10

แล้วเราก็พบกัน


 

บทที่สิบ

แล้วเราก็พบกัน

 

อิงวาดนอนเหม่อลอยอยู่บนเตียง ทั้งที่คิดว่าเมื่อกลับมาถึงห้องพักจะอาบน้ำเข้านอนเพื่อพักผ่อน ทว่าสิ่งที่ทำกลับมีเพียงการนอนนิ่ง 

มือข้างหนึ่งกุมโทรศัพท์มือถือ บนหน้าจอคือเบอร์โทรศัพท์ของแม่ คำพูดของมอลรีนดังวนเวียนอยู่ในหู ‘ทุกการผ่าตัดคือความเสี่ยง’

หญิงสาวกะพริบตาถี่ น้ำตาไหลจากหางตา มือสั่นตัวสั่น เธอหวาดกลัว ถ้าการผ่าตัดผิดพลาด? ถ้าเธอตาย? ค่าส่งศพกลับเมืองไทย? เธอยังไม่ได้บอกลาแม่...

นับแต่ทำงานกับเอชอาร์ซี อิงวาดซึ่งปกติคุยกับแม่น้อยอยู่แล้วก็คุยน้อยลงจากเมื่อก่อน บางเดือนแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ หนึ่งเพราะเธองานยุ่งมาก สองเพราะเธอไม่อยากตอบคำถามว่ากำลังทำงานคดีอะไร บางเรื่องเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เธอเหนื่อยจะอธิบาย 

การพูดคุยกับแม่ส่วนใหญ่แค่เป็นการส่งข่าวว่าเธอยังอยู่และสบายดี แต่ในตอนนี้...เธอไม่สบาย

อิงวาดตัดสินใจไม่บอกเรื่องที่จะต้องผ่าตัด เพราะไม่อยากให้แม่กังวล เริ่มต้นเขียนพินัยกรรมยกเงินเก็บทั้งหมดให้แม่ และเลือกไม่ต้องส่งศพกลับเมืองไทยถ้าประกันไม่ครอบคลุม เพราะค่าส่งศพกลับมีราคาสูงมาก คิ้วเรียวขมวด เพิ่มรายการสิ่งที่ต้องทำในวันพรุ่งนี้ นั่นคือการเข้าไปคุยกับมอลรีนว่าหากเธอตาย ที่ทำงานจะเผาศพให้เธอหรือไม่ พร้อมเริ่มคิดถึงว่าอยากให้พวกเขาโปรยเถ้ากระดูกของเธอที่ใด

ยิ่งคิดก็ยิ่งร้องไห้ เข้าใจหัวอกคนที่จะต้องผ่าตัดว่าความกลัวที่เกิดขึ้นนั้นมันมากมายอย่างไร้คำบรรยายใด นี่สินะที่เขาบอกว่า ไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้สึก  

 

รอข่าวอยู่สามวัน ในที่สุดอิงวาดก็ได้คำตอบเรื่องการผ่าตัด เป็นข่าวดีเพราะการผ่าตัดจะเกิดขึ้นที่ศูนย์วิจัยโคลัมบัส ทางโรงพยาบาลแห่งคณะแพทย์ปฏิเสธเด็ดขาดที่จะให้ห้องผ่าตัด เพราะผลการวินิจฉัยพบว่ายังรอได้ มอลรีนจึงนำเรื่องนี้ขึ้นสู่โต๊ะของหัวหน้าใหญ่ คือรองผู้อำนวยการเอชอาร์ซี

การนำขึ้นโต๊ะใช่เพียงอ้างถึงเรื่องการทรมานเจ็บปวด แต่ยังอ้างถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เพราะการเจ็บป่วยทำให้อิงวาดทำงานไม่ได้ ในที่สุดโดโลแวนจึงติดต่อไปถึง ‘ท่าน’ ผู้หนึ่ง ซึ่งมีองค์กรการกุศลแห่งหนึ่ง 

แน่นอนว่าเอชอาร์ซีเคยหาทุนสนับสนุนให้องค์กรของท่าน และท่านผู้นั้นก็มีบุญคุณต่อศูนย์วิจัยโคลัมบัสในฐานะผู้บริจาคของศูนย์ อิงวาดจึงได้เตียงผ่าตัดในอีกสามวันข้างหน้า วันนี้เธอต้องเดินทางไปยังศูนย์วิจัยเพื่อตรวจร่างกาย และรับฟังวิธีการเตรียมตัวก่อนเข้าผ่าตัด 

การได้ห้องผ่าตัดที่ศูนย์วิจัยทั้งที่ที่นั่นปฏิเสธการรักษาคนไข้นอก ยิ่งตอกย้ำให้อิงวาดรู้ว่า อำนาจเงินและอำนาจแห่งการเมืองมีพลังอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่ใช่แค่ที่ประเทศไทย แต่ในสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ทุกสิ่ง...ล้วนคือผลประโยชน์ เงิน และการเมือง 

 

อิงวาดไม่เคยมาที่ศูนย์วิจัยมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เธอรู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวในคราเดียวกัน 

มือขาวชุ่มเหงื่อ เช่นเดียวกับใบหน้า เธอยกมือขึ้นปาดเหงื่อลวกๆ สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วก้าวเข้าสู่ด้านใน ตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ยื่นใบนัดให้ หางตามองเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างยักษ์ที่ยืนเฝ้าทางเข้า อมยิ้มขำเมื่อคิดว่าหรือจะมีคนพยายามเข้าไปข้างใน เพราะที่เธอทราบมา ที่นี่คนนอกห้ามเข้า 

“เชิญชั้นหกค่ะ ศูนย์วิจัยสูตินรีเวช” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยพร้อมส่งบัตร ‘Visitor’ ให้แก่เธอ

อิงวาดรับบัตรมาหนีบไว้กับชายเสื้อ ส่งยิ้มแหยให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผู้หลีกทางให้ เธอเดินไปต่อแถวรอขึ้นลิฟต์ซึ่งมีเหล่าบุคลากรในชุดไปรเวทและชุดสครับต่อแถวอยู่ ลิฟต์มีถึงหกตัว ใช้เวลาเพียงห้านาที ในที่สุดเธอก็มาถึงชั้นหก

เมื่อเธอก้าวออกจากลิฟต์ เสียงเรียกหนึ่งก็ดังทักขึ้น

“มิสใจก๊ะ?” 

แม้การออกเสียงจะเพี้ยน แต่ก็พอเข้าใจว่าคือเธอ เจ้าของนามสกุลใจกล้าพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ในชุดสครับสีชมพูบานเย็น ส่งมือไปจับทักทาย

“มิสอิงวาดค่ะ”

เจ้าหน้าที่สาวยิ้มรับ “สวัสดีค่ะ ดิฉันเดนิช จะเป็นพยาบาลผู้ดูแลคุณในวันนี้ เชิญด้านในค่ะ”

อิงวาดเดินตาม สายตาสำรวจไปทั่ว ศูนย์วิจัยค่อนข้างใหญ่และหรูหรา ผนังเต็มไปด้วยรูปภาพและรางวัลเกียรติยศ ที่นี่ไม่วุ่นวายเท่าโรงพยาบาลแห่งคณะแพทย์ แต่ก็มีคนไข้ถูกเข็นผ่านไปบ้างประปราย 

หญิงสาวถูกนำสู่ห้องขนาดกลาง หมอชาวเอเชียนั่งอ่านแฟ้มของเธออยู่ เมื่อเธอนั่งลงบนเก้าอี้ เขาเงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มอ่อนโยนสุภาพ ส่งมือมาจับทักทายแล้วเอ่ยแนะนำตัวด้วยภาษาอังกฤษน้ำเสียงแสนละมุน

“สวัสดีครับ ผมหมอจอห์น เก๋า...หมอเก๋า ผมจะเป็นหมอผ่าตัดของคุณครับ”

เอาอีกแล้ว...อิงวาดรู้สึกขวยเขิน เธอพูดเสียงอ้อมแอ้มขัดกับบุคลิกที่แท้จริง “อิงวาดค่ะ” 

ดวงตาเรียวยาวลอบมองหมอผู้กำลังเขียนบางสิ่งลงในกระดาษ หมอเก๋าคนนี้ตัวเล็กกว่าหมอเตรัณย์ แต่ท่าทางสุภาพมากกว่า มีรอยยิ้มอ่อนโยนมากกว่า ยังมีการใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างละมุนละไม แตกต่างจากชาวนิวยอร์กทั่วไปซึ่งค่อนข้างห้วนและรัวเร็ว 

ผมของเขาเริ่มแซมสีขาว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคงมีอายุพอควร แต่...หมอหน้าเด็กมาก ไม่มีแม้แต่รอยตีนกาหรือรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า อิงวาดเริ่มเล่นเกมเดาอายุหมอในใจ 

จากตัวอักษรซึ่งปักบนเสื้อกาวน์ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์และมี Ph.D ต่อท้าย MD ทำให้เธอเลือกคิดว่า ต่ำๆ น่าจะสี่สิบ 

ผู้ถูกเดาอายุเงยหน้าขึ้น ขยับตัวเข้ามาใกล้ เขารับถุงมือยางจากพยาบาล สวมด้วยท่าทางละมุนละไมน่าดูยิ่ง แล้วจับหูฟังแพทย์ 

“ขออนุญาตนะครับ”

การฟังเสียงหัวใจและปอดเกิดขึ้นเช่นวันนั้น ตามด้วยการวัดไข้ วัดความดัน และต่อด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์อีกรอบ ในครั้งนี้ทั้งช่วงท้อง และผ่านทางช่องคลอด ความเขินอายไม่ได้ลดลง มากล้นพอๆ กับวันนั้น 

ทุกสิ่งคล้ายภาพย้อน มือของหมอยื่นมาเบื้องหน้าเธอ เธอจับมือเขาเพื่อใช้เป็นหลักในการลุก เขาออกจากห้องให้เธอแต่งตัวท่อนล่าง ตามด้วยการกลับเข้ามาอีกครั้ง และเริ่มต้นการสนทนา 

“มีหนึ่งอย่างที่หมอต้องขอตรวจเพิ่ม คือการตรวจซีทีสแกน เนื่องจากคุณล้มศีรษะฟาดพื้น อย่างไรหมอขอตรวจเช็กตรงนี้ด้วยนะครับ” 

“ค่าตรวจเท่าไหร่คะ”

คำถามเรื่องค่าใช้จ่ายทำให้หมอเก๋าเงยหน้ามองพยาบาลผู้ถอยออกไปเช็กราคา ระหว่างรอคำตอบ หมอเก๋าได้แนะนำเรื่องการผ่าตัด

“การผ่าตัดจะทำโดยวิธีการส่องกล้องนะครับ ดมยาสลบ นอนที่ศูนย์วิจัยหนึ่งคืน แล้วหมอจะออกใบลาให้สิบสี่วัน หลังจากผ่าตัดจะนัดกลับมาตรวจเช็กทุกหนึ่งเดือนตลอดหกเดือนแรก หมอแนะนำให้กินยาคุมกำเนิด เพราะมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีก ส่วนนี้คือวิธีการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด”

หมอยื่นกระดาษรายละเอียดให้พร้อมกับอธิบายย้ำ

“งดน้ำและอาหารทุกชนิดหลังเที่ยงคืน มาถึงโรงพยาบาลเวลาเจ็ดโมงเช้า มีญาติมาเฝ้าก็ได้ ไม่เฝ้าก็ได้ แต่วันกลับต้องมีคนมาเซ็นรับตัวกลับ วันผ่าตัดห้ามแต่งหน้า ทาเล็บ หรือแม้แต่ครีมทาผิวก็ห้าม กรุณาถอดเครื่องประดับทุกชนิดด้วยครับ”

เมื่อเอ่ยจบ พยาบาลผู้ไปถามราคากลับมาพอดี ทำหน้าที่แจ้งค่าใช้จ่าย

“ค่าตรวจอยู่ที่หกพันเหรียญค่ะ ประกันปฏิเสธการจ่าย”

ผู้รับฟังราคามือกระตุก เริ่มอยากจะเป็นลมกับตัวเลข หมอเก๋าอมยิ้มบางๆ เปิดแฟ้มแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาวาง ในนั้นคือใบที่ระบุว่าผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนต่างจากประกัน คือนางสาวมอลรีน ถัง 

“คุณถังจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนต่างนะครับ”

ลายเซ็นของมอลรีนทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น เธอจำได้ว่า มอลรีนบอกว่าค่าใช้จ่ายส่วนต่างทางเอชอาร์ซีจะเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ทำไมในใบนี้ระบุว่าคือมอลรีน ไม่ใช้คำว่าเอชอาร์ซี 

หรือมอลรีนคือผู้รับมอบอำนาจลงนาม

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ หากมอลรีลเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้ ไม่ใช่ทางเอชอาร์ซี ทำไมล่ะ...ทำไม...

ทำไมมอลรีนต้องจ่ายให้เธอ

 

วันผ่าตัดมาถึง

อิงวาดมาถึงศูนย์วิจัยตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าตามนัด ความตื่นเต้นทำให้เธอไม่ง่วง มือชุ่มเหงื่อ ความหวาดกลัวทำให้หัวใจเต้นแรง 

หญิงสาวถูกพามายังเตียงในห้องรอผ่าตัด บนเตียงมีชุดวางอยู่ มันคือชุดยาวเปิดหลัง ถุงเท้า และหมวกคลุมผม พยาบาลสาวส่งเอกสารให้เธอเซ็น เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มแนะนำ 

“เปลี่ยนชุดค่ะ ถอดเสื้อผ้าและชั้นในทั้งบนล่างไว้ในถุง สวมถุงเท้า หมวกคลุมผม เดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาแทงสายน้ำเกลือให้”

ผ้าม่านถูกปิดรอบเตียง อิงวาดรู้สึกเข่าอ่อนอยากจะอาเจียน พยายามลุกขึ้นเปลี่ยนชุด การผ่าตัดคือการวางยาสลบและส่องกล้องผ่า ไม่มีใครมานอนเฝ้า ส่วนผู้ที่จะมารับตัวเธอกลับบ้านคือไอริณ เพราะตามกฎของศูนย์วิจัย เธอไม่สามารถกลับบ้านเองได้นอกจากจะมีคนเซ็นรับตัวออก

“เสร็จรึยังคะ” 

เสียงดังมาจากด้านนอก ทำให้หญิงสาวเร่งมือ รู้สึกว่าช่วงหลังโล่งยิ่งนักเพราะไม่มีสิ่งใดปกปิด รีบก้าวขึ้นนอนบนเตียง สวมหมวกคลุมผม 

“เสร็จแล้วค่ะ”

ผ้าม่านเลิกออก ผู้ที่ตรงเข้ามาไม่ใช่พยาบาล แต่เป็น...บุรุษร่างสูงใหญ่ เขาสวมชุดสครับสีดำ สวมหมวกผ่าตัดสีเดียวกับชุด และมีผ้าปิดปากสวมอยู่ครึ่งหน้า ดวงตาของเขาคมโต สายตาที่เขามองเธอ...ระยิบระยับประหนึ่งน้ำกลิ้งอยู่บนใบบัว 

สายตาของเขาทำให้เธอเขิน! 

“สวัสดีครับ ผมเป็นเรสซิเดนต์วิสัญญี วันนี้คุณมาทำอะไรครับ”

“ผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์ค่ะ”

“ซีสต์ขนาดกี่เซนติเมตรครับ”

“สี่ค่ะ”

“หมอผ่าตัดล่ะครับ”

“หมอจอห์น เก๋า ค่ะ” 

คำถามทวนเรื่องการผ่าตัดและรายละเอียดคือสิ่งที่ต้องทำตามกฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันการผ่าตัดผิดตัวซึ่งเคยเกิดขึ้นและมีคดีฟ้องร้อง 

อิงวาดรู้สึกว่าคำถามน่ะปกติ แต่...สายตาที่หมอมองเธอค่อนข้างไม่ปกติ หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเธอคิดไปเองเพราะความหวาดกลัวการผ่าตัด หรือว่าหมอดมยาคนนี้ดวงตาระยิบระยับแวววาวอยู่แล้ว จนกระทั่งถึงคำถามต่อไป

“กินอาหารครั้งสุดท้ายตอนกี่โมงครับ”

“ประมาณห้าทุ่มค่ะ”

“กินอะไรครับ”

“บัฟฟาโลวิงค่ะ” 

“อร่อยไหมครับ”

คำถามนี้ทำให้เธอเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับการผ่าตัดตรงไหน ถึงกระนั้นก็พยักหน้า “ก็...อร่อยค่ะ”

แก้มสาวร้อนผ่าวเมื่อพบว่าดวงตาที่มองเธออยู่คล้ายกำลังคลี่ยิ้ม เธออยากจะพุ่งเข้าไปดึงผ้าปิดปากของเขา อยากเห็นว่าหน้าตาของชายผู้นี้เป็นเช่นไร แต่จากที่เห็นแค่ครึ่งหน้าก็ทำให้เธอแทบจะมุดลงไปซ่อนความเขินใต้เตียง อดคิดไม่ได้ว่า 

หมอที่นี่เขาเลือกจากหน้าตาหรืออย่างไร! 

“คำถามสุดท้าย...” หมอหยุดมือซึ่งกำลังจด ดวงตาคมโตของเขาจ้องเธอด้วยแววตาแฝงความหมาย “คุณ...มีแฟนรึยังครับ” 

คำถามนี้ทำให้เธออ้าปาก ตามด้วยการเม้มปาก “ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับการผ่าตัดเหรอคะ”

คำถามนั้นทำให้ผู้ถูกย้อนถามทำสีหน้าเป็นการเป็นงาน เช่นเดียวกับคำตอบ “สถานภาพน่ะครับ โสด แต่งงาน หย่า แยกกันอยู่ ผมจะทวนที่คุณเขียนไว้” 

อิงวาดพยักหน้าเออออ “โสดค่ะ”

คำถามคล้ายจะหมดเพียงเท่านี้ ตามด้วยการแจ้งอาการข้างเคียงของการดมยาสลบ เสียงของพยาบาลดังมาจากด้านหลังหมอ

“ขออนุญาตค่ะ”

“แทงเข็มน้ำเกลือเหรอครับ” หมอหนุ่มเป็นผู้ถามแทนคนไข้ 

พยาบาลพยักหน้า ตามด้วยการขมวดคิ้ว เมื่อมือขาวใหญ่ของหมอฉวยคว้าเข็มไปจากมือ พร้อมคำสั่งเสียงนิ่ง “ผมแทงเอง”

พยาบาลไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงถอยออกไปเตรียมน้ำเกลือ อิงวาดมองมือใหญ่ที่เริ่มสวมถุงมือ มองเขาฉีกซองแผ่นแอลกอฮอล์ เขาก้าวเข้ามาใกล้ จับแขนเธอให้หงายเหยียด ใช้สายยางรัดเหนือข้อพับ นิ้วกดหาเส้นเลือด เช็ดบริเวณที่เลือกด้วยแผ่นแอลกอฮอล์

“ขออนุญาตนะครับ”

เจ้าของแขนพยักหน้า เบือนหน้าหนีกัดฟัน ไม่รู้เลยว่าภายใต้ผ้าปิดปากของวิสัญญีแพทย์หนุ่ม เขาอมยิ้มขำ เข็มถูกแทงผ่านอย่างชำนาญ ความเจ็บปวดเกิดขึ้นและคาอยู่อย่างนั้น เขาแปะสกอตช์เทปปิดป้องกันการเคลื่อนตัวของเข็มพลาสติก แล้วต่อสายน้ำเกลือซึ่งพยาบาลนำมาแขวน

“เรียบร้อยแล้วครับ”

อิงวาดเบนสายตามองเข็มที่คาอยู่ รู้สึกเจ็บข้อพับ และอึดอัดอยากดึงเข็มน้ำเกลือออก เธอสนใจแต่เข็มที่ข้อพับ ไม่รู้เลยว่าวิสัญญีแพทย์ซึ่งควรไปได้แล้วยังยืนอยู่ จนกระทั่งเขากระแอมไอและเอ่ยถามเป็นภาษาไทย ถามคำถามซึ่งรู้คำตอบอยู่แล้ว 

“เป็นคนไทยใช่ไหมครับ”

ภาษาไทยดึงความสนใจให้ดวงตายาวเรียวช้อนขึ้นสบดวงตาคมโต เธอพยักหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่เขาขยับผ้าปิดปากลง เผยให้เห็นใบหน้าเต็มๆ 

“ผมก็คนไทยเหมือนกัน ผมชื่อรอย”

เขาแนะนำตัวแล้วคลี่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของเธอกระตุก มันเจิดจ้าและอบอุ่นจนขับไล่ความหนาวในใจเธอ ยังมี...ความหล่อเหลาของเขาที่ทำให้เธอแทบจะละลายกลายเป็นน้ำ 

อิงวาดคล้ายถูกสะกด คลี่ยิ้มตามรอยยิ้มของเขา สองสายตาสบกัน เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าลามไปถึงใบหู เช่นเดียวกับเขาที่เขินจนแก้มแดง แต่เสียงหนึ่งดังขึ้นขัด ทำลายห้วงอารมณ์แห่งความขวยเขิน

“ขออนุญาตครับ”

เสียงนี้คือเสียงของหมอเตรัณย์ เขาอมยิ้มอย่างดูรู้ว่าพยายามกลั้นหัวเราะ เขาเดินผ่านรอยมาหาผู้ป่วยซึ่งยังยิ้มค้าง 

“วันนี้หมอจะผ่าตัดแทนหมอเก๋านะครับ หมอเก๋าติดเคสมะเร็งด่วน คนไข้จะผ่าเลยหรือจะรอหมอเก๋าครับ”

หญิงสาวรีบส่ายหน้า ตามด้วยการพยักหน้า “ผ่าเลยค่ะ หมอผ่าก็ได้” เธอไม่อยากรอ ไม่อยากปวดท้องทรมานอีกแล้ว 

นายแพทย์เตรัณย์ยิ้มตามมารยาท ส่งเอกสารการยินยอมเปลี่ยนแพทย์ผู้ผ่าตัดให้เธอเซ็น ในนั้นมีชื่อผู้เป็นพยานเซ็นมาเรียบร้อย หนึ่งในนั้นคือลายเซ็นของมอลรีน แปลว่าทางศูนย์วิจัยได้แจ้งมอลรีนก่อนและให้เซ็นเรียบร้อยแล้วจึงมาแจ้งเธอ 

อิงวาดเซ็นเอกสาร แล้วมองหมอเตรัณย์เดินจากไป ดวงตาเคลื่อนไปสบกับดวงตาคมโตของรอย เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอย ขยับปากเอ่ยเสียงเบาพอได้ยินเป็นภาษาไทย พร้อมกับที่ยื่นมืออีกข้างมาเบื้องหน้าเธอ 

“เชิญครับ”

หญิงสาวมองมือนั้น ด้วยเหตุใดก็ไม่รู้ เธอรู้สึกเขินอายยิ่งกว่าการวางมือลงบนมือของหมอเตรัณย์หรือหมอเก๋า เธอค่อยๆ ยื่นมือออกไปวาง ขนลุกเกรียวทั่วร่างเมื่อเขากุมกระชับมือเธอ มืออีกข้างของเขาถือถุงน้ำเกลือ เดินนำทางสู่ห้องผ่าตัด 

“กลัวไหม” คำถามคล้ายต้องการช่วยลดความประหม่า 

“กลัวค่ะ”

ไม่มีคำถามใดเพิ่ม อิงวาดก้าวเข้าสู่ห้องผ่าตัด ความเย็นของห้องนี้เย็นอย่างที่เรียกว่ายะเยือก ทั้งห้องมีแต่กลิ่นยาฆ่าเชื้อ ดวงตายาวเรียวมองเตียงผ่าตัด ขาสั่นจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น ดีว่ามีมือใหญ่ของเขาช่วยประคอง 

เธอก้าวขึ้นเตียง เขาปล่อยมือเธอ จัดการแขวนถุงน้ำเกลือแล้วเดินไปคุยกับบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเดินตามเข้ามา บุรุษผู้นั้นสวมชุดสครับสีดำเช่นเดียวกัน  พยาบาลสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งจัดอุปกรณ์ อีกคนบอกให้เธอขยับตัวลง พร้อมกับเริ่มใช้ผ้ารัดช่วงบนของเธอไว้กับเตียง 

เจ้าหน้าที่เริ่มเดินเข้ามาเรื่อยๆ แต่ละคนลงมือทำตามหน้าที่ตน สุดท้ายหมอเตรัณย์เดินเข้ามา รับถุงมือยางจากพยาบาลไปสวม หมอรอยเดินผ่านเธอไปพร้อมกับหมออีกท่าน ดวงตาเรียวยาวเหลือบมอง พบว่าเขาทั้งสองประจำอยู่เหนือศีรษะ ก่อนที่หมอรอยจะขยับตัวเยื้องมาทางด้านขวาของเธอ 

“อาการข้างเคียงของการดมยาสลบ เมื่อตื่นมาจะรู้สึกจมูกแห้ง อาจคลื่นไส้หรืออาเจียน แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ หมอจะให้แค่เท่าที่จำเป็น” เขาเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ

อิงวาดพยักหน้า ดวงตาเริ่มแดงรื้น เธอหวาดกลัว หัวใจเต้นอย่างรุนแรง จนเขาต้องเอ่ยกับเธอว่า

“ทำใจให้สงบครับ สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ต้องกลัว”

แม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องกลัว ทว่าเธอก็กลัวอยู่ดี ภาพซึ่งลอยเด่นในคลองจักษุคือภาพของแม่ เธอยังไม่ได้ลาแม่...ถ้าเธอไม่ฟื้น ถ้า...

“หมอให้ยาคลายเครียดนะครับ”

เสียงของรอยดังเหนือศีรษะ แต่เธอไม่สนใจ สิ่งที่เธอสนคือใจคือ เริ่มเสียใจที่ไม่โทร. บอกแม่ น้ำตาไหลออกจากหางตา ทำไมนะ...ทำไมเธอไม่โทร.

“อิงวาด...” เสียงเรียกชื่อดังมาจากทางขวา หญิงสาวกะพริบตาไล่น้ำตา ปรายตามองไปทางเขา 

รอยสวมผ้าปิดปากแล้ว แต่แววตาของเขาบอกเธอว่าอย่ากังวล อีกทั้ง...เขายังลดใบหน้าลง กระซิบบอกเธอแผ่วเบาเป็นภาษาไทย ในขณะที่สมองของเธอเริ่มหลุดลอยเพราะฤทธิ์ยาสลบ

“ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวน้องได้ตื่นมาคุยกับพี่แน่นอน แล้วเราไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลพาร์กกันเนอะ...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น