6

ตอนที่ 5


ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง หลังจากน้ำเสียงประกาศิตของเจ้าของคฤหาสน์อัลบารอมดังชัดเจน

            สิรดาเม้มปากแน่น พยายามอดกลั้นข่มความโมโหที่มีต่อผู้ชายที่ชื่อ ชามาล์ อัลบารอม มนุษย์บ้าอำนาจที่กล้าไล่เธอออกอย่างใจจืดใจดำ และไร้จรรยาบรรณของการเป็นเจ้านายอย่างที่สุด หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังคนเลือดเย็น ก่อนความอดทนของตนเองจะขาดผึง เมื่อโดนสายตาดูแคลนตวัดมองมาทางเธออย่างเหยียดๆ

            “เออ ฉันเองก็ไม่อยากจะอยู่กับเจ้านายใจดำเท่าไหร่นักหรอก โธ่! แค่เข้าใจผิดนิดหน่อย ทำเป็นรับไม่ได้ แล้วไม่ต้องมาไล่ฉัน ฉันขอลาออกเอง อยู่ไปก็เหมือนตกนรก สู้ไปหาความเจริญข้างนอกซะยังดีกว่า” สิรดาเชิดหน้าสูงด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี

            “เธอ!” ชามาล์เรียกหญิงสาวอวดดีเสียงต่ำ แววตาคมเข้มมองอย่างคุกคาม

            “พ่อครับ อย่าไล่พี่สาวออกเลยครับ” เด็กชายพูดแทรกขึ้น น้ำเสียงออดอ้อนผู้เป็นบิดา

            สิรดามองอย่างซึ้งใจ ดูซิขนาดเด็กตัวแค่นี้ยังรู้จักคิดมากกว่าผู้ใหญ่

            “เลี้ยงไว้สักคนไม่สิ้นเปลืองเท่าไหร่หรอกครับพ่อ มันจะซักเท่าไหร่กันเชียว” เด็กชายพูดต่อจนจบประโยค

            คำพูดนั้นทำเอาสิรดาหน้าหงิก ต้องค้อนขวับๆ ใส่เด็กชายตัวกะเปี๊ยกไปหลายยก

            ชามาล์สีหน้าเรียบขึง ยืนนิ่งไม่ตอบบุตรชาย แต่ใช้สายตาที่อ่านความหมายไม่ออก จ้องไปยังหญิงสาวที่เลี้ยงไว้ก็ไม่สิ้นเปลืองเท่าไร

            “พี่สาว ขอบคุณพ่อเราสิ พ่อเราอนุญาตให้อยู่ต่อได้แล้ว ไม่ไล่ออกแล้วละ” เด็กชายบอกสิรดา เมื่อเห็นพ่อของตนเองไม่พูดตอบอะไรออกมา

            สิรดาคิดหนัก กำลังชั่งใจว่าจะทำหยิ่งต่อ หรือยอมอ่อนข้อให้นิดๆ หน่อยๆ ระหว่างที่กำลังตัดสินใจก็เหลือบตามองชามาล์นิดหนึ่ง และตัดสินใจทันที ยอมไปก่อนแล้วค่อยกลับมาตลบหลังในภายภาคหน้า รับรองได้เลยว่านายหน้าหยิ่งนั่นต้องร้องไม่ออก เผลอๆ จะชักตาตั้งเพราะรับไม่ได้ที่ถูกลูบคม

            “ขอบคุณค่ะ” สิรดาก้มหน้าก้มตาพูดเสียงเบา เธอต้องแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอสำนึกผิดแล้ว

            “ไปกันเถอะ” เด็กชายยิ้มแก้มปริ รีบเดินเข้าไปคว้าข้อมือสิรดาไว้ แล้วพาเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางร่าเริง

            สิรดาเดินตามเด็กชายออกไปด้วยใจระทึก การที่ชามาล์ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ มันหมายความว่าอย่างไร ตกลงจะไล่เธอออกหรือให้เธออยู่ต่อ หญิงสาวชักเริ่มไม่แน่ใจในสถานภาพของตนเอง จึงรอจนเดินพ้นออกมาจากห้อง แล้วเอ่ยถาม “ชาจีฟ ตกลงพ่อเราเขาไล่พี่ออกหรือเปล่า”

            เด็กชายสั่นหน้าอย่างแรง

            “แต่พ่อเรา เขาไม่พูดอะไรเลยนะ เขาจะให้พี่อยู่ต่อหรือ” สิรดาถามย้ำ

            “ถ้าพ่อเงียบไม่ตอบ แสดงว่าโอเค” เจ้าของเสียงเล็กๆ เอ่ยตอบ

            “อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะ” สิรดาขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย

            “มันเป็นศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ผู้หญิงไม่เข้าใจหรอก” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงโอ่ๆ แบบลูกผู้ชายเต็มที่

            สิรดากลอกตา ท่าทางคนบ้านนี้จะมียีนลูกผู้ชายเต็มตัว ถึงได้ทำแมนกันนัก ดูก็รู้เด็กชายได้รับมาดหยิ่งๆ ถือดีแบบนี้มาจากใคร หญิงสาวส่ายหน้าถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม สงสัยงานของเธอคงจะไม่มีทางราบรื่นเป็นแน่ เพราะดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นายชามาล์นั่นต้องหาทางเอาคืนเธอแน่นอน

            ทันทีที่บุตรชายกับหญิงสาวตัวปัญหาเดินพ้นออกไปจากห้อง ชามาล์ที่มองตามหลังทั้งสองคน ได้หันกลับไปสั่งงานลูกน้องคนสนิททันที “ซาอิม ไปหาข้อมูลของผู้หญิงคนนั้นด้วย ฉันไม่ไว้ใจหล่อน”

            “ถ้าคุณชามาล์ไม่ไว้ใจ ทำไมไม่ไล่ออกไปเลยล่ะครับ จะได้ไม่มาก่อเรื่องให้เราในภายหลัง” ซาอิมเองก็แปลกใจไม่หาย ตามธรรมดาถ้ามีเหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้น เจ้านายของเขาคงไม่รีรอที่จะไล่ออก หรือไม่ก็ส่งไปให้พ้นหูพ้นตาไม่เก็บเอาไว้ใกล้ตัวแบบนี้

            “ไม่อยากขัดใจชาจีฟ” ชามาล์ตอบไม่เต็มเสียง เหมือนไม่ค่อยอยากพูดถึงนัก

            “แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดี การที่เราให้เขาอยู่ใกล้คุณชาจีฟมันจะไม่อันตรายหรือครับ” ซาอิมท้วง

            “เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะจัดการดูหล่อนเอง นายแค่ไปหาข้อมูลของหล่อนมาให้ฉันก็พอ”

            “เอ่อ ครับ” ซาอิมรับคำอย่างงงๆ ปกติงานทั่วไปแบบนี้ เจ้านายเขามักให้คนอื่นไปทำ คุณชามาล์ไม่เคยต้องลงไปจัดการดูใคร แต่หนนี้กลับคิดจะลงมือทำด้วยตนเอง จึงอดแปลกใจเป็นครั้งที่สองไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจแทนหญิงสาวผู้นั้น

            “ซาอิม ฉันขอละเอียดที่สุด และด่วน” ชามาล์สั่งย้ำอีกครั้ง ก่อนที่ซาอิมจะเดินออกไปจากห้อง

            “ครับ” ซาอิมรับคำเจ้านาย แล้วรีบเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างเร่งด่วน

            ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อเหลือชามาล์เพียงคนเดียว ชายหนุ่มคลำหัวไหล่ตนเอง ก่อนจะชักสีหน้าเหี้ยมใส่รอยฟันที่ถูกทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า “ที่ฉันไม่ไล่เธอออก นั่นเป็นเพราะฉันเห็นแก่ชาจีฟลูกชายของฉัน แต่ถ้าเธอคิดว่า เธอจะได้อยู่อย่างสุขสบายในคฤหาสน์อัลบารอม ฉันขอบอกเธอว่า เธอคิดผิด...เพราะจากนี้ต่อไปนั่นคือของจริง”

            ตลอดทั้งวันนั้น สิรดาง่วนอยู่กับของเล่นมากมายก่ายกองที่เด็กชายเพียรนำมาให้เธอซ่อม หญิงสาวซ่อมของเล่นจิปาถะทั้งหลายจนกระทั่งบ่ายคล้อย และเมื่อซ่อมชิ้นสุดท้ายเสร็จสิ้นลง สิรดาถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

            “เสร็จซะที อ้าวๆ จะรื้อมาทำไมอีก” สิรดาหันไปร้องห้ามคนที่กำลังจะงัดของเล่นชิ้นหนึ่ง

            เด็กชายตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ “แหม ก็เราสงสัยนี่ ว่ามันใส่กลับเข้าไปได้ยังไง เราแกะมันออกมาเอง เรายังเอาใส่กลับคืนไม่ถูกเลย”

            สิรดาทำหน้าเมื่อยขึ้นมาทันที “อ๋อ ที่มันหลุดออกมา ฝีมือชาจีฟใช่ไหม”

            “ก็...ทำนองนั้นแหละ เราก็แค่อยากรู้ว่าถ้าหลุดเป็นชิ้นๆ หน้าตามันจะเป็นแบบไหน” ชาจีฟเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสดใส

            หญิงสาวส่ายหน้ายิ้มๆ แววตาที่มองไปยังเด็กชายเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู จะว่าไปชาจีฟก็นิสัยไม่เลว ถึงจะดูถือตัว แต่ก็ไม่เรื่องมาก งี่เง่า เอาแต่ใจเหมือนผู้เป็นบิดามากนัก

            ในช่วงเวลาที่สิรดาเงยหน้าขึ้น ปลายหางตาเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่เธอรู้จักยืนมองอยู่แถวๆ หน้าประตูใหญ่ และทันทีที่สิรดามองตอบ ชายหนุ่มคนนั้นก็พยักหน้าเหมือนจะส่งสัญญาณขอคุยด้วย เธอจึงตอบรับด้วยการพยักหน้าเบาๆ ชายคนนั้นจึงเดินเลี่ยงไป

            “ชาจีฟ” สิรดาเรียกเด็กชาย “เดี๋ยวพี่มานะ”

            “รีบกลับมาเร็วๆ ล่ะ อย่าไปนาน เดี๋ยวจะได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เราไม่อยากกินคนเดียว” เด็กชายบอกเสียงหงอยๆ

            “ได้ พี่ไปแป๊บเดียว ไม่นานหรอก” สิรดามองอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ ท่าทางเจ้าหนูนี่คงต้องกินข้าวคนเดียวทุกวันแน่ ถึงได้ทำเสียงละเหี่ยแปลกๆ เวลาเอ่ยถึง

            เด็กชายพยักหน้าตกลง สิรดาจึงปลีกตัวเดินออกไป

            มูจาลเดินไปหลบอยู่แถวๆ พุ่มไม้หน้าตึก พอสิรดาเดินออกมาจากตัวตึก เขาก็เป่าปากเบาๆ ส่งสัญญาณหนึ่งครั้ง สิรดาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่กวาดสายตาสอดส่ายซ้ายขวา จนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น จึงรีบเดินเข้าไปหา

            “มีอะไรหรือเปล่ามูจาล” สิรดาเอ่ยถามชายหนุ่มที่เป็นคนพาเธอมาส่งที่นี่

            มูจาลเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้ง จนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแน่แล้ว จึงยื่นแผ่นกระดาษให้สิรดา “คุณอาเหม็ดสั่งให้ผมเอามาให้คุณ ด่วนครับ อ่านเลยนะครับ”

            สิรดายื่นมือออกไปรับกระดาษ แอบแปลกใจเล็กน้อยว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำไมอาเหม็ดถึงมีเรื่องด่วนถึงเธอทั้งๆ ที่เวลาเพิ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น

            “ผมไปก่อนนะครับ” มูจาลไม่รีรอ เมื่อเอ่ยปากเสร็จก็หมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว

            สิรดาไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมาลามูจาลด้วยซ้ำ หญิงสาวส่ายหน้าให้แก่ความรวดเร็วของหลานชายนางเพตรา และแอบคิดไปว่า ถ้านายชามาล์นั่นรู้ว่ามูจาลเป็นคนของอาเหม็ดคงดิ้นเร่าๆ เคืองจนหนังตากระตุกแน่  สิรดาอมยิ้มอย่างสะใจ สมน้ำหน้าชามาล์ อัลบารอม จริงๆ    

            เมื่อรอยยิ้มสะใจจางหายไปจากใบหน้า สิรดาก็เริ่มก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความที่อาเหม็ดฝากมาให้ตนเอง ...ชามาล์ ส่งคนมาสืบประวัติคุณ (อย่างละเอียด) แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ทางผมได้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว หวังว่าคุณสิรดาจะพอใจ...

            จากนั้นสิรดาก็ก้มลงไล่สายตาอ่านประวัติของตนเองที่ถูกอาเหม็ดจัดทำขึ้นใหม่ ...นางสาวสิรดา เทพประทานพร อายุยี่สิบสามปี เป็นคนสัญชาติไทย เกิดและเติบโตที่เมืองไทย การศึกษาระดับมัธยมศึกษา บิดากับมารดาประกอบอาชีพขายของเด็กเล่นและเสียชีวิตไปแล้ว เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว มีความสามารถพิเศษคือซ่อมของเล่นเด็ก รักเด็ก และเข้ากับเด็กได้ดี (ที่เหลือคุณสิรดาก็คิดขึ้นเองได้เลยครับ เพราะทางชามาล์ได้ข้อมูลไปเพียงเท่านี้)...

            สิรดากลอกตา ประวัติของเธอถูกเขียนขึ้นมาใหม่ และมันมีความจริงเพียงแค่ชื่อสกุล อายุ และสัญชาติเท่านั้น นอกจากนั้นล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้น เพราะแท้จริงแล้วเธอเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่ของเธอตายไปตั้งแต่เธอยังเล็กมาก ความทรงจำของพ่อกับแม่ช่างรางเลือนในความรู้สึก รู้แต่ว่าท่านใจดีและรักเธอสองคนพี่น้องมาก หญิงสาวถอนใจเมื่อนึกถึงอดีตของตนเอง และถึงเธอจะโชคร้ายที่ไม่มีพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่โชคชะตาของเธอกับน้องก็ยังไม่เลวร้ายนัก เพราะคนที่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าให้ความรักความเมตตาแก่เธอสองพี่น้องเป็นอย่างดี เธอกับน้องสาวจึงไม่รู้สึกเป็นปมด้อยแต่อย่างใด

            สิรดาทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า หายใจยาวหนักๆ หนึ่งครั้งพร้อมกับตั้งปณิธานในใจด้วยความแน่วแน่ งานนี้ต้องไม่มีคำว่าพลาด ต้องมีแต่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธอต้องท่องไว้ เพื่อเงิน เพื่อเงิน และเพื่อเงิน

            อาหารมื้อเย็น สิรดาได้รับเกียรติจากเด็กชายให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน สิรดาแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย ยามเมื่อเห็นอาหารมากมายวางเรียงรายให้เด็กชายได้เลือกสรร

            “ชาจีฟ ทำไมไม่กินล่ะ” สิรดาถามขึ้น

            “เรายังไม่อยากกิน” เด็กชายเขี่ยอาหารในจานเล่นไปมา

            สิรดามองเด็กชาย แล้วเอื้อมมือไปตักเนื้อปลาใส่จานให้ “กินอันนี้สิ อร่อยนะ”

            “เราไม่ชอบกินปลา มันเหม็น”

            เด็กชายทำท่าจะเขี่ยทิ้ง แต่ถูกสิรดาปรามขึ้นอย่างรวดเร็ว “ตอนเด็กๆ พี่ก็ไม่ชอบกินปลาหรอก วันๆ ไม่ค่อยกินอะไร จะกินแต่ขนม ตอนนั้นนะ พี่แย่มาก ตัวผอมกะหร่อง หน้าตาก็ซีดเซียวน่าเกลียด ทำอะไรก็ไม่มีแรง ช่วงนี้ชาจีฟรู้สึกเรี่ยวแรงหดหายมั่งมั้ยล่ะ”

            เด็กชายทำหน้าคิดหนัก ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ “ก็มีบ้าง”

            “นั่นไงล่ะ” สิรดาทำเสียงเหมือนใช่เลย “อาการต่อไปก็จะคิดอะไรไม่ค่อยออก กลายเป็นเด็กไม่ฉลาด ดีนะที่พี่กลับตัวทันหันมากินปลา ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงซ่อมของเล่นอะไรไม่ได้สักชิ้น” น้ำเสียงโล่งอกของคนกลับตัวทันดังขึ้นหลังพูดจบ 

            “จริงเหรอ” เด็กชายถามน้ำเสียงตื่นๆ

            “จริงสิ หลังจากพี่กินปลาเรี่ยวแรงก็ฟิตเปี๊ยะ หน้าตาก็แจ่มใส ดูหน้าพี่เป็นตัวอย่างสิ สวยมั้ยล่ะ” สิรดาชี้ไปที่ใบหน้าขาวผ่องของตัวเอง

            “สวย” เด็กชายพยักหน้าตอบ

            สิรดาฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าปลาบปลื้มใจที่เด็กชายเห็นด้วย “งั้นชาจีฟก็รีบๆ กินปลาซะ จะได้ฉลาดๆ หล่อๆ แรงเยอะๆ” หญิงสาวตักผักเพิ่มใส่ไปบนจานของเด็กชายด้วย

            ชาจีฟทำท่าลังเลว่าควรจะกินดีหรือไม่ สิรดารู้ว่าชาจีฟกำลังคิดหนักจึงช่วยกระตุ้นให้ฮึดสู้ “เอาน่า คิดมากเดี๋ยวไม่ทันนะ ความฉลาดไม่เคยรีรอ กินช้าไปหนึ่งวัน ฉลาดน้อยลงตั้งเยอะ”

            “ก็ได้” เสียงตอบรับอ่อยๆ

            หญิงสาวอมยิ้ม รีบกุลีกุจอเลือกเนื้อปลาและเสริมด้วยผักที่น่าจะอร่อยที่สุดให้เด็กชายกินก่อน “จัดการเลย ความฉลาดรออยู่เบื้องหน้าแล้ว”

            ชาจีฟพยักหน้า ยอมกินปลากับผักอย่างไม่อิดออด นางเพตราที่หายจากอาการท้องเสียแล้ว เดินผ่านมาเห็นเข้าถึงกับทำตาโต เพราะไม่ว่าใครจะสรรหาวิธีไหนมาหลอกล่อ ก็ไม่มีวันเสียละที่เนื้อปลาจะหลุดเข้าปากของเด็กชายไปได้แม้แต่น้อย

            “เก่งมากชาจีฟ รู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่มันเพิ่มพูนขึ้นมาเลยใช่มั้ย”

            “อืม อืม” เด็กชายพยักหน้าแรงๆ ตอบรับ

            “นั่นแหละ ผลของการกินปลากับผักควบคู่กัน” สิรดายิ้มกว้าง และแอบหันไปขยิบตากับนางเพตราที่ยืนอมยิ้มพอใจ หลังจากเห็นหญิงสาวจัดการเด็กชายได้อยู่หมัด

            ชามาล์ที่วันนี้กลับเข้ามาในคฤหาสน์เร็วกว่าปกติ ยืนนิ่งจ้องมองภาพลูกชายตนเองกำลังกินอาหารเย็นอย่างมีความสุข เหตุการณ์ที่หญิงสาวหลอกล่อลูกชายของเขาอยู่ในสายตาเขาตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขานิ่งรอดูทีท่าของหญิงสาวว่าจะทำให้ลูกชายของเขาเปลี่ยนใจได้หรือไม่

            “พ่อครับ” เด็กชายหันไปเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงดีใจ เมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร

            สิรดาตีหน้ายุ่ง สงสัยเธอคงต้องรีบระเห็จออกจากโต๊ะอาหารโดยด่วน ก่อนที่เจ้าของบ้านจะออกปากไล่ว่าเธอทำตัวไม่เหมาะสมที่บังอาจมานั่งกินข้าวตีเสมอเจ้านาย คนกลัวโดนไล่ออกทำหน้าขออภัยกับเจ้าของบ้าน แล้วลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ด้วยความเจียมตัวอย่างที่สุด เพื่อป้องกันการโดนไล่ออกซ้ำสองในวันเดียวกัน

            “นั่งลง” คำสั่งดุห้วนๆ ทำให้สิรดาที่ยังลุกขึ้นไม่เต็มตัวด้วยซ้ำ ต้องรีบทรุดตัวกลับลงไปนั่งอย่างรวดเร็ว

            “พ่อครับ กินอะไรมาหรือยัง” เด็กชายถาม ทำให้สิรดาเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง  

            ชามาล์หันไปยิ้มให้ชาจีฟอย่างอ่อนโยน “ยังเลยลูก”

            “ดีเลยครับ มากินด้วยกันเลย ชาจีฟไม่ได้กินข้าวกับพ่อมาตั้งนานแล้ว” เด็กชายพูดขึ้นอย่างมีความสุข แววตาเปล่งประกายดีใจที่ตนเองจะได้รับประทานอาหารร่วมกับบิดา

            ชามาล์พยักหน้า เดินไปนั่งหัวโต๊ะข้างๆ ลูกชาย พร้อมทั้งเอ่ยชักชวนลูกน้องคนสนิทที่เดินตามเข้ามาด้วย “ซาอิม ไหนๆ ก็มาแล้ว ทานอาหารด้วยกันที่นี่ก่อนกลับบ้านแล้วกัน”

            “ครับ” ซาอิมตอบรับ น้อยครั้งนักที่จะเห็นคุณชามาล์กลับมากินข้าวมื้อเย็นที่บ้าน เกือบทุกเย็นถ้าไม่ติดประชุม ก็มักจะมีงานเลี้ยงหรือไม่ก็มีนัดกับบรรดาคู่ควง เจ้านายของเขาไม่เคยกลับถึงคฤหาสน์อัลบารอมก่อนตะวันตกดินมานานนับเดือนแล้ว แต่วันนี้กลับผิดไปจากทุกวัน คุณชามาล์ตรงดิ่งกลับมาที่คฤหาสน์อัลบารอมเลย ไม่ได้แวะไปไหน ทั้งๆ ที่นางงามสาวสวยคู่ควงคนล่าสุดมาหาถึงที่ทำงาน แต่โดนเจ้านายของเขาไล่ให้กลับไปก่อน

            สิรดานั่งตัวเกร็งตลอดเวลาที่กินอาหารร่วมกับเจ้านายผู้วางก้ามใหญ่โตของเธอ โชคดีที่ที่นั่งของเธอถูกคั่นด้วยเด็กชาย ไม่อย่างนั้นเธอคงกลืนอะไรไม่ลงแน่

            “พี่ดาว” เด็กชายเรียกชื่อเล่นของสิรดา ตามที่สิรดาบอกว่าให้เปลี่ยนคำเรียกจากพี่สาวมาเป็นพี่ดาว “ถ้าโตแล้ว ยังต้องกินปลาอยู่หรือเปล่า”

            “กินสิ” สิรดาตอบเสียงเบา

            หลังจากได้รับคำตอบจากสิรดา เด็กชายรีบหันมาบอกพ่อด้วยความเป็นห่วง “งั้นพ่อต้องกินปลาเยอะๆ นะครับ จะได้มีแรงเยอะๆ ฉลาดๆ” พูดจบเด็กชายก็หันไปบอกกับสิรดาที่นั่งอยู่ด้านข้าง “พี่ดาวตักปลาให้พ่อของเราหน่อย พ่อของเราต้องทำงานเยอะ จะได้มีเรี่ยวแรงเพิ่มพูนมากๆ”

            สิรดาชะงักกึก มือจับช้อนแข็งค้าง ก่อนจะส่งยิ้มจืดๆ ให้เด็กชาย “หึๆๆ”

            ชามาล์ตีหน้านิ่ง จ้องสิรดาเขม็ง  พร้อมสั่งเสียงเข้ม “ก็ดีเหมือนกัน สิรดาตักมาซิ”

            คนโดนสั่งชักสีหน้าใส่คนสั่งทันที แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าควรจะทำตัวให้เรียบร้อยเข้าไว้ จึงรีบกลบเกลื่อนด้วยการส่งรอยยิ้มแข็งๆ แบบจำยอมฝืนใจสุดๆ ให้แก่คนสั่ง “ได้ค่ะ คุณชามาล์”  

            ซาอิมชำเลืองมองหน้าเจ้านายตนเอง และแอบแปลกใจที่เจ้านายสั่งคุณสิรดาแบบนั้น เพราะตามปกติคุณชามาล์มักจะไม่ยอมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ยิ่งเป็นเรื่องไร้สาระแบบนี้ เขาแทบไม่เคยเห็น

            ปลากับผักเต็มช้อนถูกตักลวกๆ ใส่จานของคนที่นั่งนิ่งวางมาดอยู่หัวโต๊ะ “คุณชามาล์ทานเยอะๆ เลยนะคะ” สิรดาพยายามดัดเสียงหวานเอาใจเต็มที่

            “ชาจีฟ พี่ควรจะตักปลาให้คุณพ่อกี่ช้อนดีจ๊ะ” สิรดาแผ่ความหวานไปทางเด็กชาย

            “สาม” เด็กชายตอบเสียงดังด้วยความดีใจ ที่ตนเองได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิด

            ชามาล์เลิกคิ้ว เมื่อเห็นลูกชายเข้ากันได้ดีกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์ที่แสร้งทำเป็นพูดเสียงหวาน แต่แววตาขุ่นคลั่ก

            “จ้ะ” สิรดากระตุกยิ้มร้ายกาจ ก่อนจะจ้วงตักผักที่แทบไม่มีเนื้อปลาเต็มๆ ช้อนอีกสองครั้งใส่จานของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

            “ทานเยอะๆ นะคะ คุณชามาล์” สิรดาเอ่ยย้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงหวานหยด

            “ฉันต้องทานเยอะแน่ เพราะมีเรื่องที่ต้องใช้กำลังกันอีกยาวนานในคืนนี้” ชามาล์พูดเสียงเข้ม ในน้ำเสียงเจือไปด้วยแววเอาจริง จนทำให้คนฟังบางคนถึงกับหนาวเย็นขนลุกซู่

            “พ่อจะใช้กำลังกับใครทั้งคืนเหรอครับ” เด็กชายถามขึ้นอย่างอยากรู้

            “กับคนบางคนที่ทำตัวมีปัญหา” ชามาล์ตอบลูกชาย แต่สายตาจ้องเขม็งไปยังคนที่ทำตัวมีปัญหา

            สิรดารู้ทัน รีบปรับสีหน้าให้สลด ทำเป็นเจี๋ยมเจี้ยมเจียมตัวเจียมใจ  ผิดกับในใจที่กำลังด่ากราดอีกฝ่ายอย่างเต็มอัตราศึก ‘โธ่ ทำมาเป็นขู่ ไม่กลัวหรอกโว้ย หน็อย...ให้คนไปสืบข้อมูลฉัน ผู้ชายขี้ขลาดไม่แน่จริง กลัวว่าคนอย่างฉันจะมาล้วงความลับมืดมิดของนายน่ะสิ เฮอะ...ทำเป็นวางก้ามเจ้าใหญ่นายโต เห็นฉันหงิมๆ หงอๆ ทำเป็นได้ใจข่มเอาๆ ระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน เดี๋ยวปั๊ดดีดขาคู่’

            “คิดอะไรอยู่สิรดา” ชามาล์ถามเสียงห้วน หลังจากเห็นแววตาอีกฝ่ายกลอกกลิ้งไปมาไม่น่าไว้ใจ

            “อ๋อ คือ...คือ...เปล่าคิดค่ะ” สิรดาพูดพลางเงยหน้าขึ้นมาปั้นยิ้มให้คนถาม

            “ไม่ได้คิดก็ดีแล้ว เพราะยิ่งเธอคิดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นผลเสียกับเธอมากขึ้นเท่านั้น” ชายหนุ่มที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยเสียงเรียบอย่างรู้ทัน “เดี๋ยวทานอาหารเสร็จ ฉันกับเธอมีเรื่องต้องคุยกัน”

            “ค่ะ คุณชามาล์” สิรดาก้มหน้าสลด พร้อมกับรับคำเสียงอ่อน

            ชาจีฟมองหน้าทั้งสองคนสลับไปมาแล้วถามคนเป็นพ่ออย่างเป็นห่วงนิดๆ “ตกลงพ่อจะใช้กำลังทั้งคืนกับพี่ดาวเหรอครับ พี่ดาวเขากินปลาทุกวัน แรงเยอะ ฉลาด หน้าตาก็สวย พ่อต้องระวังตัวให้ดีนะครับ”

            “แค็กๆ” สิรดาสำลักพรวด

            เสียงฮึดังเย้ยลอดออกมาจากลำคอของคนตัวสูงใหญ่ ชามาล์กวาดตามองคนหน้าตาสวยของลูกชายด้วยสายตาเย้ยหยัน “แน่นอน พ่อต้องระวังตัวทุกฝีก้าว เราจะไว้ใจคนแปลกหน้าไม่ได้หรอก”

            “ขนาดเป็นคนแปลกหน้า ตอนเช้ายังทำบ้าบอได้ลงคอ ถ้าเกิดเป็นคนรู้จักกันมิป่องท้องโตภายในวันเดียวหรือไง” สิรดาบ่นงึมงำอยู่คนเดียว

            “บ่นอะไร สิรดา” ชามาล์ถามฉุนๆ

            “อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่เห็นด้วยกับคุณชามาล์ ว่าอย่าได้ไว้ใจคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด ถึงบางคนจะหน้าตาดูดีมีชาติตระกูลแค่ไหนก็อย่าได้ประมาท เกิดอยู่ๆ นึกอยากไล่ปล้ำผู้หญิงที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อก็ยังสามารถทำได้ เห็นมั้ยคะ คนแปลกหน้าไว้ใจไม่ได้หรอก” สิรดาส่งยิ้มใสซื่อ หลังจากหลอกด่าชายหนุ่มไปได้นิดหนึ่ง

            “ใช่ ฉันเห็นด้วยกับเธอ คนแปลกหน้าบางคน ถึงจะหน้าตาธรรมดาพื้นๆ ก็ยังอุตส่าห์จงใจเข้าไปยั่วยวนเจ้านายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งหน้าตาได้ เธอว่าจริงไหมเรื่องนี้” ชามาล์ตอบกลับเสียงนิ่ง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย  

            สิรดาเม้มปากแน่น แววตาขุ่นคลั่กเมื่อโดนย้อน

            “เฮ่อ...มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมด” เด็กชายถอนใจเสียงดัง “ถ้ารู้จักกันเมื่อไหร่ บอกชาจีฟด้วยนะครับ พ่อ พี่ดาว ชาจีฟจะรอวันนั้น”

            “ได้ ถ้ารู้จักกันอย่างสนิทสนมแนบแน่นเมื่อไหร่ พ่อจะบอกทันที” ชามาล์หันไปตอบลูกชายยิ้มๆ ปลายหางตาเหลือบไปเห็นสิรดาทำหน้าบึ้งตึง ก็รู้สึกพอใจจนมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย 

            ซาอิมอมยิ้มลอบมองหน้าเจ้านายตนเองแล้วรู้สึกว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เพราะจากอดีตที่ผ่านมาคุณชามาล์ไม่เคยลดตัวลงไปต่อล้อต่อเถียงกับใคร เวลาไม่พอใจมักจะวางมาดนิ่ง และใช้สายตาดุดันปรามอีกฝ่ายให้หยุด

            แต่หนนี้กลับต่างไปจากทุกครั้ง คุณชามาล์ทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงที่เมื่อช่วงเช้าออกปากไล่ ซ้ำยังรีบกลับมาบ้านก่อนเวลาปกติ ที่สำคัญบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ไม่ดูแห้งแล้งเหมือนแต่ก่อน ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงนัยอะไรบางอย่างที่ตอนนี้อาจดูคลุมเครือ แต่อีกไม่นานน่าจะมีความกระจ่างเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

            หลังจากมื้ออาหารอันแสนคับข้องใจของสิรดาสิ้นสุดลง ชามาล์สั่งสิรดาให้ไปดูแลชาจีฟจนกว่าจะเข้านอน  และหลังจากที่สิรดาพาลูกชายออกไปแล้ว ชามาล์ได้เรียกนางเพตราเข้ามาสอบถาม

            “ป้าหายดีแล้วหรือ” ชามาล์ถาม

            “หายแล้วค่ะ คุณชามาล์” นางเพตรายิ้มให้เจ้านายที่ตนเองเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ

            “ป้ารับสิรดาเข้ามาทำงานได้ยังไง” ชามาล์ถามเข้าเรื่องที่ต้องการรู้ทันที

            “เอ่อ มูจาลหลานป้าฝากมาค่ะ” นางเพตราก้มหน้าตอบ รู้ดีว่าการใช้เส้นฝากเข้ามาทำงานในอัลบารอม อาจทำให้ชามาล์ไม่พอใจ

            ชามาล์พยักหน้า ไม่ได้ต่อว่านางเพตราในเรื่องนี้ แต่กลับเปลี่ยนไปขอความเห็นในเรื่องของสิรดาแทน “ถ้าผมจะให้สิรดามาดูแลชาจีฟ ป้าคิดว่ายังไง”

            นางเพตราพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “จากที่ป้าสังเกต สิรดาเข้ากับเด็กได้ดี และคุณชาจีฟก็ติดเธอมาก เชื่อฟังสิรดาทุกอย่าง ป้าไม่เคยเห็นคุณชาจีฟจะเข้ากับผู้หญิงคนไหนได้ดีเท่านี้มาก่อน ท่าทางคุณชาจีฟจะรักสิรดามากนะคะ”

            ชามาล์พยักหน้าเบาๆ เขาเองก็มองออกว่าลูกชายของเขานั้นเข้ากับสิรดาได้ดีมาก “ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ให้สิรดาเป็นคนคอยดูแลชาจีฟ เดี๋ยวผมจะบอกเขาเอง ตอนนี้ป้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”

            หลังจากที่นางเพตราเดินออกไปแล้ว ซาอิมที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ มาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้น “คุณชามาล์มั่นใจหรือครับ ว่าจะให้คุณสิรดาดูแลคุณชาจีฟ”

            “มั่นใจ” ชามาล์ตอบน้ำเสียงหนักแน่น “นายคิดว่านอกจากสิรดาแล้วจะมีใครเหมาะกว่านี้อีกไหม”    

            “แต่พวกเรายังไม่แน่ชัดว่าคุณสิรดาจะมาดีหรือร้าย ถ้าเกิดว่าให้คุณสิรดาอยู่ใกล้ชิดคุณชาจีฟมากเกินไป มันจะดีหรือครับ” ซาอิมอดเป็นห่วงเจ้านายตัวน้อยของอัลบารอมไม่ได้

            “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง สิรดาจะไม่มีทางได้ทำอะไรที่ไม่ดีต่อชาจีฟหรือตระกูลอัลบารอมได้แน่นอน” ชามาล์พูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ไปเถอะ เดี๋ยวฉันเองก็จะขึ้นไปพักเหมือนกัน”

            “ครับ” ซาอิมรับคำแล้วหมุนตัวเดินกลับออกไปพักผ่อนตามคำสั่งของเจ้านาย

            เมื่ออยู่เพียงลำพัง ชามาล์ยกนาฬิกาบนข้อมือตนเองขึ้นมาดู ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างโหดๆ เมื่อถึงเวลาที่เขาควรจะขึ้นไปชั้นบน เพื่อจัดการเรื่องคาราคาซังทุกอย่างให้เรียบร้อยเสียที           

            สิรดานั่งมองเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ชาจีฟคงเหงามากที่ต้องนอนคนเดียวบนเตียงที่ใหญ่มากขนาดนี้ เตียงใหญ่มากเว่อร์ๆ อีกหลังหนึ่งย้อนกลับมาในความคิดของสิรดา จนเจ้าตัวเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้อย่างเหลือล้น “พวกชอบของใหญ่ๆ นึกว่ารวยมากนักหรือไง โธ่ ระวังตัวไว้เถอะ เดี๋ยวจะโดนฉันสั่งสอนในเร็วๆ นี้แน่ หึ รวยแต่โง่...”  

            “เธอว่าใคร รวยแต่โง่” เสียงเหี้ยมของเจ้าของบ้านดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง

            สิรดาหุบปากฉับ ในใจนึกสาปแช่งคนที่ตายยากเหลือเกิน “อ๋อ ฉันหมายความว่า คนรวยทั่วๆ ไปมักจะไม่ฉลาด แต่รับรองไม่มีทางเป็นคุณชามาล์ได้ค่ะ เพราะคำว่ารวยใช้ไม่ได้กับคนอย่างคุณชามาล์ คุณชามาล์ต้องอภิมหารวยๆ เท่านั้นค่ะถึงจะคู่ควร” สิรดาแก้ตัว ยิ้มซื่อๆ ตบท้าย

            ชามาล์จ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยแววตาดุดัน ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้านัก แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขารู้ว่าเจ้าหล่อนพูดพาดพิงถึงเขา แต่เจ้าตัวก็ยังตีหน้าซื่อได้อย่างไม่มีอายสักนิด

            “ชาจีฟหลับแล้วใช่ไหม” ชามาล์ถามถึงบุตรชาย เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ หากว่าเหลืออดจริงๆ

            “หลับแล้วค่ะ” สิรดาตอบ ก่อนจะหันไปมองชาจีฟด้วยสายตารักและเอ็นดู “หลับไปสักพักแล้วค่ะ สงสัยวันนี้คงเหนื่อย เล่นทั้งวัน”

            ชามาล์ชะงัก นึกฉุนนิดๆ เวลาที่เจ้าหล่อนพูดกับเขาไม่เคยใช้น้ำเสียงนุ่มนวลแบบนี้เลยสักครั้ง ผิดกับเวลาที่พูดกับชาจีฟหรือคนอื่นๆ ที่ดูมีชีวิตชีวา จริงใจ และน่า...รัก ชามาล์รีบสะบัดความคิดสุดท้ายทิ้งอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงเจ้าเล่ห์แสบร้ายกาจแบบนี้ ไม่มีทางที่จะมีคำว่าน่ารักหลงเหลืออยู่แน่นอน

            “ดี ถ้าอย่างนั้น ถึงเวลาแล้วที่ฉันกับเธอต้องคุยกัน” ชามาล์สั่งเสียงห้วน

            “แต่มันดึกแล้วนะคุณชามาล์ แล้วมันก็เลยเวลาเลิกงานของฉันมานานแล้วด้วย” หนนี้สิรดาไม่ขอยอมเด็ดขาด เธอต้องรีบกลับเข้าห้องไปโทร.หาน้องสาว ก่อนที่สิรรินจะเป็นห่วงจนนอนไม่หลับ

            “ฉันขอตัวก่อนนะคะคุณชามาล์” สิรดาเดินผ่านหน้าชามาล์ไปอย่างหน้าตาเฉย โดยไม่คิดสนใจสายตาไม่พอใจของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย      

            “เธอกล้าขัดคำสั่งฉันใช่ไหม” ชามาล์พูดเสียงลอดไรฟัน มือใหญ่คว้าท่อนแขนของคนที่กำลังจะเดินผ่าน เพื่อยึดไว้ไม่ให้เดินหนีไปได้

            สิรดาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคล้ายไม่พอใจ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก เพราะกลัวว่าจะปลุกให้ชาจีฟตื่นขึ้น

            “คุณเจ้านายปล่อยฉันเลย นี่มันเวลานอนของฉันแล้วนะ คุณรู้ไหม วันนี้ฉันทำงานเพลียมาก ไม่มีเวลามาคุยอะไรอีกแล้ว ฉันง่วง” สิรดาพยายามสะบัดแขนให้หลุดออกจากมือหนาใหญ่

            “อย่าทำตัวเรื่องมาก” ชามาล์ดุเสียงเข้ม

            “ปล่อยฉัน” สิรดาไม่ฟัง ออกแรงสะบัดแขนแรงๆ

            “อย่าดิ้น” เสียงดุดังขึ้น

            สิรดาไม่สนใจ สะบัดแรงกว่าเก่า จนชามาล์ถึงกับนิ่วหน้าไม่พอใจ ต้องใช้กำลังเข้าข่ม ด้วยการออกแรงดึงสิรดาเข้ามากอดแนบลำตัว

            คนถูกกอดเริ่มหายใจแรงด้วยความโมโห “คิดจะเคลมคนรับใช้ใช่มั้ย” 

            ชามาล์ส่งยิ้มมาดร้ายใส่ดวงตาสิรดา “ดี...นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลว ฉันเองก็ไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้มาก่อน จนมาวันนี้ได้ยินเธอนำเสนอขึ้น จะว่าไปถ้าได้ลองของจริงสักครั้งก็คงดี เจ้านาย...กับ...คนรับใช้” ชามาล์ทอดเสียงในประโยคท้ายๆ จงใจยั่วให้สิรดาคลั่ง

            “คนอะไรคิดแต่เรื่องอกุศล แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นคนนำเสนอ” สิรดาคำราม หน้าเริ่มแดงก่ำ

            “อย่ามาเถียง เธอเป็นคนนำเสนอเอง ฉะนั้นมันช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าฉันจะทำตามคำเสนอของเธอ” ชามาล์มองหน้าคนในอ้อมกอดด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ภายในใจรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจจนบอกไม่ถูก ลืมแม้กระทั่งเรื่องสำคัญที่ตนเองคิดจะมาคาดคั้นหาความจริงในการเข้ามาที่คฤหาสน์อัลบารอมของสิรดา

            “ถ้าคุณไม่ปล่อยฉัน ฉันจะไปฟ้องกรมแรงงานว่าคุณเป็นเจ้านายทาส ใช้งานลูกจ้างเกินเวลาที่ควรจะเป็น” สิรดาพูดขู่เสียงเขียว “แล้วถ้าคุณขืนมาทำอะไรมั่วๆ กับฉัน ฉันจะไปแจ้งตำรวจ และจำไว้เลย หน้าอย่างฉันไม่มีวันยอมความ คุณจะต้องติดคุกหัวโต โทษฐานข่มขืนหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา และฉันจะประจานคุณไปทั่วทั้งโลกให้ทุกๆ คนรับรู้ว่าชามาล์ อัลบารอม ผู้เย่อหยิ่ง ปล้ำคนรับใช้ตัวเองภายในห้องนอนของลูกชายเขา”

            ชามาล์เลิกคิ้ว ใบหน้าดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับคำขู่ “แค่เสียชื่อเสียงเล็กๆ น้อยๆ แลกกับประสบการณ์แปลกใหม่มันก็คุ้ม”

            “คนโรคจิต!” สิรดากัดฟันพูดเสียงต่ำ มองหน้าชามาล์อย่างสุดฉุน

            “พ่อก็กลับไปปล้ำประสบการณ์แปลกใหม่ในห้องของพ่อสิครับ คนอื่นจะได้ไม่มาว่าพ่อ แล้วพ่อก็จะได้ไม่เป็นคนโรคจิตด้วย” เสียงแจ้วเล็กๆ ดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลัง

            สิรดาสะดุ้งตกใจ หันไปมองตามเสียงเล็กๆ ก็เห็นเจ้าตัวเล็กนั่งเท้าคางจ้องมองตาแป๋วอยู่บนเตียง

            หญิงสาวรีบหันมาทำหน้าหงิกใส่ชามาล์ และพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ปล่อยสิ”     

            “จะเอายังไงดีครับพ่อ จะปล่อยหรือจะกลับไปห้องพ่อ” ชาจีฟเร่งเร้าให้บิดาตัดสินใจ

            “แล้วชาจีฟว่ายังไง” ชามาล์ถามลูกชายยิ้มๆ แต่มือยังไม่ยอมปล่อยหญิงสาวที่แววตาขุ่นคลั่กหน้าตาบึ้งตึงแต่อย่างใด

            “ชาจีฟว่า...ปล่อยเถอะครับ พี่ดาวคงไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่มีคนอื่นมาเห็น บางทีมันอาจไม่มีความเป็นส่วนตัว” เด็กชายตอบน้ำเสียงจริงจังคล้ายรู้ใจสิรดาเป็นอย่างดี

            ชามาล์พยักหน้าตามใจลูก ยอมปล่อยสิรดาให้เป็นอิสระ “ชาจีฟอาจพูดถูก ของแบบนี้มันต้องมีความเป็นส่วนตัวถึงจะดี”

            สิรดาถลึงตาให้คนพูด ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มให้ชาจีฟที่นั่งยิ้มกว้าง พยักหน้างึกๆ  เหมือนอยากจะบอกว่าที่ตนเองพูดออกมานั้น ถูกต้องใช่ไหม

            “ถูกต้องมากๆ ค่ะ” สิรดาแยกเขี้ยวใส่ทั้งสองคน

            “ดังนั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว เชิญคุณพ่อกับคุณลูกกล่อมกันนอนได้ตามสบายนะคะ ส่วนดิฉันขอตัวลาไปเข้านอนก่อนค่ะ” สิรดาพูดกระแทกเสียง แล้วสะบัดหน้าแค้นๆ หมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

            ชาจีฟมองหน้าบิดา “เพราะพ่อคนเดียว ทำให้พี่ดาวโมโห”

            ชามาล์เลิกคิ้ว “ถ้าลูกไม่ตื่น พี่ดาวเขาคงไม่โมโหหรอก”

            “พ่อโมเม” ชาจีฟส่ายหน้า ล้มตัวกลับลงไปนอนต่อ แต่ยังจ้องผู้เป็นพ่อตาแป๋ว ก่อนบ่นเบาๆ “พ่อมากล่อมแบบนี้ ไม่รู้จะหลับหรือเปล่า”

            ชามาล์ส่ายหน้า “ทำไม พ่อกล่อมสู้พี่ดาวไม่ได้หรือไง หึ” มือหนาเอื้อมไปลูบศีรษะลูกชายด้วยความรัก

            “ก็ผู้ชายมากล่อมผู้ชายนอน มันดูไม่แมนเท่าไหร่” เด็กชายกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับพูดต่ออย่างจำยอม “เอาเถอะครับ ยังไงก็ดีกว่าไม่มีคนกล่อม ต้องหลับอย่างเหงาๆ”    

            ชามาล์อมยิ้มกับคารมของลูกชาย ใบหน้าชายหนุ่มแลดูอ่อนโยนกว่าปกติยามเมื่อมองลูกชายที่กำลังทำหน้าเหมือนจำใจสุดๆ “เอาละ นอนได้แล้ว ไอ้ลูกชาย”

            “ครับ” เด็กชายหลับตาลง ใบหน้าเล็กๆ ยิ้มละไมตลอดเวลา

            ชามาล์หยิบผ้าห่มที่วางอยู่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ชาจีฟ ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงและมองบุตรชายด้วยแววตารักใคร่ ปีนี้ชาจีฟอายุห้าขวบ เป็นเด็กที่ฉลาด แต่ก็ซนจนเลื่องชื่อ มีปัญหากับพี่เลี้ยงที่เขาหามาให้โดยตลอด แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเข้ากันได้ดีกับสิรดา ชายหนุ่มส่ายหน้าเมื่อนึกถึงหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกไป

            ลูกชายที่ชามาล์หลงนึกไปว่าหลับไปแล้ว จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมามองพ่อของตนเองอีกครั้งด้วยแววตายิ้มๆ “พ่อครับ”

            “ยังไม่หลับอีกหรือ” ชามาล์ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

            “พ่อว่าพี่ดาวน่ารักมั้ยครับ” คนถามยิ้มแปลกๆ จนคนเป็นพ่อต้องหรี่ตาเพื่อจับผิด

            “ตัวแสบ ถามอย่างนี้หมายความว่ายังไง” ชามาล์เดาไม่ถูกว่าลูกชายของเขาจะมาไม้ไหนกันแน่

            “ชาจีฟก็แค่หมายความว่า พี่ดาวก็น่ารักดี ถ้าพ่อไม่ชอบ ชาจีฟจะได้จองไว้” ดวงตาเด็กชายใสแจ๋ว คลี่ยิ้มกว้าง พูดอย่างอารมณ์ดี

            “จองให้ใคร” ชามาล์ถาม คิ้วเริ่มขมวดมุ่น

            “ก็คนที่ชาจีฟเลือกไว้ต่อจากพ่อ ถ้าพ่อไม่ชอบ ชาจีฟก็อาจจะบอกอาราฟัซก็ได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเหมาะกับอาราฟัซมาก ทั้งเก่ง ทั้งสวย ทั้งแข็งแรง หาไม่ได้ง่ายๆ ด้วย”

            “เสียใจด้วย ตอนนี้อาราฟัซไม่ว่างแล้ว” สีหน้าชามาล์ผ่อนคลายขึ้นโดยไม่รู้ตัว

            “อะไรกัน ทำไมอาราฟัซไม่ว่างแล้ว ได้ยังไง ก็อาราฟัซบอกกับชาจีฟเองว่าถ้ามีแฟนจะบอกชาจีฟเป็นคนแรก ทำอย่างนี้ได้ยังไง” เด็กชายหน้างอ ทำปากยื่นอย่างงอนอาสุดที่รักที่ไม่ยอมบอกกล่าวกันก่อน ทั้งๆ ที่ให้สัญญากันไว้อย่างดิบดี

            ชามาล์ส่ายหน้า เรื่องผู้หญิงทั้งของเขาและของเพื่อนรัก มักเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เด็กชายไม่พอใจและแอบทำฤทธิ์เดชใส่อยู่เสมอ “เอาน่าชาจีฟ อาราฟัซเขาเองก็ยังไม่แน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงบอกชาจีฟแล้วละ”

            “ถ้าอาราฟัซไม่แน่นอน งั้นพี่ดาวก็มีสิทธิ์น่ะสิครับ” แววตาเด็กชายเปล่งประกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

            “ไม่...” ชามาล์ตอบออกไปแล้วชะงักนิ่ง ก่อนจะอ้อมแอ้มกลบเกลื่อนด้วยการอธิบายให้ลูกชายฟัง “คืออย่างนี้นะ อาราฟัซเขาไปชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ชอบมากๆ แต่ผู้หญิงเขายังไม่ตกลง ซึ่งพ่อคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหา อาราฟัซคงจัดการได้ ฉะนั้นพี่ดาวของลูกหมดสิทธิ์”

            “มันก็ไม่แน่หรอกครับพ่อ ถ้าอาราฟัซมาเจอพี่ดาวสักครั้ง อาราฟัซอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” น้ำเสียงชาจีฟดูหมายมั่นปั้นมือจนชามาล์ขมวดคิ้วอีกครั้ง

            “เอาเป็นว่าเราจะคุยเรื่องนี้กันในวันหลัง ตอนนี้ต้องนอนก่อน” ชามาล์บอกลูกชาย

            “เรื่องนี้เอาไว้คุยวันหลังก็ได้ครับ” เด็กชายพยักหน้าอย่างว่าง่าย หลับตาลงทำท่าจะนอนแต่โดยดี

            ไม่ถึงนาที ชาจีฟที่เหมือนกำลังจะหลับก็ลืมตาขึ้นมามองพ่ออีกครั้ง “พ่อครับ”

            ชามาล์เลิกคิ้ว กอดอกมองหน้าลูกชายคนเดียว “ว่ามาเลย มีอะไรจะถามอีก”   

            “พ่อครับ ถ้าอาราฟัซไม่ว่างจริงๆ พ่อว่าชาจีฟควรจะให้ใครเป็นรายต่อไปดีครับ”

            “ชาจีฟ นอน...” ชามาล์สั่งเสียงเข้ม

            “ก็ได้” เด็กชายพูดเสียงหงอย

            ชามาล์ส่ายหน้าอย่างแรง มองหน้าลูกชายที่หลับตาพริ้มแล้วได้แต่ปวดหัว เพราะดูท่าแล้วเจ้าลูกชายของเขาท่าทางจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องของสิรดามาก มากถึงขนาดเขาเองยังแปลกใจที่ลูกชายจะจับคู่ให้ ทั้งๆ ที่ปกติชาจีฟมักจะหวงไม่ชอบให้มีผู้หญิงเข้ามายุ่งเกี่ยวทั้งตัวเขาและเพื่อนของเขา ชามาล์มองลูกชายแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ไม่รู้ว่ายายตัวแสบเหลี่ยมจัดไปทำเสน่ห์ใส่ลูกชายเขาตอนไหน ถึงได้ถูกอกถูกใจลูกชายช่างเลือกของเขานัก 

            หญิงสาวที่กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาของพ่อลูกตระกูลอัลบารอม เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางสดชื่น ความขุ่นเคืองก่อนหน้าถูกความเย็นของสายน้ำพัดพาออกไปจนเกือบหมด คืนนี้สิรดาตั้งใจจะนอนเอาแรงให้มากๆ เพื่อในวันพรุ่งนี้เธอจะได้เริ่มปฏิบัติภารกิจจริงๆ จังๆ เสียที

            สิรดารีบจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเรียบร้อยจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หาน้องสาว ทันทีที่ปลายสายกดรับ ก็เอ่ยถาม “วันนี้เป็นยังไงบ้างเดือน”

            “เดือนสบายดี แล้วดาวล่ะ” ปลายสายถามกลับมาอย่างเป็นห่วง

            “ดาวสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างกำลังไปได้สวย” สิรดายิ้มยามเมื่อได้พูดคุยกับสิรริน “ไม่มีใครมารังแกเดือนใช่มั้ย แล้วเจ้านายของเดือนล่ะ ดีกับเดือนหรือเปล่า”

            “ไม่มีใครมารังแกเดือนหรอก คุณราฟัซเองก็ดีกับเดือนมาก” สิรรินตอบกลับมาอย่างสดใส “ดาวไม่ต้องเป็นห่วงเดือนนะ ที่นี่ทุกคนดีกับเดือน มีแต่ดาวเท่านั้นแหละที่เดือนเป็นห่วง จะทำอะไรต้องระวังตัวเองด้วยนะ”

            “จ้า น้องสาวที่เคารพ” สิรดาหัวเราะขำ นานๆ ครั้งจะเห็นสิรรินทำเสียงขึงขัง

            ทั้งสองคนถามไถ่ความเป็นอยู่ของกันและกันอีกชั่วครู่จึงวางสาย จากนั้นเป้าหมายเดียวที่เหลือของสิรดาคือการล้มตัวลงนอน แล้วรีบหลับให้เร็วที่สุด 

            ก๊อก!ๆๆ

            เสียงเคาะประตูทำให้สิรดาที่กำลังจะล้มตัวลงนอนต้องลุกขึ้นมานั่งด้วยความแปลกใจ

            “ใครคะ” สิรดาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู และร้องถามก่อนเพื่อความปลอดภัย

            “ฉันเอง”

            น้ำเสียงทรงอำนาจชวนหาเรื่องที่สิรดาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใครดังขึ้นหน้าประตูห้อง ทำเอาคนจะหลับถึงกับต้องเบ้ปาก

            “ฉันเองไหน” หญิงสาวแอบยอกย้อน ด้วยหมั่นไส้เจ้านายชั่วคราวของตนเองที่ดึกป่านนี้ก็ยังไม่เลิกมาตามหลอกหลอนกันอีก

            “เธอรู้ว่าฉันเป็นใคร” ชามาล์คำราม “เปิดประตูเร็วๆ ได้ยินหรือเปล่า” 

            “ได้ยิน แต่คุณเจ้านายต้องเข้าใจฉันนะ กลางคืนดึกๆ ดื่นๆ จะมาเปิดประตูมั่วๆ ให้คนแปลกหน้าไม่ได้ คนบางคนมันน่าไว้ใจซะที่ไหน” สิรดาตะโกนตอบ ไม่ยอมเปิดประตูออกไปตามคำสั่งง่ายๆ

            “อย่าหลงตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะชาจีฟ เธอคิดว่าฉันจะมายืนทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้ไหม” ชามาล์พูดเสียงเข้ม การที่เขาต้องลงมาหาหญิงสาวกลางดึกที่ตึกเล็กแบบนี้ มันก็เสียหน้ามากเกินพอแล้ว ดังนั้นจึงไม่ควรจะพูดอะไรให้มากความนัก

            ประตูถูกเปิดออกทันที พร้อมๆ กับสีหน้าแตกตื่นของสิรดา “ชาจีฟเป็นอะไร...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ภาพตรงหน้าก็ทำเอาหญิงสาวถึงกับกะพริบตาปริๆ เมื่อเห็นสองพ่อลูกที่ยืนวางท่าเหมือนกันราวกับถอดแบบกันมาซ้ำยังทำหน้าขึงขังเหมือนกันอีกด้วย

            “ชาจีฟเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” สิรดารีบถามเด็กชาย

            “นอนไม่หลับ” ชาจีฟตอบเสียงรื่นเริง หน้าตาไม่มีแววง่วงนอนเลยสักนิด

            สิรดาหันไปถลึงตาใส่ชามาล์ ต้นเหตุที่ทำให้ชาจีฟตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่นอนหลับไปแล้ว

            ชามาล์เลิกคิ้ว ไม่คิดว่าชีวิตนี้ตนเองจะโดนผู้หญิงมาดุใส่

            “เพราะคุณคนเดียว ถ้าเมื่อกี้ไม่ทำบ้าบอ ชาจีฟก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก” สิรดาพูดเสียงขุ่นลอดไรฟันให้ได้ยินกันเพียงสองคน

            “จัดการไปเถอะน่า อย่าบ่นมากนัก” ชามาล์พูดเสียงห้วน

            สิรดาร้องหึเบาๆ ก่อนจะสะบัดหน้า แล้วหันไปถามชาจีฟที่กำลังยืนอมยิ้มดีใจที่อ้อนจนได้เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมพ่อ “ชาจีฟ ทำไมยังไม่นอนอีก นอนดึกอย่างนี้ พรุ่งนี้ตื่นมาจะไม่มีแรงวิ่งเล่นนะ”

            “พ่อชวนคุยเลยนอนไม่หลับ พี่ดาวพาเราไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เราจะได้มีแรงวิ่งเล่น” เด็กชายตอบเสียงใส

            ชามาล์ส่ายหน้ากับคำตอบของลูกชาย ส่วนสิรดาเหลือบมองหน้าชามาล์ แล้วส่งสายตากล่าวโทษว่าเขานั่นแหละเป็นตัวต้นเหตุที่ชวนลูกคุย

            “โอเค ถ้าอย่างนั้นไปนอนกันเนอะ” สิรดาบอกชาจีฟ แล้วจูงมือกันเดินไป อย่างที่ไม่มีใครคิดสนใจชามาล์ที่ต้องยืนขมวดคิ้วเพราะถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี

            “ให้มันได้อย่างนี้สิ” ชามาล์บ่น ก่อนจะส่ายหัวแล้วเดินตามไป

            เมื่อกลับมาถึงห้องของชาจีฟ สิรดาถอนใจพรืดใหญ่กับกองของเล่นมากมายที่กองทิ้งไว้บนเตียง สุดท้ายด้วยความหมั่นไส้จึงอดใจไม่ไหวต้องหันมาถลึงตาใส่พ่อของชาจีฟอีกรอบ ที่ช่างกล้าขนของเล่นมาให้ชาจีฟเล่นอย่างไม่ดูเวล่ำเวลาแม้แต่น้อย

            “เธอจัดการพาชาจีฟเข้านอนด้วยแล้วกัน” ชามาลรู้ตัวทำทีเป็นสั่งเสียงเข้มกลบเกลื่อนสิ่งที่ตนเองก่อไว้ เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าการพาลูกชายเข้านอนเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ เพราะเจ้าตัวดีลืมตาขึ้นมาถามทุกๆ นาที ซ้ำยังทำท่าเหมือนจะว่าง่ายบอกให้นอนก็นอนแต่โดยดี แต่พอเอาเข้าจริงก็เหลวไม่เป็นท่าทุกครั้ง

            สิรดาค้อนขวับ ก่อนจะหันไปบอกชาจีฟ “นอนกันดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย”

            ในจังหวะที่หญิงสาวบอกกับชาจีฟ มือก็หยิบของเล่นที่วางกองอยู่บนเตียงมายื่นให้ชายหนุ่มที่เป็นตัวต้นเหตุ “เอาไปเก็บสิคุณ วางไว้ในกล่องนั้น” พูดจบก็ชี้มือไปทางกล่องที่วางอยู่มุมห้อง   

            ชามาล์รับมาถืออย่างงงๆ แถมยังเดินเอาไปเก็บในกล่องแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

            สิรดาหัวเราะหึๆ มองตามหลังอย่างสะใจ ที่ตนเองได้มีโอกาสชี้นิ้วสั่งบ้าง

            ชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะ จึงหันหลังกลับมามองตัวต้นเสียงด้วยแววตาไม่พอใจ แต่สิรดารู้ทันรีบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว

            “เก็บของเล่นเสร็จแล้วก็ไปนอนได้เลยนะคุณ” สิรดาสั่งทิ้งท้าย แววตาพราวระยับอย่างอารมณ์ดี

            ชามาล์จ้องเขม็งไปยังคนพูด ใบหน้าเริ่มบึ้งตึงอย่างหนัก เพราะไม่เคยโดนใครชี้นิ้วสั่งแบบนี้มาก่อน

            “เอาละเด็กดี นอนกันได้แล้ว” สิรดาหันไปพูดกับเด็กชาย ไม่สนใจคนหน้าตาบูดเบี้ยวที่ส่งสายตาเชือดเฉือนพุ่งตรงมายังตนเองแต่อย่างใด

            ชาจีฟพยักหน้าอย่างว่าง่าย ล้มตัวลงนอนทันทีอย่างไม่เกี่ยงงอน

            “เอาเรื่องเจ้าชายกบแล้วกันนะ” สิรดาล้มตัวลงนอนข้างเด็กชาย “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานมากๆ ...”

            ชามาล์หยุดยืนนิ่ง ฟังเสียงสูงต่ำที่ดังเป็นจังหวะจากปากสิรดาด้วยความแปลกใจ ด้วยนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวตรงหน้าจะมีความสามารถพิเศษที่เล่านิทานได้น่าฟัง และไม่ทันถึงสามนาทีก็เห็นลูกชายตนเองผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย  

            “อ้าวคุณเจ้านาย ยังไม่ไปอีกหรือ” หลังจากสิรดาเห็นเด็กชายหลับไปแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองชามาล์ที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหน จึงออกปากไล่กลายๆ ให้รู้สึกตัว

            “เธอกล้าไล่ฉัน?” ชามาล์พูดเสียงห้วนเบาๆ ด้วยไม่อยากปลุกลูกชายให้ตื่นขึ้นมาใหม่อีกรอบ

            “คิดไปเองอีกแล้ว” สิรดาทำเสียงหน่ายใจ “คนอุตส่าห์หวังดีแท้ๆ เห็นยืนนิ่ง ก็กลัวจะเมื่อย”

            ชามาล์ยังยืนนิ่งไม่ขยับ สายตาคมกริบจ้องเขม็งไปที่สิรดา “พรุ่งนี้ เธอกับฉันต้องคุยกัน”

            “ได้...ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ขอในเวลาทำการนะคะ คุณเจ้านาย” สิรดาเชิดหน้ายอกย้อน และแอบขำในใจที่เห็นคิ้วเข้มๆ ของคนตรงหน้าขมวดมุ่นอย่างคนเริ่มมีโทสะ

            “คืนนี้เธอนอนกับชาจีฟ” ชามาล์สั่งสำทับเสียงเข้ม “ดูแลลูกชายฉันดีๆ อย่าให้มีปัญหา เข้าใจหรือเปล่า”

            “รับทราบค่ะ ท่านเจ้านาย” สิรดาตอบน้ำเสียงกวนๆ เพราะคิดว่าชามาล์คงไม่กล้าทำอะไรเธออีกแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดชาจีฟตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้คงไม่ต้องหลับต้องนอนกันอีกต่อไป

            ชามาล์จ้องหน้าสิรดาไม่ลดละ สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ส่งสายตาดุๆ คาดโทษ แล้วหันหลังหมุนตัวเดินออกไปจากห้องอย่างโมโหนิดๆ

            หน้าประตูห้องก่อนที่ชามาล์จะก้าวขาออกไป เขาได้ฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และเดินออกไปในทันทีที่พูดจบ

            “สิรดา...ช่วยจำไว้...วันหลังอย่าใส่ชุดนอนแบบนี้อีก เพราะมันทำให้ฉันนอนไม่หลับ”

            สิรดาขมวดคิ้วกับคำพูดแปลกๆ ของคนที่เพิ่งเดินออกไป “ชุดนอนฉันมันไปสร้างความเจ็บช้ำอะไรให้เขานักหนาเนี่ย” คนในชุดเสื้อเชิ้ตลายดอกส่ายหัว ก้มลงมองชุดที่ตนเองสวมใส่

            ภาพกระดุมสองเม็ดเปิดอ้าจนมองเห็นข้างในแวบๆ ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมาชี้นิ้วสั่นๆ ไปที่ประตูอย่างแค้นๆ พร้อมๆ กับเค้นเสียงเขียวไล่ตามหลังคนที่เพิ่งเดินจากไป

            “ผู้ชายแย่ๆ ไร้จิตสุภาพบุรุษ มองของดีของฉันไปตั้งเท่าไหร่แล้ว โอ๊ย...หมดกัน หมดกัน เตือนกันสักนิดก็ไม่มี ผู้ชายยอดแย่”

            สิรดาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจสักพัก ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยท่าทางหมดแรง เธอมาอยู่ที่นี่แค่สองคืน เปลืองตัวไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ และพอยิ่งคิดว่าที่ผ่านมาตนเองเสียท่าให้ผู้ชายลามกบ้ากามไปมากแค่ไหน สิรดาก็ยิ่งแค้นมากเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จนต้องตั้งมั่นในใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ ถ้านายนั่นมันบังอาจมาล่วงเกินเธออีกหน เธอจะไม่ขอทนอีกต่อไป ต่อให้นายชามาล์จะยิ่งใหญ่มาจากส่วนไหนของระบบสุริยจักรวาลก็ตาม เธอกับหมอนั่นจะต้องแหลกเละเทะกันไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น