ช่วงสายของวันต่อมา
สิรดาเหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง จุดหมายหลักคือกล่องวงจรไฟฟ้าภายในห้องควบคุม ศูนย์รวมของระบบรักษาความปลอดภัยภายในตัวตึกอัลบารอม สิรดาหยุดรอจังหวะชั่วครู่ เมื่อคิดว่าปลอดคนแน่นอนแล้วจึงจัดการเปลี่ยนสายสัญญาณบางอย่างอย่างคนชำนาญการ และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย ก็ถอยฉากหลบออกมาอย่างรวดเร็ว
“มันเยี่ยมยอดมาก...”
คนดีใจเดินผิวปากมาตามทางด้วยท่าทางครึ้มอกครึ้มใจ ภารกิจหลักของเธอในวันนี้สำเร็จลุล่วงลงอย่างสวยงาม จากนี้ไปกล้องวงจรปิดก็ไม่เป็นปัญหาทำให้เธอต้องวิ่งหลบหลีกอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างมันช่างราบรื่นเข้าทางเสียเหลือเกิน สิรดายิ้มกว้างอย่างคนอารมณ์ดี ลางดีๆ แบบนี้แสดงให้เห็นว่า ในไม่ช้าเธอก็จะปิดบัญชีงานนี้ได้อย่างแน่นอน และเมื่อเธอหลุดจากการเป็นคนรับใช้ได้เมื่อไหร่ นายชามาล์นั่นจะมาชี้นิ้วบงการ สั่งให้เธอทำนู่นนั่นนี่อีกไม่ได้โดยเด็ดขาด
จากนั้นสิรดาก็กลับไปอยู่กับชาจีฟ และพยายามหลอกล่อเด็กชายให้นอนกลางวัน เพื่อที่จะหาโอกาสกลับเข้าไปค้นห้องของชามาล์อย่างเต็มที่อีกสักครั้ง
“ชาจีฟ เมื่อไหร่จะนอนสักทีเนี่ย เด็กๆ ต้องนอนกลางวันรู้มั้ย จะได้โตเร็วๆ”
“แต่ชาจีฟยังไม่ง่วง” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงใสแจ๋ว ไม่มีวี่แววว่าจะง่วงนอนแต่อย่างใด
สิรดาชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัวเองของเด็กชายที่เปลี่ยนจากการแทนตัวว่า ‘เรา’ มาเป็นชื่อตนเอง
“โธ่ ถ้าชาจีฟไม่นอน พี่ดาวก็แย่น่ะสิ” สิรดาพึมพำเบาๆ ดูท่าแล้วคงไม่ยอมนอนง่ายๆ แน่ และถ้าชาจีฟไม่หลับ เธอก็คงปลีกตัวออกไปลำบาก ขนาดแค่เธอหายไปไม่นาน เด็กชายยังถามและตามหากันให้วุ่น ฉะนั้นลืมไปได้เลยว่าเธอจะได้เข้าไปในห้องของชามาล์ ถ้าชาจีฟยังคึกคักอยู่อย่างนี้
ตลอดบ่ายชาจีฟก็ยังคงเริงร่า เสมือนว่ามีเหตุให้ดีใจมากมายจนทำให้ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน บางครั้งก็มองสิรดาแล้วยิ้มแปลกๆ จนสิรดาชักเริ่มเอะใจ คิดว่าน่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ลึกลับไม่ชอบมาพากล และเป็นต้นเหตุทำให้ชาจีฟไม่คิดจะนอน
“ชาจีฟ พี่ดาวถามจริงๆ เถอะ มีอะไรหรือเปล่า มองพี่ดาวแล้วยิ้มมาทั้งวันแล้วนะ” สิรดาทนความสงสัยไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามขึ้น
“เปล่า” เด็กชายตอบเสียงสูง ซ้ำยังฉีกยิ้มกว้างยืนยันว่าไม่มีอะไร
“จริงเร้อ หน้าตาแบบนี้อย่ามาปิดพี่ดาวดีกว่า รู้มั้ยพี่ดาวฉลาดมาก ดูนิดเดียวก็รู้ว่าชาจีฟต้องมีอะไรแน่ๆ”
เด็กชายหัวเราะ “มันเป็นเรื่องของผู้ชายๆ ชาจีฟรู้กับพ่อแค่สองคน พี่ดาวอย่ารู้เลย เดี๋ยวจะตกใจ”
สิรดาหรี่ตามอง ท่าทางแบบนี้ การพูดแบบนี้ มันต้องเกี่ยวกับตัวเธอแน่นอน “พี่ดาวไม่ตกใจอะไรง่ายๆ หรอกน่า แล้วถ้าให้พี่ดาวเดา เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับพี่ดาวแน่นอน ใช่มั้ย”
ชาจีฟตาโตนิดหนึ่ง ก่อนจะสงวนท่าทีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นั่นไงล่ะ ใช่จริงๆ ด้วย” สิรดาเริ่มขุดหลุมพราง หลอกล่อให้คายความลับ
“ไม่ใช่สักกะหน่อย” เด็กชายตอบงึมงำ
“โธ่...อย่าดีกว่า ชาจีฟมีความลับกับพ่อสองคน พี่ดาวเองก็มีความลับเหมือนกัน ชาจีฟอยากรู้ความลับของพี่ดาวหรือเปล่าล่ะ ความลับของพี่ดาวไม่มีใครรู้ด้วยนะ แม้แต่พ่อของชาจีฟก็ไม่รู้”
นัยน์ตากลมโตของเด็กชายตัวเล็กเปล่งประกายความอยากรู้ขึ้นมาทันที สิรดาจึงแกล้งกระแอมสองสามครั้ง ก่อนจะพูดล่อให้ชาจีฟเกิดความอยากรู้มากยิ่งขึ้น “มันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ของพี่ดาว ที่ไม่มีใครล่วงรู้”
“บอกชาจีฟหน่อยสิ ความลับที่ยิ่งใหญ่คืออะไร” เด็กชายสะกิดถาม
“เอาอย่างนี้มั้ยละ พี่ดาวบอกของพี่ดาว ชาจีฟบอกของชาจีฟ แลกกันแบบนี้ยุติธรรมดีไหม” สิรดานำเสนอข้อแลกเปลี่ยน
ชาจีฟหยุดคิดนิดหนึ่ง แม้จะตกลงกับพ่อว่าจะไม่บอกความลับลูกผู้ชายกับใคร แต่ความลับของสิรดานั้นเร้าใจให้อยากรู้มากกว่า จึงพยักหน้าตอบตกลง “ได้ แลกกัน”
สิรดาอมยิ้ม “พี่ดาวยอมบอกก่อนแล้วกัน คืออย่างนี้นะ” เธอหยุดพูดมองซ้ายมองขวา เพื่อให้ดูตื่นเต้นสมกับเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ “พี่ดาวมีคนที่หน้าตาเหมือนกับพี่ดาวด้วยละ”
“จริงเหรอ” เด็กชายทำหน้าแปลกใจ ตื่นเต้นไปกับความลับของสิรดา
“จริง เหมือนกันทุกอย่างเลย เป็นน้องสาวฝาแฝด” สิรดาทำหน้าจริงจัง ก้มลงไปพูดเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“เหรอ พามาให้ชาจีฟดูหน่อยสิ ว่าจะเหมือนกันจริงหรือเปล่า”
“ได้ แต่เราต้องไม่ให้ใครรู้ แม้แต่พ่อของชาจีฟก็รู้ไม่ได้ โอเคหรือเปล่า ถ้าชาจีฟโอเค พี่ดาวจะให้คนที่หน้าตาเหมือนพี่ดาวราวกับเป็นคนคนเดียวกันมาอยู่ที่นี่สักวันสองวัน ดีมั้ย” สิรดาคิดแผนการใหม่ขึ้นมาในใจทันที ถ้าสิรรินมาจริง เธอจะให้สิรรินอยู่กับชาจีฟแทนเธอ แล้วเธอจะได้มีเวลาไปค้นหาเม็ดไพลินได้สะดวกยิ่งขึ้น
“ได้ๆ พามาเลย รับรองชาจีฟไม่บอกพ่อเด็ดขาด ว่าพี่ดาวมีฝาแฝด และพาฝาแฝดมาอยู่ในบ้านของเรา”
“ดี งั้นตกลงตามนี้ เราสองคนมาจับมือเกี่ยวก้อยสัญญากันก่อน” สิรดายื่นนิ้วก้อยให้ชาจีฟ ชาจีฟก็ยื่นนิ้วก้อยมาเกี่ยว ทำเป็นสัญญาข้อตกลงระหว่างกันและกัน “เราเกี่ยวก้อยกันแล้วนะ ฉะนั้นห้ามชาจีฟเอาความลับของพี่ดาวไปบอกใครเด็ดขาด”
“แน่นอนอยู่แล้ว” เด็กชายรับคำแข็งขัน
“เอาละ ถึงตาความลับของชาจีฟแล้ว” สิรดาถาม ตั้งใจรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“คือว่า” เด็กชายมองซ้ายมองขวาบ้าง ก่อนจะยืดตัวไปกระซิบข้างใบหูของสิรดา “พ่อบอกว่าตกลง”
“ตกลงอะไรหรือ” สิรดาถามงงๆ
เด็กชายมองซ้ายมองขวาอีกที “จัดการกับพี่ดาว”
สิรดาใจหล่นวูบ ถามกลับเสียงแหบ ด้วยไม่รู้ว่านายชามาล์นั่นจะจัดการอะไรกับเธอ “จะ...จัดการพี่ดาว แบบไหนหรือ”
“เราไม่รู้ พ่อไม่ได้บอก” เด็กชายตอบ
หลังจากฟังคำตอบของชาจีฟ สิรดาก็พูดงึมงำ คิ้วขมวดคล้ายคนคิดหนัก “แย่แล้ว ต้องแย่แน่เลย”
ชาจีฟแอบหันหน้าไปยิ้มไม่ให้สิรดาเห็น บอกพี่ดาวแค่นิดเดียวคงไม่ถือว่าผิดสัญญา เพราะดูแล้วพี่ดาวก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าพ่อจะจัดการพี่ดาวแบบไหน เด็กชายลอบอมยิ้มเจ้าเล่ห์ เรื่องผู้หญิงพ่อเก่งอยู่แล้ว ยังไงซะพี่ดาวก็ไม่มีทางหนีมือใหญ่ๆ ของพ่อพ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นถ้าพี่ดาวจะรู้ตัวก่อนนิดๆ หน่อยๆ ก็คงไม่มีปัญหา...แววตาชาจีฟแวววาวยามมองสิรดา อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น
เด็กชายยังคงเริงร่าดีใจไม่ยอมนอนจนถึงช่วงเย็น สิรดารอจนกระทั่งอีกฝ่ายเพลียจัดและหลับลงไปในที่สุด แล้วจึงแอบออกไปจากห้อง เพื่อเข้าไปค้นหาไพลินที่ห้องนอนของชามาล์
ช่วงเวลาที่เดินมาตามทางเดิน สิรดากดอุปกรณ์เครื่องจิ๋วที่พกเตรียมไว้จัดการกับกล้องวงจรปิดให้จับภาพแช่นิ่งเอาไว้ ก่อนจะเดินผ่านไปด้วยท่วงท่าสง่างาม และเมื่อเข้ามาในห้องของชามาล์แล้ว สิรดาก็เปิดฉากบ่นว่าเจ้าของห้องก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยเพราะทนเก็บกดมานานเกือบครึ่งค่อนวัน
“หน็อย นายชามาล์คิดจะมาจัดการคนอย่างสิรดา ละเมอไปเถอะ ฉันไม่อ่อนขนาดนั้นหรอกย่ะ เฮอะ รู้จักสิรดาคนนี้น้อยไปซะแล้ว ฉันเนี่ยแหละจะสั่งสอนนายให้หลาบจำ จนต้องร้องไห้โฮอายตัวเอง ที่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งสั่งสอน”
สิรดาพูดพร้อมกับหยิบถุงมือขึ้นมาสวม ป้องกันการตรวจสอบหารอยนิ้วมือในภายหลัง
“ทำเป็นอวดเก่งคิดจะจัดการฉัน หน้าตาสิ้นคิดอย่างคนไร้วิจารณญาณแบบนั้นจะมีน้ำยาเร้อ” พูดจบก็เดินไปที่เตียงนอน และจ้องมองด้วยแววตาแค้นๆ เหมือนอยากจะส่งความแค้นนี้ฝากไปให้เจ้าของเตียง
“เรื่องผู้หญิงละเจนจัดนัก คงมีผู้หญิงมานอนด้วยบ่อยสิท่า” สิรดาค้อนขวับใส่เตียงใหญ่ “สาธุ ขอให้นายชามาล์ อัลบารอม ต้องนอนหงอยเหงาเหี่ยวแห้งอยู่บนเตียงยักษ์ตามลำพัง จะได้รู้ซะบ้างว่ารวยไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้ายังมีนิสัยบ้าอำนาจ จองหอง ชอบสั่งชอบข่มขู่แบบนี้”
สิรดามองเตียงอย่างแค้นๆ ส่งท้ายอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มหันไปรื้อค้นตามจุดต่างๆ ไล่ตั้งแต่ตู้ไปจนถึงลิ้นชักทั้งหมดภายในห้อง และเนื่องจากครั้งนี้สิรดาคิดว่าตนเองมีเวลามากพอ จึงใจเย็นค้นหาทุกซอกทุกมุมอย่างละเอียด
ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง จู่ๆ ก็มีเสียงลูกบิดดังคลิ๊กที่ประตู ทำเอาสิรดาใจหายวาบเนื้อตัวเย็นเฉียบ ต้องรีบกระโจนเข้าไปในตู้เสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด และหดตัวให้ลีบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้อง...
‘จะบ้าตาย รีบกลับมาทำไมเนี่ย’ สิรดาหน้าหงิก มองลอดบานประตูตู้เสื้อผ้าที่ตนเองเปิดแง้มไว้
ชามาล์เดินมากลางห้อง สองมือเริ่มแกะกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด...
ดวงตาของสิรดาเบิกค้างจ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าตาแทบไม่กะพริบ เมื่อเสื้อสูทชิ้นที่หนึ่งถูกโยนทิ้งลงกลางพื้นห้อง
‘เฮ้ย! อย่า!...อย่าถอด’ สิรดาตะโกนห้ามในใจเสียงดังลั่น เมื่อเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวถูกโยนทิ้งอีกหนึ่งตัว และนั่นทำให้ท่อนบนที่เปล่าเปลือยของคู่แค้นดูโดดเด่น จนคนที่อยู่ในตู้ถึงกับปากสั่น ก่อนมันจะสั่นหนักยิ่งขึ้น เมื่อชายหนุ่มที่อยู่กลางห้องเริ่มจับเข็มขัด และถอดทิ้งเป็นลำดับต่อมา
‘ฉะ ฉันจะเป็นลม’ สิรดาหายใจยาวๆ เพื่อสูดเอาลมเข้าปอดให้ได้มากที่สุด แต่สายตากลับจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าอย่างที่ไม่พลาดไปแม้แต่วินาทีเดียว
‘โอ๊ย!...ฉันเป็นตากุ้งยิงแน่’ สิรดาตะโกนร้องเสียงหลงในใจ กับภาพกางเกงที่กำลังจะหลุดออกจากเอวของชามาล์
กริ๊งๆๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชามาล์ละมือจากการปลดกางเกงออกเพื่อกดรับโทรศัพท์
สิรดาถอนใจเฮือกเหมือนคนที่เพิ่งหลุดพ้นจากความหายนะ และพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่ชามาล์พูด เพราะถ้าโชคดี อาจจะมีข้อมูลใหม่ที่เธอกำลังอยากรู้ก็เป็นได้
“ว่าไง” ชามาล์พูดขึ้น
“คุณชามาล์ครับ คุณชาจีฟนอนหลับ แล้วคุณสิรดาก็ไม่ได้อยู่ในห้องครับ ถามใครก็ไม่มีใครเห็นว่าไปไหนครับ” ซาอิมรายงานผ่านโทรศัพท์
“อืม ไม่เป็นไร” ชามาล์พูดเสียงนิ่ง กวาดสายตาเร็วๆ มองไปทั่วทั้งห้อง
“ครับ” ซาอิมรับคำ จากนั้นจึงตัดสาย แต่เจ้านายที่ปลายสายกลับพูดต่ออยู่คนเดียวด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาจริง”
สิรดาขมวดคิ้ว มองชามาล์ลอดผ่านบานประตูตู้แล้วทำหน้าคิดหนัก หมอนั่นกำลังจะเอาจริงกับใคร ถึงทำท่าจริงจังขนาดนั้น
“คนนี้แน่นอน ฉันต้องสั่งสอนให้หล่อนรู้ว่าใครเป็นใคร รู้จักการเชื่อฟัง สงบเสงี่ยม และรู้ว่าควรทำตัวให้อยู่ในโอวาท ที่สำคัญการมีผู้หญิงมานอนให้เตียงอุ่นขึ้น มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก” ชามาล์พูดกลั้วหัวเราะในประโยคหลังๆ
“โอเค นายไม่ต้องเป็นห่วง ก็แค่ผู้หญิงอวดเก่งคนหนึ่ง ฉันจะจัดการเมื่อไหร่ก็ได้ นายอย่าลืมตอนนี้เจ้าหล่อนอยู่ในอัลบารอม และอัลบารอมก็เป็นถิ่นของฉัน หล่อนหนีไม่พ้นแน่นอน เอาเป็นว่าถ้าฉันจัดการเจ้าหล่อนให้เป็นลูกแมวตัวน้อยคลอเคลียได้เมื่อไหร่ ฉันจะพาลูกแมวไปอวดนาย”
ชามาล์กดตัดสายด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งเหมือนคนกำชัยชนะไว้ในมือ ผิดกับสิรดาที่หูอื้อ กัดฟันกรอดๆ มองเขม่นชายหนุ่มด้วยแววตาแค้นๆ ‘นายชามาล์ ผู้ชายบ้า มันจะมากไปแล้ว คิดขนาดจะทำให้ฉันเป็นลูกแมวตัวน้อยตามคลอเคลียทำให้เตียงอุ่น ฝันไปเลย ผู้ชายงี่เง่า อวดดี หัวสูง นิสัยแย่...’
สิรดาเดือดจัด ก่นด่าชามาล์ในใจรัวเป็นชุด รวมถึงปลายสายที่เธอเดาว่าต้องเป็นเพื่อนรักของชามาล์ที่โดนหางเลขเข้าไปด้วย ‘นายราฟัซด้วยอีกคน คู่หูตัวดี คุยกันทีไรหนีไม่พ้นเรื่องผู้หญิง มิน่าถึงเข้าขากันนัก ก็บ้าผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่...’
หลังจากกดตัดสาย ชามาล์ก็เริ่มปลดกางเกงขายาวลง
สิรดาทำหน้าเย้ยหยันกับภาพเบื้องหน้า ‘ทุเรศ ผู้ชายทุเรศ ดูเอา แก้ผ้าไม่อายฟ้าดิน ห้องน้ำก็มี โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะหล่อเท่มากมายขนาดไหน ฮึ ทำเป็นแมนว่าหล่อเต็มร้อย พอไม่มีเสื้อผ้า ดูได้ที่ไหน หุ่นยังกับจิ้งเหลนเขย่าขา ยังไม่เจียมตัวอีก’
‘อ้าว เอาเข้าไป จะแก้ผ้าโทงๆ ก็เชิญ คงไม่มีอะไรอุจาดและก๋องแก๋งมากไปกว่านี้อีกแล้ว’
หญิงสาวเบ้ปากกับภาพที่ชามาล์กำลังจะปลดกางเกงชั้นใน ถ้าเป็นเมื่อสักครู่เธออาจจะตื่นเต้นตกใจ แต่มาบัดนี้ ต่อให้ชามาล์มาแก้ผ้าบิดไปบิดมา เธอก็ได้แต่มองอย่างปลงสังเวช เพราะภาพที่เห็นไม่ได้เร้าอารมณ์เธอแต่อย่างใด ด้วยในตอนนี้มันมีแต่ความโมโหเดือดที่ยังคุกรุ่นอยู่ในใจอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ก่อนที่สิรดาจะได้สังเวชกับภาพเบื้องหน้าไปมากกว่านี้ ชามาล์ก็คว้าผ้าขนหนูมาพันรอบเอว แล้วเดินไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ติดมุมห้อง ก่อนจะเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบกล่องหลากสีต่างๆ ขึ้นมาพลิกดู
สิรดาดวงตาวาววับหลังจากมองการกระทำของชามาล์ เพราะเธอรู้ดีว่าในลิ้นชักนั้นมีอะไรอยู่บ้าง ‘หน็อย...นายชามาล์ กล้าดียังไงถึงได้หยิบอุปกรณ์มาเตรียมพร้อมขนาดนี้ คนบ้ากาม หยิบมาเลือกสีเลยหรือเนี่ย จิตวิตถารจริงๆ วันๆ คิดแต่เรื่องอย่างว่า’
ชามาล์หยิบกล่องที่มีทั้งหมดในลิ้นชักขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
สิรดาหน้าบูดบึ้ง ด่าสนั่นในใจ ‘อันเดียวไม่พอใช่มั้ย ถึงขนาดหอบเอาขึ้นมาเลือกแบบนี้ พ่อคนมักมาก วิปริต คิดเบิลหลายครั้ง’
ชามาล์มองกล่องที่วางกองๆ อยู่บนโต๊ะชั่วครู่ จากนั้นจึงก้มลงอีกครั้งพร้อมกับสอดมือเข้าไปข้างในลิ้นชัก และนั่นทำให้สิรดาเบิกตาโตอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นมุมโต๊ะด้านหนึ่งเผยช่องลับเล็กๆ ที่เธอไม่สามารถค้นหาเจอได้ด้วยตนเองแน่นอน เพราะช่องลับนั้นทำได้อย่างกลมกลืนกับโต๊ะจนสิรดามองผ่านเลยไป
ชามาล์หยิบกล่องเล็กๆ ขึ้นมา แล้วเปิดฝาออกดูของที่อยู่ด้านใน สิรดาเห็นแสงวิบวับสีน้ำเงินวาว ซึ่งมันตอกย้ำความมั่นใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าสิ่งที่เห็น น่าจะใช่เม็ดไพลินที่เธอตามหาแน่แล้ว
แววตาสิรดาเต็มไปด้วยความดีใจปนความสมหวังกับการปฏิบัติภารกิจ เธอเจอเม็ดไพลินแล้ว และเธอจะนำมันกลับคืนไปให้ชาวอัลบาเรียในไม่ช้านี้แน่นอน สิรดามัวแต่หัวใจพองโตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับความสำเร็จแค่เอื้อมของตนเอง และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เบิกตาแข็งค้าง หน้าแดงแปร๊ดกับภาพตัวเปล่าเปลือยของคู่แค้นที่เดินลับหายเข้าไปในห้องน้ำ
“แค็กๆๆ” สิรดาสำลักเบาๆ หัวหูแดงก่ำ
“อี๋ อี๋ สยอง หลอน ทนดูไม่ได้แล้ว” พูดพลางรีบกระวีกระวาดออกจากตู้ เผ่นแน่บออกไปจากห้องอย่างไม่คิดชีวิต
ลับร่างสิรดา ชามาล์เปิดประตูห้องน้ำออกมามองประตูห้องที่เพิ่งปิดลงด้วยดวงตาคมกริบ มุมปากชายหนุ่มยกขึ้นคล้ายสะใจ มีหลายเรื่องที่เจ้าหล่อนยังไม่รู้ และหนึ่งในนั้นคือเขารู้แล้วว่าหล่อนเป็นใคร เข้ามาในอัลบารอมเพราะสาเหตุอะไร แมวน้อย...ถ้าคิดจะมาตบตาคนอย่างชามาล์ต้องแน่จริงกว่านี้
แววตาชามาล์พราวระยับเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เจ้าหล่อนโดนสั่งสอนแค่นี้ยังน้อยไป บทเรียนของเธอกับเขามันเพิ่งเริ่มต้น แล้วอย่าใจแตกไปเสียก่อนนะทูนหัว เพราะฉันยังต้องเปิดโลกกว้างพร้อมกับสาธิตให้เธอได้รู้จัก...ของจริงอีกหลายอย่าง
ส่วนคนที่กำลังจะโดนสาธิตของจริงโกยอ้าวอย่างรวดเร็วกลับเข้ามาในห้องที่ชาจีฟนอนหลับอยู่ สิรดาใจเต้นแรงแทบจะกระดอนออกมาจากอก ภาพที่เห็นติดตาทำเอาปากของสิรดาสั่นหงึกๆ พูดเสียงแหบพร่า “น่า...น่าเกลียด ขยะ...ขยะแขยง ต้องไปล้างตา เอาความเสื่อมออกจากชีวิตโดยเร็วที่สุด”
พูดจบหญิงสาวก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำแล้ววักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา ถูๆ ขัดๆ หวังจะลบภาพทรงจำแย่ๆ ออกไปจากหัว
“โอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย ทำไมของจริงมันทุเรศคมชัดอย่างนี้”
สิรดาร้องขึ้นอย่างสิ้นหวัง ภาพติดเรตเอกซ์วายแซดของชามาล์ยังคงตอกย้ำวนไปเวียนมาอยู่ในความคิด จนถึงกับจิตตกต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ เพราะไม่รู้ว่าภาพเหล่านี้จะตามไปหลอกหลอนเธออีกนานแค่ไหน สักพักสิรดาจึงเดินคอตกออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางหมดเรี่ยวหมดแรง และไม่ลืมที่จะฝากคำเตือนไปให้คนที่ทำให้เธอต้องมาทุกข์ทนอยู่แบบนี้
‘ชามาล์นายแน่มาก แต่จำไว้ให้ดี อย่าให้ได้เห็นอีกครั้ง แม่จะเอาให้ด้วนกระจุย จะได้ไม่ต้องตามมาหลอกหลอนกันอีก’
คืนนั้นสิรดานอนลืมตาโพลง เกิดอาการกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมานั่งกลางดึก ระดมทุบหมอนปั้กๆ ระบายความคั่งแค้นอย่างโกรธๆ
รุ่งเช้าสิรดาเดินเข้ามาหาชาจีฟด้วยท่าทางสะโหลสะเหลเหมือนคนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน เด็กชายมองหน้าสิรดา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “พี่ดาวทำไมโทรมจัง ไปทำอะไรมาเหรอ”
“เมื่อคืนพี่ดาวนอนไม่หลับ” สิรดาตอบเสียงเพลีย
“มีเรื่องอะไรเหรอ เป็นความลับอีกหรือเปล่า” ชาจีฟชะโงกหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ อย่างอยากรู้
สิรดาส่ายหน้า แววตาโรยๆ “พี่ดาวไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นมา แต่ชาจีฟอย่าถามเลยว่าอะไร เพราะชาจีฟเห็นทุกวันอยู่แล้ว”
เด็กชายพยายามขบคิดหาคำตอบเหมือนข้อความที่สิรดาบอกนั้นเป็นปมปริศนา “ชาจีฟเห็นทุกวัน แต่พี่ดาวไม่เคยเห็น”
“อย่าคิดมากเลยชาจีฟ ไปทานอาหารเช้ากันเถอะ” พูดจบสิรดาก็เดินจูงมือชาจีฟพาลงไปยังชั้นล่าง
สิรดาชะงักเมื่อเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้วพบว่าคนที่เป็นต้นเหตุของการนอนไม่หลับนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารก่อนแล้ว
“พ่อครับ” ชาจีฟปล่อยมือสิรดาวิ่งเข้าไปหาพ่อ “ทำไมวันนี้พ่อยังไม่ไปทำงานอีก”
“วันนี้พ่อไปสายได้ ไม่มีธุระด่วนอะไร” ชามาล์ตอบลูกชาย แต่สายตาชำเลืองมองหญิงสาวที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ไม่ไกลนัก
สิรดาทำท่าจะหันหลังกลับและเดินออกไป ทิ้งสองพ่อลูกให้อยู่กันตามลำพัง
ชามาล์ที่จับตามองอยู่ตลอดเวลาจึงพูดขัดขึ้น “สิรดา จะไปไหน”
“ฉันคิดว่า ฉันไม่ควรรบกวนเวลาของคุณสองคนพ่อลูกค่ะ” สิรดาเอ่ยตอบเสียงขรึม
“สงสัยพี่ดาวคงง่วงมั้งครับพ่อ เมื่อคืนพี่ดาวนอนไม่หลับ” เด็กชายบอกบิดาเสียงแจ้ว
“แล้วทำไมพี่ดาวของลูกถึงนอนไม่หลับล่ะ” ชามาล์ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่แววตากลับพราวระยับสมน้ำหน้าคนนอนไม่หลับ
“ชาจีฟ พี่ดาวว่า...” สิรดาพยายามห้ามไม่ให้ชาจีฟพูด แต่ดูเหมือนชาจีฟจะไม่สนใจ กลับหันไปตอบพ่อเสียงดัง ซ้ำยังถามคำถามปริศนาให้พ่อของตนเองช่วยเฉลยให้ด้วย
“ก็ไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่สิ่งนั้นชาจีฟเห็นทุกวัน พ่อว่ามันเป็นอะไรครับ พี่ดาวทิ้งปริศนาไว้ให้ชาจีฟเอามาขบคิดเอง”
สิรดาใบหน้าเห่อแดง ปากเม้มหุบแน่น ดวงตาหลุบต่ำไม่กล้ามองหน้าชามาล์ตรงๆ โชคยังดีที่ชามาล์ไม่มีทางรู้แน่นอนว่ามันคืออะไร คนตั้งปัญหาปริศนาคิดอย่างโล่งอก เพราะถ้าเขารู้ เธอคงต้องเอาหน้าไปมุดกระบะทรายหนีแน่นอน
“อืม...พ่อว่า น่าจะเป็นอะไรที่ใกล้ตัวมากๆ และเราสองคนพ่อลูกเห็นอยู่ทุกวัน” ชามาล์พูดเสียงทุ้มนุ่ม ซ้ำยังจงใจใช้น้ำเสียงเซ็กซี่
สิรดารู้สึกน้ำเสียงชามาล์ขัดๆ หูจึงเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะรีบหลบวูบกลับไปหลบสายตาแบบเก่า
แววตาของชามาล์ขบขันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของสิรดา การที่เจ้าหล่อนโดนแค่นี้มันยังน้อยไป หล่อนควรได้รับบทเรียนที่เข้มข้นใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกันยิ่งกว่านี้ จะได้สมกับความหาญกล้าที่คิดมาลูบคมคนอย่างชามาล์ อัลบารอม
ริมฝีปากชามาล์เหยียดยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อนึกถึงข่าวด่วนที่ได้รับจากคนของเขาในวันที่ผ่านมา สิรดาเป็นคนของอาเหม็ด และถูกว่าจ้างจากอาเหม็ดให้เข้ามาที่อัลบารอมเพื่อตามหาเม็ดไพลิน คนของเขาบอกว่าหล่อนเป็นคนไทย เดินทางมารัฐอัลซาดาห์กับน้องสาวฝาแฝด ซึ่งข่าวที่เพิ่งรับรู้นั้น ไม่ทำให้เขาแปลกใจมากสักเท่าไร เพราะเขาเองก็นึกอยู่แล้วว่าสิรดาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา หล่อนมีดีเกินกว่าจะมาสมัครเป็นคนรับใช้หรือพี่เลี้ยงเด็ก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจและไม่คาดคิดกลับเป็นข่าวที่เกี่ยวกับน้องสาวของเจ้าหล่อน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่เพื่อนรักของเขาสนใจ ซึ่งเขาแน่ใจได้เลยว่าราฟัซคงยังไม่รู้เรื่องว่าพี่สาวตัวดีของผู้หญิงคนนั้นกำลังมาก่อเรื่องที่นี่
และในเมื่อเจ้าหล่อนอยากได้เม็ดไพลินคืนนักหนา เขาก็จะคืนให้ แต่เจ้าหล่อนควรจะรับรู้ว่าของทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรได้ไปง่ายๆ มันต้องเอามาแลกเปลี่ยนกัน ดังนั้นเพื่อความสมน้ำสมเนื้อ เม็ดไพลินแลกกับสิรดาก็เหมาะสมเข้าท่าดี ชามาล์อมยิ้มกับภาพสิรดาถูกมัดนำมาแลกกับเม็ดไพลิน มันช่างเป็นภาพที่น่าบันเทิงเริงใจและยั่วยวนอารมณ์เอามากๆ
“พ่อ ทำไมยิ้มแปลกๆ” เด็กชายถามพ่อของตนเอง
สิรดาเองก็ลอบมองชามาล์อยู่ และยังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายท่าจะเพี้ยน เพราะอยู่ๆ ก็เห็นเขาทำท่าเคลิ้มๆ ยิ้มๆ ดูแล้วเหมือนคนบ้าไม่มีผิด
“พ่อกำลังคิดอะไรบางอย่าง” ชามาล์ตอบบุตรชายเสียงเรียบนิ่ง
“คิดอะไรอยู่เหรอครับ บอกชาจีฟได้หรือเปล่า” เด็กชายถามด้วยความอยากรู้เหมือนเช่นเคย
ชามาล์ส่ายหน้า “บอกไม่ได้ ชาจีฟยังเด็ก เรื่องพวกนี้ต้องรอให้โตเสียก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็บอกพี่ดาวได้สิครับ พี่ดาวโตแล้ว” เด็กชายเอ่ยอย่างมีความหวัง เพราะถ้าสิรดารู้ ตนเองก็อาจจะได้รู้ด้วย
“พ่อไม่ต้องบอก อีกไม่นานพี่ดาวก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง” น้ำเสียงจากคำตอบของชามาล์ที่โยงมาหาสิรดาเย็นยะเยือก จนสิรดาชักเริ่มหนาวๆ อย่างไม่มีสาเหตุ
“เธออยากจะรู้เร็วหรือรู้ช้าล่ะ สิรดา” ชามาล์หันไปถามสิรดา แววตาคมเข้มจ้องเขม็งมองคนที่ถูกถาม
“เอ่อ ฉันไม่อยากรู้หรอกค่ะ เรื่องของเจ้านาย คนใช้อย่างฉันไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย” สิรดารีบตอบ เธอไม่บ้าอยากรู้เรื่องอะไรของหมอนี่หรอก รู้เห็นแค่นี้ก็จะบ้าตายแล้ว มันเกินพอแล้ว
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนรับใช้สิ สิรดา...” ชามาล์ยังคงใช้เสียงเย็นข่มประสาทสิรดาต่อ “ให้คิดซะว่ามาทำงานอย่างอื่นดีไหม”
“เอ่อ ฉันเป็นคนรับใช้ดีกว่า ความรู้ฉันเองก็น้อยนิด เป็นคนรับใช้น่ะเหมาะสมดีแล้ว” สิรดาออกตัวกันไว้ และสงสัยว่าที่ชามาล์พูดแบบนี้คงอยากตอกย้ำให้เธอเจียมตัวให้ดี อย่าคิดตีตนเสมอเจ้านาย เฮอะ...พ่อคนหัวสูง เย่อหยิ่งจองหอง ฉันออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ จะส่งเมลกลับมาด่าให้เสียผู้เสียคน จะร่ายยาวถึงความงี่เง่าให้ได้รู้ว่านิสัยแบบนี้มีคนเดียวโลกก็วิบัติได้
“เธอไม่เหมาะเป็นคนรับใช้หรอกสิรดา คนอย่างเธอดูดีมากกว่านั้นมากนัก” ชามาล์ยังคงพูดเสียงเย็นคล้ายว่าเจ้าตัวพูดด้วยเจตนาดี ไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝง
แต่คนอย่างสิรดาไม่มีทางหลงเชื่อเด็ดขาด เพราะคำพูดกับแววตามันสวนทางกันโดยสิ้นเชิง แววตาของหมอนั่นที่สิรดาเห็น มันส่อชัดว่าพูดเพื่อล่อลวงให้เธอตายใจ แล้วคนอย่างชามาล์ไม่มีทางเสียหรอกที่จะคิดดีๆ เป็นเหมือนคนอื่น ผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์ขนาดไหน เธอเนี่ยแหละรู้ดีที่สุด สิรดาจึงเงียบไม่โต้ตอบ เพื่อรอดูทีท่าของอีกฝ่ายว่าจะมาไม้ไหนกันแน่
ชามาล์เห็นสิรดาเงียบไปจึงหันไปสนใจชาจีฟ เด็กชายอ้อนพ่อขนานใหญ่ อยากขอตามไปที่ทำงานด้วย จังหวะนั้นชามาล์ชำเลืองมองสีหน้าของสิรดา เมื่อเห็นแววลิงโลดในดวงตากลมโต เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าถ้าชาจีฟตามไปที่ทำงานของเขา วันนี้เจ้าหล่อนจะต้องเข้าไปเอาเม็ดไพลิน แล้วรีบบินปร๋อหนีไปอย่างแน่นอน ความคิดที่ว่าสิรดาหนีไป ทำให้ชามาล์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ได้ วันนี้พ่ออนุญาต” ชามาล์หันไปบอกบุตรชาย
“เย้ๆๆ” ชาจีฟร้องเย้อย่างดีใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้ไปที่ทำงานของบิดา
และคนที่ดีใจอีกคนก็ร้องเย้เสียงดังในใจไม่แพ้กัน ฟ้ากำลังจะเปิดทางให้เธอแล้ว เหอๆๆ สิรดากลั้นความดีใจเอาไว้ไม่มิด และเผลออมยิ้มออกมาให้ชามาล์เห็น
“เธอตามไปด้วยนะสิรดา จะได้ช่วยดูชาจีฟด้วย” คำสั่งเนิบนาบทำให้รอยยิ้มของสิรดาหยุดชะงักและค้างเก้ออย่างรวดเร็ว
“ฉันต้องไปด้วยหรือคะ คนตั้งเยอะ...” สิรดาแย้ง แต่โดนสายตาคมดุตวัดมองเป็นเชิงเตือน จนต้องรีบหุบปาก กลับไปสงบเสงี่ยมยอมไปด้วยแต่โดยดีอย่างไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ
“ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็ไปเตรียมตัว” ชามาล์พูดขึ้น ไม่มีอะไรจะมีความสุขมากไปกว่าการที่รู้ว่าสิรดาจะต้องไม่พอใจที่เขาพาหล่อนติดไปด้วย
“ค่ะ” สิรดาตอบเสียงอ่อย รู้สึกเสียดายโอกาสอันดีแบบนี้มากๆ ยิ่งตอนนี้เธอรู้ที่ซ่อนของเม็ดไพลินด้วยแล้ว ขอแค่เธอเข้าไปในห้องนอนของชามาล์ได้อีกแค่หนเดียว งานของเธอก็จะสำเร็จลุล่วง หญิงสาวแอบถอนใจเบาๆ อย่างเซ็งๆ การต้องเจอหน้าชามาล์ทั้งวันแบบนี้ โลกที่ว่ากลมก็คงบิดเบี้ยวหม่นหมองน่าดู
แล้วโลกเบี้ยวๆ หม่นหมองของสิรดาก็เป็นจริงตามที่คิดไว้ แค่เธอก้าวขาลงจากรถยนต์คันหรูตามหลังสองคนพ่อลูก สายตานับสิบๆ คู่ที่อยู่บริเวณหน้าตึกต่างก็จ้องมองมาที่เธออย่างสงสัยใคร่รู้
สิรดาหน้าหงิก เธอไม่อยากแสดงตัวให้ใครเห็นมากนัก ไม่ใช่ว่าเธออับอายที่ต้องมาเดินตามสองพ่อลูกคนดังแห่งอัลซาดาห์ แต่การเปิดเผยตัวมากไปต่างหากที่มันจะไม่เป็นผลดีต่อแผนการระดับชาติของเธอ
“ไม่ต้องทำหน้าหงิกขนาดนั้น” ชามาล์ก้มลงมากระซิบข้างใบหูสิรดา หลังจากผ่อนฝีเท้ารอให้สิรดาเดินตามมาได้ทัน
สิรดาผงะเล็กน้อย กิริยาที่ชามาล์ทำต่อเธอ มันดูสนิทกันเกินไปไหม “อะไร ฉันไม่ได้หน้าหงิก”
ชามาล์ทำปากเหยียดๆ เหมือนคนรู้เท่าทัน ทำเอาอีกฝ่ายต้องพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะชังน้ำหน้ากับท่าทางจองหองกวนโอ๊ยแบบนี้สุดๆ
“พ่อ พี่ดาว เร็วๆ ลิฟต์มาแล้ว” เด็กชายเรียกพ่อกับสิรดา พร้อมๆ กับเรียกความสนใจของคนรอบข้างที่ยืนสังเกตการณ์ไปในตัว ทุกคนต่างอยากรู้ว่าหญิงสาวคนใหม่ล่าสุดของชามาล์ ที่เดินมาพร้อมกับบุตรชายของเขาเป็นใครมาจากไหนและมีความสำคัญอย่างไร ถึงขนาดทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวของชามาล์ อัลบารอม เรียกพี่ดาวได้อย่างเต็มใจ ซ้ำหญิงสาวผู้นั้นยังมีท่าทีสนิทสนมกับเจ้าของตึกใหญ่แห่งนี้เกินกว่าสาวๆ ในอดีตคนใดที่เคยควงมาทั้งสิ้น
เมื่อลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหารเคลื่อนตัวขึ้นไปชั้นบน เสียงอื้ออึงถามไถ่กันให้วุ่นวายเรื่องผู้หญิงคนใหม่ของชามาล์ อัลบารอม ก็ดังตามมาไม่ขาดสาย หลายเสียงต่างกังขาว่าหญิงสาวคนนี้น่ะหรือ จะมาแทนทรีน่าคู่ควงคนล่าสุดของชามาล์ ทรีน่านั้นสวยสง่าราวเจ้าหญิง และแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับหญิงสาวคนใหม่รายนี้ ทั้งการแต่งกายที่เรียบง่ายด้วยเสื้อผ้าในชุดธรรมดา รวมทั้งหน้าตาที่แม้ว่าจะดีพอสมควร แต่หากนำมาเปรียบกับทรีน่านั้น ยังถือว่าห่างไกลนัก
เสียงวิจารณ์ภายในตัวอาคารยังคงดังขรมต่อเนื่องไม่หยุด จนทำให้ซาอิมที่เพิ่งเดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ต้องหยุดกวาดตามองปรามด้วยสายตาดุดันให้ทุกคนหยุดพูดเรื่องของเจ้านาย
ซาอิมโคลงศีรษะ เมื่อเห็นทุกคนรีบแยกย้ายสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว การกระทำของเจ้านายเขาทำให้ทุกคนสงสัย แม้แต่เขาเองก็ยังสงสัยไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เจ้านายก็รู้ทั้งรู้ว่าคุณสิรดาเป็นคนของอาเหม็ด และมีเจตนาเข้ามาที่อัลบารอมเพราะต้องการนำเม็ดไพลินกลับคืน แต่คุณชามาล์ก็ไม่เดือดร้อนหรือโมโหเดือดสักนิดเมื่อรู้ความจริงในข้อนี้
เขารู้...เจ้านายไม่เคยคิดที่จะครอบครองเม็ดไพลินไว้กับตัว คุณชามาล์ทำไปเพียงเพื่อกลั่นแกล้งชีคกาเบรียนให้กระวนกระวายร้อนรุ่มในการตามหาเม็ดไพลินเท่านั้น แต่การถูกลูบคมเป็นสิ่งที่เจ้านายเขาไม่ชอบ หนนี้ก็เช่นกัน ชีคกาเบรียนกล้าถึงขนาดส่งคนเข้ามาค้นหาเม็ดไพลินในอัลบารอม ที่สำคัญที่สุดคนที่ถูกส่งมาเป็นผู้หญิง และมีแนวโน้มว่าคุณชามาล์จะชอบใจเสียด้วย
ซาอิมอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ บางทีไพลินเม็ดนั้นอาจไม่สำคัญเท่ากับตัวของคนที่เข้ามาตามหาก็ได้...
ช่วงสาย ข่าวล่าสุดที่ส่งด่วนมาจากตึกสูงอาณาจักรในเครือตระกูลอัลบารอม ทำให้คนรับฟังข่าวถึงกับนั่งไม่ติด ต้องรีบแต่งตัวด้วยชุดที่สวยที่สุด และตรงดิ่งมาที่ตึกอัลบารอมโดยทันที
หญิงสาวในชุดสีแดงเดินผ่านเข้ามาข้างในตัวตึก ท่ามกลางสายตาของผู้พบเห็นที่จ้องมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เพราะทุกคนต่างรับรู้สถานะของสาวสวยผู้นี้ว่าเป็นคู่ควงคนล่าสุดของชามาล์
ทรีน่าเดินกรีดกรายผ่านโถงชั้นล่างของตัวอาคารไปด้วยมาดนางพญา ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้ทุกคนกำลังจับตาและสนใจในตัวเธอ ซึ่งเธอจะใช้โอกาสนี้ประกาศให้ทุกคนที่นี่รับรู้ว่าเธอคือตัวจริง ส่วนผู้หญิงอีกคนนั้นก็แค่ของเล่นแปลกๆ ชิ้นใหม่ยามว่าง ถ้าคิดจะมาเทียบชั้นกับเธอ ยังห่างไกลกันนัก
สาวสวยเดินเชิดหน้าเข้าไปยังลิฟต์ที่สงวนไว้ให้ใช้เฉพาะผู้บริหารระดับสูง เสมือนจะประกาศความเป็นตัวจริงตอกย้ำให้คนที่มองอยู่รับรู้ไว้อีกครั้ง
แต่เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ใบหน้าสวยเฉี่ยวได้แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างหนัก ทั้งยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงส่อความเกลียดชังอย่างที่สุด “นังนั่นมันเป็นใคร กล้าดียังไงถึงมายุ่งกับชามาล์ของฉัน!”
โทรศัพท์ด่วนจากคนของเธอที่บอกว่าชามาล์พาผู้หญิงมาทำงานด้วย ซ้ำยังให้ความสนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษต่อหน้าผู้คนมากมาย ข่าวร้อนแรงแบบนี้ทำเอาเธอนั่งไม่ติด และไม่พอใจอย่างมากที่มีผู้หญิงคนอื่นมายุ่งกับผู้ชายที่ตนเองหมายมั่นปั้นมือว่าอย่างไรก็จะไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปโดยเด็ดขาด ดังนั้นเธอต้องมาดูให้เห็นกับตาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ถึงทำให้ชามาล์เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่ต้องการ ทรีน่าเดินออกจากลิฟต์แล้วตรงไปยังห้องทำงานของชามาล์ทันที
“คุณชามาล์อยู่มั้ย” หญิงสาวถามเลขาฯ หน้าห้อง
“คุณชามาล์ประชุมอยู่ค่ะ” เลขาฯ สาววัยกลางคนเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาตอบทรีน่า
“ฉันจะเข้าไปรอในห้อง” พูดจบทรีน่าก็ทำท่าจะผละไป ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายร้องห้ามพร้อมทั้งรีบเดินเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยวค่ะคุณทรีน่า ตอนนี้ในห้องมีแขกคนสำคัญ ถ้ายังไงเชิญคุณทรีน่าไปรอที่ห้องรับรองก่อนจะดีกว่านะคะ แล้วถ้าคุณชามาล์เสร็จจากประชุมเมื่อไหร่ ดิฉันจะเข้าไปเรียนให้คุณทราบค่ะ”
ทรีน่าจ้องหน้าเลขาฯ ของชามาล์ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ก่อนจะตอบเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ “ฉันเป็นแฟนคุณชามาล์ ทำไมจะเข้าไปนั่งรอในห้องทำงานของเขาไม่ได้ เธอมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน หลีกไป!”
“แต่ว่าคุณ...”
เลขาฯ ยังพูดไม่ทันจบประโยค ทรีน่าก็เดินชนไหล่อีกฝ่ายอย่างไม่สนใจ พร้อมกับเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องทำงานของชามาล์
เสียงประตูเปิดทำให้สิรดาที่นั่งอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมามอง
เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ทรีน่ากวาดตามองหาแขกพิเศษก่อนเป็นลำดับแรก จนเมื่อเห็นแขกพิเศษที่เลขาฯ หน้าห้องพูดถึงนั่งอยู่กลางห้องก็จ้องเขม็งอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาและประกาศตัวด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ ใส่อีกฝ่ายทันที
“ฉันชื่อทรีน่า เป็นแฟนคุณชามาล์ เธอเป็นใคร”
สิรดามองหญิงสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ผู้หญิงคนนี้สวยมากๆ มาดก็ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่พอพูดออกมาเท่านั้นแหละความสวยเลอเลิศที่พอกอยู่บนตัวบินลับหายไปจนหมด
“ดิฉันชื่อสิรดา เป็นพี่เลี้ยงเด็กค่ะ” สิรดาตอบกลับเสียงซื่อ เธอเองก็เพิ่งจะนึกออกว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่สนามบิน
“ที่แท้ก็คนรับใช้” ทรีน่าพูดเสียงสูง ทำกิริยาดูแคลนขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีหน้าที่ไม่ต่างจากคนรับใช้
“ค่ะ คนรับใช้” สิรดาเน้นคำว่าคนรับใช้เสียงแข็ง รู้สึกเซ็งๆ อย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาเจอกับการดูถูกจากผู้หญิงของชามาล์
ทรีน่ากวาดตามองสิรดาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างเหยียดๆ “ฉันหวังว่า เธอคงคิดเป็นและไม่หวังอะไรมากกว่าการเป็นคนรับใช้”
สิรดาอึ้ง เล่นเธอหนักขนาดนี้เลยหรือแม่คุณ แค่เธอตามชามาล์มาทำงานด้วยแค่นี้เนี่ยนะ กลายเป็นผู้หญิงหวังมากกว่าคนรับใช้ไปแล้ว โธ่...ถ้าหวังขนาดนั้นแล้วได้นายชามาล์ เธอขอไปหาใบไม้ตามพื้นหญ้าดีกว่าเยอะ
“แต่ถ้าเธอคิดไขว่คว้าของสูง ฉันก็ขอแสดงความเสียใจล่วงหน้ากับเธอด้วย เพราะทั้งหน้าตาและฐานะอย่างเธอ ต่อให้อ่อยหรือยั่วมากแค่ไหน อย่างมากก็เป็นได้แค่นางบำเรอชั่วครั้งชั่วคราวหรือของเล่นแก้เบื่อเท่านั้น จงรู้จักเจียมตัวเจียมใจเอาไว้ให้ดี เพราะอีกไม่นานเธอก็ต้องตกสวรรค์กลับไปสู่พื้นเพเดิมของเธอ” ทรีน่าจงใจพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน
สิรดาทนไม่ไหวกับวาจาเชือดเฉือนไร้มารยาท จากที่คิดว่าจะอดทนอดกลั้นให้ถึงที่สุดก็นอตหลุดโต้กลับอย่างเผ็ดร้อนไม่แพ้กัน
“แหม...จะเป็นของเล่นของจริงหรือของแก้เบื่อชั่วครั้งชั่วคราว ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับคนกลางนะคะ ไม่แน่นะคะ บางทีคนกลางเขาอาจจะชอบให้จับ จับกันไปจับกันมา พึ่บพั่บ จึ๊กจั๊ก สุดท้ายก็ติดใจไปไหนไม่รอด จากชั่วคราวเป็นครั้งๆ ก็ติดแนบแน่นถาวร และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่มีการเจียมตัวเจียมใจหรอกค่ะ ลืมหมด”
“แก!” ทรีน่าหน้าแดงก่ำ นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวหน้าตาธรรมดาซื่อๆ จะปากร้ายได้ขนาดนี้
“แต่คุณทรีน่าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เมื่อถึงเวลาที่ฉันค้างอยู่บนสวรรค์ไม่ตกลงมาอีก ดิฉันจะบอกคุณทรีน่าเป็นคนแรกทันที คุณทรีน่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลามารอคอยคุณชามาล์อีกไงคะ เพราะแค่ดิฉันคนเดียวก็เหมาเรี่ยวแรงคุณชามาล์เอาไว้ได้หมดแน่นอน คงไม่ต้องไปหาของเล่นข้างนอกอีกแล้วละค่ะ” เป็นทีของสิรดาที่จะยิ้มเย้ยใส่บ้าง
“เป็นแค่คนใช้กล้าดียังไงที่พูดออกมาแบบนี้ คุณชามาล์ไม่มีวันลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับคนใช้ไร้ค่าอย่างแกหรอก เลิกฝันเกินเอื้อม เข้าใจไว้ด้วย!” ดวงตาคนพูดวาวโรจน์ จิกมองอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อ
“เป็นแค่คนใช้ไร้ค่าเนี่ยละค่ะจัดจ้านนัก คุณชามาล์ถึงติดใจลงมาเกลือกกลั้วบ่อยๆ ยังไงล่ะคะ” สิรดาขบขันในใจสุดๆ กับคำตอบของตนเอง รวมทั้งท่าทางเดือดจัดของหญิงสาวที่ยืนทำตาถลนจนดูน่าตลกอยู่เบื้องหน้า
“แก...คิดจะจับคุณชามาล์จริงๆ ใช่มั้ย” ทรีน่าโกรธจัด ตะคอกใส่สิรดาเสียงดังลั่น
“ตอนแรกดิฉันก็กะว่าจะเล่นๆ ไม่จริงจัง แต่พอคุณทรีน่ามาชี้ทางสว่างให้ สงสัยดิฉันคงต้องพยายามให้มากขึ้นอีกนิดจะได้ไม่หลุดมือ ไม่เอาแล้วค่ะครั้งๆ คราวๆ ได้ไม่คุ้ม สู้จริงๆ จังๆ ไปเลยดีกว่า ฉันอยากตกบ่อเงินบ่อทองค่ะ ชีวิตจะได้สุขสบาย ถูกพอกไปด้วยเงิน ไม่ตกสวรรค์ ไม่กลับไปพื้นเพเดิมอีกแล้ว แค่คิดก็มีความสุขสุดๆ” สิรดากลั้นหัวเราะไว้สุดกำลัง เธอกำลังจะขำตาย
“นังผู้หญิงหน้าด้าน! ไร้ยางอาย” ทรีน่าโวยวายเสียงดังลั่น
“หนวกหูจริง” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องน้ำ ชาจีฟเปิดประตูออกมา แล้วมองคนมาใหม่ด้วยแววตาไม่พอใจ “เราต้องการความเงียบ”
“น้องชาจีฟคะ น้าทรีน่า...” ทรีน่ารีบปรับน้ำเสียงเป็นอ่อนหวานทันทีที่เห็นว่าเจ้าของเสียงเล็กๆ เป็นใคร
“อย่าเรียกเราน้อง เราไม่ชอบ” เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งๆ สายตายังมีแววไม่พอใจอยู่มาก
สิรดาหันหน้าไปยิ้มให้เด็กชายซึ่งเดินเข้ามาหาแล้วถลาเข้ากอดพร้อมเรียกเสียงดัง
“แม่ครับ”
คนถูกเรียก ‘แม่’ มุมปากกระตุก งงงันไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตั้งตัวติด หันมาตอบเสียงหวานหยด พร้อมทั้งย้ำคำสุดท้ายเสียงดัง คล้ายจะบอกเป็นนัยให้หญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่รับทราบไว้ด้วย
“ไงคะชาจีฟ เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วหรือคะ...ลูก”
“ยังเลยครับ ยังอึไม่ออกเลย ได้ยินเสียงแป๊ดๆ รบกวนสมาธิ” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาพูด
ทรีน่าตัวสั่น ปากสั่น กับกิริยาที่ทั้งสองคนแสดงออก ลูกชายของชามาล์เรียกนังคนใช้ว่าแม่ได้อย่างไรกัน
“ตายแล้ว ลูกแม่ อั้นไว้ไม่ดีนะคะ” สิรดายิ้มหวานปิดท้าย และแอบขยิบตา
“ไปได้แล้ว เวลาเราจะเข้าห้องน้ำ เราต้องการความเงียบ” ชาจีฟออกปากไล่ทรีน่า สายตาไม่มีแววเป็นมิตรกับสาวสวยแม้แต่น้อย
“เอ่อ น้ามาหาคุณพ่อค่ะ” ทรีน่ายิ้มให้ชาจีฟ ทั้งๆ ที่ในใจแสนเกลียดไอ้เด็กเรื่องมากคนนี้สุดๆ
“แล้วพ่อเรานัดให้มาหาหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็กลับไปซะ วันนี้เป็นวันของครอบครัว เราไม่ชอบให้คนนอกเข้ามาวุ่นวาย” เด็กชายยังคงวางท่าปั้นปึ่งเย็นชาใส่ทรีน่า ยิ่งตอนนี้พ่อบอกว่าตกลงแล้ว ว่าจะเลือกพี่ดาว ฉะนั้นผู้หญิงที่เหลือไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับพ่อของตนอีก
“น้าไม่ใช่คนนอก น้าเป็นว่าที่แม่ของชาจีฟ” ทรีน่าเริ่มเสียงแข็งขึ้น นึกโมโหเด็กชายที่ไม่เคยพูดดีกับเธอเลยสักครั้ง ผิดกับนังคนใช้ที่พูดอย่างคุ้นเคยสนิทสนม
“อย่ามาตู่ ตอนนี้เรามีแม่แล้ว” ชาจีฟตอบอย่างไม่พอใจ
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่คนใช้ น้องชาจีฟอยากมีแม่เป็นคนใช้หรือคะ”
“พี่ดาวไม่ใช่คนใช้ พี่ดาวเป็นแม่ของเรา แล้วถ้ายังขืนพูดมากอีก เราจะเอากำปั้นยัดปาก” ชาจีฟตะโกนตอบเสียงดัง แถมยังชูกำปั้นเข้าใส่อย่างไม่คิดเกรงกลัว
“ชาจีฟ...” สิรดาคราง เพิ่งรู้ฤทธิ์เดชของพ่อนักเลงตัวน้อย
ทรีน่าโกรธจนหน้าแดง ตวัดสายตามามองตัวต้นเหตุที่เด็กชายเรียกว่าแม่อย่างเกลียดชัง “น้าทรีน่าว่า น้องชาจีฟคงโดนนังคนใช้มันเสี้ยมสอนถึงได้ก้าวร้าวขนาดนี้ สงสัยต่อไปนี้ น้าคงต้องเข้ามาดูแลน้องชาจีฟเอง ไม่อย่างนั้นโตไปคงเสียเด็ก”
“ไม่ต้องมาดูแลเรา เรามีแม่ดาวคอยดูแลเราแล้ว”
“เอ๊ะ น้องชาจีฟ ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง อยากมีแม่เป็นคนใช้ชั้นต่ำหรือยังไง น้าทรีน่าเตือนด้วยความหวังดีก็ไม่ฟัง อยากทำตัวตกต่ำก็ตามใจ” ทรีน่าพูดอย่างหัวเสีย ถ้าเธอได้เข้าไปเป็นนายหญิงของอัลบารอมเมื่อไหร่ ไอ้เด็กบ้าคนนี้จะเป็นคนแรกที่เธอจะส่งไปเข้าโรงเรียนประจำเพื่อดัดสันดาน ให้ไปอยู่ไกลกันคนละซีกโลก เธอจะทำให้ชามาล์ลืมไปเลยว่ามีเด็กกาฝากคนนี้อยู่บนโลกใบเดียวกัน
“ไปนะ ไป! ไป!” เด็กชายวิ่งเข้าไปผลักทรีน่า
ทรีน่าเซไปข้างหลัง ความโกรธจัดทำให้เผลอตวาดออกมาเสียงดังลั่น “ไอ้เด็กบ้า! พ่อแม่ก็ไม่มี ยังทำตัวต่ำ ถ้าคุณชามาล์ไม่รับเลี้ยงไว้ ป่านนี้แกก็ได้ไปเป็นเด็กข้างถนนแล้ว”
สิรดาที่กำลังจะเข้าไปห้ามตกใจกับถ้อยคำที่ทรีน่าพูดออกมา ยิ่งเห็นชาจีฟยืนนิ่งใบหน้าเจื่อนลงไปถนัดตา ก็ยิ่งเจ็บปวดไปกับสิ่งที่ทรีน่าพูดตอกใส่หน้าเด็กชาย
“ไง รู้ตัวแล้วก็อย่ามาทำเรื่องมาก ไม่อย่างนั้น ถ้าฉันได้มาเป็นแม่ของแกเมื่อไหร่ ฉันจะให้คุณชามาล์ ส่งแกไปอยู่ไกลๆ” ทรีน่าเหยียดยิ้มเหมือนผู้ชนะ เมื่อเห็นเด็กชายนิ่งอึ้ง
“หุบปาก!” สิรดาตวาดลั่น โกรธจัดแทนชาจีฟจนใบหน้าแดงก่ำ
“แกด้วยอีกคน ระวัง...” ทรีน่าหันมาพูดเย้ยใส่หน้าสิรดา แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบ หมัดลุ้นๆ ก็ชกโครมเข้าไปที่มุมปากของใบหน้าคนสวยอย่างจังแบบไม่มีออมแรง
พลั่ก!
สิ้นเสียงร่างสวยสง่าก็ร่วงลงไปกองบนพื้นห้องทันที
“ไง รู้แล้วใช่มั้ยเวลาโดนกำปั้นยัดปากเน่าๆ มันเป็นยังไง ถ้าอยากโดนยัดปากอีกก็พูดมา” สิรดาขู่เสียงโหด ง้างหมัดเตรียมสอยอีกครั้ง ถ้ายังได้ยินปากแดงๆ นั่นพูดอะไรเลวๆ ออกมาอีก
“แก! แก! กล้า ต่อย ฉัน”ทรีน่าพูดติดๆ ขัดๆ เพราะยังมึนๆ งงๆ กับหมัดเด็ดของสิรดาอยู่ “ฉันจะ...จะ...ฟ้องคุณชามาล์”
“ไม่กลัวหรอกโว้ย ไปฟ้องเลยไป๊ แม่คนขี้ฟ้อง” สิรดาท้ากลับเสียงเยาะ
“นังบ้า! นังบ้า!” ทรีน่ากรีดร้องเสียงดัง มุมปากมีเลือดไหล ยังลุกไม่ขึ้น จนเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู และเห็นคนที่เดินเข้ามาเป็นชามาล์ ทรีน่าก็ผวาลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหา จากนั้นก็บีบน้ำตาเม็ดโต สะอึกสะอื้นร้องขอความเห็นใจจากชายหนุ่ม
ในวินาทีแรกที่ชามาล์เข้ามาในห้อง ชายหนุ่มมองสิรดาเหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับถูกอีกฝ่ายสะบัดหน้าเมินใส่ แล้วเดินเข้าไปกอดเด็กชายแทน
“เกิดอะไรขึ้น” ชามาล์ขมวดคิ้วถามทุกคนเสียงเย็น
“นังคนใช้ มัน...” ทรีน่าเอ่ยปากจะฟ้อง
“ชาจีฟ ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า” ชามาล์ไม่สนใจทรีน่า หันไปถามลูกชายตนเองก่อนเป็นลำดับแรก
เด็กชายส่ายหน้า ยังเงียบไม่พูดไม่จา
ชามาล์เห็นชาจีฟไม่ตอบจึงมองเลยไปที่สิรดา และก็ได้รับคำตอบเป็นการสะบัดหน้าพรืดเหมือนเดิม
“นังคนใช้มันต่อยทรีน่า” ทรีน่าได้จังหวะที่ทุกคนเงียบ รีบฟ้องทันที “คุณชามาล์คะ จัดการให้ทรีน่าด้วยนะคะ นังคนชั้นต่ำมันกล้าต่อยทรีน่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าทรีน่าเป็นแฟนคุณ”
ชามาล์มองหน้าทรีน่านิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาถามสิรดา “เธอต่อยทรีน่าหรือ”
“ใช่ค่ะ แบบเต็มแรงไม่ยั้งมือด้วย” สิรดาเชิดหน้าตอบตามความจริง
แววตาในยามที่ยอมรับว่าเป็นคนทำกร้าวเสียจนชามาล์รู้สึกได้
“ฮือๆๆ” ทรีน่าแกล้งบีบน้ำตาขึ้นมาอีกระลอก และรอดูผลงานด้วยความสะใจ
“ซาอิม พาชาจีฟกับสิรดาไปรอที่รถ เดี๋ยวฉันตามไป” ชามาล์หันไปสั่งลูกน้องคนสนิทที่เดินเข้ามาพร้อมกัน
“แต่ว่า...” ทรีน่าทำท่าจะแย้ง แต่ติดที่ชามาล์หันมาจ้องเตือนอยู่ในที ทำให้ทรีน่าต้องเงียบ แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพราะอยากเห็นชามาล์สั่งสอนนังคนใช้ ก่อนที่จะปล่อยให้มันเดินลอยนวลหนีไปได้อย่างนี้
“ครับ” ซาอิมพยักหน้ารับคำสั่ง พาชาจีฟกับสิรดาเดินออกไปจากห้อง
ช่วงเวลาที่สิรดาเดินผ่านหน้าทรีน่า เธอยักไหล่ เบ้ปากกวนๆ คล้ายเย้ยใส่ว่าใครกันแน่ที่เจ๋งกว่ากัน
ทรีน่าเม้มปากแน่น ข่มความโกรธไว้สุดกำลัง ด้วยรู้ว่าหากตนเองกรีดร้องแสดงอาการไม่ชอบใจออกมาในตอนนี้ ชามาล์ต้องไม่พอใจแน่นอน
เมื่อในห้องเหลือกันอยู่เพียงสองคน ทรีน่าก็รีบโผเข้ากอดชามาล์ หวังจะใช้ความใกล้ชิดระหว่างกันทำให้ชายหนุ่มเห็นใจที่ตนเองถูกรังแก เพียงแต่หนนี้ทรีน่าคิดผิด เพราะชามาล์ดันตัวหญิงสาวออกทันที
“สิ่งหนึ่งที่ฉันรับไม่ได้ และไม่คิดจะรับมัน คือการแตะต้องชาจีฟ” ชามาล์พูดเสียงห้วนเข้ม แววตาเย็นยะเยือกราวผืนน้ำแข็งยามเมื่อหันกลับมามองหน้าทรีน่า
“ทรีน่า ไม่...ไม่...” ทรีน่าส่ายหน้าปฏิเสธ ดวงตาคู่สวยฉายแววตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
“ไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับเธออีกต่อไป”
ก่อนเดินเข้ามาในห้อง ชามาล์ได้ยินคำพูดร้ายกาจทุกถ้อยคำจากผู้หญิงคนนี้ที่กล้าทำร้ายจิตใจลูกชายคนเดียวของเขา จริงอยู่ยังไงเขากับหล่อนก็ต้องจบความสัมพันธ์แบบนี้ลงอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เขาจะเหลือให้หลังจากความสัมพันธ์สิ้นสุดลง ก็มีมากมายพอให้หล่อนอยู่ได้อย่างสุขสบายไปนานแสนนาน
แต่ไม่ใช่กับทรีน่า เพราะการที่เขาไม่บีบคอหล่อนให้ตายคามือก็ถือว่าดีเกินพอแล้ว
“ทรีน่าขอโทษ ทรีน่าไม่ได้ตั้งใจ คุณชามาล์ยกโทษให้ทรีน่านะคะ ต่อไปทรีน่าจะไม่พูดแบบนี้อีก ทรีน่ารักน้องชาจีฟเหมือนลูกคนหนึ่ง คุณชามาล์ต้องเชื่อทรีน่านะคะ แล้วนังคนใช้คนนั้นมันเป็นต้นเหตุ มันยุยงน้องชาจีฟให้แข็งข้อและเกลียดทรีน่า” ทรีน่าร้องไห้โฮ นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นแบบนี้
ชามาล์ไม่สนใจเสียงคร่ำครวญ ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเรียกหาคนของตนเองทันที “มาพาทรีน่าออกไป แล้วสั่งคนของเราไม่ให้หล่อนเข้ามาที่ตึกของอัลบารอมอีก”
“ไม่...ไม่นะคะ” ทรีน่าพยายามอ้อนวอน แต่ชามาล์ยืนนิ่งไม่สนใจ
ไม่ถึงนาที ชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสามคนได้เดินเข้ามาในห้อง ทั้งหมดตรงเข้าหาทรีน่า “เชิญครับ คุณทรีน่า”
“คุณชามาล์คะ คุณชามาล์ ทรีน่าขอโทษ”
“พาหล่อนออกไป” ชามาล์สั่งเสียงเย็น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่มีแววของการยกโทษให้แต่อย่างใด
เสียงร้องไห้สลับกับเสียงอ้อนวอนขอโทษดังจนลับหายไปในที่สุด ชามาล์ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม เรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของชาจีฟนั้น คนทั้งอัลซาดาห์ต่างก็รับรู้ เพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตกในครั้งนั้นเป็นข่าวใหญ่ที่พาดหัวหนังสือพิมพ์ไปหลายวัน
พ่อกับแม่ของชาจีฟรวมทั้งคนในครอบครัวนั้นอีกหลายชีวิตก็เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ โชคยังดีที่ในวันนั้นพ่อของชาจีฟซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาเอาชาจีฟวัยสามเดือนที่ไม่สบายมาฝากไว้ที่คฤหาสน์อัลบารอม เด็กชายจึงไม่ได้เดินทางไปด้วย และเมื่อเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าที่คร่าชีวิตครอบครัวของญาติผู้น้องเขาไปจนไม่เหลือใคร เขาจึงรับเด็กชายเป็นลูกและเลี้ยงดูนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชามาล์ถอนใจ เหตุการณ์บางเหตุการณ์เขาเองก็ไม่อยากรื้อฟื้น แต่ถ้ามันจำเป็นเขาคงต้องทำ...
ความคิดเห็น |
---|