10

10

10

 

หลังจากส่งรถตู้ของโรงพยาบาลถึงจุดหมายปลายทาง กล่าวขอบคุณและล่ำลากันเรียบร้อย ขบวนรถมอเตอร์ไซค์ของทหารก็มุ่งหน้ากลับฐานปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงหลายคนถึงกับยกมือท่วมหัว

“เจ้าประคู้น ขอให้ทุกคนแคล้วคลาดปลอดภัย”

กลับมาถึงบ้านพักก็เกือบสี่โมงเย็น หญิงสาวรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เย็นนี้เธอมีนัดไปค้างบ้านของ พ.ต. ชเยศ ซึ่งเป็นบ้านพักในกองพันทหารจังหวัดใกล้เคียง ห่างจากโรงพยาบาลเกือบ 50 กิโลเมตร เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงโทร. มาชวนกึ่งบังคับให้ไปค้างด้วยกันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

‘วันเกิดพี่เองจ้ะมิ้ว ทุกปีก็ไม่เคยจัดหรอกนะ นอกจากไปทำบุญที่วัด แต่ปีนี้คุณสามีเกิดใจดีอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ อยากจัดวันเกิดให้เมีย’ ว่าพลางหัวเราะร่วนอารมณ์ดีมาตามสาย

‘พี่เห็นว่าช่วงนี้พี่โป้งก็ดูเครียดๆ กับงานด้วยก็เลยคิดว่าดีเหมือนกัน แขกก็คนกันเองทั้งนั้น บ้านพี่กับครอบครัวเพื่อนๆ ที่สนิทกันอีกสองสามบ้าน ถือโอกาสมานั่งกินข้าวด้วยกัน พบปะสังสรรค์คลายเครียด’

ตอนแรกอัศวินีก็ลำบากใจเพราะเธอไม่มีรถ อีกทั้งวันนี้เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาถึงโรงพยาบาลกี่โมง กลัวจะกลับมาถึงค่ำ พี่ๆ ที่โรงพยาบาลเคยเตือนตั้งแต่มาทำงานใหม่ๆ ว่าถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากให้ออกไปนอกโรงพยาบาลเพราะอันตราย แต่รุ้งลาวัลย์บอกราวกับรู้ใจว่า

‘เรื่องเดินทางไม่ต้องห่วงนะ พี่มีธุระต้องไปหาดใหญ่อยู่แล้ว เดี๋ยวขากลับพี่แวะรับมิ้วที่โรงพยาบาลด้วย เตรียมเสื้อผ้ามาด้วยนะน้อง วันหยุดมานอนค้างบ้านพี่ จะได้คุยกันให้ช่ำปอดเลย ปกติกับบรรดาแฟนเพื่อนพี่โป้งที่สนิทกัน ถ้ามีโอกาสพวกพี่ก็จะนัดเจอกันเมาท์เรื่องของชาวบ้านประจำ อ้อ...แล้วเดี๋ยวบ่ายๆ วันอาทิตย์พี่กับพี่โป้งจะไปส่งที่โรงพยาบาลเอง แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าเกรงใจนะ ไม่งั้นมีเคืองกันแน่ๆ น้องสาวพี่เบียร์ก็เหมือนน้องพวกพี่ด้วย’ รุ้งลาวัลย์กล่าวย้ำตอนท้ายเหมือนที่สามีของเธอก็เคยเอ่ยมาแล้ว 

อัศวินีได้แต่ขอบคุณซ้ำๆ ในความน่ารักของอีกฝ่าย 

ครั้นโทร. ไปเล่าให้พี่ชายฟัง บรมวิชชุ์ก็หัวเราะพลางบอกว่า

‘แฟนไอ้โป้งเหรอ...คบได้ๆ น้องมิ้ว คุณนายรุ้งเขาเป็นประเภท...อัธยาศัยดี คุยเก่ง อาจจะชอบเมาท์เรื่องชาวบ้านบ้าง...นิดหน่อย แต่ก็เฉพาะกับคนที่เหยียบตาปลากันจริงๆ แต่หลักๆ แก๊งนี้เจอกันก็นินทาสามีกับเพื่อนสามีอย่างเดียว สมัยก่อนที่พี่อยู่ใต้ก็ไปกินไปเที่ยวกับแก๊งนี้แหละ ไปกินไปนอนบ้านนี้ประจำ คบได้ๆ’

พอพี่ชายบอกอย่างนั้นอัศวินีถึงได้สนิทใจขึ้น ดังนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาหญิงสาวก็มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถเก๋งคันเล็กที่มีรุ้งลาวัลย์เป็นคนขับ

“วันนี้ออกหน่วยฯ ที่ไหนน้องมิ้ว” อัศวินีเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้แล้วว่าวันนี้มีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ 

“บ้านปาโต๊ะที่มิ้วต้องไปทำงานค่ะ”

รุ้งลาวัลย์ถึงกับอุทานว่า “เอ๊ะ...ถ้าพี่จำไม่ผิดเหมือนพื้นที่แถวนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของพี่อาร์ม” จริงๆ ไม่ใช่จำไม่ผิดหรอก แต่จำได้ดีต่างหาก เพราะก่อนหน้านี้สามีแอบกระซิบ ‘บางอย่าง’ แล้ว ริจะเป็นแม่สื่อก็ต้องปูทางเกริ่นนำให้เนียนๆ หน่อย

“อ้อ...ลืมไป น้องมิ้วยังไม่รู้จักพี่อาร์ม พี่อาร์มเป็นเพื่อนของพี่โป้งจ๊ะ ก็แก๊งเดียวกับพี่เบียร์นั่นแหละ เย็นนี้พี่อาร์มก็จะมาเหมือนกัน พอดีเลยเดี๋ยวพี่จะได้แนะนำให้รู้จักกันเอาไว้” ว่าพลางแอบปรายตามองคนที่นั่งข้างๆ ด้วยสายตามีเลศนัย แต่อัศวินีไม่ทันสังเกตเพราะเริ่มเอะใจตงิดๆ

อย่าบอกนะว่า ‘พี่อาร์ม’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงกับ ‘ผู้พันอาร์ม’ ที่เพิ่งเจอเมื่อตอนกลางวันที่บ้านปาโต๊ะจะเป็นคนเดียวกัน 

หญิงสาวเผลอส่ายหน้าดิก 

ไม่มั้ง...โลกคงจะไม่กลมขนาดนั้น หรือถ้าเป็นคนเดียวกันจริงๆ ก็คงเป็นพรหมลิขิตจริงๆ แล้วแหละ 

แม่สาวช่างฝันแอบคิดเข้าข้างตัวเองด้วยความขบขัน

 

ระหว่างนั่งรถมาด้วยกัน รุ้งลาวัลย์คุยโน่นเล่านี่ให้ฟังไม่ขาดปาก อัศวินีก็ช่างคุยอยู่แล้ว พอเจอกันก็มีเรื่องมาคุยกันมากมายตามประสาผู้หญิง ดังนั้นพอรถจอดหน้าบ้านพัก โชเฟอร์ถึงกับบอกว่า

“อ้าว...ถึงบ้านแล้ว เร็วจริง” ก่อนออกตัวว่า “แคบหน่อยนะจ๊ะ บ้านพักทหารก็แบบนี้แหละ แถมข้างในก็สุดแสนจะรก เพราะน้องการ์ตูนเขารื้อของเล่นออกมาเล่นสร้างบ้าน เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับเพื่อนสาวของนาง เดี๋ยวอีกสักพักคงกลับจากโรงเรียน วันนี้พี่วานพี่เป้...แฟนพี่ไนซ์ช่วยรับกลับมาจากโรงเรียนพร้อมน้องน้ำ ลูกสาวพี่เป้กับพี่ไนซ์อายุเท่าน้องการ์ตูน เดี๋ยวเย็นนี้มิ้วก็จะได้เจอเดอะแก๊งของพวกเราเหมือนกัน”

รู้จักกันยังไม่ทันไร ถูกรวมเป็นหนึ่งใน ‘เดอะแก๊ง’ ซะอย่างนั้น อัศวินีอมยิ้ม นึกชอบพออัธยาศัยของสาวรุ่นพี่นัก จากนั้นสองสาวช่วยกันขนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาหารจากท้ายรถเข้าครัว

ไม่นานเดอะแก๊งผู้หญิงสองคนก็หิ้วหม้อข้าว หม้อแกง ถุงข้าวปลาอาหารมา บอกว่าสามีจะตามมาทีหลัง พอเจอหน้ากันก็ส่งเสียงทักทายเจี๊ยวจ๊าวเหมือนที่รุ้งลาวัลย์เคยเล่าให้ฟังจริงๆ พอรุ้งลาวัลย์แนะนำให้รู้จักกัน แม้จะเพิ่งเคยเจอกัน แต่ทุกคนก็ช่างเป็นมิตรนัก ชวนคุยอย่างเป็นกันเองราวกับรู้จักกันมาแรมปี พลอยให้อัศวินีประทับใจและปรับตัวเข้ากับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

“ตามสบายเลยนะคะน้องมิ้ว ไม่ใช่บ้านพี่หรอก แต่พี่ก็เดินเข้าเดินออกจนเหมือนบ้านตัวเอง” เปรมิกาหรือปูเป้ว่าพลางหัวเราะร่วน 

“พวกพี่ก็แบบนี้แหละ เฮฮาปาร์ตีไปตามเรื่อง เครียดนักไม่ดี แก่เร็วเดี๋ยวสามีไปมีเมียน้อย” วนิดาเอ่ยยิ้มๆ

“นี่ๆ วันนี้ฉันซื้อหัวปลีมาด้วยนะแก วันก่อนได้ยินนิด้าบ่นอยากกินยำหัวปลี” รุ้งลาวัลย์รื้อของออกมาวุ่นวาย 

 “เฮ้ย...แล้วเค้กแกอยู่ไหนวะ” วนิดาโวยเสียงดังขึ้นมา

“แช่น้ำขวดไว้ยัง”

“อย่าลืมแช่เบียร์ด้วยนะยะ น้ำไม่มีดีกรี สามีฉันไม่กินนะแก กลัวผิดสำแดง” เปรมิกาว่าอย่างนั้น 

อัศวินียิ้มขำๆ

“วุ่นวายอะไรกันสาวๆ” 

อัศวินีได้ยินเพียงเสียงห้าวทุ้มเพราะหันหลังให้ประตูครัว มือสาละวนอยู่กับการล้างผักในอ่าง

“อ้าว...พี่อาร์ม มาเร็วจังเลยค่ะ” เจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเอ่ยทักพอดีกับที่อัศวินียกผักใส่ถาด เช็ดมือเรียบร้อยหันกลับมาตั้งใจจะไหว้ตามมารยาทก็พอดีที่รุ้งลาวัลย์แนะนำ

“พี่อาร์มรู้จักน้องมิ้วหน่อยสิคะ น้องมิ้ว...น้องสาวพี่เบียร์ไงคะ”

อัศวินีหันมายกมือไหว้ พอเห็นว่าเป็นใครก็ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ยามสบตากับบุรุษร่างสูงใหญ่ หน้าดุดิบเถื่อน สวมเสื้อโปโลสีสันแสบตาลวดลายน่าเวียนหัว นุ่งกางเกงขาสั้นแค่เข่าสีเขียวแบบที่วัยรุ่นหลายคนยังต้องอาย

อ๊าย...! เชื่อในทฤษฎีโลกกลมแล้วจริงๆ 

พวงแก้มเนียนใสซับด้วยเลือดฝาดคล้ายสีของกลีบกุหลาบยามสบตากับดวงตาคมกริบราวใบมีดโกนคู่นั้น...ดวงตาที่แลคล้ายกับมีรอยยิ้มขบขันตลอดเวลา  

“เจอกันอีกแล้วนะครับ”

“อุ๊ยตาย! เห็นน้องน่ารักหน่อยเป็นไม่ได้เลยนะพี่อาร์ม งูบนหัวโผล่เชียว” เปรมิกาค้อนขวับทันที   

“แหม...งูเงออะไรกัน ไม่มี้ พูดซะเสียหมด เคยเจอน้องแล้วที่สนามบินหาดใหญ่ ไม่เชื่อก็ถามน้องเขาดูสิ” น้ำเสียงมีแววกลั้วหัวเราะ แววตาพราวระยับแบบที่ทำให้สามสาวเดอะแก๊งแอบสะกิดกันยิกๆ

“จริงเหรอคะน้องมิ้ว” วนิดาย้อนถามบ้าง

“ค่ะพี่นิด้า เอ่อ...เคยเดินชนกันที่สนามบินหาดใหญ่เมื่อตอนที่มิ้วมาจากกรุงเทพฯ ค่ะ แต่ไม่รู้จักพี่เขา”

“เห็นไหม...แล้วก็มากล่าวหาพี่” คนตัวโตที่ดูหน้าดุดัน แต่ยามนี้ทั้งปากและตาดูเหมือนจะยิ้มได้เอ่ยด้วยความสนิทสนม

บรรดาแม่บ้านยังมิวายค่อนขอด “น่ากลัวเห็นคนหน้าตาดีแล้วงูบ่นหัวส่ายหนักก็เลยจงใจเดินชนน้อง”

“แน่ะ...ว่าไปนั่น อ้อ...แล้วไม่ใช่แค่ที่สนามบินนะ ที่โรงพยาบาลจิตเวชก็เจอกันทีแล้ว แล้วเมื่อกลางวันก็ยังเจอน้องที่ปาโต๊ะเพราะน้องไปออกหน่วยฯ แน่ะ...เห็นไหมว่าเราเจอกันบ่อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้จักกันเป็นทางการเท่านั้นเอง”

“ถ้างั้นรุ้งว่านิมนต์ไปหน้าบ้านพูดคุยทำความรู้จักกับน้องดีกว่าค่ะพี่อาร์ม ในนี้คับแคบ พี่อาร์มอยู่คนเดียวก็แทบจะเต็มครัวแล้ว แหม...อย่าให้ได้เป็นนายกสมาคมแม่บ้านทหารบกนะ จะยุสามีให้เซ็นอนุมัติให้สร้างบ้านพักทุกหลังเท่าบ้านพักนายพลเลย”

“เพ้อฝัน เหอะ!”

“โอ๊ย...สาธุ...สาธุ” ลูกคู่ทั้งสองขัดคอ พลอยให้ทั้งกองทัพและอัศวินียิ้มกว้างด้วยความขบขัน 

หญิงสาวหันไปสบตากับชายหนุ่มโดยบังเอิญ ครั้นแล้วพวงแก้มสาวก็เป็นสีระเรื่อ พลอยให้คนหน้าเข้มยิ้มนิดๆ ที่มุมปากด้วยความพึงใจ

“ดูทีวีรอก็ได้ค่ะ เดี๋ยวสักพักพี่โป้งคงกลับมา”

“เอ๊ะ...แล้วนี่พ่อบ้านบ้านอื่นไปไหนกันหมด ทำไมกล้าทิ้งให้พวกผู้หญิงจับกลุ่มกันได้ เดี๋ยวก็ได้วางแผนทำมิดีมิร้ายสามีพอดี” กองทัพว่าอย่างนั้น

“ฆ่าให้ตายเลย เราจะได้ได้เงินประกัน” เปรมิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมเพราะกำลังอารมณ์ขึ้นอยู่พอดี ก่อนเอ่ยต่อไปว่า

“เมื่อคืนใครใช้ให้พาเพื่อนมากินเหล้าที่บ้าน พอเหล้าหมดเพื่อนตัวดีก็คลานกลับบ้านใครบ้านมัน ส่วนคุณสามีสุดที่รักนะคะ เช้ามาตื่นสายอีก เราก็ไม่ปลุกหรอก ชิ พอตื่นมาก็รีบอาบน้ำตาลีตาเหลือกไปทำงาน เป้ก็ทิ้งไว้รกๆ แบบนั้นแหละ ไม่เก็บหรอก เก็บแล้วเคยตัว อยากกินก็กินไป แต่กินแล้วต้องเก็บเอง”

“ส่วนสามีดิฉันนะคะ ป่านนี้ไม่รู้ปลุกปล้ำลูกลิงน้อยอาบน้ำเสร็จหรือยัง เมื่อตอนออกมาเจ้าลูกชายสองหน่อชวนพ่อเล่นสเกตฟองสบู่ในห้องน้ำ” วนิดาเอ่ยบ้าง 

“ทำไมบ้านแกเล่นพิเรนทร์จริง เกิดหัวร้างข้างแตกมันสมองไหลขึ้นมาทำยังไง” รุ้งลาวัลย์บรรยายเห็นภาพ

อีกฝ่ายกลับยักไหล่ “ก็ไม่ทำยังไง มีสามีใหม่ซะก็สิ้นเรื่อง”  

ชายหนุ่มคนเดียวในห้องนั้นเกาหัวแกรกๆ พลางส่ายหน้ายิ้มๆ

“ดูความคิดแต่ละคนซิ แล้วมันน่าให้เรามีเมียไหม”

“โอ๊ย! อย่ามาพูดเลย อย่างพี่อาร์มยกสินสอดมาเป็นล้าน แถมข้าวสารให้ทุกเดือนยังไม่รู้จะมีใครเอาหรือเปล่า หนุ่มเจ้าสำราญออกอย่างนี้”

“เวรกรรม! พูดซะเสียหายหมดเลย” ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความขบขัน

“เชิญหน้าบ้านดีกว่าค่ะพี่อาร์ม” รุ้งลาวัลย์ไล่อีกที เพราะถ้าขืนกองทัพยังอยู่ เหล่าแม่บ้านไม่เป็นอันได้ทำอาหาร ก็คณะนี้เขาคุยกันไปขัดคอกันไปได้ตลอดเวลานี่นา

“น้องมิ้วแน่ะ ออกไปนั่งคุยเป็นเพื่อนพี่อาร์มหน่อย ทางนี้เดี๋ยวพวกพี่จัดการเอง แป๊บเดียวเสร็จ”

เปรมิกาและวนิดาแม้จะเพิ่งมาสมทบ ไม่เคยรู้ถึง ‘แผนจับคู่’ มาก่อน แต่เรื่องอย่างนี้ก็ไวเหมือนกัน เพราะพอสบตากันก็เป็นอันรู้ความหมาย แอบซ่อนยิ้มกันเป็นเชิงรู้กัน 

อัศวินีมีท่าทางอึกอักเล็กน้อย ให้เธอออกไปนั่งคุยเป็นเพื่อนผู้ชายที่ตัวเองแอบปิ๊งอยู่นี่นะ...อายชะมัด แล้วอีกอย่าง...เกรงจะไม่งามสิคะ ก็ดิฉันเป็นกุลสตรีศรีสยามนี่นา แต่เธอก็ไม่ต้องลำบากใจมากนักเมื่อเด็กๆ วิ่งเข้ามาหาคุณแม่ในครัวพลางร้องหิวข้าวกันวุ่นวาย รุ้งลาวัลย์จึงได้ที ยัดเยียดชามข้าวใส่มือให้ทั้งอัศวินีและกองทัพ บอกหน้าตาเฉยว่า

“วานช่วยดูแลลิงน้อยทานข้าวด้วยนะคะ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง”

“ใช่ๆ ช่วยกันซ้อมไว้ พอมีเป็นของตัวเองจะได้คล่อง” เปรมิกาหันมาสนับสนุนแล้วก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และไม่ยอมสบตาเอาซะดื้อๆ เมื่อชายหนุ่มหรี่ตามอง

 

บรรยากาศมื้อเย็นเต็มไปด้วยความครื้นเครง เด็กๆ ซึ่งรับประทานอาหารเรียบร้อยตั้งแต่ตอนหัวค่ำก็วิ่งเล่นสนุกสนานกันอยู่ในบ้าน ส่วนผู้ใหญ่นั่งรับประทานอาหารและคุยกันที่ลานหลังบ้าน เสียงพูดคุยหัวเราะสลับกระเซ้าเย้าแหย่ดังไม่ขาดระยะ 

ถึงแม้จะไม่เคยรู้จักกับบรรดาเพื่อนพี่ชายและครอบครัวมาก่อน แต่อัศวินีก็ทำตัวกลมกลืนได้ไม่ยากเพราะทุกคนให้ความเป็นกันเอง อีกทั้งเธอก็โตมากับครอบครัวที่พ่อแม่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ ถึงเวลาก็นัดกันทำอาหารรับประทาน พบปะสังสรรค์กันเช่นนี้ 

บรรดาชายหนุ่มทั้งสี่พอมีน้ำมีดีกรีเข้ามาช่วยย่อยอาหาร เสียงก็เริ่มดังขึ้น ขณะที่ผู้หญิงก็ดูจะมีความสุขกับการได้ขัดคอ ต่อล้อต่อเถียง ต่อปากต่อคำกับทั้งสามีตัวเองและเพื่อนสามี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวดังออกมาจากในบ้าน ดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากครอบครัวของเธอเมื่อสมัยก่อนนัก อัศวินีจึงรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขคล้ายได้หวนกลับไปสู่ชีวิตวัยเยาว์อีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม...ในขณะที่คนอื่นๆ พูดคุยหัวเราะเสียงดัง บุรุษผู้หนึ่งซึ่งตอนแรกกระเซ้าเย้าแหย่บรรดาแม่บ้านอยู่ดีๆ ยามนี้กลับนั่งดื่มเงียบๆ อมยิ้มบ้างเมื่อถูกแซว ไม่รู้อุปาทานหรือเปล่าที่เธอเผลอหันไปมองทีไรก็จะได้สบตากับดวงตาคมแต่มีรอยยิ้มในตาคู่นั้นอยู่ร่ำไป พอสบตากัน พวงแก้มสาวก็ร้อนผ่าวจนต้องบังคับตัวเองไม่ให้หันไปมอง แต่จากหางตาก็ยังแอบเห็นอีกฝ่ายมองเป็นระยะ ดังนั้น...แม้จะเพลิดเพลินกับการนั่งฟังพี่ๆ สนทนากระเซ้าเย้าแหย่กันเพียงใด แต่อัศวินีก็อึดอัดแกมขัดเขินเจ้าของดวงตาคมกริบคู่นั้นชอบกล

หลังมื้ออาหาร ผู้หญิงนั่งคุยกันสักพัก ก่อนช่วยกันเก็บข้าวของ อัศวินีรีบประจำตำแหน่งเก็บล้างเพราะตอนทำก็ไม่ได้ช่วยทำ แต่จะว่าไปแล้วเธอก็คงช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกจากเป็นลูกมือ เพราะเธอไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องทำอาหารเลย งานครัวเธอทำได้อย่างเดียวแค่เบเกอรีเพราะเคยช่วยแม่ทำเป็นอาชีพเสริมตั้งแต่เด็ก

หลังจากทำความสะอาดครัวเรียบร้อย ผู้หญิงก็พาลูกกลับบ้าน รุ้งลาวัลย์เตรียมที่นอนให้อัศวินีนอนห้องเล็กหลังบ้า นซึ่งเธอเตรียมพร้อมไว้รับแขกอยู่แล้ว น้องการ์ตูนมาช่วยคุณแม่เตรียมที่หลับที่นอนให้ ‘อามิ้ว’ ครั้นคุณอาชวนเล่นชวนคุย เด็กหญิงก็ติดคุณอาแจ อ้อนแม่อยากจะขอนอนกับคุณอา

“ถ้าหนูนอนกับคุณอามิ้ว คุณแม่ก็เหงาสิคะ” ผู้เป็นแม่บอกลูกสาวว่าอย่างนั้น 

“คุณแม่ก็มีคุณพ่อนอนเป็นเพื่อนแล้วไงคะ”

ผู้ใหญ่ถึงกับหัวเราะคิกเพราะความช่างพูดของเด็กหญิง

“แหม...อย่าว่าแต่ขึ้นบ้านเลยค่ะ แค่ลากสังขารเข้าบ้านก็ไม่รู้คุณพ่อไหวหรือเปล่า พ่ออาร์มมาทีไร คุณพ่อนอนแผ่หลาหมดสภาพหน้าทีวีทุกที” ว่าพลางหัวเราะ 

“น้องมิ้วตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวพี่เปิดไฟตรงบันไดเอาไว้ เผื่อจะลงไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ส่วนหนุ่มๆ ก็ปล่อยเขาไปค่ะ ช่วงไหนสถานการณ์ไม่ค่อยดีก็หน้าดำคร่ำเครียดกัน ไม่ค่อยมีเวลา พอสถานการณ์เริ่มสงบบ้างถึงได้มีเวลามานั่งดื่มนั่งผ่อนคลายกันแบบนี้”

“พี่รุ้งใจกว้างนะคะที่ยอมให้สามีดื่มได้” อัศวินีเอ่ยชมด้วยความจริงใจ แม้เธอจะโตมากับครอบครัวที่เป็นสิงห์นักดื่มตัวยงกันทั้งบ้าน ยกเว้นก็แต่พี่ชายคนโต แต่บางครั้งเธอก็นึกรำคาญบรรดาขี้เมาที่พอเมาแล้วก็ชอบแซว พูดคุยหัวเราะกันเสียงดัง

“ทำยังไงได้คะ ก็ในเมื่อเลือกสามีเป็นทหารแล้วก็ต้องยอมรับสภาพ ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเปลี่ยนสามีใหม่ ซึ่งก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน”

อัศวินีหัวเราะคิก พลอยให้คนที่มาเข้าห้องน้ำในบ้านเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนอมยิ้มยามนึกถึงดวงหน้าจิ้มลิ้มที่มีลักยิ้มมุมปาก 

กองทัพไม่ได้ยินว่าสาวๆ คุยอะไรกันบ้าง แต่ทันทีที่เดินออกไปร่วมวง ยกแก้วขึ้นดื่ม บรรดาพรรคพวกก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“น้องไอ้เบียร์น่ารักเนอะ มึงจีบสิอาร์ม”

คนไม่ทันตั้งตัวถึงกับสำลักเหล้า ไอค็อกแค็ก พลอยให้บรรดาสิงห์สุราซึ่งกำลัง ‘ได้ที่’ หัวเราะร่วน

“อ้าว...แล้วกัน แทงใจดำพอดี เลยสำลักเลย ฮ่าๆๆ”

“กูเห็นนะโว้ย! แหมๆๆ มีแอบส่งตาหวานให้น้องเขาด้วย”

“จีบๆๆ กูเชียร์ น้องน่ารัก นิสัยใจคอก็ดูใช้ได้ แต่อย่าให้อยู่กับแก๊งเมียๆ พวกเราเยอะนะ แม่ง...เดี๋ยวติดนิสัยขย่ม เอ๊ย...ข่มผัว” ใครคนหนึ่งบ่นกระปอดกระแปด ขณะที่คนที่เหลือหัวเราะชอบใจ

“แล้วมึงก็ยอม?”

“เชื่อฟังเมียได้ดีทุกคน” คนบ่นเอ่ยหน้าตาเฉย พลอยให้รอบวงฮาลั่นอีกครา

“กลัวเมียก็ว่ามาเหอะ”

“หรือมึงไม่กลัว”

“กูไม่เคยกลัวเมีย แค่ไม่ชอบขัดใจ รำคาญเวลาบ่น”

“เหอะ พ่อมหาจำเริญ พ่อคนไม่กลัวเมีย”

พอได้พูดเรื่องเมียก็ดูท่าจะมีอะไรให้ระบายกันยาว แต่ชเยศยังไม่ลืมบทสนทนาตอนต้น

“จีบเลยอาร์ม กูเชียร์”

กองทัพยกแก้วเหล้าขึ้นส่องไฟก่อนเขย่าก๊องแก๊งไปมาเหมือนเด็กซุกซน 

“พันกันอีนุงตุงนังขนาดนี้ ไอ้เบียร์มันคงยอมให้กูจีบน้องมันหรอก เหอะ!” เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่ดูเหมือนจะคิดถึงความเป็นไปได้พอควร

บรรดาเพื่อนฝูงในวงซึ่งต่างรู้ถึงความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงตีหน้ายุ่ง บางคนเริ่มชะงัก 

“น้องมิ้วรู้หรือเปล่าว่ามึงเป็นใคร”

‘เป็นใคร’ ที่ว่า หมายถึงเป็นญาติผู้พี่ของภรรยากลินท์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความยุ่งเหยิงทั้งปวง

“น่าจะไม่รู้” กองทัพมีสีหน้าครุ่นคิด แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าอัศวินีไม่รู้จักเขาแน่ๆ เพราะช่วง ‘เกิดเรื่อง’ บรมวิชชุ์ก็กลับไปอยู่ที่ค่ายนเรศวรแล้ว พลอยห่างจากกลุ่มเพื่อนทางนี้ไปโดยปริยาย และกองทัพเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าบรมวิชชุ์เองก็คงจงใจปิดประตูตายไม่ให้น้องสาวรับรู้อะไรเกี่ยวกับกลินท์และคนทางนี้เช่นกัน

“ทำไมมึงเชียร์ไอ้อาร์มให้จีบน้องไอ้เบียร์วะโป้ง” ใครคนหนึ่งหันไปหาตัวต้นคิด

“ก็กูเห็นน้องเขาน่ารักดี นิสัยใจคอก็ดูใช้ได้ ส่วนไอ้อาร์มก็โสด เห็นยังโสดกันทั้งคู่ก็อยากให้ลองคบหากันดู”

“เหอะ! ทำยังกับไม่รู้นิสัยไอ้เบียร์” ใครบางคนว่าอย่างนั้น 

เรื่องความหวงน้องของบรมวิชชุ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่เพื่อนฝูง เพื่อนส่วนใหญ่ล้วนรู้จักพี่ชายของบรมวิชชุ์เพราะอยู่ในแวดวงทหารตำรวจเหมือนกัน แถมยังเรียนรุ่นใกล้กัน เป็นธรรมดาที่ต้องรู้จักกันเพื่อให้มีคอนเนกชันนอกเหล่าทัพ ส่วนคนที่สนิทจริงๆ ล้วนเคยไปนอนกองบิน 7 กินเหล้าแกล้มหอยนางรมมาแล้วทั้งนั้น ส่วนน้องสาวนั้น...น้อยคนนักจะเคยเห็น เพราะพอเพื่อนๆ แกล้งถามถึงน้องสาว เจ้าตัวก็มองตาขวางซะอย่างนั้น

“จีบเหอะอาร์ม กูกลัวมึงขึ้นคาน” ชเยศสรุปเอาดื้อๆ

“ห่า! แล้วมึงจะมาหนักอะไรกับการขึ้นคานไม่ขึ้นคานของกู” กองทัพย้อนถามยิ้มๆ 

“ก็ถ้ามึงไม่มีแฟน ไม่แต่งการแต่งงานไปซะที ว่างเมื่อไหร่มึงก็เทียวโทร. ชวนกูไปกินเหล้าไปเที่ยวด้วยตลอด เดี๋ยวสักวันถ้าเมียกูรู้ว่ากู ‘ไปราชการ’ กับมึง มีหวังตายศพไม่สวย” ลดเสียงเบายิ่งในประโยคหลังๆ 

คำว่า ‘ไปราชการ’ พลอยให้บรรดาแก๊งเพื่อนซี้ต่างอมยิ้ม ‘รู้กัน’

“กินเด็กแล้วจะเป็นอมตะ มึงเชื่อกูอาร์ม” ใครคนหนึ่งสรุปตบท้ายว่าอย่างนั้น

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น