7

ตอนที่ 6


เช้าวันใหม่ สิรดารู้สึกปลอดโปร่งหายใจได้คล่องขึ้น เมื่อลงมายังด้านล่างแล้วรู้จากนางเพตราว่าเจ้านายจอมบงการของตนออกไปทำงานตั้งแต่ช่วงเช้า และมีแนวโน้มว่าจะไม่กลับเข้ามาง่ายๆ ตลอดทั้งวัน ดังนั้นสิรดาจึงคิดว่าในวันนี้น่าจะเป็นวันธงชัยที่เธอควรรีบชิงลงมือดำเนินงานตามแผนการรู้เขารู้เราที่ตนเองได้วางไว้ 

            ในช่วงบ่ายของวัน หลังจากที่สิรดาหลอกล่อให้ชาจีฟนอนกลางวันได้สำเร็จ ก็หาโอกาสปลีกตัวแอบผลุบเข้าไปในห้องทำงานของชามาล์ และจัดการนำเครื่องมือเล็กจิ๋วตัวหนึ่งติดเข้าไปที่ตัวเครื่องโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน

            “เสร็จฉันแน่! นายชามาล์” น้ำเสียงมุ่งมั่นดังเย้ยเจ้าของห้องอย่างสะใจ

            จากนั้นสิรดาก็แอบหลบออกมาจากห้องทำงาน และเข้าไปทำแบบเดียวกันนี้อีกที่ห้องนอนของเจ้าของบ้าน จนเมื่อภารกิจที่ตั้งใจไว้สำเร็จเสร็จสิ้น สิรดาก็เอ่ยเสียงดังด้วยความลำพองใจ “ง่ายมากๆ คราวนี้นายชามาล์ต้องถูกฉันกระชากตับไตไส้พุงมาเจี๋ยนเล่นแน่ หึๆๆ”  

            หญองสาวรู้สึกครึ้มใจเป็นที่สุด เมื่อแผนการรู้เขารู้เราประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย เพราะต่อให้มีกล้องวงจรปิดอีกเป็นร้อยตัว เพียงแค่เธอยิงเจ้าแท่งเลเซอร์ที่ได้มาจากอาเหม็ดใส่กล้องเหล่านั้น การจับภาพก็จะสะดุดไปห้าวินาที เวลาเท่านี้ก็เหลือเฟือสำหรับนักวิ่งเช่นเธอ สิรดาหัวเราะหึๆ เย้ยคนที่จะโดนกระชากตับไตไส้พุงตบท้าย ก่อนจะเดินเชิดหน้าออกไปอย่างผู้ที่ได้กำชัยชนะไว้ในมือ        

            แสงอาทิตย์ลาลับจากขอบฟ้าไปอีกหนึ่งวัน สิรดาส่งเด็กชายเข้านอนไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จากนั้นก็กลับมายังห้องของตนเองที่ตึกด้านหลัง และตั้งหน้าตั้งตารอคอยการกลับมาของชามาล์ด้วยใจระทึก ด้วยหวังว่าในวันนี้ตนเองอาจได้รับข่าวคืบหน้าอะไรบ้างจากแผนการที่ได้ทำลงไปในวันนี้

            ตกดึก ลำแสงสีแดงที่สิรดาเฝ้ารอก็สว่างวาบ ซึ่งนั่นหมายถึงชามาล์ได้กลับมาถึงที่บ้านแล้ว และตอนนี้กำลังใช้โทรศัพท์พูดคุยกับใครสักคน สิรดารีบถลาไปยังเครื่องดักฟัง จัดการเสียบหูฟัง พร้อมกับกดสวิตซ์เดินเครื่องทันที

            “ราฟัซนายมีอะไร” เสียงชามาล์ดังขึ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

            “นายอารมณ์เสียเรื่องอะไร เด็กรับใช้ใหม่ก่อกวนอีกแล้วหรือ”

            สิรดาได้ยินเสียงปลายสายที่ชื่อราฟัซถามกลับ และคำถามนั้นส่งผลให้มุมปากของคนแอบฟังกระตุกแค้นๆ ที่ตนเองถูกลากเข้าไปเป็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งคู่

            “ฉันเพิ่งกลับมา ยังไม่เจอยายตัวแสบนั่น ป่านนี้คงพาชาจีฟเข้านอนไปแล้ว” ชามาล์ตอบเพื่อน

            “นายวางใจให้ยายตัวแสบดูแลชาจีฟหรือ แล้วชาจีฟยอมหรือ ไม่น่าเชื่อ”

            “ยอม ฉันเองก็นึกไม่ถึง ชาจีฟจะเป็นเอามาก ไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไรถึงทำให้ชาจีฟเชื่อฟังขนาดนั้น”

            “สวยหรือเปล่า” ราฟัซถามกลั้วหัวเราะ

            “ฮึ” สิรดาได้ยินเสียงฮึจากปากชามาล์ ก่อนจะตามมาด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วยิ่งแค้นสุดๆ “หน้าตาจืดชืดไร้สีสัน ฉันดูแล้วก็งั้นๆ แต่ยายนั่นคงคิดว่าตัวเองสวยมีเสน่ห์ เห็นชอบทำหน้าเชิด หยิ่งๆ กวนประสาท”

            สิรดาเบ้ปากด้วยความเจ็บใจ เออ เออ นินทากันเข้าไป

            “ตกลงเด็กรับใช้ของนายไม่มีอะไรดีบ้างเลยหรือ”

            “ขาสวย” คำตอบของชามาล์ ทำเอาสิรดาถึงกับกลอกตา หน้าหงิกงอ 

            “นายไปแอบเห็นได้ยังไง ถึงบอกว่าเจ้าหล่อนขาสวย” อีกฝ่ายแซ็วกลับ

            “ฉันไม่ได้แอบ แต่หล่อนมานำเสนอให้ดูเอง ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีดีแต่ขา เห็นแล้วค่อยพอดูได้หน่อย”

            บุคคลที่ถูกพาดพิงถึงมาตั้งแต่ต้นหายใจพรืดแรง ใบหน้าแดงก่ำ นายชามาล์มันจะมากไปแล้วนะ...โว้ย 

            “แล้วนายชอบหรือเปล่า ผู้หญิงขาสวย” คำถามจากคนที่ชื่อราฟัซส่งผลให้สิรดาตาโตหูผึ่งขึ้นมาทันที

            “ผู้หญิงอวดดีแบบนั้น คงหาผู้ชายมาชอบยาก”

            คำตอบที่สิรดาได้ยินทำเอาความจี๊ดพวยพุ่งจนต้องยกมือขึ้นมาชูกำปั้น แบบอยากฆ่าผู้ชายสองคนที่คุยกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยในเรื่องผู้หญิงกันเหลือเกิน

            “นายตอบไม่ตรงคำถามรู้มั้ย ชามาล์”

            สิรดาเงี่ยหูรอฟังสิ่งที่ชามาล์จะพูดตอบเพื่อน แต่ชามาล์กลับนิ่งไปและไม่ตอบ พร้อมกันนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไปถามถึงเรื่องของเพื่อนแทน “ว่าแต่นายเถอะ มีเรื่องอะไรถึงโทร. มา หรือว่ามีปัญหากับเลขาฯ ที่นายอุตส่าห์พาข้ามน้ำข้ามทะเลมา”

            “ไม่หรอก เลขาฯ คนนี้ของฉันเรียบร้อยน่ารัก ไม่มีปัญหาอะไร และตอนนี้ฉันก็เร่งทำคะแนนอยู่ คาดว่าอีกไม่นานก็คงเรียบร้อย”

            สิรดาส่ายหน้าเซ็งๆ ผู้ชายสองคนนี้พูดกันแต่เรื่องผู้หญิง ช่างเป็นเรื่องที่สร้างสรรจรรโลงโลกใบนี้แท้ๆ

            “ตกลงคนนี้เอาจริงแน่ใช่ไหม” ชามาล์ถาม

            “ใช่ เอาจริง”

            “แล้วถ้าเลขาฯ นายไม่เล่นด้วย นายจะทำยังไง” ชามาล์ยังคงถามต่อ

            “ทำทุกทางที่จะให้เขายอมรับ”

            “ฉันหวังว่านายคงไม่เล่นบทปล้ำเลขาฯ หรอกใช่ไหมราฟัซ” ชามาล์หัวเราะหึๆ ต่อท้าย “แต่ถ้าถามฉัน ฉันแนะนำว่าถ้ามีโอกาสก็จัดการไปซะจะได้สิ้นเรื่อง”

            สิรดากัดฟันกรอด ด่าชามาล์ในใจซะจนยับเยิน... ‘ใครจะบ้านิสัยเหมือนนายล่ะ นายชามาล์สุดยอดนักปล้ำมือวางอันดับหนึ่ง พ่อความคิดยอดแย่ เอะอะก็จับปล้ำ โธ่เอ๊ย! คนสิ้นคิด คิดได้แต่วิธีดึกดำบรรพ์ล้าหลัง เก่งแต่ใช้กำลังเข้าข่ม พวกคนสมองหงิกฝ่อ คิดต่อยอดไม่เป็น’

            “เฮ้ย ฉันไม่ใช่นายนะชามาล์ อย่าเอานิสัยของนายมาโยนให้ฉัน” ราฟัซรีบปฏิเสธ แม้จะรู้ว่าชามาล์พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง

            สิรดาพยักหน้างึกๆ เห็นด้วยกับคำพูดของราฟัซ คนนิสัยเสียๆ แบบนี้มีคนเดียวโลกก็ย่ำแย่จนเกินจะทนแล้ว

            “แล้วฉันก็ไม่เคยปล้ำใคร ยิ่งเฉพาะคุณเดือนคนนี้ ฉันจริงจัง”

            สิรดาเกือบจะชื่นชมเพื่อนของชามาล์อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ยินชื่อที่ทำให้ตนเองเบิกตาค้าง และเกือบที่จะหลุดสำลักออกมา

            “แล้วตกลงนายโทร. มาหาฉันทำไม” ชามาล์ถามเพื่อนรัก

            “ฉันได้ข่าวด่วนมา เลยอยากจะมาเตือนนายไว้ คนของชีคกาเบรียนมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ นายระวังตัวไว้ด้วยแล้วกัน ท่าทางทางนั้นจะรู้แล้วว่าของอยู่กับนาย”

            “ก็ดี ฉันเองก็อยากรู้ว่าชีคกาเบรียนจะแน่จริงหรือเปล่า เพราะถึงพวกเขาจะรู้ว่าของอยู่กับฉัน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าพวกเขาไม่มีปัญญานำมันกลับไปคืนได้” ชามาล์พูดเสียงเย้ย  

            สิรดาใจเต้นแรงอย่างตื่นเต้น นอกจากจะได้รับรู้เรื่องของน้องสาว เธอยังมีโอกาสได้รับรู้เรื่องสำคัญที่เธอเฝ้ารอคอยเข้าอีกเรื่องหนึ่งด้วย สิรดาเงี่ยหูตั้งใจฟังคำพูดของทั้งสองคนอย่างใจจดใจจ่อ ลุ้นให้ทั้งสองพูดกันถึงเรื่องของเยอะๆ

            “โอเค ราฟัซ ไว้คุยกันวันหลัง ขอบคุณที่โทร. มาเตือน” ชามาล์ตัดบท และวางสายไปในทันที

            สิรดาทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ ทีเรื่องผู้หญิง คุยกันได้ยาวยืดเป็นวา พอเป็นเรื่องการเรื่องงาน คุยกันสองประโยครีบตัดบทจบ เซ็งจริงๆ  สิรดาบ่นในใจอย่างรำคาญกับพฤติกรรมของชายโฉดสองคน ยิ่งพอนึกถึงว่ามีการเอ่ยพาดพิงไปถึงเลขาฯ ที่ชื่อเดือน เธอก็เดาได้ในทันที ว่าเลขาฯ เรียบร้อยน่ารักที่อุตส่าห์พาข้ามน้ำข้ามทะเลมา จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องสาวคนเดียวของเธอ และยิ่งเพื่อนของนายชามาล์คนนั้นชื่อราฟัซเหมือนเจ้านายของสิรริน ฉะนั้นสรุปฟันคอนายชามาล์ให้ขาดกระจุยสิบท่อนไปได้เลย นายราฟัซคนนี้เป็นคนคนเดียวกลับเจ้านายของน้องสาวเธอแน่

            และจากการประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่านายราฟัซเจ้านายหัวงูจงใจวางแผนหลอกล่อให้สิรรินมาทำงานที่อัลซาดาห์ สิรดาทำสีหน้าเจ็บแค้นใส่โทรศัพท์ ฝากความแค้นส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ มิน่า...สวัสดิการถึงได้ดียอดเยี่ยม บวกกับเงินเดือนที่แพงลิบ ที่แท้นายนั่นก็คิดไม่ซื่อกับสิรริน

            สิรดาคันไม้คันมือ อยากจะโทร. ไปเตือนน้องสาว แต่ติดที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาดึกพอสมควร แล้วเธอก็ไม่อยากให้สิรรินตื่นตกใจและต้องรับมือกับเจ้านายตามลำพัง ฉะนั้นเธอควรจะรอให้งานของเธอสำเร็จเรียบร้อยลงเสียก่อน จากนั้นค่อยกลับไปสะสางเรื่องนี้กันในภายหลัง

            ส่วนเรื่องงานที่เธอได้รับมอบหมายให้มาตามหาของสำคัญนั้น ค่อนข้างร้อยเปอร์เซ็นต์แน่แล้วที่ไพลินเม็ดนั้นอยู่กับชามาล์ ดังนั้นเธอต้องรีบหาวิธีเข้าไปค้นที่ห้องของชามาล์ให้เร็วที่สุดอีกครั้ง เพราะหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป ชามาล์ก็จะยิ่งไหวตัวทัน แล้วงานของเธอก็จะลำบากมากขึ้น

            สิรดาจัดการเก็บอุปกรณ์ต่างๆ กันคนอื่นเข้ามาเห็น ก่อนจะล้มตัวลงนอนพร้อมกับทอดถอนใจอย่างคิดหนัก การรับมือกับผู้ชายอย่างชามาล์ไม่ใช่เรื่องง่าย หมอนั่นทั้งเย่อหยิ่ง บ้าอำนาจ แถมยังทำตัวไม่เกรงกลัวใคร ขนาดเวลาเอ่ยถึงชีคกาเบรียน หมอนั่นยังพูดด้วยน้ำเสียงโอหังอวดดีไร้ความยำเกรง สิรดานึกถึงหน้าชามาล์แล้วหมั่นไส้ขึ้นมาอีกระลอก ผู้ชายแบบนี้ต้องโดนสั่งสอนสักครั้ง จะได้รู้สำนึกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า และเหนือนายชามาล์ยังมีนางสาวสิรดาอยู่ทั้งคน

            ก๊อก!ๆๆ เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้น

            หญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงภายในห้องขมวดคิ้ว เธอเดาได้ทันที เจ้าของเสียงเคาะประตูที่ดังอย่างไม่เกรงใจใครนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้ากรรมนายเวรเจ้าเก่าของเธอนั่นเอง

            “สิรดา! เปิดประตู อย่าชักช้า” ชามาล์เรียกเสียงดังอยู่หน้าประตูห้อง

            คนถูกเรียกถอนใจเฮือก มาไวจริงๆ เพิ่งวางโทรศัพท์แท้ๆ

            “ได้ยินแล้วน่า จะเรียกอะไรหนักหนา” สิรดาส่ายหน้าบ่นอุบอิบ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเซ็งๆ แล้วเดินไปเปิดประตู เพื่อเผชิญหน้ากับเจ้านายที่ตนเองแสนชังน้ำหน้า

            “ทำไมชักช้า ฉันเคาะประตูตั้งนาน” ชามาล์พูดเสียงห้วน

            “สามครั้งเนี่ยนะเคาะนาน” สิรดาตอบสวนกลับด้วยหน้าตาไม่เป็นมิตร เพราะยังเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายอยู่

            ชามาล์ออกอาการไม่พอใจ จ้องมองคนยอกย้อนเขม็ง “ทำไมยังมานอนที่ห้องนี้อีก รู้ไหมว่าเธอบกพร่องต่อหน้าที่ ทำไมไม่ไปนอนบนตึกใหญ่ เธอทิ้งชาจีฟ!”

            “นอนบนตึกใหญ่ บกพร่องต่อหน้าที่ ทิ้งชาจีฟ” สิรดาทวนคำพูดของชามาล์ด้วยความมึน “อะไรกันคุณ มาถึงก็ใส่ร้ายกันเฉยเลย”

            “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ใครบอกให้เธอกลับมานอนที่ห้องนี้” ชามาล์ถามเสียงห้วนดุดันอย่างคนหัวเสีย

            “ฉันเนี่ยแหละบอกตัวเอง ฉันเป็นคนรับใช้นะคุณ จะไปตีตนเสมอเจ้านายได้ยังไง คนรับใช้อย่างฉันสมควรอยู่ในที่ที่ควรอยู่ แล้วฉันก็ไม่คิดอาจเอื้อมขึ้นไปนอนบนตึกใหญ่ มันผิดหลักการคนใช้ เดี๋ยวฉันจะโดนกล่าวหาว่าอยากนำเสนอให้ดูเอง เข้าใจหรือเปล่า” สิรดาตอบฉุนๆ และแอบจิกกัดท้ายประโยคเล็กน้อย 

            ชามาล์ขมวดคิ้ว ออกคำสั่งเสียงเฉียบ “ไปเก็บของ ต่อไปนี้ไปนอนบนตึกใหญ่ แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมากล่าวหา เพราะถ้ามีฉันจะไล่มันออกเอง” 

            สิรดากลอกตา คนที่กล่าวหาฉัน ก็ยืนทนโท่หัวโด่อยู่ตรงหน้านี่ไง แล้วจะไล่ตัวเองออกไปไหน ดูเอาเถอะ หมอนี่พูดไปไม่ถึงสิบห้านาทีก็ลืมคำพูดของตัวเองไปหมด ช่างเป็นสุดยอดต้นแบบผู้ชายงี่เง่าขนานแท้จริงๆ

            “เธอจะยืนทำหน้างงไร้สติไม่รู้เรื่องอีกนานไหม ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากถึงขนาดมายืนรอเธอทั้งคืน ไปเก็บของ อย่าชักช้า ฉันรำคาญ” คนออกคำสั่งเอ่ยเร่งเสียงห้วน

            “ฉันไม่ไป” สิรดาปฏิเสธอย่างไม่ไยดี “ตอนนี้นอกเวลาทำงาน ถ้าคิดจะมาสั่ง นู่น...พรุ่งนี้”

            “สิรดา! มันจะมากไปแล้ว” ชามาล์พูดเสียงห้วนต่ำอย่างไม่พอใจ เมื่อโดนอีกฝ่ายปฏิเสธต่อหน้าต่อตา

            “ฉันเป็นคนยึดหลักการเป็นที่ตั้ง คุณควรจะภูมิใจมากกว่าที่มีคนรับใช้ซื่อตรงต่อหน้าที่มากขนาดนี้” สิรดาตอบแล้วยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากด้วยความสะใจ  

            “ได้ แม่จอมหลักการ” ชามาล์คำราม “แต่เสียใจ ยังไงวันนี้เธอก็ต้องขึ้นไปนอนบนตึกใหญ่”

            “ขอเหตุผลที่ควรค่าแก่การปฏิบัติตามคำสั่งนี้ให้ฉันสักข้อ ว่าทำไมฉันต้องขึ้นไปนอนบนตึกใหญ่ด้วย” สิรดาพยายามยื้อไว้อย่างที่สุด เพราะถ้าขืนเธอได้ไปนอนบนตึกใหญ่จริง การปฏิบัติภารกิจของเธออาจลำบากมากขึ้น บนตึกใหญ่เต็มไปด้วยระบบรักษาความปลอดภัย แล้วนายชามาล์นี่ต้องเป็นตัวมารตามมารังควานราวีเธออย่างไม่มีหยุดหย่อนแน่

            “เหตุผลที่ควรค่าที่เธอต้องปฏิบัติคือ...มันเป็นคำสั่งของฉัน และฉันไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่ง ที่สำคัญฉันไม่ได้ขอให้เธอตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะเธอไม่มีสิทธิ์ ทุกอย่างอยู่ที่ความต้องการของฉันคนเดียว” ชามาล์พูดเสียงห้วน อธิบายเหตุผลช้าๆ ชัดๆ ใส่หน้าหญิงสาว

            “นี่มันระบบเผด็จการชัดๆ ตกลงฉันไม่สามารถมีปากเสียงเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพการนอนได้เลยใช่ไหมเนี่ย” สิรดาคราง อายุผ่านมาจนบัดนี้ก็เพิ่งเคยพบเคยเจอ เธอนึกว่าจะมีคนแบบนี้อยู่เฉพาะในหนังสือนิยาย ไม่เคยคาดคิดเลยว่า เธอจะได้มาเจอสุดยอดคนจอมบงการตัวจริงตัวเป็นๆ เต็มสองลูกนัยน์ตาในวันนี้

            “ที่นี่บ้านของฉัน ฉันมีสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว” ชามาล์จ้องนิ่งไปยังคนที่ถูกสั่งให้ทำตามความต้องการของเจ้าของบ้าน

            “ได้” สิรดาฉีกยิ้มแข็งๆ ให้ชายหนุ่ม ก่อนจะคว้าบานประตู แล้วปิดประตูเสียงดังปั้งใส่หน้าชามาล์ทันที

            “สิรดา!” ชามาล์คำรามลั่นอยู่หน้าห้อง “เธอกล้ามาก!”

            “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ทันคุณ คิดจะมาเรียกฉันขึ้นไปนอนบนตึกดึกๆ ดื่นๆ หมายความว่าอะไร โธ่...หวังจะมาข่มเหงฉันละซี้” สิรดาตะโกนตอบ

            “คิดบ้าๆ ผู้หญิงอย่างเธอฉันไม่ลดตัวลงมาทำให้ตัวเองมัวหมองหรอก” ชามาล์ตะคอกกลับด้วยความหัวเสีย

            “ที่พูดออกมานั่นคิดแล้วใช่ไหม ถ้ายังไม่ได้คิดก็กลับไปคิดทบทวนพฤติกรรมของตัวเองดูก่อน ว่าที่ผ่านมาทำแบบไหนกับฉันมาบ้าง แล้วถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริง มาสั่งใหม่ในวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะถือว่า คุณกำลังคิดล่อลวงหวังจะทำมิดีมิร้ายกับฉัน” สิรดายกเหตุผลมาโต้ ท่าทางหมอนั่นไม่น่าไว้วางใจชัดๆ อยู่ๆ เกิดนึกพิศวาสเรียกให้เธอขึ้นไปนอนบนตึกใหญ่ แล้วเธอเองก็หน้าตาดีพอสมควร นายชามาล์นั่นอาจห้ามใจไม่ได้ เห็นเธอเป็นของตายคว้าได้ง่ายๆ จึงคิดจะรวบหัวรวบหาง แค่คิดสิรดาก็ขนลุกไปทั้งตัว จ้องประตูอย่างไม่ไว้วางใจ

            ชามาล์หายใจแรง โมโหผู้หญิงที่อยู่ในห้องอย่างที่สุด แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าข่มขู่ จึงเอ่ยอาฆาตด้วยเสียงห้วนดุดัน “สิรดา!...พรุ่งนี้เธอเจอดีแน่”

            “ได้ โอเค” สิรดาตะโกนตอบอย่างไม่ยี่หระ

            “สิรดา!” ชามาล์คำรามส่งท้าย แล้วผลุนผลันหันหลังเดินออกไปอย่างคนโมโหเดือด

            สิรดาค่อยหายใจได้ทั่วท้องขึ้นเมื่อรู้ว่าชามาล์เดินกลับไปแล้ว สงสัยเธอต้องรีบจัดการเช็กบิลภารกิจของเธอให้เร็วที่สุด หญิงสาวเดินกลับมาล้มตัวลงนอนพร้อมกับคิดหนัก ถ้าเธอต้องขึ้นไปนอนบนตึกใหญ่จริง เธออาจต้องปรับเปลี่ยนแผนเล็กน้อย และอาจต้องหาตัวช่วยมาปฏิบัติการร่วมกันในครั้งนี้

            หลังจากโดนปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างไร้เยื่อไย ชามาล์เดินกลับขึ้นไปบนตึกใหญ่อย่างคนหัวเสีย ตลอดทางที่เดินผ่าน เหล่าบรรดาคนรับใช้ที่ออกมามุงดูเหตุการณ์ต่างพากันหลบหน้าด้วยความหวาดกลัวว่าตนเองจะโดนหางเลขไปด้วย แต่พอครั้นลับร่างเจ้านาย ทุกคนต่างทยอยกันเดินออกมาพูดคุยและมองการกระทำของเจ้านายตนเองอย่างแปลกใจ ก่อนที่ทุกคนจะลงความเห็นว่ายกนี้ เจ้านายของตนเสียท่าให้เด็กรับใช้ที่มาใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

            ชามาล์เดินไปยังห้องนอนตนเองพร้อมกับเสียงสบถที่ยังดังต่อเนื่องมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ “สิรดาผู้หญิงบ้า พรุ่งนี้ฉันจะเฉือนเนื้อเธอออกมาเป็นชิ้นๆ / พรุ่งนี้ฉันจะฆ่าเธอ ยายสิรดาตัวแสบ / พรุ่งนี้เจอกัน สิรดา เธอไม่รอดเงื้อมือฉันแน่ / คอยดู...พรุ่งนี้อย่ามาร้องขอความเมตตาจากฉัน ต่อให้ขาสวยแค่ไหนก็หนีไม่พ้น”

            “ฮ้าดชิ้วๆๆ...” สิรดาจามเสียงดังสามครั้งติดกัน

            “สงสัยจะมีคนคิดถึง” คนที่เพิ่งจามเสร็จพึมพำเบาๆ “ขอเป็นหล่อๆ รวยๆ ใครก็ได้ ยกเว้นนายชามาล์หน้าเน่าค้างปีคนเดียวก็พอ”    

 

            อาทิตย์แห่งรุ่งอรุณเริ่มจับขอบฟ้าอีกครั้งอันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของวันใหม่ สิรดาตื่นมาตั้งแต่เช้า และจัดการเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวพร้อมย้ายเป็นอย่างดี และเมื่อได้เวลาที่เธอคิดว่าควรรีบชิงลงมือก่อน เธอก็หิ้วกระเป๋าสัมภาระเดินขึ้นไปบนตึกใหญ่ พร้อมทั้งเฝ้ารอคอยการลงมาของชามาล์ด้วยใจระทึก จนเมื่อเวลานั้นมาถึง สิรดาก็ฉีกยิ้มให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนด้วยท่าทางใสซื่อ

            ชามาล์มองสิรดาไม่วางตา เหลี่ยมจัดจริงๆ ผู้หญิงบ้าอะไร ไม่รู้หรือว่าตัวเองเป็นสาเหตุทำให้เขาคลั่งไปเกือบค่อนคืน และดูเหมือนเช้านี้เจ้าหล่อนจะทำเป็นลืมเลือน ไม่สะดุ้งสะเทือนกับการกระทำอันหาญกล้าเมื่อคืนสักเท่าไร ถึงได้มานั่งยิ้มเลื่อนลอยอย่างคนเสียสติให้ดูตั้งแต่เช้า

            “สิรดา...ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเมื่อคืนฉันบอกเธอไว้ว่ายังไง” ชามาล์ถามเสียงนิ่ง ส่งสายตาเฉือดเชือดมองมายังหญิงสาว

            “ไม่ลืมหรอกค่ะ คุณชามาล์” สิรดาตอบเสียงหวาน ใบหน้ายิ้มละไม

            ชามาล์จ้องมองสิรดาให้รู้สำนึก แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือรอยยิ้มแสนซื่อที่เจ้าตัวบรรจงปั้นแต่งมอบให้เขา “สิรดา ตอนนี้ได้เวลางานแล้วใช่ไหม”

            “ค่ะ” หญิงสาวยังฉีกยิ้มตอบ หวังทำดีให้เจ้านายตายใจ

            “ดี ถ้าอย่างนั้นตามฉันมา” ชามาล์สั่งเสียงเฉียบ แววตาฉายชัดว่าถึงเวลาเจอดีตามที่ตนเองได้ประกาศชัดเจนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

            “เอ่อ คุณชามาล์ไม่ไปทำงานหรือคะ” สิรดาถามอย่างคนที่แสดงเจตจำนงแสนดี แต่ในใจเริ่มหวาดๆ กับท่าทางของอีกฝ่าย ที่ดูแล้วเหมือนจะยังไม่หายอารมณ์เสียจากเรื่องเมื่อคืนนี้

            “ช้านิดหน่อยจะเป็นไรไป ในเมื่อฉันมีธุระที่สำคัญมากต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรก” น้ำเสียงเย็นเฉียบตอกย้ำความคิดของสิรดาว่าชามาล์ไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

            “แหม ฉันเห็นคุณงานเยอะ ก็เลยเป็นห่วง กลัวงานของคุณจะเสียหาย” สิรดาทำเสียงเป็นห่วงเป็นใยออกนอกหน้า

            “งานของฉันมันไม่น่าห่วงเท่าไรหรอกสิรดา มีบางอย่างบางคนน่าเป็นห่วงกว่านั้น” ชามาล์ปรายสายตาดุดันมองคู่สนทนา

            “บางอย่างบางคนนั้น สำคัญกว่างานอีกหรือคะ” สิรดาทำเป็นถามเสียงซื่อ ตั้งใจจะกดดันชามาล์ที่เห็นเรื่องไร้สาระระหว่างเธอกับเขาสำคัญกว่างาน

            ชามาล์จ้องหน้าคนย้อน พร้อมตอบเสียงเหี้ยม “เรื่องบางอย่างแม้มันไม่สำคัญ แต่ถ้าได้ลงมือทำก่อนมันได้ความสะใจ แล้วเธอชอบหรือเปล่าความสะใจ”

            “ไม่ชอบค่ะ” สิรดาตอบอย่างรวดเร็ว รีบเมินหลบสายตา เพราะรู้ดีว่าชามาล์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

            “แต่ฉันชอบมาก” ชามาล์พูดเสียงนิ่ง แววตาจ้องเขม็งไปยังหน้าของคนที่ไม่ชอบความสะใจ

            “เอ่อ คุณชามาล์ทานอาหารเช้าก่อนดีมั้ยคะ” สิรดารีบถามชี้นำ เผื่อความอิ่มท้องจะทำให้คนบางคนลืมเลือนอะไรไปได้บ้าง

            ชามาล์ส่ายหน้าช้าๆ แววตายังจ้องเขม็งมองสิรดาอยู่เหมือนเดิม

            “ทานสักหน่อยเถอะค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะไปเตรียมอาหารเช้าให้นะคะ” ไม่ต้องรอให้จบประโยคดี สิรดาก็รีบหันหลังทำท่าจะเดินหนี

            “สิรดา...” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นเรียกรั้งไว้ก่อน     

            “ขา...” สิรดาลากเสียงหวานขานตอบ กล้ำกลืนความเลี่ยนชวนคลื่นไส้ไว้ในใจ และหันกลับมาฉีกยิ้มให้ชามาล์เสมือนประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “ตามฉันมา” ชามาล์สั่งเสียงห้วน

            “ไม่ทานอาหารเช้าก่อนหรือคะ” สิรดายังคงรบเร้าไม่ยอมแพ้

            “ไม่!” ชามาล์ตอบสั้นๆ และใช้สายตาคมดุจ้องให้สิรดาเลิกทำตัวถ่วงเวลาได้แล้ว

            “ได้ค่ะ” สิรดาบ่นงึมงำต่อ “อุตส่าห์เป็นห่วงกลัวจะหิว แล้วนี่น่ะหรือ ผลตอบแทนที่ได้จากความหวังดีเป็นห่วงเป็นใย ช้ำใจจริงๆ”

            “เธอหรือห่วงใยฉัน” ชามาล์ถามเหยียดๆ อย่างไม่เชื่อ

            “ก็ใช่น่ะสิคะ คุณเป็นเจ้านายฉัน เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยไป ฉันจะไปรับเงินเดือนจากใครล่ะคะ”

            “ที่แท้ก็กลัวไม่ได้เงิน ฉันเองก็เกือบลืมไป เธอมันชอบเงิน...” ชามาล์พูดไปแล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นสีหน้าของสิรดาเจื่อนลงไปอย่างที่ไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากสิรดา

            “คุณพูดถูก ฉันชอบเงิน ชอบมากๆ ด้วย” ปลายหางเสียงคนพูดสั่นเล็กน้อย “ฉันมันเป็นคนยากจน มีแต่เงินเท่านั้นที่คนจนๆ อย่างฉันต้องการ” สีหน้าคนพูดแลดูเจ็บปวด

            “สิรดา...” ชามาล์อึ้ง

            “ตกลงจะให้ฉันตามไปไหน ไปเถอะค่ะ ฉันพร้อมแล้ว” สิรดาพยายามปรับน้ำเสียงให้ดูจริงจัง แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็ยังสั่นไหว และนั่นยิ่งทำเอาชามาล์พูดไม่ออก

            “เธอไปเอาอาหารเช้ามาให้ฉันแล้วกัน” ชามาล์พูดเสียงเรียบ

            สิรดาเงยหน้าขึ้นมาสบตา “ไม่พาฉันไปคุยแล้วหรือคะ”

            “ช่างเถอะ เอาไว้ค่อยพูดกันวันหลัง ตอนนี้เธอไปจัดอาหารเช้ามาให้ฉันก่อน เสร็จแล้วเธอก็ไปดูแลชาจีฟ”

            “ค่ะ คุณชามาล์” สิรดาพยักหน้าขรึมๆ รับคำสั่ง แต่ครั้นพอหันหลัง มุมปากกลับยกขึ้นคล้ายกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

            ชามาล์มองตามหลังสิรดาด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจตัวเอง แค่เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว ทำไมเขาถึงใจอ่อนลง ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ คนใจอ่อนโดยไม่รู้สาเหตุส่ายหน้าถอนใจเบาๆ และไม่คิดที่จะค้นหาคำตอบให้แก่ใจตนเอง

            หลังจากเดินออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของสิรดาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งสีหน้าแววตาที่สะท้อนความสะใจในแบบที่เจ้านายจอมบงการไม่มีทางได้เห็น

            ...เสร็จฉันคนซื่อบื่อ สิรดาคิดอย่างครึ้มใจสุดๆ คนอย่างสิรดาเนี่ยนะ จะอายเศร้าสลดที่เป็นเด็กกำพร้ายากจน ฝันไปเถอะ เรื่องจริงแค่นี้ไม่ทำให้คนอย่างสิรดาสะเทือนใจได้หรอก หึๆๆ พ่อคนอ่อนไหว น้ำใจงดงาม จิตใจสูงส่งเหนือฟ้า อยู่ๆ เกิดนึกอยากมีความเมตตาค้ำจุนชาวโลกขึ้นมาซะงั้น และแล้วงานนี้ฉันก็รอดตัวไปได้อีกหน...

            “พี่ดาว มายืนยิ้มแฉ่งอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงเล็กๆ ดังลั่นอยู่ตรงหน้าสิรดา

            สิรดาอ้าปากค้าง หน้าตาเลิ่กลั่กกับคำทักทายของชาจีฟ เพราะรู้ดีว่าคนที่อยู่ในห้องต้องได้ยินอย่างแน่นอน

            “ชาจีฟ ไปกันเถอะ เร็วๆ เข้า” พูดจบสิรดาก็ฉุดมือเด็กชาย กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

            และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่สิรดาคาดการณ์ไว้ ชามาล์ได้ยินคำพูดของลูกชายชัดเจนไม่มีตกหล่น เสียงกัดฟันกรอดๆ ดังขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถดังลั่นห้อง เมื่อรู้ว่าตนเองหลงกลมารยาหมื่นเล่มเกวียนของสิรดาเข้าให้แล้ว

            “สิรดา! ผู้หญิงบ้า ผู้หญิงเจ้าเล่ห์...”  

            สิรดาที่พยายามเดินหนีรีบยกมือขึ้นมาปิดหูเด็กชาย “เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ควรฟังคำสบถหยาบคาย”

            เด็กชายพยักหน้าหงึกๆ “พ่อน่ะทำประจำเลยเวลาโมโห เราได้ยินจนชินแล้ว”

            สิรดาหันหลังกลับไปมองค้อนคนที่ทำตัวอย่างนิสัยไม่ดีให้เด็กเห็น “ชาจีฟก็อย่าทำตามล่ะ สุภาพบุรุษควรให้เกียรติสุภาพสตรี จะมาสบถด่าป่าวๆ ต่อหน้าไม่ได้ แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำตัวน่าโมโหแค่ไหนก็ตาม ต้องอดทนไว้ เข้าใจหรือเปล่าชาจีฟ”

            “แล้วพี่ดาวทำไมไม่ไปบอกผู้หญิงที่ทำตัวน่าโมโหด้วยล่ะ ว่าอย่ามายั่วโมโห เพราะถ้าผู้หญิงไม่ยั่ว ผู้ชายก็ไม่โมโหหรอก” เด็กชายถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย

            สิรดากลอกตา สงสัยชาจีฟคงซึมซับนิสัยจากพ่อมาพอสมควร ดังนั้นเธอควรจะใช้เวลาที่อยู่ที่นี่ล้างสมองเด็กชายเสียใหม่ โตขึ้นไปจะได้ไม่เป็นชามาล์เบอร์สอง

            “ที่ผู้หญิงเขายั่ว เขาก็แค่อยากให้ผู้ชายฝึกความอดทน และความอดทนก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของชายที่เพียบพร้อม ชาจีฟอยากเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมหรือเปล่าล่ะ”

            “บางทีก็อยาก บางทีก็ไม่อยาก” เด็กชายตอบแบบกั๊กเอาไว้ เพราะยังไม่ค่อยแน่ใจตัวเองนัก

            “อ้าวทำไมล่ะ ผู้ชายแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นกันได้ง่ายๆ นะ ขนาดพ่อของชาจีฟยังเป็นไม่ได้เลย” สิรดาพยายามโน้มน้าวใจ

            “อืม...” ชาจีฟทำหน้าขบคิดหนัก “แต่บางทีเราก็ไม่อยากอดทน ผู้หญิงบางคนกวนโมโหจะตาย”

             “ชาจีฟเคยโดนผู้หญิงกวนโมโหด้วยหรือ” สิรดาถาม นึกสงสัยว่าตัวแค่เนี้ย ไปโดนผู้หญิงกวนโมโหตอนไหนกัน

            “เคยซิ” เด็กชายเบ้ปาก “ผู้หญิงปากแดง พูดเสียงง๊องแง๊ง ชอบมาคลอเคลียอ้อนพ่อของเรา เราละเบื่อที่สุด เห็นแล้วโมโห”

            สิรดาพยักหน้าเข้าใจ ที่แท้ชาจีฟก็เป็นโรคหวงพ่อ

            “แล้วมีเยอะมั้ย ผู้หญิงปากแดง พูดเสียงง๊องแง๊ง” สิรดาแอบหลอกถาม 

            “เยอะมาก...” เด็กชายลากเสียงตอบ “เปลี่ยนไม่ซ้ำหน้าด้วย พ่อเราน่ะหน้าตาหล่อ ผู้หญิงที่ไหนก็ชอบทั้งนั้นแหละ”

            สิรดาเหลือบมองหน้าชาจีฟนิดหนึ่ง พร้อมกับพูดขัดขึ้น “ไม่ละมั้ง มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้”

            “จริงเร้อ...” เสียงชาจีฟลากยาวเหมือนไม่ค่อยเชื่อ

            “จริงสิ พ่อของชาจีฟน่ะ โหดกับพี่ดาวจะตาย”

            “สงสัยพ่อเขาคงอยากให้พี่ดาวฝึกความอดทนละมั้ง บางทีพ่ออาจอยากให้พี่ดาวเป็นผู้หญิงเพียบพร้อม จะได้มาดองกับพ่อได้ยังไงล่ะ” เด็กชายยิ้มอย่างมีเลศนัยกับข้อสันนิษฐานของตนเอง

            “เฮ้ย! ไม่ดอง ไม่เอา แยกกันอยู่ห่างๆ ดีแล้ว” สิรดาส่ายหน้าตอกย้ำว่าอย่าได้คิดแบบนั้นเด็ดขาด

            “ว้า...” ชาจีฟร้องอย่างเสียดาย “ไม่เอาพ่อก็ได้ แต่มีอีกคนหนึ่งน่าสนด้วยนะ”

            สิรดาหรี่ตา ท่าทางชาจีฟนี่โตขึ้นไปจะไม่เบาเหมือนกัน

            “หล่อน้อยกว่าพ่อของเรานิดหนึ่ง แต่นิสัยดีมากๆ ใจดีที่สุด ที่สำคัญยังไม่ได้แต่งงาน แล้วผู้หญิงก็ไม่เยอะเท่าพ่อของเราด้วย” เด็กชายยังคงสาธยายคุณสมบัติของใครสักคนที่สิรดาฟังแล้วน่าจะโม้เสียมากกว่า

            “แล้วเขาเป็นอะไรกับชาจีฟหรือ” สิรดาถาม

            “เป็นเพื่อนสนิทของพ่อเราเอง สนิทมากๆ”

            สิรดาเอะใจว่าอาจเป็นใครบางคนที่เธอรู้จัก จึงหลอกถามต่อ “ชื่ออะไรหรือ พี่ดาวรู้จักหรือเปล่า”

            “ชื่ออาราฟัซ พี่ดาวคงไม่รู้จักหรอก แต่ไม่เป็นไร เราจะแนะนำให้” เด็กชายยิ้มกริ่ม มองสิรดาแปลกๆ คล้ายๆ ชอบใจที่เห็นสิรดาทำท่าสนใจ

            คนหลอกถามแทบตบเข่าฉาดใหญ่ เพราะนึกไว้แล้วว่าต้องเป็นนายราฟัซเจ้านายหัวถั่วงอกของน้องสาวตนเอง และด้วยความอยากรู้ตื้นลึกหนาบาง สิรดาจึงทำท่าสนใจพร้อมทั้งล้วงความลับเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อราฟัซให้ได้มากที่สุด

            “แล้วเขาโสดหรือเปล่า พี่ดาวไม่ชอบคนมีแฟนแล้วนะ มันผิดกฎเหล็กที่พี่ดาวตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีแฟนแล้ว”

            ชาจีฟทำท่าลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “ก็ไม่เชิงว่ามีแล้ว พ่อบอกว่า ตอนนี้อาราฟัซไปติดผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เราไม่ชอบผู้หญิงคนนั้น ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เราว่าพี่ดาวดีกว่าตั้งเยอะ”

            สิรดากลืนน้ำลาย หรือว่าหญิงสาวที่ไม่น่าไว้ใจคนนั้นจะเป็นสิรริน “แล้วทำไมชาจีฟถึงไม่ชอบล่ะ ผู้หญิงที่อาราฟัซของชาจีฟชอบอาจเป็นคนดีก็ได้ เรายังไม่รู้จักเขาสักหน่อย”

            เมื่อเห็นว่าอาจจะเป็นน้องสาวตนเอง สิรดาจึงต้องรีบแก้ต่างเพราะไม่อยากให้เด็กชายไม่ชอบสิรริน

            ชาจีฟทำหน้ามุ่ย “ก็ถ้าพี่ดาวชอบพ่อของเราซะ เราคงไม่คิดหาคนที่เราชอบมาเผื่อสำรองไว้หรอก แล้วเราก็อาจจะยอมรับผู้หญิงคนนั้นได้”

            สิรดามุมปากกระตุก ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ ที่เด็กชายมีการจัดอันดับผู้ชายให้มาต่อคิวสำรองให้เธอได้คัดเลือก “ตกลงว่าพี่ต้องชอบพ่อของเรา เราถึงจะชอบผู้หญิงคนนั้น?”

            ชาจีฟพยักหน้าแรงๆ รับ “เรามาคิดๆ ดูแล้ว นอกจากพี่ดาวก็คงไม่มีใครที่เหมาะสมกับพ่อของเราอีก ความเก่งก็สูสี หน้าตาก็กินกันไม่ลง”

            สิรดาแอบยิ้มกับคำว่าหน้าตากินกันไม่ลง เพราะนั่นแสดงว่าในสายตาของเด็กชาย เธอหน้าตาดีมาก “แล้วเราไม่หวงพ่อของเรากับพี่ดาวหรือ”

            “ไม่หรอก วันหนึ่งพ่อเราก็ต้องแต่งงาน ตอนนี้ที่เราหวงเป็นพี่ดาวมากกว่า” เด็กชายยิ้มหวานแปลกๆ ให้สิรดา “นะ ตกลงกับพ่อเราเถอะ เราไม่อยากมีแม่ใหม่เป็นผู้หญิงปากแดงๆ เสียงง๊องแง๊ง ไร้สมอง ดีแต่แต่งตัวหวังจะมายั่วพ่อเรา ผู้หญิงพวกนั้นสู้พี่ดาวไม่ได้สักคน พี่ดาวพูดเสียงดังฟังชัด ปากก็ไม่แดง สมองก็เยอะ แล้วก็ไม่เคยมาคลอเคลียอ้อนพ่อเรา”

            “ไม่เด็ดขาด” สิรดาส่ายหัวอย่างไม่มีทาง ขืนให้เธอตกลง ชีวิตนี้เธอคงไม่แคล้วถูกกดขี่ไปจนวันตาย

            “โธ่...” เด็กชายออดอ้อน “พ่อเราหล่อมากนะ แถมยังไม่ได้แต่งงาน พี่ดาวไม่คิดจะสนใจหน่อยเหรอ ถ้าพี่ดาวตกลงโอเค เรื่องผู้หญิงคนอื่นๆ ปล่อยให้เราจัดการเอง เรารับรองได้เรื่องนี้”

            “ถึงพ่อของชาจีฟจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไม่มีแฟน” สิรดาค้านขึ้น

            “ฟงแฟนที่ไหน พ่อเรายังไม่มี” ชาจีฟรีบปฏิเสธแทนพ่อของตัวเองอย่างรวดเร็ว

            “อย่าดีกว่า พี่ดาวเคยเห็น” สิรดาทำเสียงขนลุก “ซี๊ดซาดอย่าบอกใคร”

            ชาจีฟเบิกตาโต ถามด้วยเสียงอยากรู้อยากเห็น “เล่าให้เราฟังหน่อยสิ ว่าซี๊ดซาดแบบไหน”

            “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่ารู้ดีกว่า เดี๋ยวจะเสียคนตั้งแต่เด็ก แต่พี่ดาวบอกได้เพียงคำเดียว...ยิ่งกว่าแฟน” สิรดาเน้นย้ำประโยคหลัง เพราะสิ่งที่ตนเองเห็นมาน่าจะเป็นมากกว่านั้นด้วยซ้ำ

            “แต่พ่อไม่เคยบอกเราว่ามีแฟนแล้ว ผู้หญิงพวกนั้นแค่ผ่านไปผ่านมา” เด็กชายหยิบยกคำที่พ่อเคยบอกมาบอกสิรดาต่อ

            หญิงสาวกลอกตาขึ้นฟ้า พ่ออะไรวะเนี่ย ปลูกฝังความคิดแต่ละอย่างให้ลูก มันช่างน่าโดนนัก สิรดาหมั่นไส้ความคิดไม่เข้าท่าของชามาล์ จึงเริ่มสั่งสอนเด็กชายก่อนที่จะกู่ไม่กลับไปมากกว่านี้

            “ชาจีฟ ผู้หญิงไม่ใช่แค่ทางผ่าน ถ้าไม่คิดจริงจังก็อย่าไปให้ความหวังหรือล่อลวง ลูกผู้ชายที่แท้จริงต้องรู้จักให้เกียรติผู้หญิง อย่ามามั่วๆ แป๊บๆ เหมือนใครบางคนไม่ได้”

            “ใครบางคนที่เธอพูดหมายถึงใคร” เสียงห้วนๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังของสิรดา

            “พ่อครับ มาพอดีเลย เราสองคนกำลังพูดถึงพ่ออยู่พอดี” ชาจีฟวิ่งเข้าไปหาบิดา

            ชามาล์จูงมือลูกชายวัยห้าขวบ แต่สายตาจ้องเขม็งมายังผู้หญิงเจ้ามารยาที่ทำให้เขาหัวเสียตั้งแต่เช้า

            “ฉันถามเธอว่าใครบางคนที่เธอพูดหมายถึงใคร” ชามาล์ถามคำถามเดิม

            สิรดาอึกอัก เรื่องเก่าเธอก็เพิ่งรอดตัวมา ยังหายใจไม่ทันได้ทั่วท้องดีด้วยซ้ำ ก็ต้องมาเจอกับเรื่องใหม่อีกแล้ว เวรกรรมของเธอจริงๆ นายชามาล์นี่ก็เดินตามมาเกาะติดได้ทุกสถานการณ์ หาเรื่องเธอได้ตลอดเวลา เซ็งสุดๆ 

            “ชาจีฟรู้ว่าพี่ดาวหมายถึงใคร” เด็กชายยิ้มกว้างก่อนอวดพ่อเสียงดัง “ก็พ่อนั่นแหละ ที่ชอบทางผ่าน มั่วๆ แป๊บๆ”

            “เหอๆๆ” สิรดาได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ หลังจากได้ยินคำตอบของเด็กชาย จากนั้นจึงฉีกยิ้มฝืดๆ ส่งให้กับสองพ่อลูก ก่อนจะพูดเสียงกระท่อนกระแท่น “พะ...พูดอะไรอย่างนั้น ชาจีฟ”

            “สิรดา! เธอนี่มัน” เสียงกัดฟันดังลอดลำคอหนา

            สิรดารู้ตัวว่าเธอควรจะรีบไปจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด “ชาจีฟอยู่กับคุณพ่อไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ดาวจะไปเอาอาหารเช้ามาให้ หิวไม่ใช่หรือ รอพี่ดาวเดี๋ยวเดียว” พูดจบสิรดาก็หมุนตัวจากไปอย่างไม่ลังเลให้เสียเวลา เพราะถ้าเธอยังยืนเสนอหน้าต่อ เธอรู้ดี จุดจบของเธอในเช้าวันนี้ต้องจบลงอย่างสยดสยอง ไม่มีทางสวยงามอย่างแน่นอน

            “พี่ดาว เราไม่ได้บอกว่าหิว” เด็กชายพูดไล่หลัง แต่สิรดาทำเป็นไม่ได้ยิน เดินลิ่วๆ จ้ำไปข้างหน้า ไม่หันกลับมามองแต่อย่างใด

            ชามาล์มองตามหลังสิรดาอย่างขุ่นมัว อีกครั้งแล้วที่เขาโดนผู้หญิงคนนี้ก่อกวนอารมณ์ทำให้โมโห ยิ่งพอนึกว่าเจ้าหล่อนปฏิเสธชาจีฟในเรื่องของเขา ชามาล์ก็ยิ่งเดือดจัด เพราะไม่เคยเลยสักครั้งที่คนอย่างชามาล์ อัลบารอม จะโดนผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลยปฏิเสธตรงๆ อย่างไม่ไยดี ซึ่งการกระทำแบบนี้มันเปรียบประดุจการหยามศักดิ์ศรีความเป็นชายของเขาอย่างร้ายกาจ

            “พ่อครับ คิดอะไรอยู่” ชาจีฟเงยหน้าขึ้นมาถามบิดาที่นิ่งเงียบไป

            “พ่อตกลง” ชามาล์พูดเสียงเย็น แววตาจ้องนิ่งไปยังเบื้องหน้า ที่ที่สิรดาเดินหลบออกไป

            เด็กชายทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าพ่อของตนพูดถึงอะไร “พ่อตกลงอะไรครับ”

            “ตอนนี้ชาจีฟอยากได้อะไร พ่อก็ตกลงตามนั้น”

            แววตาชาจีฟเปล่งประกายขึ้นทันที ริมฝีปากเล็กๆ คลี่ยิ้มกว้าง และถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “จริงเหรอครับพ่อ อย่าหลอกกันนะ”

            “จริง” ผู้เป็นพ่อยืนยันหนักแน่น

            “แม่” เด็กชายลองเรียกดูอย่างดีใจ “สงสัยชาจีฟต้องฝึกพูดบ่อยๆ แล้วจะได้ชินปาก”

            “ยังก่อนชาจีฟ เรื่องนี้ยังเป็นความลับของเราสองคน ห้ามให้พี่ดาวรู้ตัวก่อนเด็ดขาด ไว้พ่อจัดการกับพี่ดาวเรียบร้อยเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นพี่ดาวของลูกต้องเลิกปฏิเสธอย่างแน่นอน” ชามาล์บอกกับลูกชายตนเองด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก็ในเมื่อสิรดาอยากท้าทายเขาดีนัก เขาจึงต้องสั่งสอนให้หล่อนได้รู้สำนึกว่าอย่าคิดลองดีกับผู้ชายที่ชื่อชามาล์ อัลบารอม เพราะผลลัพธ์ที่ได้มันเหนือความคาดหมายมากมายนัก 

            “ครับๆ” ชาจีฟรับคำแข็งขัน “ดีจัง ครั้งนี้ชาจีฟเชียร์พ่อเต็มที่ อีกไม่นานพี่ดาวต้องเสร็จพ่อแน่ๆ” แววตาเด็กชายเต็มไปด้วยความดีใจ

            ชามาล์ยิ้มมุมปาก สายตาคมดุวาววับคล้ายพึงพอใจ อีกไม่นานเกินรอแม่คนอวดเก่งเหลี่ยมจัด ต้องถูกเขาจัดการ และเมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าหล่อนจะต้องกลับคำพูด จากที่เคยปฏิเสธเสียงแข็งต้องเปลี่ยนกลับมาเป็นออดอ้อนออเซาะร้องขอความสนใจจากเขา  ชามาล์ยิ้มเหี้ยม นึกถึงภาพที่สิรดาเข้ามาคลอเคลียฉอเลาะเอาอกเอาใจ มันช่างเป็นภาพที่เย้ายวนใจอย่างมากที่สุด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น