะ”

“บ๊ะ! แกจะมาโทษฉันได้ยังไง สมัยนี้เศรษฐกิจเมืองไทยไม่ดี ใครๆ ค้าขายก็ขาดทุนทั้งนั้นละ”

“แต่ก็ไม่มีใครชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนเรา ถ้าพ่อไม่เอาต้นทุนไปละเลงในบ่อน ป่านนี้ตัวเลขในบัญชีก็คงไม่แดงเถือกขนาดนี้หรอก”

เขาปรายตามองเอกสารบัญชีที่เลขาฯ นำมาให้ อ่านดูหลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นทางออกที่จะช่วยประคับประคองบริษัทต่อ เงินที่ถูกละเลงไปในบ่อนมากกว่าเงินทุนทั้งหมด แถมตอนนี้บิดายังติดหนี้อีกหลายล้าน 

“นี่แกว่าพ่องั้นหรือ”

“ใช่...พ่อก็รู้ว่าการพนันมันไม่เคยทำให้ใครรวยได้หรอก คิดหรือว่าเล่นแล้วจะถอนทุน มันมีแต่เสียกับเสีย”

“นี่แกริอ่านเป็นพ่อฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ เออสิ ไอ้ลูกใจดำ ไม่ยอมช่วยอะไรเลย”

“ผมจะช่วยยังไงไหว ในเมื่อบริษัทมันจวนจะเจ๊งอยู่รอมร่อ พ่ออยากทำก็ทำไปคนเดียวเถอะ ผมไม่อยากเสียชื่อว่าบริหารบริษัทแล้วเจ๊งตั้งแต่อาทิตย์แรก” ปฐวีโต้ 

“ไอ้ลูกอกตัญญู! ไอ้ฉันอุตส่าห์กัดฟันส่งแกไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา จะเอาตัวรอดคนเดียวงั้นหรือ”

“พูดผิดพูดใหม่ได้ พ่อไม่เคยส่งเสีย ผมต่างหากที่ส่งเสียตัวเอง เงินที่พ่อให้มันหมดไปกับค่าเดินทางและค่าหอเดือนแรกแล้ว ส่วนค่าเล่าเรียนผมก็สอบชิงทุนเอาตลอด ค่ากินอยู่ทั้งหมดผมหามาเองด้วยน้ำพักน้ำแรง หรือพ่อจะเถียง”

ประภัทรเป็นฝ่ายอึ้ง มองลูกชาย แต่เมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนีความจริงได้ก็หน้าบึ้ง 

“สรุปว่าแกจะทนดูบริษัทเจ๊งใช่ไหม”

“ใช่ เพราะถึงจะทำมันก็กู้คืนไม่ได้ ทำไมเราต้องประคองเรือที่กำลังจะจม สู้หาเรือสำราญลำใหม่ไม่ดีกว่าหรือ”

ปฐวียิ้มอย่างหมายมาด เขาคิดถึงสิ่งนี้มาตลอดระยะเวลาที่อยู่อเมริกา ยิ่งเห็นภูรินทร์อู้ฟู่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกอิจฉามากเท่านั้น หากปู่ภาคภูมิไม่ไล่ปู่เขาออกจากบ้าน และปู่ไม่ต้องไปค้าขายที่จีน ป่านนี้พ่ออาจจะเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารบริษัท รับเงินปันผลสบายๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้ตำแหน่งดีๆ สืบต่อจากปู่ แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของหุ้นก็ทำให้ฐานะร่ำรวยแล้ว

“แกหมายถึงอะไร”

“พีพีเรียลเอสเตตยังไงล่ะ”

“แต่นั่นมันบริษัทของปู่ภาคภูมิ”

นับตั้งแต่ภาคภูมิไล่น้องชายออกจากบ้าน เขาก็ไม่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือใดๆ เมื่อครั้งปิยะทำการค้าขาดทุน ต้องหนีเจ้าหนี้หัวซุกหัวซุนแต่ภาคภูมิก็ยังทำเฉย หลายครั้งที่ประภัทรต้องซมซานไปขอเงินจากปราณปรียาแทน แต่ก็ถูกจับทำสัญญาเงินกู้เสียอย่างนั้น

“ปู่ผมในฐานะน้องชายก็ควรจะได้ส่วนแบ่งบ้าง พ่ออย่าลืมสิว่าเงินทุนก็มาจากทวดผมเหมือนกัน”

ประภัทรกำมือแน่น ขบกรามจนเป็นสันนูน...นับตั้งแต่เขาจำความได้ พ่อเล่าว่าเป็นเพราะลุงภาคภูมิตัดพี่ตัดน้อง แม้ว่าพ่อจะเดือดร้อนสักเท่าไหร่แต่ลุงก็ไม่เคยยื่นมือมาช่วย โชคร้ายเหลือเกินที่ครอบครัวเขาเหมือนถูกคำสาปทำกิจการอะไรก็ขาดทุนอยู่บ่อยครั้ง 

“แกจะทวงได้ยังไง ในเมื่อปู่ภาคภูมิของแกไม่เคยให้โอกาสพวกเราพบเลยด้วยซ้ำ”

“พ่อจำไม่ได้หรือว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้วันอะไร”

ประภัทรนิ่งไป พร้อมกับนึก “วันครบรอบวันตายของย่าทวดแก”

“ใช่...และปู่ภาคภูมิก็ต้องไปงานนี้”

ทุกปีภาคภูมิจะต้องไปเยี่ยมสุสานของมารดาเพื่อเป็นการระลึกถึง แต่เดิมปิยะก็ไปเคารพสุสานด้วย สองพี่น้องต่างยืนนิ่งๆ และพูดจากันนับคำได้

 “แกมีแผนแล้วใช่ไหม”

ปฐวีคลี่ยิ้ม การที่ภาคภูมิไม่ยอมให้อภัยแสดงว่าต้องมีเรื่องโกรธกัน แต่หากได้เจอกับหลานชายที่แสนดี บางทีภาคภูมิอาจจะใจอ่อนก็ได้ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เงิน แต่คือโอกาสเข้าไปอยู่ในบริษัทนั้นต่างหาก

 “ใช่ พ่อช่วยบอกปู่ว่าให้ส่งผมไปเป็นตัวแทน ผมจะทำให้ปู่ภาคภูมิใจอ่อนยอมรับหลานคนนี้ และถ้าทุกอย่างสำเร็จต่อไปไม่ใช่แค่เราจะมีกินมีใช้ แต่ครอบครัวเราจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต”

 

วันนี้ภูรินทร์มีนัดรับประทานอาหารเที่ยงกับครอบครัว หลายวันมานี้เขาเลี่ยงที่จะพูดถึงข่าวลือ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของมารดา ทั้งครอบครัวนัดกันไปกินอาหารที่ร้านโปรดของแพรนวล ชายหนุ่มจึงต้องไปด้วย เขารีบเข้าบริษัทเพื่อเคลียร์งาน อีกทั้งยกเลิกนัดทั้งหมดในตอนบ่ายเพื่อใช้เวลากับครอบครัว 

เขาเครียดเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องข่าวลือยังไง อีกไม่นานลวิตราคงจะมาทวงคำตอบ มธุรินเองก็ดูเหมือนจะระแคะระคายข่าวลือเพราะเทียวมาที่บริษัทเกือบทุกวัน เขาอึดอัดเมื่ออดีตแฟนสาวเอาอกเอาใจเกินกว่าเหตุ ดูเหมือนหล่อนไม่พยายามเข้าใจเลยว่าเขาต้องการเว้นระยะห่าง 

มธุรินยังทำตัวเหมือนคนรัก แอบเข้ามากอด มาหอม บางครั้งก็เข้ามาคล้องแขนนั่งตัก ภูรินทร์ยอมรับว่ารู้สึกไม่เหมือนเดิม เขาไม่เสน่หาหล่อน มีแต่ความพิพักพิพ่วนแทน หญิงสาวมักจะซื้อขนมมาให้ พยายามถ่วงเวลากินข้าวด้วยกัน บางครั้งก็จะแวะมาตอนใกล้เลิกงานเพื่อขอให้เขาพากลับบ้าน 

ประตูถูกผลักเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวร่างบางเดินเข้ามา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่รวยรินมาตามอากาศทำให้รู้ว่าเป็นใคร

“ภูคะ...วันนี้มิวมีบราวนีมาฝากคุณด้วยนะคะ ร้านที่คุณชอบ”

แม้ภูรินทร์จะเป็นผู้ชายแต่เขากลับโปรดปรานของหวานเป็นที่สุด โดยเฉพาะขนม แต่ที่ไม่มีไขมันส่วนเกินก็เพราะเจ้าตัวหมั่นออกกำลังกาย เขามักจะไปใช้บริการฟิตเนสของบริษัทหากงานยุ่ง แค่ได้วิ่งสักชั่วโมงและยกน้ำหนักก่อนนอนก็พอทำให้ร่างกายแข็งแรงและนอนหลับสบายแล้ว พักหลังเขาเครียด ชายหนุ่มจึงมักจะว่ายน้ำในสระที่บ้านเพื่อคลายเครียด 

“รู้ได้ยังไงว่าวันนี้ผมอยู่บริษัท”

“แหม มิวก็มีสายของมิวสิคะ แถมมิวยังรู้ด้วยว่าวันนี้คุณมีนัดกินข้าวกับที่บ้านเพราะเป็นวันเกิดคุณแม่ มิวก็เลยมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ท่าน” มธุรินชูถุงของขวัญจากแบรนด์หรู 

ภูรินทร์ปั้นหน้าไม่ถูก เขายังไม่ได้บอกความจริงกับที่บ้านว่าลดระดับความสัมพันธ์กับหญิงสาวแล้ว 

“แต่วันนี้เป็นงานเลี้ยงในครอบครัว คงไม่สะดวก”

“อะไรกันคะภู มิวไม่ใช่คนอื่น มิวเป็นแฟนคุณ”

“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อน”

หญิงสาวกำมือแน่น เม้มริมฝีปาก สะกดอารมณ์ก่อนจะปรับท่าที ปราดเข้ามาเกาะแขนอย่างอ้อนๆ แทน 

“มิวเคยทำผิด แต่ตอนนี้มิวเปลี่ยนไปแล้วนะคะ ให้โอกาสมิวสักครั้งไม่ได้หรือคะ”

“ผมก็ให้โอกาสคุณอยู่นี่ไง คุณถึงได้เข้ามาหาผมได้โดยไม่ต้องแจ้งเลขาฯ ก่อน”

พิไลลักษณ์แอบอยู่ตรงประตู เพียงยื่นหน้าเข้ามา ภูรินทร์โบกมือ เขารู้ว่าเลขาฯ สาวพยายามทัดทานแล้วแต่ไม่เป็นผล มธุรินมักจะโวยวายอาละวาดและอ้างสิทธิ์ความเป็นแฟนหากพิไลลักษณ์ไม่ให้เข้าพบ

“ถ้างั้นไหนๆ วันนี้ก็วันเกิดคุณแม่ ให้มิวไปเซย์ไฮนิดเดียวได้ไหมคะ มิวสัญญาว่าจะไม่รบกวนเวลาครอบครัว พอมอบของขวัญเสร็จมิวก็จะรีบกลับบ้าน”

“บอกแล้วไงว่ามีแต่คนในครอบครัว”

“แค่ให้ของขวัญก็ไม่ได้หรือคะ ภูใจร้ายกับมิวมาก”

หล่อนก้มหน้า ขอบตาแดงก่ำ เพียงครู่เดียวน้ำตาก็ไหลลงมาราวกับสั่งได้ ภูรินทร์อึ้ง เขายอมรับว่าแพ้น้ำตาผู้หญิง ทุกครั้งที่มธุรินร้องไห้ เขาก็รู้สึกเหมือนตนใจดำเหลือเกิน

“มิวรู้นะคะว่าภูยังโกรธ ที่ผ่านมามิวพยายามปรับปรุงตัว ใจคอจะไม่ให้โอกาสมิวได้ไปสวัสดีคุณแม่บ้างหรือคะ”

ภูรินทร์นิ่งคิด สุดท้ายก็พยักหน้า “ก็ได้ ถ้าคุณอยากไปสวัสดีคุณแม่ งั้นไปเจอท่านที่ร้านแว่นประจำก็แล้วกัน เห็นคุณแม่บอกว่าจะแวะไปตัดแว่นอันใหม่ คงใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง”

มธุรินนิ่งเมื่อรู้สึกถึงกำแพงกางกั้น แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ขอบคุณมากนะคะภู คุณใจดีที่สุด กินขนมหน่อยนะคะเดี๋ยวมิวเอาใส่จานให้ กินกับกาแฟอร่อยมาก”

หญิงสาวเดินไปที่ชั้นวางจานเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังห้อง หยิบบราวนีออกมาใส่จาน ชำเลืองมองภูรินทร์ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ แม้ภูรินทร์จะยังใจแข็งไม่ยอมให้ร่วมโต๊ะแต่หล่อนก็มีไม้ตายเช่นเดียวกัน ครอบครัวชายหนุ่มคงยังไม่รู้เรื่อง ดังนั้นมธุรินก็จะใช้โอกาสนี้แสดงบทแฟนสาวที่แสนดีให้สมดังใจ

 

“นั่นไง มากันแล้ว”

ทั้งสามดักซุ่มอยู่ในห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร สายของกานต์รวีบอกมาว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแพรนวล ทั้งครอบครัวจึงมารับประทานอาหารที่นี่ แต่สิ่งที่ทำให้ลวิตราตัดสินใจมาก็คือรูปถ่ายที่สายของกานต์รวีส่งมา 

นับตั้งแต่กลับจากเมืองนอก มธุรินก็แวะไปที่บริษัทของภูรินทร์แทบทุกวัน ทั้งสองมักจะออกไปกินอาหารด้วยกันบ้างก็มื้อเย็น บ้างก็มื้อค่ำ 

“คุณปู่ก็มาด้วย”

ลวิตราเพิ่งเคยเห็นตัวจริงของภาคภูมิเป็นครั้งแรก แม้จะอายุใกล้แปดสิบปีแล้วแต่ยังดูแข็งแรง รูปร่างที่สูงกว่าชายไทยทั่วๆ ไป บุคลิกดูองอาจ แต่ว่าบนใบหน้านั้นไม่มีรอยยิ้ม หลังจากปราณปรียาเสียชีวิตลงก็ดูเหมือนว่าภาคภูมิจะออกงานน้อยลง 

“เข้าไปเลยไหมแก เรื่องจะได้จบๆ” ณัทกรโพล่งขึ้น

“ยังก่อน พระเอกยังไม่มา”

กานต์รวีบุ้ยใบ้ เมื่อมองไปก็พบว่าภูรินทร์ยังไม่ได้เดินมาด้วย เขาอาจจะแวะเข้าไปที่บริษัทเพื่อทำงานก่อน แพรนวลเดินปลีกตัวออกไป ทิ้งให้ผู้ชายสองคนแยกไปเข้าร้านหนังสือ คงเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารเที่ยง

“จริงด้วย สงสัยพระเอกจะงานยุ่ง แล้วนางเอกของเราล่ะพร้อมหรือยัง”

วันนี้ลวิตราแต่งตัวแบบจัดเต็มสมกับเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ที่กำลังจะเปิดตัว หล่อนเลือกสวมชุดกระโปรงสีครีมเข้ารูปแบบสุภาพ เพราะไม่อยากให้ภาพลักษณ์ต้องป่นปี้ไปมากกว่านี้ ใบหน้างามแต่งแต้มเพียงอ่อนๆ 

“ฉันปวดท้อง”

หญิงสาวทำหน้าเบ้ นับตั้งแต่ออกจากบ้านท้องไส้ของหล่อนก็ปั่นป่วนด้วยความตื่นเต้น แทบไม่อยากจะนึกว่าหากต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของภูรินทร์จะขาสั่นขนาดไหน แต่หล่อนก็ต้องทำเนื่องจากมธุรินรุกหนักเหลือเกิน

“อะไรกันวะ นี่อย่าบอกนะว่านางเอกของเราท้องเสีย”

“ไม่ถึงขนาดนั้น ก็แค่ข้าศึกบุกนิดหน่อย ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

“เออ...ไปเถอะ ยังเหลือเวลา แล้วอย่าลืมเช็กความเรียบร้อยก่อนออกมานะ จะเปิดตัวทั้งทีต้องเอาให้อลังการ” กานต์รวีสั่ง 

“เออน่า ขอไปแป๊บเดียว”

“อย่าโอ้เอ้นะ เดี๋ยวแผนพังกันพอดี”

สาวร่างบางพยักหน้า เดินเร็วๆ ไปยังห้องน้ำ กานต์รวีกับณัทกรหันกลับมาเพ่งความสนใจไปยังร้านหนังสือ ทั้งสองไม่รู้ว่าข้างกายมีเงาโปร่งบางปรากฏขึ้น ปราณปรียาสวมชุดสีฟ้าอ่อนน้ำทะเล โบกพัดในมือไปมา หล่อนยิ้มอย่างหมายมาด 

มนุษย์สามคนมีแผน แต่นางฟ้าทูนหัวก็มีแผนการดีๆ ในใจตนแล้วเช่นกัน

 

“มีใครอยู่ข้างนอกไหมคะ ช่วยฉันด้วย”

เสียงเคาะประตูจากห้องข้างๆ ทำให้ลวิตราที่เพิ่งจัดการธุระส่วนตัวเสร็จถึงกับตกใจ หล่อนเปิดประตูออกมาและก็พบว่าห้องน้ำที่ติดกันยังคงปิดประตูอยู่

“อะไรนะคะ”

“ฉันติดอยู่ในห้องน้ำค่ะ ประตูเปิดไม่ออก เหมือนกลอนจะขึ้นสนิม เปิดยังไงก็ไม่ออก”

“ใจเย็นๆ นะคะคุณ เดี๋ยวฉันช่วย”

ลวิตราลองดูประตูน้ำห้องที่หล่อนเพิ่งออกมาเมื่อครู่ ลักษณะกลอนประตูคล้ายกับแผ่นเหล็กที่เลื่อนลงมาและวางลงไปบนแผ่นที่รออยู่ การเปิดคือผลักขึ้นด้านบน 

“คุณลองดันอยู่หรือยังคะ บางทีอาจจะฝืด”

“ลองแล้วค่ะ แต่มันขยับไม่ได้เลย”

“เอาอย่างนี้นะคะ ฉันมีที่ตะไบเล็บจะลองสอดเข้าไป คุณอยู่ห่างประตูไว้นะคะ”

หญิงสาวลองสอดที่ตะไบเล็บเข้าไปตามร่องประตูเพื่อช้อนแผ่นเหล็กขึ้น แต่เนื่องจากข้อที่ฝืดทำให้ยังคงติดอยู่ หล่อนทำเช่นเดิมอีกหลายครั้งแต่แผ่นเหล็กไม่ยอมขยับ

“เปิดไม่ออก เอาอย่างนี้นะคะ ฉันจะไปตามคนมาช่วย คุณอยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ ไม่ต้องตกใจไป”

“ไม่นะคะ อย่าไป อย่างทิ้งฉันไว้ตรงนี้”

น้ำเสียงของคนด้านในค่อนข้างร้อนรนทีเดียว ลวิตราแนบหูฟังและพบว่าอีกฝ่ายหายใจแรง อาจจะตกใจกลัวเพราะติดอยู่ด้านในก็เป็นได้

“ไม่ต้องกลัวนะคะ ฉันแค่จะไปตามคนมาช่วย บางทีพนักงานอาจจะมีอุปกรณ์”

“ไม่ค่ะ อย่าไป อย่าทิ้งฉัน”

ลวิตรามองกลอนประตูอีกครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจแนบแก้มพูดผ่านประตู “ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันยังไม่ได้ไปไหน ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตรงนี้ คุณลองดูที่กลอนประตูว่ามันมีเศษอะไรเข้าไปติดหรือเปล่า”

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งคงกำลังดูตามที่ลวิตราบอก สุดท้ายก็พูดออกมาว่า

“ไม่มีนะคะ แต่เหมือนกลอนจะขึ้นสนิม ทำยังไงดี ฉันต้องติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วงแล้ว”

“ใจเย็นๆ ค่ะ เราต้องช่วยกันคิด”

หญิงสาวทบทวนหล่อนเดินเข้าไปดูประตูอีกฝั่งหนึ่ง เนื่องจากห้องน้ำนี้เป็นประตูสูงเกือบติดเพดาน การปีนจากด้านบนจึงเป็นไปไม่ได้ แถมด้านล่างก็เหลือช่องน้อยเช่นเดียวกัน 

“ลองกระแทกประตูสิ”

เสียงแผ่วเบาดังมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ขณะที่ลวิตราขนลุกซู่ หล่อนถาม

“คุณบอกให้กระแทกประตูหรือคะ”

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้พูด ฉันคิดอะไรไม่ออก”

“กระแทกประตูสิ แล้วมันจะเปิดได้”

ลวิตรามองไปรอบๆ พยายามหาต้นตอของเสียง ก่อนที่หล่อนจะมองไปที่กลอนประตูอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยว่า

“เอาอย่างนี้นะคะ คุณลองถอยไปห่างจากประตูห้องน้ำก่อนนะคะ ฉันจะลองกระแทกประตูเผื่อกลอนที่ติดอาจจะขยับ อาจจะเปิดประตูได้”

“เอางั้นหรือคะ”

“ใช่ค่ะ อยู่ห่างๆ เอาไว้นะคะ ฉันกลัวคุณจะบาดเจ็บ”

คนข้างในกระเถิบไปยืนชิดกับโถสุขภัณฑ์ขณะที่ลวิตราใช้มือสองข้างกระแทกกับประตู เนื่องจากความหนักประตูจึงขยับเพียงเล็กน้อย หล่อนจึงใช้หัวไหล่กระแทกอีกสองครั้ง เสียงเนื้อกระทบไม้ก่อนที่บานประตูจะขยับ คนด้านในลองผลักแผ่นเหล็กอีกครั้ง

“พอขยับได้แล้ว คุณช่วยกระแทกอีกครั้งจะได้ไหมคะ เหมือนจะได้ผลจริงๆ ด้วย”

คราวนี้ลวิตราใช้ไหล่และข้อศอกกระแทกจนสุดแรงตามด้วยมืออีกข้างที่ผลักออกไปพร้อมๆ กัน กลอนประตูที่ฝืดพลันขยับคนด้านในเปิดออกได้ในที่สุด ร่างที่คุ้นตาผลักประตูออกมา พอเห็นหญิงสาวก็ปราดออกมา

“ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่”

คงเป็นหญิงสาวเองที่มองคนในห้องน้ำด้วยสายตาประหลาดใจ หล่อนอ้าปากค้าง

“คะ...คุณ...”

“หนูใช่ไหมคะ ที่ช่วยฉันเมื่อครู่นี้ หนูช่างมีน้ำใจงามจริงๆ ขอบใจมากนะจ๊ะ” แพรนวลจับมือลวิตราไว้อย่างซาบซึ้ง

“เอ่อ...มะ..ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”

“ไม่ค่ะ ป้าก็แค่ตกใจ ป้าต้องรีบออกไปก่อนนะจ๊ะ ป่านนี้สามีกับคุณพ่อคงเป็นห่วงแล้ว ขอบคุณหนูมากๆ หวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

ลวิตราโบกมือตามเหมือนคนละเมอ มองแผ่นหลังของคนที่จากไปก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่

“คุณแพรนวล”

ร่างบางส่ายหน้า เปิดน้ำก๊อกเพื่อล้างมือ นัยน์ตาเหม่อลอยมองเงาสะท้อนในกระจก ช่างบังเอิญเหลือเกินที่หล่อนเจอมารดาของภูรินทร์พอดิบพอดี

“อะไรจะแจ็กพอตขนาดนั้น”

หล่อนปิดน้ำ หมุนตัวออกจากห้องน้ำ 

เมื่อคล้อยหลังไปเงาโปร่งแสงในชุดสีฟ้าน้ำทะเลก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

“ฝีมือกามเทพแป้งเสียอย่าง สบายมาก แค่นี้การพบกันระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ก็เลิศ!”

 

“คุณแม่หายไปไหนครับคุณพ่อ ผมไปหาที่ร้านแว่นแต่ไม่เจอ”

ภูรินทร์ตามมาถึงที่ห้างสรรพสินค้า แต่กลับพบว่าครอบครัวทั้งหมดยืนอยู่หน้าร้าน คนที่หายไปกลับเป็นแพรนวล

“พ่อก็สงสัยอยู่ เห็นบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่หายไปนานมาก ถ้าไงเราส่งคนเข้าไปดูหน่อยไหม พ่อเป็นห่วง”

“ให้มิวไปดูให้ไหมคะคุณพ่อ”

ภูดิศหันไปมองต้นเสียง เมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาสวยก็จำได้ พวกเขาเคยเจอมธุรินสมัยแวะไปเยี่ยมภูรินทร์ที่อเมริกา

“อ้าว หนูมิวก็มาด้วยหรือ ขอโทษทีนะ พ่อไม่ทันเห็น กำลังเป็นห่วงแม่เขาว่าหายไปนาน”

“มิวอาสาไปตามในห้องน้ำให้ดีไหมคะ ผู้หญิงด้วยกันสะดวกหน่อย”

“ก็ดีนะ พ่อเป็นห่วง”

ภูดิศยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างบางที่คุ้นตาก็เดินออกมา สีหน้าซีดเผือด

“อ้าว คุณนวลมาพอดี ผมกำลังจะให้หนูมิวไปตาม คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเข้านานจัง”

“ฉันติดอยู่ในห้องน้ำค่ะ ประตูมันฝืด เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก โชคดีมีผู้หญิงใจดีคนหนึ่งมาช่วยไว้”

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้ล่ะ นี่ขนาดห้องน้ำในห้างนะ ไม่มีพนักงานคอยดูแลหรอกหรือ”

“ไม่มีเลยค่ะคุณ บังเอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้าห้องข้างๆ พอดี เธอช่วยกระแทกประตูกลอนก็เลยขยับแล้วฉันก็เลยออกมานี่ค่ะ ฉันมัวแต่รีบเลยลืมถามชื่อ”

“ไม่เป็นไรหรอก ผมว่าเราเข้าไปในร้านกันดีกว่า พนักงานมาถามหลายรอบแล้วว่าจะไปนั่งที่โต๊ะเลยไหม คุณพ่อท่านเมื่อยก็เลยเข้าไปนั่งรอก่อนแล้ว”

ภูดิศหันไปทางมธุรินกับภูรินทร์

“พาแฟนเข้าไปข้างในสิภู ไหนๆ ก็มาแล้ว... หนูมิวก็กินข้าวด้วยกันเลยเป็นไง”

ภูรินทร์หันมองหญิงสาว หล่อนสัญญาว่าจะมามอบของขวัญหลังจากนั้นจะกลับ 

“มิวกินข้าวด้วยได้หรือคะคุณพ่อ งั้นมิวขอร่วมโต๊ะด้วยคนนะคะ ไม่ได้เจอคุณพ่อคุณแม่นานมากแล้ว”

ร่างเพรียวเดินไปเกาะแขนภูดิศอย่างสนิทสนม ภูรินทร์ถลึงตาดุ เขาทำท่าบุ้ยใบ้เพื่อให้หญิงสาวรักษาสัญญาที่ให้ไว้

“อ้าวภู ยืนนิ่งทำไมล่ะ เข้าไปสิ คุณปู่คงหิวแล้ว... ไปคุณนวล เข้าไปพร้อมๆ กันนี่ละ”

“มิวมีธุระครับ คงร่วมโต๊ะกับเราไม่ได้”

“ธุระอะไรกันจ๊ะ แค่กินข้าวแป๊บเดียว แม่ไม่ได้เจอหนูมิวนานแล้ว คิดถึง”

“ค่ะคุณแม่”

ภูรินทร์หันไปหามธุริน เขาคว้าข้อมือหล่อนไว้ สีหน้าบึ้งตึง แค่นเสียงพอให้ได้ยินกันสองคน “คุณสัญญาแล้ว จำได้ไหม”

“สัญญาอะไรหรือภู นี่มันอะไรกัน”

“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณแม่ แต่มิวมีธุระต้องรีบไป เธอแค่แวะมาอวยพรวันเกิดเฉยๆ”

พอเจอมุกนี้เข้าไป มธุรินถึงกับหน้าง้ำ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าภูดิศและแพรนวล จึงได้แต่ทำหน้าจ๋อยๆ 

“ขอโทษค่ะ พอดีมิวลืมไป ขอบคุณนะคะภูที่เตือน นี่ของขวัญวันเกิดของคุณแม่นะคะ ขอให้คุณแม่สุขภาพแข็งแรงนะคะ” มธุรินกราบที่อก 

แพรนวลยิ้มแล้วรับไหว้ “ขอบใจมากนะหนูมิว ความจริงไม่เห็นต้องเสียเงินเสียทองเลย แล้วมีธุระอะไรถึงต้องรีบขนาดนี้ แค่อยู่กินข้าวด้วยกันไม่ได้หรอกหรือ”

“คือว่ามิว...”

“มิวมีนัดกับที่บ้านครับ คุณพ่อกับคุณแม่เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า เดี๋ยวผมจะไปส่งมิวแล้วจะรีบตามเข้าไป”

“เอาอย่างนั้นหรือภู”

ภูรินทร์พยักหน้า มธุรินมองตามตาละห้อย เมื่อหันมาเจอสายตาขึงขังของอดีตแฟนก็เลี่ยงไม่ได้จึงจำต้องเดินตามเขาออกจากร้าน ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนสามคนกำลังเดินเข้าไปในร้าน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น