บทที่สอง
ผู้ชายขายน้ำ
เดือนมิถุนายนคือเดือนแสนพิเศษสำหรับอิงวาด ไม่ใช่เพราะเป็นเดือนเกิด แต่เพราะเป็นเดือนที่เธอเริ่มทำงานอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกในฐานะนักสิทธิมนุษยชนปีหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นตำแหน่งชั่วคราวก็ตาม
เพราะที่เอชอาร์ซีไม่มียูนิฟอร์ม ในขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นล้วนพากันสวมสูท แต่หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนนั้นมีเอกลักษณ์ที่แสนแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด คือสวมชุดตามใจปรารถนา และเจ้าหน้าที่หญิงส่วนใหญ่ไม่สวมสูท ส่วนเจ้าหน้าที่ชายมีทั้งสูทสามชิ้น และเสื้อเชิ้ตสวมสูทคลุมทับอย่างพอเป็นพิธี หรือหากตำแหน่งปีสูงขึ้น บางคนสวมกางเกงยีน
ในฐานะเจ้าหน้าที่ใหม่ผู้ยังไม่รู้อะไรเช่นอิงวาด การเลือกรวบผมที่ย้อมสีน้ำตาลเป็นหางม้า สวมกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าส้นแบนสีดำ คือการแต่งกายที่ปลอดภัยที่สุด เพราะเธอยังไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วคำว่า ‘ตามใจปรารถนา’ นั้นได้ถึงระดับไหน
สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อไปถึง คือการไปรับบัตรประจำตัวที่แผนกบุคคล สูดลมหายใจเข้าลึก กดลิฟต์สู่ชั้นสี่สิบเจ็ดอันเป็นชั้นห้องทำงานของหัวหน้าแผนกต่างๆ ระหว่างทางมีผู้ร่วมงานหรือที่เรียกว่าคู่แข่งโดยสารลิฟต์ไปด้วย พวกเธอสวมเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสแล็กเช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างทักทายกันตามมารยาท ไม่มีการโอบกอดหรือพูดคุย
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เจ้าหน้าที่น้องใหม่ทุกคนพากันมองหน้ากัน ก่อนที่ชายหนุ่มหนึ่งเดียวในลิฟต์จะใช้มือดันประตูไว้อย่างแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ เปิดทางให้สุภาพสตรีออกไปก่อน สุภาพสตรีทั้งหลายเดินออกจากลิฟต์ตามลำดับ และพากันตรงไปยังห้องประชุม A7 ตามที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งเมื่อวานช่วงบ่าย
ห้องประชุม A7 เป็นห้องกระจก ด้านในไม่มีแม้แต่โต๊ะหรือเก้าอี้ ท่ามกลางความว่างเปล่า สุภาพสตรีอายุราวสี่สิบต้นๆ ยืนกอดอกอยู่กลางห้อง เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีแดงสด กางเกงสกินนีสีน้ำเงินเข้ม บนศีรษะติดโบขนาดใหญ่สีเหลือง แต่งหน้าจัดอย่างกับนึกว่าทำงานในนิตยสารแฟชั่นมากกว่าหน่วยงานสิทธิมนุษยชน เธอผู้นี้มีนามว่า มอลรีน ถัง สาวจีน-อเมริกันผู้เป็นหัวหน้าดูแลเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งถึงสามของเอชอาร์ซี
“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่เอชอาร์ซี” มอลรีนผายมือไปรอบห้อง เป็นสัญญาณว่าให้ทุกคนกระจายกันเป็นวงกลมล้อมรอบเธอ
ผู้มาถึงก่อนแล้วรีบทำตาม ผู้เพิ่งมาถึงไม่รอช้ารีบตรงเข้าประจำที่ มอลรีนเหลือบตามองนาฬิกาเรือนกลมสีขาวขนาดใหญ่ซึ่งติดอยู่บนผนังห้อง อันเป็นเครื่องประดับเพียงหนึ่งเดียวของห้องนี้ เข็มนาฬิกาบอกเวลา 8:30 นั่นคือเวลานัด
“ปิดประตู” เธอออกคำสั่งด้วยเสียงทรงอำนาจ
เจ้าหน้าที่น้องใหม่หรือที่ถูกเรียกว่าเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งผู้อยู่ใกล้ประตูที่สุดรีบปิดประตูห้องประชุม โดยมีเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์กำลังวิ่งตรงมา แล้วก็เป็นเช่นที่คิด เจ้าหน้าที่ผู้มาสายไม่ถึงสามวินาทีเคาะประตูห้อง มอลรีนปรายตามอง เหลือบตามองนาฬิกาข้อมือ แล้วก้าวยาวๆ ตรงไปเปิดประตู เอ่ยเสียงดัง
“เธอสองคนมาสายไปสองวินาที ขอแสดงความเสียใจด้วย เธอถูกไล่ออกเพราะทำผิดกฎและไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งงาน”
คำประกาศของหัวหน้าทำให้ห้องประชุมที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบกริบประหนึ่งป่าช้าในคืนเดือนมืด เจ้าหน้าที่สองคนนั้นซึ่งมาสายกว่าเวลาสองวินาทีมองหน้ากัน แล้วหันมองมอลรีนราวจะถามว่า
‘จริงหรือ’
มอลรีนชี้ไปทางลิฟต์ “เชิญ เธอสองคนมาสาย เธอทำผิดกฎร้ายแรง” เธอเอ่ยแล้วปิดประตูอย่างไม่สนใจว่าผู้ถูกไล่ออกทั้งสองจะรู้สึกเช่นไร สองเท้าก้าวยาวๆ กลับสู่ที่เดิม ยืนกอดอก กวาดตามองเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งที่ยามนี้เหลือสี่สิบแปดคน
“พวกเธออาจจะคิดว่าสองคนนั้นเดินเข้าตึกและสแกนบัตรก่อนเวลานัด จะเป็นการมาสายได้อย่างไร แต่พวกเธอลืมไปรึเปล่าว่าเวลานัดคือ 8:30 สถานที่คือห้องห้องนี้ ต่อให้พวกเธอสแกนบัตรเข้างานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า แต่ถ้าเธอมาถึงห้องนี้สาย ก็แปลว่าสาย”
เธอขยับตัวกอดอก แล้วเอ่ยต่อ
“กฎที่สำคัญที่สุดของเอชอาร์ซีคือการตรงต่อเวลา ถ้าใครได้อ่านสัญญาที่พวกเธอได้เซ็นไว้ ในนั้นระบุชัดเจน โทษของการมาสายไม่ตรงต่อเวลาคือการไล่ออกทันที ไม่มีการเตือนหรือพักงาน พวกเธออาจจะคิดว่าการเลตเพียงหนึ่งวินาทีจะมีปัญหาอะไรนักหนา นั่นเพราะพวกเธอยังไม่เริ่มต้นทำงาน แต่เมื่อพวกเธอเริ่มทำงาน เธอจะรู้ว่างานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน สายแค่ครึ่งวินาทีก็ทำให้เรื่องราวเปลี่ยนได้ แค่ครึ่งวินาทีก็ทำให้คนที่พวกเธอกำลังให้ความช่วยเหลือ...ตายได้!”
ดวงตาชั้นเดียวกวาดมองเจ้าหน้าที่ปีหนึ่งซึ่งประกอบด้วยหลากหลายเชื้อชาติ มือผายออกกวาดไปทั่ว
“เพราะที่นี่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ และสุดท้ายแล้วมีเพียงห้าคนที่จะได้รับการคัดเลือก ฉันอยากให้พวกเธอรู้ว่า การคัดเลือกจะเป็นไปอย่างยุติธรรมที่สุด
“พวกเธอทุกคนได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายการเลือกปฏิบัติ5 ที่นี่ไม่มีการแบ่งชนชั้นทางเชื้อชาติหรือทางสังคมใดๆ ทุกคนไม่ว่าจะเชื้อชาติใดล้วนมีความเท่าเทียม มีสิทธิ์ถูกเลือกและไม่ถูกเลือกเหมือนกัน”
มือขาวแตะลงบนเสื้อเชิ้ตสีแดงสด ริมฝีปากเคลือบสีบานเย็นคลี่ยิ้มบางๆ คล้ายต้องการคลายความตึงเครียดเมื่อครู่
“การแต่งกาย จะสวมใส่อะไรก็ได้ ที่นี่ให้สิทธิ์ในการแต่งกายสูงมาก แต่ถ้าเธออยากจะสวมบิกินีมาทำงาน เธอมีสิทธิ์นั้นถ้าเธอมีตำแหน่งที่ ‘มีอำนาจมากพอ’ เอชอาร์ซีตัดสินคนจากการทำงาน ไม่ใช่เชื้อชาติ ไม่ใช่การแต่งกาย มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกสวมใส่สิ่งที่ต้องการ ถ้าที่นั้นไม่มีการจำกัดกฎเกณฑ์ และยินดีด้วย เอชอาร์ซีคือที่แห่งนั้น แต่...ปีแรกน่ะ ก็ให้มัน...”
ดวงตาเรียวยาวตามแบบฉบับสาวเอเชียปรายมองออกไปด้านนอก ซึ่งมีสตรีแอฟริกัน-อเมริกันสวมเสื้อเกาะอกสีเขียวสะท้อนแสง ผ้าคลุมไหล่ยาวกรุยกรายลากพื้นสีม่วงเปลือกมังคุด และกางเกงยีนสีเหลืองมะนาวเต็มไปด้วยรูขาดทั้งตัว ก่อนจะเบนสายตากลับมาสู่เจ้าหน้าที่ปีหนึ่ง
“อย่าเพิ่งขนาดนั้น นั่นคือระดับสูง ถ้าเธออยากจะอิสระระดับนั้น ข้อแม้เดียวคือเธอสามารถปิดดีลมูลค่าเงินบริจาคสิบล้านเหรียญขึ้นไปได้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ในฐานะรุ่นพี่และผู้ดูแล ฉันจะบอกความจริงข้อหนึ่งให้พวกเธอจำไว้ ที่นี่ไม่ใช่แค่องค์กรการกุศล แต่อยู่ด้วยเม็ดเงิน เธอสามารถแต่งตัวยังไงก็ได้ ถ้าเธอสร้างเม็ดเงินได้ในระดับที่ผลงานบดบังปัญหาเรื่องการแต่งกายอันแสนขัดตา
“เธออาจมีคำถามในใจว่า แต่งตัวแบบนั้น ช่างน่าสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่โดนผู้บริจาคหรือใครๆ ตำหนิ ทั้งยังทำเงินได้มหาศาล นั่นเป็นความสงสัยที่ดี แต่ฉันไม่มีคำตอบให้ อยากได้คำตอบ จงเรียนรู้และหาคำตอบด้วยตัวเอง ที่นี่คือนิวยอร์ก Nothing is impossible.”
มอลรีนตบมือตามด้วยการยิ้มกว้างขึ้น
“เอาละ พวกเธอรู้ดีนะว่าพวกเธอยังไม่ใช่เจ้าหน้าที่ปีแรกที่แท้จริง พวกเธอมีเวลาสามเดือนที่จะแย่งชิงการเป็นหนึ่งในห้าคน”
การให้โอวาทดำเนินไปเรื่อย พร้อมกับที่อิงวาดเริ่มสำรวจผู้ร่วมงานอีกสี่สิบเจ็ดคน ทุกคนล้วนลดความเสี่ยงด้วยการย้อมผมเป็นสีธรรมชาติ คร่าวๆ แล้วทั้งสี่สิบแปดคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่มีทักษะความเป็นมนุษย์ หรือกลุ่มที่มีลักษณะเข้าได้กับมนุษย์ปกติทั่วไป สามารถสนทนาให้ความบันเทิงได้ และกลุ่มที่ไร้ทักษะความเป็นมนุษย์ นั่นคือเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ แปลกแยก คุยกับใครไม่ค่อยเข้าใจ ไม่มีอารมณ์แห่งความเป็นมนุษย์ ทุกสิ่งตัดสินแบบขาวดำ
นั่นแปลว่าการแข่งขันแท้จริงแล้วแข่งกันสองกลุ่ม เพราะเอชอาร์ซีจำเป็นต้องใช้ทั้งคนที่มีทักษะความเป็นมนุษย์และไม่มีทักษะความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าอิงวาดอยู่ในกลุ่มผู้มีทักษะความเป็นมนุษย์
เจ้าหน้าที่ปีหนึ่งทั้งสี่สิบแปดคนล้วนจบมาจากมหาวิทยาลัยห้าอันดับแรกของสหรัฐอเมริกา6 เพราะฉะนั้นประเด็นการแข่งขันด้านชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยถูกตัดออกไป เช่นเดียวกับที่ที่นี่รับเฉพาะผู้ได้รับเกียรตินิยมอันดับสองขึ้นไป ประเด็นเกรดเฉลี่ยก็ถูกตัดออก
เรียกได้ว่าการคัดเลือกห้าคน คัดที่ผลงานการทำงานสามเดือนนี้อย่างแท้จริง ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและเกรดเฉลี่ยไม่มีผล เพราะทุกคนถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่มีสองสิ่งนี้อย่างเท่าเทียม
“เอาละ ทุกคนแยกย้ายได้ โต๊ะทำงานของพวกเธออยู่ชั้นสิบ บนโต๊ะมีงานแรกของพวกเธอวางอยู่ Have a wonderful day.”
พนักงานปีหนึ่งทุกคนพากันแยกย้ายไปยังห้องทำงานชั้นสิบ บ้างรอลิฟต์ บ้างเดินลงบันได อิงวาดเลือกเดินลงบันไดมากกว่าการรอ อาศัยช่วงเวลาที่สองเท้าก้าวเดินในการครุ่นคิด
เจ้าหน้าที่ปีหนึ่งสี่สิบแปดคน มีมาจากโคลัมบัสสิบคน สิบคนนี้ไม่น่ากลัว เพราะเธอรู้ดีว่าแต่ละคนมีทักษะใดและความฉลาดใด ที่น่ากลัวและยากจะคาดเดา คืออีกสามสิบแปดคนที่เหลือ
“ช่างเถอะ ทำเต็มที่ละกัน”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มกว้างมือกำแน่น สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เพียงแค่ตำแหน่งหนึ่งในห้าของผู้ได้รับคัดเลือก แต่ยังฝันไปถึงการได้รับวีซาทำงาน เพราะในยามนี้สถานะของเธอที่สหรัฐอเมริกา คือการอยู่ด้วยโอพีที7
ห้องทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่ปีแรกผู้ยังไม่ผ่านการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ประจำ คือห้องกว้างเต็มความยาวของชั้นสิบซึ่งถูกซอยแบ่งเป็นคอกๆ แต่ละคอกมีป้ายชื่อติดว่าคือโต๊ะของใคร สุดริมห้องคือหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เปิดไม่ได้ มีมูลี่สีขาวปิดเต็มบานเพื่อบดบังแสงแดดที่สาดเข้ามา เห็นแล้วรู้สึกอึดอัด ทว่าไม่มีใครแสดงความคิดเห็น ต่างคนต่างนั่งประจำที่ของตน
โต๊ะของอิงวาดคือโต๊ะตัวสุดท้ายติดกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ บนโต๊ะมีอุปกรณ์เครื่องเขียนวางพร้อม นอกจากแฟ้มงานแรกที่ได้รับมอบหมาย ยังมีเอกสารสัญญาการจ้างงานตำแหน่งนักสิทธิมนุษยชนชั่วคราวซึ่งมีลายเซ็นของผู้บริหารและของเธอวางอยู่ ฉบับนี้สำหรับให้ทุกคนเก็บไว้
หญิงสาวหยิบเจลลีบีนขึ้นมาจากกระเป๋าหนึ่งกำมือ ทยอยรับประทานพร้อมกับเปิดแฟ้มอ่าน แล้วก็พบว่ากฎเรื่องเวลาเป็นจริงดังที่มอลรีนกล่าว ไม่มีการตักเตือน โทษเดียวคือการไล่ออก เป็นความสะเพร่าของอิงวาดที่วันนั้นไม่ได้อ่านทุกอย่างโดยละเอียด ความตื่นเต้นที่ได้งานทำให้เธอรีบเซ็นอย่างกลัวว่าผู้จ้างจะเปลี่ยนใจ
มือซึ่งส่งเจลลีบีนเข้าปากชะงัก รีบคว้าถุงขนมยัดลงกระเป๋า กวาดตามองรอบด้าน ตามด้วยการไล่อ่านสัญญารวมถึงกฎอย่างละเอียดอีกครั้ง ถอนหายใจโล่งอกแล้วหยิงถุงเจลลีบีนขึ้นมาวางบนโต๊ะใหม่ เพราะที่นี่ไม่มีกฎว่าห้ามรับประทานขนมหรืออาหารในเวลางาน
มือเรียวสอดเอกสารลงกระเป๋า ตั้งใจแน่วแน่ว่าคืนนี้จะต้องอ่านอย่างละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง ขณะเก็บสัญญา คิ้วขมวดร่างสะดุ้ง เพราะอาการปวดท้องเฉียบพลัน เธอขยับตัวตรง มือบีบนวดหน้าท้องส่วนล่าง สูดหายใจเข้าลึก อาการปวดท้องค่อยๆ บรรเทา ที่เข้ามาแทนคืออาการปวดหลังซึ่งเกิดขึ้นมาพักใหญ่แต่อยู่ดีๆ ก็หายไป เช่นเดียวกับในครั้งนี้
เธอเคยคิดอยากไปพบหมอ แต่เบื่อการรอคิวอันนานแสนนาน และมีปัญหาด้านค่าใช้จ่าย แม้จะมีประกันสุขภาพ แต่ก็ไม่ครอบคลุมทั้งหมด ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงมากในระดับทำคนล้มละลายได้เช่นที่เป็นข่าวมากมาย เลยอาศัยกินยาแก้ปวด ตัดสินใจรอกลับไทยค่อยไปพบหมอ
ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญ เธอต้องประหยัดเงิน เพราะมีหนี้ก้อนโตหลายล้านบาทที่เมืองไทย ซึ่งต้องรับผิดชอบส่งเงินเพื่อสะสาง
คิดแล้วก็หนักอก ถอนหายใจพลางหลับตา หยิบยาแก้ปวดขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันกิน อาการปวดก็หายไปเสียก่อน เธอจึงเปิดแฟ้มเอกสารสีส้มสด ดวงตายาวเรียวเบิกกว้างเมื่อเจอกับหัวข้องานที่ได้รับมอบหมาย
คดีสิทธิมนุษยชนของผู้บริจาคอสุจิ [เอียง]
หญิงสาวขยี้ตา แล้วก็พบว่าไม่ได้อ่านผิด และยิ่งเมื่อได้อ่านรายละเอียดก็เกาศีรษะไม่เข้าใจว่าทำไมคดีนี้ถึงตกมาสู่มือนักสิทธิมนุษยชนแทนที่จะไปสู่มือทนายความ ส่วนเหตุผลว่าทำไมเธอได้รับคดีนี้ คาดเดาได้อย่างง่ายดายว่า เพราะเธอเคยมีประสบการณ์การทำงานกับผู้บริจาคไข่เมื่อครั้งเคยรับทุนสมัยเรียน
ผู้บริจาคไข่กับผู้บริจาคอสุจิ...ไม่แตกต่างกันนัก แต่ก็แตกต่างกันอย่างยิ่ง!
อิงวาดเหลือบตามองโต๊ะอื่นๆ พบว่าทุกคนเริ่มทำงานที่ได้รับมอบหมาย เธอจึงเริ่มต้นทำงานของตน ดวงตาปิดลงเพื่อทวนขั้นตอนการทำงานตามที่ได้เรียนมาและเคยได้ฝึกงาน เมื่อลืมตาขึ้นก็เริ่มอ่านแฟ้มอีกครั้งอย่างละเอียดที่สุดและรวดเร็วที่สุด ก่อนจะพลิกหน้าข้อมูลติดต่อผู้ร้องทุกข์ ยกหูโทรศัพท์ขึ้น กดเลขหมายที่ปรากฏในการติดต่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนสุภาพเป็นการเป็นงาน
“สวัสดีค่ะคุณลูอิส ดิฉันอิงวาด เป็นนักสิทธิมนุษยชนที่จะดูแลเคสของคุณ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกเข้ามาที่เอชอาร์ซีวันพรุ่งนี้ไหมคะ”
อดัม ลูอิส คือบุรุษชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช อายุสามสิบปี ผมบลอนด์ ตาฟ้า ผิวสีบ่มแดด รูปร่างสูงเพรียวแต่กล้ามแน่น สมกับอาชีพครูสอนวิชาพลศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งย่านฮาร์เลม เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงวอร์ม ช่างเป็นบุรุษที่ดูดีมาก...โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเขาขยิบตาให้เธอ
“เอ่อ...” หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามกับเขา รู้สึกลำบากใจยิ่งนักที่จะเกริ่นเข้าเรื่องการบริจาคอสุจิ ถึงแม้จะเป็นเรื่องแสนปกติที่จะพูดถึง แต่ก็อดเขินอายไม่ได้ อาจเป็นเพราะเบื้องหน้าเธอคือหนุ่มหล่อ ทั้งยังมีแววตาเจ้าชู้ของเขา มันทำให้เธอหน้าแดง หลุบตาหนีแล้วตัดสินใจเปิดแฟ้ม รวบรวมลมหายใจและความกล้า พุ่งเข้าประเด็นโดยไม่เริ่มต้นที่การแนะนำตัวเช่นที่ควรทำ
“คุณลูอิส คุณต้องการร้องเรียนเรื่อง...”
“อดัม เรียกผมว่าอดัม” ชายหนุ่มเอ่ยขัดสบายๆ เขาผสานมือวางไว้บนโต๊ะ “ผมต้องการร้องเรียนสิทธิบุรุษ สิทธิของผู้บริจาคอสุจิ”
อิงวาดพยักหน้าตามมารยาท เริ่มต้นจดข้อมูลและเอ่ยทวน
“คุณอดัม ลูอิส อายุสามสิบปี เมื่อวันที่ 5 มกราคมปีนี้ได้เข้าร่วมเป็นผู้บริจาคอสุจิกับทางนิวไลฟ์สเปิร์มเซ็นเตอร์ ในการบริจาคครั้งที่สามจนถึงครั้งที่หก คุณรู้สึกว่า เอ่อ...เอ่อ...”
ผู้ร้องทุกข์เลิกคิ้วเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของเจ้าหน้าที่ เข้าใจความเขินอายของสาวน้อยชาวตะวันออก เลยต่อประโยคให้ด้วยน้ำเสียงสบายๆ อย่างเห็นเป็นเรื่องปกติ
“ผมรู้สึกว่าถูกคุกคามทางเพศ เท่าที่ผมทราบมา ตามหลักแล้วสำหรับการเป็นผู้บริจาคอสุจิ จะไม่มีการวัดขนาดอวัยวะเพศผ่านการสัมผัสโดยตรงและชักไปชักมา...”
คำตอบพร้อมการอธิบายทำให้อิงวาดสำลักน้ำลาย รีบส่งสายตาขออภัยให้คนที่ถูกขัดได้อธิบายต่อ
“ในครั้งที่สามมีพยาบาลสองคน พวกเธอทำกับอวัยวะเพศของผม อ้างว่าวัดขนาดเพื่อพิสูจน์ว่าขนาดยาวกว่าห้านิ้วจริง พอครั้งต่อๆ ไป ผมรู้สึกถึงสายตาคุกคามจากคนเหล่านั้น มองผมเหมือนผมเป็น...เป็นนักแสดงหนังโป๊ที่พวกเธอเก็บไปฝันเพื่อสำเร็จความ...”
“เข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวชิงเอ่ยก่อนการอธิบายจะละเอียดไปกว่านี้ มือขยับจดสิ่งที่ได้รับฟัง แล้วถามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยไม่ลืมแนะนำตัวว่าเธอเคยรับผิดชอบงานบริจาคไข่ เธอเข้าใจเนื้องานของการบริจาคดีว่ามีขอบเขตเช่นไร
หนึ่งคือสร้างความน่าเชื่อถือให้ตัวเอง สองเพื่อสร้างความมั่นใจให้เขา ผู้มองเธอด้วยสายตาไม่ไว้ใจว่าเธอจะทำคดีของเขารอด
“ฉันเคยรับผิดชอบงานบริจาคไข่ หน้าที่คือรับผิดชอบทุกกระบวนการและทุกขั้นตอน เว้นแต่ตรวจสุขภาพ ประเมินสภาพจิต และเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเก็บไข่ ฉันเข้าใจว่าคุณต้องผ่านช่วงเวลาใดบ้าง และคุณต้องอาศัยความกล้าหาญแค่ไหนสำหรับงานนี้ อย่างไรก็ตามดิฉันขออนุญาตยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้บริจาคอสุจิ รบกวนคุณช่วยทวนให้ฟังได้ไหมคะ”
อดัมพยักหน้า หยิบกระเป๋าที่นำมาด้วยขึ้นวางบนโต๊ะ หยิบแฟ้มเอกสารออกมา เริ่มต้นทวนข้อมูลและแสดงหลักฐานประกอบ
“ผู้บริจาคอสุจิต้องมีอายุระหว่างสิบแปดถึงสามสิบแปดปี ผมอายุสามสิบปี ต้องมีความสูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร ผมสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร” เขาวางใบขับขี่ลงบนโต๊ะ
“จบการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาตรี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง” ใบปริญญาและใบตรวจเลือดถูกวางลงข้างใบขับขี่
ชายหนุ่มหยุดชั่วขณะ หลุบตาลงมองเป้ากางเกงตัวเอง เมื่อช้อนตาขึ้น ยังไม่ทันที่เขาจะพูด อิงวาดก็ชิงเอ่ยแทรกอย่างรู้ว่าเขาจะพูดถึงอะไร
“เรื่องความ เอ่อ...เรื่องเกินห้านิ้ว เอาเป็นว่าดิฉันสามารถขอหลักฐานการตรวจจากทางนั้นได้ อย่างไรรบกวนคุณช่วยทวนเรื่องรายได้ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
เขาพยักหน้า หยิบสัญญาผู้บริจาคขึ้นมาวาง “สัญญาหนึ่งปี ค่าตอบแทนสูงสุดต่อเดือนไม่เกินหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ สัญญาระบุว่าในหกเดือนแรก ผมต้องหลั่งอสุจิขั้นต่ำอาทิตย์ละสองสามครั้ง เดือนที่เจ็ดถึงเดือนที่สิบสอง หลั่งอสุจิอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง”
“ค่าตอบแทนหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญคือ...”
“ไม่ใช่หนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ” เขาแย้งขัดพร้อมกับเปิดสัญญา “สูงสุดคือหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญต่อเดือน การหลั่งหลอดแรกครั้งที่หนึ่ง ผมจะได้เงินห้าสิบเหรียญ ไม่ว่าอสุจิหลอดนั้นจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ และไม่ว่าจะได้ปริมาณเท่าไหร่
“ส่วนการหลั่งครั้งต่อไปตลอดระยะเวลาสัญญาหนึ่งปี ผมจะได้ที่ขวด8ละห้าเหรียญ ขึ้นอยู่กับปริมาณว่าครั้งนั้นหลั่งได้กี่ขวด ส่วนใหญ่แล้วจะได้ห้าถึงสิบสองขวด ก็จะได้เงินตามนั้น แต่ถ้านำไปตรวจแล้วพบว่าอสุจิน้อยจนตกเกณฑ์ ครั้งนั้นก็หลั่งฟรีไม่ได้เงิน”
อิงวาดจดข้อมูลอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามสิ่งที่สงสัย “ที่คุณบอกว่าหลั่งใส่ขวด หมายความว่าสมมุติถ้าครั้งนั้นคุณหลั่งได้สองขวดก็จะได้เงินสิบเหรียญ?”
“ถ้าอสุจิใช้ได้นะ ผมจะได้สิบเหรียญ”
“แล้วอย่างไรคะที่เรียกว่าถึงเกณฑ์หรือไม่ถึงเกณฑ์”
“หมอแจ้งว่า ถ้าผ่านมาตรฐานคือต้องมีปริมาณอสุจิห้าสิบล้านตัวขึ้นไป” เขายืดตัวขึ้นราวกำลังทำท่าอวดเบ่ง “ผมน่ะเกินมาตรฐานสุดๆ ได้ตั้งร้อยสิบล้านตัวเชียวแหละ!”
ความภาคภูมิใจของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวอมยิ้มและแก้มแดงกว่าเดิม “ขออนุญาตถามเรื่องส่วนตัวนิดหนึ่งนะคะ ไม่ทราบว่าคุณมีภรรยาหรือแฟนไหมคะ”
“ไม่มี แต่ผมกำลังมองหาอยู่”
คำตอบและสายตาบอกชัดว่าเกี้ยวพาผู้ทำคดี อิงวาดมองข้ามสิ่งเหล่านี้ด้วยการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยถามแต่เรื่องงาน
“คุณคิดว่าอาชีพนี้ให้ผลเสียใดแก่ชีวิตคุณไหมคะ”
“แน่นอน” ชายหนุ่มตอบทันที ยักคิ้วหลิ่วตาท่าทางกะล่อน “การที่ผมต้องหลั่งอสุจิทุกๆ สองสามวันนั่นน่ะจำกัดการทำกิจกรรมทางเพศของผม จำกัดชีวิตของผม”
คำตอบของเขาทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า ก็เขาเลือกเองไม่ใช่หรือ แม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ขัด
“คุณต้องได้รับการตรวจเลือดทุกสามเดือนใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ พวกเขาต้องการแน่ใจว่าผมสะอาด ตรวจเลือดครั้งหนึ่งไม่ใช่น้อยๆ นะ เกือบสิบหลอดทีเดียวเลยแหละ”
เธอไม่ได้แสดงความคิดเห็นและไม่รู้สึกตกใจในสิ่งที่ได้ยิน เพราะกระบวนการบริจาคไข่ก็มีการตรวจเลือดไม่ต่างกัน ปากกาหยุดขยับ ดวงตายาวเรียวช้อนขึ้นสบตาคนที่นั่งกระดิกเท้า
“ดิฉันอยากทราบว่า คุณต้องการสิ่งใด...ต้องการอะไรจากการร้องเรียนในครั้งนี้คะ จดหมายขอโทษ การสอบสวน หรือว่า...”
ชายหนุ่มยกมือห้ามอย่างไร้มารยาท ยืดตัวขึ้น เอ่ยด้วยเสียงแน่วแน่เด็ดขาดอย่างคนที่มีคำตอบซึ่งคิดมาอย่างดีแล้ว
“ผมต้องการเงินสักห้าล้านเหรียญ สำหรับค่าที่ผมถูกคุกคามทางเพศ และค่าเสียเวลา เสียเลือด เสียอสุจิ!”
ความคิดเห็น |
---|