9

ช็อกโกแลตซีสต์


 

บทที่เก้า

ช็อกโกแลตซีสต์

 

ดวงตาซึ่งปิดอยู่ค่อยๆ ปรือขึ้น ความรู้สึกปวดไม่ได้มาจากบริเวณท้อง แต่มาจากแถวๆ ศีรษะ ความรวดร้าวจับไปทั่วร่าง เมื่อยกมือขึ้นแตะขมับ เสียงของผู้ที่เธอนอนหนุนตักก็ดังขึ้น 

“ฟื้นแล้วเหรอ”

อิงวาดกะพริบตาถี่ ปรับสายตาพร่ามัวให้ชัดขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวลุกด้วยการประคองของมอลรีน 

“ฟื้นแล้วค่ะ” เธอตอบพลางกวาดตามองรอบด้าน 

ชุดสครับของบุคลากรทางการแพทย์และเตียงผู้ป่วยที่เข็นผ่านสายตาทำให้หญิงสาวรับรู้ในทันทีว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล ดวงตายาวเรียวเบนไปทางหัวหน้าผู้มีสีหน้าบอกชัดว่าหงุดหงิด เช่นเดียวกับน้ำเสียง 

“ยังต้องรอคิว พยาบาลบอกว่าเธอน่ะยังรอได้” 

นี่ไม่ใช่คำตอบที่สร้างความแปลกใจให้ผู้รับฟัง อิงวาดยิ้มบางๆ มือแตะท้อง “ฉันปวดท้องค่ะ”

“เป็นมานานแค่ไหนแล้ว”

“ก็...ตั้งแต่ช่วงเรียนจบค่ะ อันที่จริงเมื่อก่อนตอนมีประจำเดือนก็ชอบปวดท้องประจำเดือน แต่ช่วงนี้ไม่ได้เป็นก็ปวด”

“แล้วทำไมไม่นัดหมอ เธอรู้ใช่ไหมว่ามีประกัน”

คนถูกถามหน้าเจื่อน “นัดแล้วค่ะ แต่ยังไม่ถึงคิว”

เมื่อพูดถึงประกันก็รู้สึกหนักอกขึ้นมา วันนั้นเมื่อทำการนัดหมอ ช่วงเที่ยงเธอได้เช็กกับบริษัทประกัน เลยทราบว่าประกันไม่ครอบคลุมค่ารักษาร้อยเปอร์เซ็นต์ มีส่วนต่างที่เธอต้องจ่าย 

แม้สุดท้ายแล้วค่าใช้จ่ายที่ประกันไม่ครอบคลุมจะผ่อนจ่ายได้ ถึงกระนั้นตัวเลขที่อาจออกมามหาศาลก็ทำให้เธออยากกลับไปรักษาที่ไทยมากกว่า หญิงสาวภาวนาให้อย่าต้องรักษาที่นี่ หวาดกลัวตัวเลขทั้งหลาย เช่นที่มีข่าวออกจะบ่อยว่าค่ารักษาพยาบาลทำให้ชาวอเมริกันล้มละลาย

เธอ...คงต้องใช้หนี้จนตาย แทนที่จะป่วยจนตาย!

เงินเดือนที่ได้ปีละหกหมื่นห้าพันเหรียญ หากคิดเป็นเงินไทยมากถึงสองล้านต้นๆ แต่เมื่อคิดว่านี่คือเงินที่ต้องใช้ชีวิตในแมนฮัตตัน มันไม่มากเลย เพราะเงินจำนวนนี้ยังไม่ได้หักภาษีอันแสนโหด ยังมีค่าครองชีพอันแสนแพงไม่ว่าจะพยายามประหยัดสักเพียงใด ไหนจะต้องส่งกลับไทย

จริงอยู่เธอพอมีเงินเก็บ แต่ก็ไม่มากพอสำหรับการรักษาอย่างไม่ต้องคิดหนักว่าบิลจะออกมาเท่าไร...

มอลรีนมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างเข้าใจ เพราะเธอเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ เธอเป็นอดีตนักเรียนทุนผู้หนีความจนจากจีนมาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าที่สหรัฐอเมริกา มอลรีน ถัง มองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองผ่านอิงวาด และเธอก็มองเห็นว่า เด็กคนนี้จะไปได้ไกล...บางทีอาจไกลกว่าเธอ 

อิงวาดมองนาฬิกาบนผนัง ขณะนี้เวลาบ่ายสามโมง จำได้ว่าเธอเป็นลมตอนเช้า กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้พบหมอ ดูเหมือนว่าอาจต้องรออีกนาน 

“กลับเถอะค่ะ รอหมอจนฟื้นแล้ว หายปวดท้องแล้ว ไว้ค่อยมาวันนัดก็ได้”

มอลรีนหลุบตามองท้องของลูกน้อง “รอพบหมอดีกว่า ไหนๆ วันนี้เธอก็ลงว่าลาป่วยฉุกเฉินแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นคุณกลับก่อนก็ได้นะคะ” อิงวาดเอ่ยอย่างเกรงใจ 

มอลรีนเลิกคิ้วหนึ่งข้าง ไม่เอ่ยถามถึงญาติ เพราะจำได้ว่าเบอร์ฉุกเฉินที่สาวน้อยเขียนไว้คือเบอร์เพื่อนชาวไทย 

“โทร. หาเพื่อนของเธอว่าเขามาอยู่รอเป็นเพื่อนเธอช่วงเย็นได้ไหม”

อิงวาดพยักหน้า กระแอมไอรู้สึกคอแห้ง เธอยิ้มแหย “ขอไปดื่มน้ำหน่อยนะคะ”

เธอเอ่ยแล้วลุกขึ้น ก่อนจะทรุดตัวลงเพราะอาการปวดท้องเข้าจู่โจมเฉียบพลันอีกครั้ง เธอรู้สึกสั่นไปทั้งร่าง เวียนศีรษะ อยากอาเจียน ได้ยินเสียงมอลรีนตะโกนเรียกหมอ 

ร่างของเธอถูกพยุงขึ้นเตียงเข็น พยาบาลชุดสครับสีชมพูวิ่งมาดู กดบริเวณหน้าท้องในขณะที่เธอนอนบิดตัวกรีดร้อง กด...กด...และถาม

“เจ็บตรงไหนคะ” 

อิงวาดส่ายหน้า “ไม่รู้”

เธอเอ่ยเสียงสั่นน้ำตาอาบแก้ม คิดถึงแม่ คิดถึงโรงพยาบาลเอกชนที่ไทย คิดถึงบัตรสามสิบบาท เธอไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เพราะดวงตาพร่ามัว ก่อนจะรู้สึกปวดจนไม่อาจทนได้อีก รู้สึกว่าร่างกระตุกอย่างแรง และสติหลุดลอยไปอีกครั้ง

 

การเป็นลมครั้งที่สองในโรงพยาบาลก็ไม่ได้ทำให้พบหมอได้ไวขึ้น เมื่ออิงวาดได้สติอีกครั้ง เธอยังคงนอนอยู่ที่เดิม ต่างกันตรงที่นอนอยู่บนเตียงรถเข็น โดยมีมอลรีนนั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ข้างๆ 

“หมอมาตรวจตอนเธอหมดสติ หมอบอกว่ายังรอได้” มอลรีนเอ่ยกับคนที่ฟื้นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่บอกชัดถึงความไม่พอใจ “นอนอยู่บนนั้น ไม่ต้องลุก ถ้าจะเป็นลมอีกรอบก็เป็นลมบนนั้น”

อิงวาดนอนไม่ขยับ ใช่เพราะเชื่อฟัง แต่เพราะรู้สึกอ่อนแรง ดวงตาเพ่งมองไปทางนาฬิกา ขณะนี้เวลาหนึ่งทุ่ม 

รอหมอ...รอจนหายปวดแล้ว...จนปวดอีกรอบ เป็นลมอีกรอบ...ฟื้นอีกรอบ...ก็ยังไม่เจอหมอ! นี่แหละคือความจริงของระบบการหาหมอแบบอเมริกา

ครั้งหนึ่งเธอเคยถามเพื่อนชาวอเมริกันว่าพวกเขาทนได้อย่างไร เพื่อนคนนั้นตอบเธอด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

‘เพราะพวกเราเกิดมาก็เจอกับระบบที่เป็นแบบนี้แล้ว เคยชินไปแล้ว ถ้าประเทศเธอใช้ระบบนี้ตั้งแต่แรก เธอจะเข้าใจว่าพวกเรารอไปได้อย่างไร มันคือเรื่องของความเคยชินที่ไม่อยากชิน’

ทั้งที่สถานการณ์ตึงเครียด แต่อิงวาดกลับอมยิ้มเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น เธอจะตำหนิคนคนนั้น ทำไมไม่ไปหาหมอแต่แรก ทำไมถึงนิ่งนอนใจ ถ้าเป็นเธอจะรีบไปพบหมอ จะรีบไปตรวจ แต่...เมื่อมันเกิดกับเธอ เธอก็ทำในสิ่งที่เธอคิดจะตำหนิผู้อื่น นี่สินะมนุษย์ ตำหนิคนอื่นไปเรื่อย ทั้งที่เวลาสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับเรา เราก็ทำเหมือนที่ว่าเขาเช่นเดียวกัน

คล้ายสวรรค์เห็นใจอิงวาด ไม่อยากให้เธอต้องเป็นลมอีกรอบ พยาบาลชาวแอฟริกัน-อเมริกันเดินตรงมาหา เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

“ห้องตรวจสามค่ะ ลุกไหวไหม” 

อิงวาดดีใจจนแทบหลั่งน้ำตา พยักหน้าค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงโดยมีมอลรีนประคอง มอลรีนไม่ได้ตามไปด้วย แต่นั่งรอที่เดิม เธอเดินไปตามลำพังกับพยาบาล 

ห้องตรวจเป็นห้องขนาดกะทัดรัด ในห้องนอกจากโต๊ะแล้ว ยังมีเตียงและเครื่องอัลตราซาวนด์ ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดคือนายแพทย์หนุ่มชาวเอเชีย ความหล่อเหลาของเขาทำให้คนไข้เช่นเธอใจสั่น อมยิ้มเขินอาย นั่งลงตรงหน้าเขาผู้รับแฟ้มประวัติเธอจากพยาบาลและเปิดอ่าน 

นายแพทย์หนุ่มใช้เวลาอ่านไม่นานก็เงยหน้า ส่งมือให้เธอจับ “สวัสดีครับ ผมหมอเจ คุณ...ใจกล้า”

การออกเสียงนามสกุลที่แสนชัดเจนของเขาทำให้เธอเลิกคิ้ว แววตาสงสัย เขาคลี่ยิ้มอ่อนโยน เอ่ยแนะนำเป็นภาษาไทย 

“ผมเป็นคนไทยเช่นกัน ผมหมอเตรัณย์ คุณเรียกผมว่าหมอเตก็ได้ หรือจะเรียกหมอเจแบบชาวตะวันตกก็ได้”

หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง มองมือเขาที่ปล่อยมือเธอด้วยความเสียดาย ค่อยๆ ช้อนตาขึ้น รู้ตัวว่าแก้มแดงจัด เขาอมยิ้มน้อยๆ เริ่มซักถามอาการ 

“คุณ...”

“อิงวาดค่ะ เรียกอิงก็ได้” เธอตอบเป็นภาษาไทย ก่อนจะรู้สึกว่าช่างเสียมารยาท เพราะอยู่ต่อหน้าพยาบาลผู้ไม่อาจเข้าใจภาษาไทย จึงเอ่ยใหม่ “มิสอิงวาดค่ะ”

เตรัณย์พยักหน้า สนทนาเป็นภาษาอังกฤษ “คุณอิงวาด คุณปวดท้องบริเวณไหนครับ เป็นมานานแค่ไหนแล้ว”

“ปวด...ปวดแถว...” มือขาววาดไปทั่วท้องส่วนล่าง “แถวนี้ค่ะ ตอนปวดมันมั่วไปหมด บางครั้งก็ปวดหลัง ก้นกบ แถวท่อนล่าง ปวดมาตั้งแต่ช่วงพฤษภาคม”

“คุณปวดท้องประจำเดือนไหมครับ”

“ปวดค่ะ”

“เคยปวดจนเป็นลมไหม”

“ไม่เคยค่ะ แต่ปวดมากจนหลับไปเอง คือหลับแต่ไม่ได้เป็นลม”

นายแพทย์เตรัณย์เขียนบางสิ่งลงในชาร์ต ขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ สวมหูฟังแพทย์แล้วจับหูฟัง

“ขออนุญาตนะครับ” เขาเริ่มต้นตรวจจังหวะการเต้นของหัวใจ “หายใจเข้าลึกๆ หายใจออก” 

อิงวาดแน่ใจว่าหัวใจเธอต้องเต้นแรงมาก มือกุมกันแน่น เข้าใจแล้วว่าการอยู่ใกล้หนุ่มหล่อแล้วเขินจนแทบเป็นลมนั้นเป็นเช่นไร เธอไม่กล้าสบตาหมอ ก้มหน้าซ่อนแววตาเขิน

“รบกวนขึ้นไปนอนบนเตียงครับ”

อิงวาดลุกไปนอนบนเตียง มองหมอหนุ่มก้าวเข้ามา เขากดบริเวณท้องน้อย เธอสะดุ้ง กุมมือเขา ก่อนจะยิ้มแหย รีบปล่อยมือ

“ขอโทษค่ะ”

นายแพทย์เตรัณย์ยิ้มบางๆ “เจ็บใช่ไหมครับ”

“ค่ะ เจ็บค่ะ”

เขาเดินกลับไปที่โต๊ะและเริ่มต้นเขียน เธอลังเลแต่ก็ลุกไปนั่งเก้าอี้ อมยิ้มเขินที่เมื่อครู่เผลอไปกุมมือเขา ค่อยๆ ช้อนตามองใบหน้าที่ก้มอยู่ เกิดคำถามขึ้นในใจ ‘หมอมีแฟนรึยังนะ’ แล้วก็รีบปรับสีหน้าเป็นนิ่งสงบเมื่อคนถูกมองเงยหน้าขึ้น  

“ยังไงหมอต้องขออนุญาตอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอดนะครับ ตรวจไปเลยดีกว่า เดี๋ยวคุณอิงวาดเปลี่ยนท่อนล่างแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงนะครับ”

คำว่าอัลตราซาวนด์ผ่านช่องคลอด และการต้องอ้าขาให้หมอสุดหล่อเห็นน้องสาว ทำให้อิงวาดแทบล้มลงไปกองกับพื้น เกิดมาทั้งชีวิตเธอไม่เคยตรวจภายใน ที่คิดเอาไว้ว่าจะกลับไปตรวจที่ไทยก็ดูแต่รายชื่อหมอผู้หญิง 

แต่นี่...หมอผู้ชาย แถมยังหล่อมากด้วย!

เหงื่อเม็ดใหญ่บังเกิดขึ้นล้อมกรอบหน้า เธอประหม่าและกลัวจนขาสั่น ทว่าไม่อาจทำสิ่งใดได้ รีบถอดกางเกงและชั้นในออกอย่างลนลาน วางพาดไว้บนเก้าอี้ แล้วนึกขึ้นได้รีบยัดซ่อนชั้นในสีชมพูลายดอกไว้ใต้กางเกงอย่างไม่ต้องการให้ใครเห็น ก้าวขึ้นสู่เตียงตรวจ ใช้ผ้าผืนบางคล้ายกระดาษทิชชูเนื้อหนาปิดช่วงล่าง 

ริมฝีปากเม้มแน่น สิ่งเดียวที่คิดในใจคือ หมอจะทำแรงจนทำให้เธอเสียหายไหมนะ 

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับที่หมอเอ่ยว่า “ขออนุญาตครับ”

พยาบาลเข้ามาก่อนเพื่อดูว่าเธอเรียบร้อย หมอจึงตามเข้ามา 

นายแพทย์หนุ่มสวมถุงมือ ไฟในห้องหรี่ลงจนเหลือเพียงแสงสลัว เท้าของเธอถูกพยาบาลจับวางลงบนขาหยั่ง หมอหยิบแท่งอัลตราซาวนด์สวมถุงยางที่มีเจลหล่อลื่นภายใน บีบเจลหล่อลื่นบนหัวแท่ง ลดมือลง มือข้างที่ไม่ได้ถือแท่งอัลตราซาวนด์เปิดผ้ากระดาษซึ่งคลุมท่อนล่างของเธอ เขาหลุบมองเล็กน้อย 

“ขออนุญาตนะครับ”

อิงวาดสะดุ้ง จิกเท้ายามสิ่งแปลกปลอมเคลื่อนผ่าน รู้สึกอึดอัดและจุก ยิ่งเมื่อแท่นนั้นเคลื่อนไหวก็ยิ่งอยากกรีดร้อง ดวงตาเรียวยาวจ้องหน้าหมอ หวังให้ความหล่อของเขาเป็นยาบรรเทา แต่ก็ไม่ จนกระทั่งนิ้วของเขาชี้ไปทางจอโทรทัศน์ด้านบนซึ่งติดอยู่บนผนัง ในนั้นฉายภาพภายในของเธอ 

“คุณอิงวาดครับ หมอเจอช็อกโกแลตซีสต์ ขนาดประมาณ...” เสียงตี๊ดๆ ดังขึ้น “ประมาณสี่เซนติเมตรครับ”

คำกล่าวของหมอทำให้ผู้รับฟังช็อก โลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ในสมองมีแต่คำว่าซีสต์ ซีสต์...หรือว่า...เธอเป็นมะเร็ง

“ไม่ใช่มะเร็งครับ แค่ช็อกโกแลตซีสต์” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทัน เขาถอนแท่งตรวจออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ “ยังไงคุณอิงวาดสวมท่อนล่างก่อนนะครับ แล้วผมจะเสนอวิธีรักษา”

อิงวาดพยักหน้า ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลออกทางหางตา เธอกลัว...เธอป่วย! หญิงสาวยื่นมือไปจับมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้าเพื่อเป็นหลักในการลุก ดันตัวขึ้นนั่ง เธอปล่อยมือเขา มองเขาเดินออกจากห้อง 

ร่างสูงโปร่งก้าวลงจากเตียงแล้วล้มลงไปกองกับพื้น ขาสั่นจนยากจะยืน กัดริมฝีปากอย่างรุนแรง ก่อนจะรวบรวมสติ ลุกขึ้นสวมกางเกงอย่างเลื่อนลอย พาร่างไปนั่งบนเก้าอี้ สักพักเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พยาบาลก้าวเข้ามาก่อนตามมาด้วยหมอ

นายแพทย์เตรัณย์นั่งลงบนเก้าอี้ ไฟที่ติดสว่างทำให้เขารู้ว่าเธอร้องไห้ เขาหยิบทิชชูส่งให้ น้ำเสียงปลอบโยน 

“ไม่ต้องกังวลนะครับ สี่เซนติเมตรถือว่ายังไม่ร้ายแรง วิธีการมีสองทาง หนึ่งคือกินยาหรือฉีดยาให้ฝ่อ สองคือผ่าตัด”

คำว่าผ่าตัดคล้ายมีมีดพุ่งมาแทงท้องของผู้ฟัง เธอโก่งตัวตามสัญชาตญาณ ใช้ทิชชูปาดน้ำตา

“กินยาก็หายใช่ไหมคะ” เธอไม่อยากผ่าตัด เธอกลัว...

“อาจหายครับ แต่ถ้าไม่ฝ่อลงก็ต้องผ่า แต่โรคนี้มันก็มีสิทธิ์กลับมา ถ้าผ่าตัดก็...”

“ขอกินยาค่ะ”

คำตอบเด็ดเดี่ยวทำให้หมอหนุ่มพยักหน้า เขียนใบสั่งยาพร้อมเอ่ยว่า “ยังไงเดี๋ยวหมอจะนัดหมอท่านอื่นติดตามอาการนะครับ พอดีว่าหมอไม่ใช่หมอที่นี่ จริงๆ แล้วหมออยู่ศูนย์วิจัย มาเป็นอาจารย์พิเศษชั่วคราว แต่เห็นว่าคุณเป็นลมสองรอบแล้วเลยช่วยตรวจให้”

อิงวาดพยักหน้ารับรู้ ไม่พูดอะไรทั้งที่ใจจริงอยากรักษากับเขา ไม่ใช่เพราะความหล่อ แต่เพราะเธอได้ยินมาว่า หมอของศูนย์วิจัยโคลัมบัสคือหมอที่เก่งอย่างหาตัวจับยาก 

เธอกลัว...เธออยากรักษากับหมอที่ดีที่สุด...เธอไม่อยากตาย!

หญิงสาวรับใบสั่งยา ลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ “ขอบคุณนะคะ” 

หมอเตรัณย์พยักหน้า คลี่ยิ้มอ่อนโยนพร้อมเอ่ย “อย่ากลัวครับ คุณจะหาย”

เธอพยายามคลี่ยิ้มอำลาให้เขา แล้วเดินหน้าซีดร่างกายล่องลอยออกจากห้อง ตรงไปยังหัวหน้าผู้นั่งรออยู่กับไอริณ ดูเหมือนว่ามอลรีนจะเป็นผู้ตามมา 

ไอริณพุ่งตัวเข้ามาประคอง แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้างแก”

อิงวาดนั่งลงกึ่งกลาง สบตามอลรีน แล้วเบนสายตาไปทางไอริณ “หมอบอกว่าเป็นช็อกโกแลตซีสต์สี่เซนติเมตร กินยาแล้วมันจะฝ่อ”

ทันทีที่ตอบคำถาม ร่างของเธอก็สะดุ้งเพราะอาการปวดท้องแปลบๆ มอลรีนถอนหายใจกุมขมับ

“ปวดอีกแล้วเหรอ แล้วแบบนี้จะทำงานได้ไหม”

น้ำเสียงดุกึ่งรำคาญใจทำให้อิงวาดหวาดกลัวว่าจะถูกไล่ออก เธอรู้ว่าตามกฎหมาย พวกเขาไล่เธอออกเพราะอาการป่วยไม่ได้ แต่เธอก็กลัว ในที่สุดจึงตัดสินใจ 

“ฉันจะผ่าตัดค่ะ ขอวันลาฉันได้ไหมคะ จะกลับไปผ่าที่เมืองไทย”

คำขอของอิงวาดทำให้มอลรีนขมวดคิ้ว “ผ่าที่นี่ก็ได้ หมอที่นี่เก่งจะตาย ทำไมต้องกลับไปผ่าไทย”

“ฉันไม่มีเงินค่ะ ประกันไม่จ่ายทั้งหมด”

คำว่าไม่มีเงิน คือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง มอลรีนนิ่ง ดวงตาของเธอทอประกายบางอย่างที่ทำให้อิงวาดขนลุก แต่แล้วประกายนั้นก็สลายหายไปเหมือนไม่เคยเกิด เสียงถอนหายใจหนักของมอลรีนดัง ร่างอวบอิ่มลุกขึ้นเดินออกไปโทรศัพท์ ปล่อยให้อิงวาดนั่งร้องไห้เงียบๆ เพราะหวาดกลัวว่าตัวเองจะตาย กลัวว่าจะไม่ได้เจอแม่ ไม่ได้กลับบ้าน มีไอริณกอดให้กำลังใจ 

มอลรีนเดินกลับมา ยกมือหยุดพยาบาลผู้ถือกระดาษใบนัด พยาบาลหยุดด้วยความไม่เข้าใจ มอลรีนนั่งลงข้างๆ อิงวาด เลือกคุยกับอิงวาดก่อน  

“ส่วนต่างค่ารักษาที่ประกันไม่จ่าย ทางเอชอาร์ซีจะเป็นคนจัดการให้” 

คำตอบนี้คล้ายเสียงจากสวรรค์ อิงวาดฉีกยิ้มกว้าง ถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “จริงเหรอคะ ฉันไม่ต้องเสียเงินเองเหรอคะ”

มอลรีนไม่ตอบคำถาม แต่หันไปทางพยาบาล “นัดวันผ่าตัดได้เร็วสุดเมื่อไหร่” 

พยาบาลเลิกคิ้ว “เอ๊ะ เมื่อครู่เห็นว่าจะกินยา...”

อิงวาดรีบแย้ง “เปลี่ยนเป็นผ่าตัดค่ะ”

พยาบาลส่งสายตาดุต่อการเปลี่ยนใจ

“รอสักครู่ค่ะ” พยาบาลตอบแล้วหันกลับไปที่เคาน์เตอร์พยาบาล ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมบุรุษอายุราวห้าสิบปี เขาสวมชุดสครับและสวมชุดกาวน์ทับ ในมือคือแฟ้มของอิงวาด

ไม่มีการเอ่ยแนะนำตัว แต่พุ่งเข้าประเด็นทันที “ซีสต์ขนาดสี่เซนติเมตร ยังไม่แตกเร็วๆ นี้ ยังรอได้ คิวผ่า...ก็...น่าจะเดือนหน้าเร็วที่สุด”

คำว่าเดือนหน้าทำให้มอลรีนลุกขึ้น “หมายความว่าระหว่างนี้ ลูกน้องของฉันต้องทนปวดไปเรื่อยๆ ทำงานไม่ได้ เป็นลมไปเรื่อยๆ?”

นายแพทย์ขยับแว่นตา ส่งแฟ้มให้พยาบาล “ผมจะสั่งยาแก้ปวดให้ เคสของลูกน้องคุณยังไม่ถึงกับอันตรายจนต้องผ่าฉุกเฉิน คนไข้ที่หนักกว่ามีเยอะ ผมให้ห้องผ่าตัดตามลำดับอาการ”

คำตอบนั้นคล้ายเสียงยมทูตบอกกับอิงวาดว่า ความเจ็บปวดทรมานจะกลายเป็นเพื่อนแท้ของเธอ หญิงสาวพิงร่างลงกับอ้อมกอดของไอริณ ตัวสั่นและอยากอาเจียนเมื่อคิดถึงความเจ็บปวด มันปวดเสียยิ่งกว่าปวดฟัน ดวงตาแดงก่ำมองมอลรีนผู้เดินแยกออกไปอีกทางและกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร. คุยบางอย่าง แล้วเดินกลับมาคุยกับหมอ 

หมอมีท่าทางไม่พอใจ ถึงกระนั้นก็พยักหน้าแล้วหันไปเอ่ยบางสิ่งกับพยาบาล พยาบาลพยักหน้าแล้วเดินไปทางเคาน์เตอร์ 

มอลรีนเดินกลับมานั่งข้างอิงวาด แววตาร้ายกาจและน่ากลัวอย่างที่อิงวาดไม่เคยเห็น เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างยโส

“เธอจะได้ผ่าตัดเร็วๆ นี้ อยากบอกที่บ้านก็บอก อยากทำอะไรก็ทำ เพราะทุกการผ่าตัดคือความเสี่ยง!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น