1

หญิงสาวผู้ขายฮอตด็อก


มนตร์เสน่ห์แห่งปลายฤดูใบไม้ผลิ นอกจากแสงแดดอุ่นอันเป็นสัญญาณว่าฤดูร้อนจะมาเยือนในไม่ช้า ยังมีอีกหนึ่งพิธีการที่จัดขึ้นในเดือนนี้ตามแต่วันที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ กำหนด ส่วนใหญ่แล้วคือหลังวันที่ 10 พฤษภาคมเป็นต้นไป นั่นคือพิธีรับปริญญา

ทั่วลานกว้างคลาคล่ำไปด้วยสีฟ้าจากชุดครุย อันเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยโคลัมบัส มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังระดับต้นๆ ทั้งของสหรัฐอเมริกาและระดับโลก เสียงพูดคุยอันมากล้นด้วยความยินดีของเหล่าผู้ประสบความสำเร็จในการศึกษา ทั้งพูดคุยเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังกระหึ่มก้องไม่ต่างจากเสียงของโฆษกประจำมหาวิทยาลัยซึ่งกำลังทำหน้าที่ประกาศแสดงความยินดีแก่เหล่าบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ที่ล้วนวุ่นวายอยู่กับการถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก 

เพราะวันนี้คือวันพิเศษ คือวันที่ดอกไม้แห่งความพากเพียรเบ่งบาน... 

หนึ่งในความงดงามของมหาวิทยาลัยโคลัมบัส คือเชื้อชาติอันหลากหลาย สำเนียงต่างถิ่นที่มาจากทั่วทุกมุมโลกก่อตัวเป็นเสียงอันแสนไพเราะไม่ต่างจากเสียงดนตรี ยังมีอีกหนึ่งเสียงที่ตะโกนก้องดังเรียกร้องความสนใจได้

เสียงนั้นดังมาจากบริเวณหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัย และมาจากเธอผู้ยืนขายฮอตด็อกอย่างได้รับการอนุญาตแล้วเป็นกรณีพิเศษ เพราะเงินที่ได้คือเงินสำหรับเข้าสู่โครงการช่วยเหลือสตรีผู้ถูกทำร้าย อันเป็นโครงการของสาขาวิชาด้านสิทธิมนุษยชนของมหาวิทยาลัย 

“ฮอตด็อกไหมคะ อันละสิบเหรียญ อร่อยมากเลยนะคะ”

ดูเหมือนว่าสิ่งที่เรียกร้องความสนใจจากสายตาหลายคู่ ใช่เพียงเสียงตะโกนขายอันทรงพลัง ทว่า...ยังมีดอกกุหลาบดอกใหญ่สีส้มสะท้อนแสงซึ่งประดับอยู่บนเรือนผมสีชมพูสลับกับฟ้าพาสเทลอันถูกรวบเป็นมวยสูง แล้วยังมี...กระโปรง ใช่! ชาวตะวันตก...ไม่สิ คนที่ไม่รู้จักเครื่องแต่งกายชนิดนี้จะเรียกมันว่ากระโปรง แต่แท้จริงแล้วมันคือผ้าถุง 

ผ้าถุงลายดอกสีสันสดใสเต็มผืนจากเมืองไทย ยังมีเสื้อคอกระเช้าสีส้มแปร๊ดไม่ต่างกัน องค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้ขับให้ผิวขาวเหลืองตามแบบฉบับสาวเอเชียของผู้สวมใส่ดูสดใสโดดเด่น ไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลายคนหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาบันทึกภาพ  

ช่างเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาและเงินออกจากกระเป๋าของหนุ่มๆ เสียยิ่งนัก! 

ทั้งที่ฮอตด็อกมีราคาแพงไม่ต่างจากปล้น แต่คิวต่อแถวซื้อกลับยาว ยาว...อย่างที่สาวน้อยผู้ขายฉีกยิ้มกว้างดีใจ ฝันหวานถึงเม็ดเงินที่จะได้รับเมื่อขายหมด 

ความคึกคักใช่มีเพียงฟากถนนนี้ แต่อีกฟากถนนก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนไม่ต่างกัน ท่ามกลางความหนาแน่นของผู้ใช้ถนน ร่างสูงใหญ่ของบุรุษชาวเอเชียสองคนก้าวขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน จะกล่าวว่าเขาทั้งสองช่างเป็นบุรุษผู้ดูโดดเด่นสะดุดตาก็คงไม่เกินจริงนัก ใช่เพียงหน้าตาหล่อเหลาตามแบบฉบับหนุ่มตะวันออก แต่ยังมีความสูงและรูปร่างผึ่งผายตามแบบฉบับนักกีฬา 

แขนขวาของทั้งคู่มีชุดครุยสีฟ้าพาดอยู่ ท่าทางการก้าวยาวบอกชัดว่ารีบร้อน หนึ่งในนั้นบ่นเสียงดังอย่างหัวเสียเป็นภาษาไทย ตัดกับเสียงสนทนาของคนส่วนใหญ่ที่เป็นภาษาอังกฤษ 

“ลืมได้ยังไงวะ ของสำคัญขนาดนั้น”

คนถูกบ่นไม่ตอบโต้ เพราะรู้ว่าเป็นความผิดตน เขาเป็นฝ่ายสะเพร่า ลืมเอกสารสำคัญไว้ในห้องสมุด สองเท้าซึ่งก้าวอย่างเร่งรีบชะงัก เหล่ตามองเพื่อนผู้เดินเคียงข้าง

“รอที่นี่ละกัน กูวิ่งไปเอาไม่นาน” คำตอบมาพร้อมกับที่เจ้าตัววิ่งไปยังทางม้าลาย โดยไม่ลืมตะโกนบอกเพื่อนผู้เปลี่ยนมาพาดชุดครุยไว้บนไหล่แทนการคล้องแขน “ไม่เกินสิบนาที!”

‘รอย’ ถอนหายใจพลางพยักหน้า มือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็กสีครีม เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรระหว่างรอ วันนี้คือวันที่เขาและเพื่อนสนิทผู้มีนามว่า ‘ธาม’ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ คิดแล้วก็หยิบใบปริญญาที่พากเพียรมาสี่ปีขึ้นมาเปิด ก่อนจะสะดุ้งเพราะแรงสะกิดแขนจากด้านหลัง 

“ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”

ผู้ถามคำถามคือสาวตะวันตกหน้าตาดี ผมบลอนด์เป็นลอนใหญ่ยาวถึงกลางหลัง ดวงตากลมโตสีฟ้าสดใส เธอสวมชุดครุยระดับปริญญาตรี ริมฝีปากทาสีแดงสดฉีกยิ้มกว้าง 

“นะคะ”

หากเป็นช่วงเวลาปกติ ชายหนุ่มจะพยักหน้าเพื่อรักษามารยาท แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาจะไม่อยากถ่ายสักเพียงใดก็ตาม แต่ในเวลานี้เขาไม่ปรารถนาจะถ่ายรูปร่วมกับใครทั้งนั้น และไม่ต้องการฝืนเพื่อรักษามารยาท ริมฝีปากบางราวริมฝีปากสตรีขยับยิ้มตามมารยาท ทว่ายังไม่ทันจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงแหลมจัดซึ่งดังมาจากอีกฟากถนนทำให้เขาเบนสายตาไปทางต้นตอของเสียง 

ดวงตาคมโตเบิกกว้างเมื่อได้เห็นเจ้าของเสียงผู้กำลังโบกไม้โบกมือแสดงท่าทางว่า ‘ของหมด’ ให้เหล่าลูกค้าหนุ่มๆ ที่ยืนต่อคิว

ท่าทางของเธอ รอยยิ้มของเธอ ดอกไม้ของเธอ ผ้าถุงของเธอ จับสายตาและหัวใจของเขา...อย่างที่เขาลืมสาวสวยข้างกายเสียสนิท

มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพเธอผู้นั้น สองเท้าก้าวออกไปด้านหน้า ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เธอผู้ยืนอยู่อีกฟากถนน ทันทีที่เท้าก้าวลงสู่พื้นถนน เสียงแตรดังยาวจากรถแท็กซี่ซึ่งขับตรงมาทำให้เขาได้สติ รีบถอยกลับขึ้นสู่ทางเท้า พร้อมกับที่เสียงดุเข้มดังมาจากทางขวา 

“ข้ามถนนตรงนี้ได้ยังไง! ข้างหน้าคือทางม้าลายไม่เห็นเหรอ อยากได้ใบสั่ง2ใช่ไหม”

รอยรีบเอ่ยขอโทษต่อเอ็นวายพีดี3ผู้ไม่ได้มอบใบสั่งให้เขาเพราะความผิดยังไม่เกิดขึ้น เมื่อเอ็นวายพีดีจากไป ดวงตาคมรีบเบนพุ่งไปอีกฟากถนน ทว่า...มีเพียงความว่างเปล่า ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว

ชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังทางม้าลาย ชะเง้อคอกวาดตามองไปรอบเพื่อหาเธอ สองเท้ารีบข้ามถนนทันทีที่สัญญาณข้ามเปลี่ยนเป็นสีเขียว แล้ววิ่งผ่านผู้คนไปยืนเคว้งอยู่ที่ที่เธอเคยอยู่ ร่างสูงใหญ่หมุนรอบด้าน ดวงตาสอดส่ายหา

ไม่มี...ไม่มี....

“อ้าว ไอ้รอย” เสียงเรียกมาจากเพื่อนสนิทผู้ก้าวออกมาจากทางเข้าสู่มหาวิทยาลัย ยังไม่ทันเอ่ยถามว่ามีอะไรหรือไม่ รอยก็รีบชิงยิงคำถามใส่

“เมื่อกี้มึงเห็นผู้หญิงไหม”

ธามขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า “ผู้หญิง? ผู้หญิงก็เต็มมหาวิทยาลัยไปหมด”

รอยส่ายหน้า แววตาหงุดหงิด “ไม่ใช่! ผู้หญิงเอเชีย คนไทย!” ใช่ เขารู้ว่าเธอคือคนไทย รู้จากผ้าถุงลายดอก และรู้ด้วยสัญชาตญาณอันแสนน่าขบขันที่ร้องบอกเขา ทำให้เขาคิดเองเออเองว่า...เธอคือคนไทย 

“สูงประมาณนี้ ประมาณร้อยเจ็ดสิบหกเซนติเมตร4มั้ง” เขายกมือขึ้นข้างใบหูตัวเองเป็นการยืนยันความสูง “ที่ผมมีดอกไม้สีส้มแบบซ้มส้ม ส้มอย่างน่าสะพรึง และถ้ามึงเห็นมึงไม่มีทางมองผ่าน สวมผ้าถุงลายดอก อ้อ...ผมสีฟ้าชมพู”

ธามคิดตามแล้วส่ายหน้า ขมวดคิ้วยิ่งขึ้นเพราะไม่เข้าใจ “ญาติเหรอ หรือว่า...คู่ขาเก่า”

รอยผู้ถูกคาดเดาถอนหายใจ มองผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างหมดหวัง 

“ช่างเถอะ” เขาเอ่ยแล้วก็เป็นฝ่ายเดินนำ ก้าวไปได้สามก้าวก็หยุด หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูภาพที่บันทึกได้ หันหลังมองไปยังที่ที่เธอเคยอยู่ พร้อมกับคำถามซึ่งดังขึ้นในใจเขา 

เขา...จะได้พบเธออีกหรือไม่ 

 

สองปีต่อมา 

“มึงต้องโดนน้ำมันพรายดีดใส่แน่ๆ เลยไอ้รอย!”

คำแซ็วของเพื่อนสนิททำให้รอยอดยิ้มขำไม่ได้ ดวงตาคมมองไปยังอีกฟากถนน ภาพเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้วย้อนคืน ทว่าวันนี้ไม่มีเธอ สาวน้อยดอกไม้ส้ม...

เวลาผ่านไปไวยิ่งนัก พร้อมกับความล้มเหลวของรอยในการตามหาเธอผู้เป็นปริศนา จะว่าล้มเหลวก็ไม่จริงเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยเขาก็สืบหาจนรู้ว่าเธอคือคนไทย มีชื่อว่าอิงวาด เป็นนักศึกษาของโคลัมบัส และเธอจะสำเร็จการศึกษาในวันนี้ ส่วนข้อมูลอื่นไม่อาจค้นหา เพราะมีเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง 

ด้วยเหตุนี้ ในมือของเขาจึงมีช่อดอกกุหลาบและความหวังว่าจะได้พบเธอเพื่อร่วมแสดงความยินดี 

ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งต้องกลั้นหัวเราะ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมกันนะ...เขาถึงดูยึดติดกับเธอผู้นั้นมากจนถึงขนาดวนเวียนกลับมาเดินหาเธอที่มหาวิทยาลัย เรียกว่าแทบจะทุกวันหยุดถ้าไม่เหนื่อยจากการเข้าเวรฝึก แต่โชคชะตาช่างอาภัพนัก เพราะสองปีที่ผ่านมามีเพียงความว่างเปล่า 

เขาไม่เคยหาเธอเจอ...

“วันนี้วันสุดท้าย ผมจะเลิกสนใจคุณแล้วนะ” เขาเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มอย่างตัดสินใจ สองเท้าก้าวไปสู่ทางม้าลาย ดวงตาคมโตจับจ้องแต่ทางเข้ามหาวิทยาลัย

เป็นอีกครั้งที่โชคชะตาเล่นตลก เพราะเธอ...ที่เขาตามหา วิ่งผ่านหลังเขาไปสู่สถานีรถไฟใต้ดิน ผ่านเขาไปเพียงแค่เอื้อมมือคว้าถ้าเขาได้มีโอกาสหันไปมอง! 

เจ้าของร่างสูงเพรียวเกินความสูงของสตรีเอเชียพาดชุดครุยสีฟ้าไว้บนบ่า มือข้างหนึ่งหอบใบปริญญา มืออีกข้างถือกระเป๋าสายรุ้งใบใหญ่จนน่าสงสัยว่าใส่สิ่งใดไว้ในนั้นบ้าง 

“เร็วแก สายแล้ว!” เธอเอ่ยเป็นภาษาไทยกับเพื่อนสาวร่างบางเล็กผู้มีสภาพไม่ต่างกัน 

สตรีทั้งสองวิ่งลงสู่สถานีรถไฟใต้ดิน รูดบัตรรถไฟอย่างชำนาญ กระโดดเข้าสู่รถไฟสาย 7 ซึ่งมาถึงอย่างพอดิบพอดี ร่างอันแสนเหนื่อยหอบนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้สุด ตามด้วยเสียงถอนหายใจอันบอกชัดว่าเธอทั้งคู่โล่งใจเพียงใด 

อิงวาดดึงวิกผมยาวสีน้ำตาลออก เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วผมของเธอเป็นสีสายรุ้ง เธอชื่นชอบการเปลี่ยนสีผม ล้วนแล้วแต่เป็นสีเจ็บและไม่ซ้ำกัน ลองผิดลองถูกไปเรื่อย อันที่จริงจะรับปริญญาทั้งผมสีรุ้งทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ว่า แต่เมื่อคิดถึงว่าภาพนี้จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ จนเธอแก่ และจะต้องโดนแม่ด่า ก็อดไม่ได้ต้องสวมวิกผมสีธรรมชาติ 

มือขาววางวิกและหยิบกระจกบานเล็กออกมาจากกระเป๋า ส่องแล้วใช้หลังมือเช็ดเหงื่อพอเป็นพิธี ดวงหน้าของเธอไร้การแต่งแต้มเครื่องสำอางใดๆ มืออีกข้างรับกระดาษทิชชูจากเพื่อนสาวคนสนิทผู้มีนามว่า ’ไอริณ’

“ในที่สุดพวกเราก็เรียบจบ” เสียงของไอริณดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าตัวถอนหายใจอีกครั้ง 

อิงวาดฉีกยิ้มกว้าง หยิบใบปริญญาขึ้นมาดู ดวงตาเรียวยาวแดงรื้น น้ำตาคลอ ในที่สุดก็เรียนจบ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่ใช่แค่อาศัยความเพียร แต่ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาต่างชาติผู้เรียนจบด้วยการอาศัยทุนการศึกษาและการทำงานหนัก

นิ้วยาวแตะตรงคำว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ดวงตากะพริบถี่พยายามไม่ร้องไห้ ทว่าก็ไม่อาจห้ามน้ำตาหลั่งออกจากหางตา พร้อมกับที่เพื่อนสนิทกอดเธอแน่นอย่างเข้าใจ 

“แกทำได้แล้ว ชีวิตที่สดใสกำลังรอแกอยู่”

อิงวาดพยักหน้ารับคำปลอบ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หางตา สูดลมหายใจเข้าลึก เก็บใบปริญญาใส่กระเป๋า ใช่...เธอทำได้ ชีวิตที่สดใสรอเธออยู่ เพราะเธอได้รับงานทันทีที่เรียนจบ ไม่ต้องวิ่งยื่นใบสมัครเช่นเพื่อนร่วมชั้นอีกหลายคน หรือเช่นบัณฑิตจบใหม่ผู้ยังเคว้งคว้างไร้งาน 

ขณะที่กำลังคิดถึงความโชคดี อาการปวดท้องก็จู่โจมอย่างฉับพลัน หญิงสาวหน้านิ่วตัวงอ มือกุมหน้าท้อง กัดริมฝีปากแน่น อาการนี้ทำให้ไอริณตกใจ รีบประคองพร้อมถามเสียงสั่น 

“แกเป็นอะไร ให้ฉันโทร. 911 ไหม”

อิงวาดรีบส่ายหน้า ห้ามก่อนเพื่อนสนิทจะกดโทรศัพท์ “ไม่เป็นอะไรหรอกแก แค่ปวดท้อง” มือขาวลูบท้องเบาๆ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมและอยากอาเจียน ”ปวดท้องเมนส์”

ไอริณมากล้นด้วยความเป็นห่วง รีบฉวยกระเป๋าเพื่อนมาเปิด แหวกความรกในนั้นแล้วหยิบยาดมส่งให้ “ไปหาหมอดีไหม อยู่ดีๆ หน้าแกก็ซีดมาก เหงื่อออกเต็มเลย”

อิงวาดสูดยาดมลึกๆ ความสดชื่นขับไล่ความอึดอัด และอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเมื่อครู่ก็เบาลงอย่างน่าประหลาด เธอเริ่มรู้สึกดีขึ้น ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า 

“หาหมอที่นี่อะนะ” พูดแล้วก็อมยิ้ม ”แกจำไม่ได้หรอ ตอนปีหนึ่งฉันก็ปวดท้องมาก ขนาดเข้าฉุกเฉินนะ นอนรอหมอตั้งแต่สองทุ่มยันแปดโมงเช้าอีกวันจนฉันหายปวดท้องแล้ว ก็ยังไม่ได้เจอหมอเลย”

เพื่อนสาวทั้งสองหัวเราะขำเมื่อนึกไปถึงประสบการณ์อันน่าขนลุกเกี่ยวกับการหาหมอในอเมริกา ไอริณหยิบกระดาษทิชชูซับเหงื่อข้างแก้มเพื่อน แล้วเล่าเรื่องของตัวเอง 

“ฉันเล่าให้แม่ฟังว่าฉันไม่สบายเป็นไข้ เข้าฉุกเฉินนอนรอหมอเกือบวัน หมอมาตรวจสามนาที แล้วบอกให้ซื้อไอบูโพรเฟนกิน ถ้าห้าวันไข้ไม่ลดค่อยกลับมาใหม่ แม่ฉันแทบจะบุกมาอเมริกาเดี๋ยวนั้น”

อิงวาดถอนหายใจ ส่ายหน้าน้อยๆ “ของแกกับฉันยังถือว่าเบา แกจำได้ไหม มิเชลขาหัก เขามาจับๆ แล้วบอกให้รอ กว่าจะได้เอกซเรย์รอไปเถอะ กว่าจะได้เจอหมอนั่งร้องไห้จนหมดโควตาน้ำตา เจอเรสซิเดนต์มาจับกระดูกอ่านฟิล์มห้านาที ไล่กลับบ้านให้ไปซื้อวิตามินดีกิน แถมไม่เข้าเฝือกให้เพราะต้องรอนัดหมอกระดูก กว่าจะได้นัดหมอกระดูกรอคิวสี่อาทิตย์เพราะเขาบอกของนางไม่สาหัส รอได้ พอไปเจอหมอกระดูกหมอบอกทำอะไรไม่ได้ ต้องรอร่างกายซ่อมแซมเองสี่ถึงหกเดือน”

เพื่อนสาวทั้งสองหัวเราะขำกันอีกครั้ง อิงวาดตอนนี้อาการดีขึ้นมาก ปวดท้องไม่รุนแรง ส่วนความรู้สึกอยากอาเจียนก็หายไป เธอสูดยาดมลึกๆ อีกสามครั้ง จนแน่ใจว่าเต็มอิ่มก็ปล่อยยาดมลงกระเป๋า ซบไหล่ไอริณเอ่ยทั้งรอยยิ้ม 

“หมดเวลาแล้วสินะ กับชีวิตวัยเรียน”

เสียงประกาศแจ้งสถานีต่อไปดังขึ้น หญิงสาวคว้าสัมภาระทั้งหลาย ก่อนจะปล่อยทุกอย่างลงพื้นแล้วกอดเพื่อนรัก

“ไว้เจอกันนะแก” 

ไอริณกอดตอบ ตบหลังเพื่อนเบาๆ “แล้วเจอกัน”

ทันทีที่รถไฟฟ้าใต้ดินจอด อิงวาดลุกขึ้นหอบของก้าวออกจากรถไฟ ดวงตาจับจ้องป้ายชื่อสถานี ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงความฝันที่เป็นจริง สองเท้าก้าวอย่างเลื่อนลอย ไม่แน่ใจนักว่านี่คือความจริงหรือความฝัน เธอเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าทางเข้าสถานที่ที่เธอหวังว่า...

นับจากนี้...ที่แห่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตเธอให้ดียิ่งขึ้น 

“มารายงานตัวค่ะ” หญิงสาวเอ่ยต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คือบุรุษร่างสูงใหญ่ห้าคนซึ่งยืนหน้าประตูทางเข้า 

หนึ่งในนั้นพยักหน้ารับรู้ “เอกสารล่ะ”

อิงวาดวางของลงกับพื้น นั่งยองๆ หยิบเอกสารตอบรับการเข้าทำงานออกมาส่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้หยิบไปดูอย่างเป็นพิธี แล้วส่งใบนั้นให้แก่อีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในป้อม เอ่ยเสียงห้าวห้วนเหมือนลิ้นพันกันตามแบบชาวนิวยอร์ก

“เชิญ”

“ขอบคุณค่ะ” อิงวาดเอ่ยขอบคุณ แล้วก้มลงแบกของเข้าสู่ด้านใน ดวงตากวาดมองตึกสูงใหญ่ หน้าทางเข้าคือธงชาติสหรัฐอเมริกา และธงขององค์กรสีขาว บนผืนธงคือรูปนกพิราบ การไหวสะบัดของธงพาให้ขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง เธอฉีกยิ้มกว้างประหนึ่งคนสติไม่ค่อยดีนักก่อนจะรีบก้าวยาวๆ เข้าสู่ด้านใน ผ่านการตรวจเอกซเรย์สแกนทั้งสัมภาระและร่างกาย 

“ชั้นเจ็ด” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสาวเอ่ยอย่างรู้ทันว่าผู้มาเยือนมาที่นี่เพราะสาเหตุใด 

อิงวาดยิ้มขอบคุณ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังลิฟต์ หางตาเหลือบเห็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่ได้รับการตอบรับเข้าทำงานที่นี่วิ่งตามมาติดๆ ไม่มีใครเอ่ยทักทายกัน มีเพียงยิ้มให้กันตามมารยาท เพราะทุกคนรู้ดีว่าสถานะที่นี่แท้จริงแล้วเด็กจบใหม่ทุกคนยังไม่บรรจุเป็นพนักงานประจำ 

เด็กจบใหม่ทั้งห้าสิบคนถูกคัดเลือกให้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายเพื่อมาแข่งขันกันด้วยการทำงานจริง และท้ายที่สุดจะเหลือเพียงห้าชีวิตที่ได้กลายเป็นผู้ถูกคัดเลือกที่แท้จริง! 

ไม่มีเพื่อน...มีเพียงคู่แข่งในการแย่งชิงห้าตำแหน่งของคนห้าสิบคน! 

ขั้นตอนการรายงานตัว คือการส่งหลักฐานการจบการศึกษา เซ็นสัญญาจ้างงานแบบชั่วคราวระยะเวลาสามเดือนในฐานะนักสิทธิมนุษยชนปีหนึ่งตำแหน่งชั่วคราว ทั้งยังมีสัญญาเก็บความลับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการทำงานและเกิดขึ้นภายใต้องค์กร Human Rights Center หรือชื่อย่อคือ HRC รวมถึงสัญญาควบคุมการใช้สื่อโซเชียล ห้ามใช้ทุกช่องทางในเวลางานหากไม่เกี่ยวข้องกับงาน และห้ามโพสต์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน

ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลาเพียงสามสิบนาที พนักงานใหม่พากันทยอยเดินทางออกจากตึก พร้อมสัญญาการร่วมงานที่จะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า 

ทว่ามีคำถามหนึ่งทำให้อิงวาดชะงักเท้าซึ่งกำลังจะก้าว ตัดสินใจหันไปทางเจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องรายงานตัว 

“ขอโทษนะคะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนสุภาพ ชี้ผมสีรุ้งของตัวเอง “ไม่ทราบว่าต้องย้อมผมกลับไปเป็นสีธรรมชาติไหมคะ”

คำถามนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ใหม่พากันรอฟัง ใช่เพียงอิงวาดที่มีผมสีแสบสัน คนอื่นก็เช่นกัน เจ้าหน้าชาวแอฟริกัน-อเมริกันชี้ผมสีแดงสดของตัวเอง

“ผมฉันสีอะไร”

“สีแดงค่ะ” อิงวาดตอบพลางยิ้มแหย 

เจ้าหน้าที่สาวยักไหล่ ยกมือแตะผมตัวเอง 

“คิดว่าวันนี้จะไปย้อมสีรุ้งแบบเธอ” เธอเอ่ยแล้วกวาดมองไปยังเจ้าหน้าที่น้องใหม่ กระแอมไอแล้วพูดเสียงดังกว่าเดิม “เอาละ ทุกคนฟัง ที่นี่...คือหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการสร้างความสุขและความพอใจให้ตัวเอง เธออยากโกนผม ทำผมทรงอะไรก็ได้ หรือจะทำสีผมสีอะไรก็ได้ ไม่มีกฎว่าห้ามทำสีผม แต่...”

หญิงสาวหยุดชั่วขณะ สองมือยกขึ้นแตะผมตัวเองอีกครั้ง

“อย่างที่ทุกคนรู้ ความน่าเชื่อถือก็เป็นสิ่งสำคัญ เราไม่มีกฎว่าห้ามทำสีผม แต่มีกฎว่าต้องมีความน่าเชื่อถือ นั่นก็เป็นปัญหาที่พวกเธอทุกคนต้องจัดการ จะทำยังไงให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือทั้งที่มีสีผมไม่ใช่สีสุภาพ และไม่ใช่สีที่น่าเชื่อถือ นั่นเป็นปัญหาของพวกเธอ หาทางออกด้วยตัวเอง ไม่ต้องมาถาม เพราะถ้าถามก็แปลว่าเธอไม่คู่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อ โชคดีค่ะทุกคน”

ไม่มีใครถามสิ่งใดต่อ ทุกคนพากันแยกย้าย อิงวาดคิดว่าจะย้อมผมกลับเป็นสีน้ำตาล เธอต้องการงานนี้ จะพลาดไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องลดทุกความเสี่ยงที่จะไม่ได้งาน

หญิงสาวเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งสู่ห้องพักที่เธอเช่าอยู่ เป็นห้องพักขนาดเล็กทว่าราคาไม่เล็กตาม ถึงกระนั้นเธอก็เลือกที่นี่ เพราะทำเลที่พักใกล้ที่ทำงานในระดับเดินได้ ตัดปัญหาเรื่องการไปสายเพราะการจราจรติดขัด 

ห้องพักมีเพียงห้องนอนและห้องน้ำเล็กๆ ยังดีที่ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดกะทัดรัด ไม่มีห้องครัวและไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอาหาร นอกเสียจากการใช้ไมโครเวฟอุ่นอะไรเล็กๆ น้อยๆ 

หญิงสาววางของทั้งหมดลงกับพื้น ห้องค่อนข้างรกไม่ใช่เพราะเธอยังไม่ได้จัดของ แต่เพราะเธอนิสัยไม่เป็นระเบียบอยู่แล้ว 

รก...ในระดับที่แม่ชอบบ่นว่า ’จะไม่แปลกใจถ้าฉันเจองูในห้องนอนแก!’

เมื่อคิดถึงแม่ ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้ม มือล้วงเจลลีบีนจากกระเป๋าส่งเข้าปากเคี้ยว มืออีกข้างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งข้อความข้ามประเทศไปบอกแม่สั้นๆ

‘ได้งานแล้ว’ [ตัวเอียง]

ร่างสูงโปร่งหยิบชุดครุยขึ้นมาจากพื้นแล้วถือไปยังตู้เสื้อผ้า แขวนชุดครุยอัดกับเสื้อผ้าที่แขวนอย่างไร้ระเบียบ ตามด้วยการดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เธอก้าวเดินออกไปทางกองของมากมายซึ่งกองไว้หน้าประตู หยิบกระเป๋าสะพายใบใหญ่สีชมพูสะท้อนแสงขึ้นมา ตรวจดูว่าถุงผ้าอยู่ในนี้เรียบร้อย แล้วเปิดประตูออกจากห้อง 

ถึงเวลาสะสมเสบียง

 

เพราะชีวิตของอิงวาดไม่ได้อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาในฐานะลูกคนมีเงินที่พ่อแม่ส่งเสีย ทำให้เธอต้องดิ้นรนอย่างหนัก และประหยัดทุกสิ่งที่ทำได้ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร 

เธอไม่ชอบรับประทานอาหารตะวันตก และการซื้ออาหารเอเชียจากร้านอาหารก็จัดว่ามีราคาสูงถ้าเทียบเป็นเงินไทย ถึงกระนั้นก็มีวิธีประหยัด นั่นคือการซื้ออาหารช่วงเวลาก่อนร้านปิด 

อิงวาดนั่งรถไฟใต้ดินซึ่งเป็นบัตรแบบรายเดือนไม่จำกัดเที่ยวจากแมนฮัตตันสู่ควีนส์ เดินทางไปร้านอาหารจีนอันเป็นร้านอาหารที่เรียกว่า ‘ร้านจับกัง’ เพราะที่นี่ให้ข้าวเยอะและราคาถูก ข้าวและกับข้าวสี่อย่างทั้งยังมีซุป จำหน่ายในราคาเพียงห้าเหรียญห้าสิบ

แต่อิงวาดไม่เคยซื้อราคาเต็ม เธอจะเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยทั่วย่านเอเชียนทาวน์ ฆ่าเวลาด้วยการตรวจสอบราคาของถูกที่เอเชียนซูเปอร์มาร์เกตฝั่งตรงข้าม เพื่อรอเวลาสามทุ่มห้าสิบห้า แล้วจึงเดินกลับมาซื้อข้าว

เพราะช่วงเวลานี้ เธอสามารถซื้ออาหารได้ในราคาเพียงสามเหรียญห้าสิบ! 

หญิงสาวซื้ออาหารสำหรับหนึ่งสัปดาห์ แบกอาหารใส่ถุงผ้า แล้วเดินทางกลับสู่แมนฮัตตัน จัดแจงแยกใส่กล่องแล้วอัดใส่ช่องแช่แข็ง จนทุกอย่างเรียบร้อย จึงถือข้าวกล่องสำหรับวันนี้ไปยืนมองที่หน้าต่างบานใหญ่

ห้องห้องนี้ไม่มีระเบียง หน้าต่างกระจกถูกเลื่อนออก รับลมเย็นยะเยือกแห่งช่วงเวลาดึก มือขาวเริ่มตักข้าวเข้าปาก ดวงตาเรียวยาวทอดมองแสงไฟจากตึกน้อยใหญ่เบื้องหน้า 

นี่สินะแมนฮัตตัน ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันจะมาเยือน...

มือที่ตักข้าวชะงัก ร่างสูงโปร่งหันกลับไปหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดเพลง “Empire State of Mind” ท่อนที่ถูกเปิดวนไปวนมาคือท่อนที่ร้องว่า 

“New York, concrete jungle where dreams are made of. There’s nothing you can’t do. Now you’re in New York.”

ดวงตาเรียวยาวกะพริบถี่ น้ำตาหลั่งออกจากหางตา ภาพเมืองนิวยอร์กที่ในอดีตเธอใฝ่ฝันจะยืนมองปรากฏตรงหน้า มือยื่นออกไปราวจะคว้าไฟสีแดงซึ่งกะพริบจากตึกสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลออกไป 

ไฟสีแดง...ที่เปรียบดั่งความฝัน

อิงวาดสูดลมหายใจเข้าลึก แล้ววันที่เธอใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น ที่นี่คือนิวยอร์ก...There’s nothing you can’t do...

ที่นี่ เธอจะสร้างความฝันของเธอให้...กลายเป็นจริง! 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น