10

บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

 

ท้องฟ้าเช้านี้สดใส เมฆหนาครึ้มถูกลมพัดพาไปไกลเหนือน่านฟ้าเมืองหลวง แทนที่ด้วยแดดอ่อนและกลุ่มนก เกนนิษฐาค่อยเผยอเปลือกตาช้าๆ ข้างตัวว่างเปล่า เป็นอีกครั้งที่สามีกับลูกตื่นก่อน วันนี้หญิงสาวรู้สึกปวดหัวหนึบจึงไม่ผลุนผลันลุกจากเตียง เธอปิดเปลือกตา  คิดในใจว่าขออีกห้านาที และอีกห้านาทีหลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ขณะกำลังเคลิ้มหลับ ประตูห้องก็ถูกทุบรัวๆ ดังจนเกนนิษฐาไม่พอใจ เธอลุกขึ้นนั่ง ปรายตามองมารินทร์ที่เดินเข้ามา

“ว่าไงเดือน มีอะไรรึเปล่า” เกนนิษฐาสะกดอารมณ์หงุดหงิด

คนถูกถามทิ้งช่วงนานพอดูจึงโต้ตอบ คำพูดนั้นทำเอาเกนนิษฐาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

“คุณอิงพูดอะไรคะ เอมไม่เข้าใจ”

เกนนิษฐาหันขวับ หญิงวัยเบญจเพสที่ยืนข้างประตูมีใบหน้าคล้ายมารินทร์ แต่ความรู้สึกร่ำบอกว่าไม่ใช่น้องสามี เธอคลึงนิ้วนวดขมับ แล้วหันไปมองอีกครั้ง ภาพในคลองสายตายังเป็นภาพเดิม ผู้หญิงที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับมารินทร์ แต่เสื้อผ้า ผมเผ้าต่างออกไป เธอสวมเสื้อคอกระเช้าสีขาว นุ่งผ้าถุงสีขาบ

ความแปลกใจจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว จำต้องใช้เวลาพอสมควรจึงตระหนักว่าเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ‘ฝันย้อนอดีต’ หนก่อนเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้มีโอกาสรับบทแม่หญิงในยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย ไม่คิดว่าตัวเองจะฝันซ้ำ ยิ่งกว่านั้นฉากทุกอย่างยังคงเดิม เพดานสีครีมตัดกับประตูสีเขียวตอง ใต้พื้นห้องเป็นที่ทำงานของกรรมกรนับสิบและหนึ่งในนั้นมีใบหน้าละม้ายวิมวัชร์

ความทรงจำค่อยๆ หลั่งไหลคืนสู่สมอง พร้อมความจริงน่าหวาดหวั่น เกนนิษฐาเป็นชื่อยามตื่น ในฝันย้อนยุคทุกคนเรียกเธอว่าอิง แต่นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน ชื่อจริงของผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น...

ลวาด!

เกนนิษฐาพยายามหยุดความคิดนั้นไว้และเตือนตัวเองว่าหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่คุยกับโฉมมากเกินไปจนเก็บมาฝัน แต่นั่นละที่แปลก หญิงสาวจำได้ดี ทำไมเธอรู้สึกคุ้นชื่อแปลกๆ นี้ตอนสนทนากับหญิงชรา ไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่คนใดในศุภานุรักษ์หรือพลชีวันอย่างที่เคยคิด แต่ได้ยินมาก่อนในฝันย้อนอดีตต่างหาก

“คุณอิงเป็นอะไรรึเปล่าคะ” เอมค้อมมอง

“ฉันไม่ใช่คุณอิงอะไรของเธอหรอก” เกนนิษฐากระแทกเสียงใส่ หนก่อนเธอสนุกกับความฝัน แต่หนนี้เป็นความหวาดสะพรึง “ออกไปก่อน ฉันอยากอยู่คนเดียว”

“แต่วันนี้...”

“ฉันบอกให้ออกไป!”

เกนนิษฐาตวาดเสียงดัง บ่าวหญิงอ้าปากค้าง ก่อนก้มหน้าก้มตาเดินออกไปจากห้อง ความรู้สึกผิดเล็กๆ แต้มลงบนใจเกนนิษฐา แต่เวลานี้สมองเธอต้องการเรียงร้อยเหตุการณ์เพื่อให้เข้าใจว่ากำลังเจออยู่กับความบังเอิญหรือเรื่องประหลาดวิปลาสอันใด

เหตุการณ์ในฝันต่อเนื่องไม่ขาดหาย และชัดในความทรงจำ ฝันครั้งก่อนเธอได้พบกับญาติกาถึงสองคน พระยาพิทยบริบาลเป็นชายอายุราวห้าสิบเศษ ใบหน้าเคร่งขรึม ดำรงไว้ซึ่งอำนาจวาสนา ส่วนบุตรชายของเขา แม้ไม่เกรงขามเท่า แต่ก็เป็นชายบุคลิกดี พูดจาฉะฉาน น้ำเสียงชวนฟัง รูปโฉมโนมพรรณดึงดูดเพศตรงข้าม ภาพหลวงฉันฯ แสดงสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อถูกยันด้วยเท้ายังคงติดตา แต่ทั้งหมดที่ว่าล้วนเลือนลับจากความทรงจำเมื่อพ้นห้วงภวังค์

เสี้ยวหนึ่งของความคิดพยายามผลักไสความน่าจะเป็นบางอย่างออกไป เป็นต้นว่าที่นี่อาจไม่ใช่โลกแห่งความฝัน เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นมีแค่ในนิยาย แต่เมื่อสังเกตสัมพันธภาพระหว่างรสอารมณ์ กายสัมผัส และเวลา มิอาจปฏิเสธว่าเสี้ยวเล็กนั้นกำลังแพร่ลุกลาม  ใครบางคนเคยบอกว่าความฝันมักไม่มีจุดเริ่มต้นและไปไม่ถึงจุดจบ แต่เกนนิษฐารู้สึกว่าฝันย้อนอดีตจะเริ่มเมื่อเธอหลับในโลกแห่งความจริง และดุจเดียวกันมันจะสิ้นสุดเมื่อจมสู่ภวังค์ในโลกแห่งความฝัน

“ต้องพิสูจน์” เกนนิษฐาพึมพำ ครั้งก่อนเธอลองแล้วไม่พบวิธีใดช่วยให้หลุดจากความฝัน ยกเว้นวิธีเดียวที่ยังไม่ได้ลอง...อัตวินิบาตกรรม 

หญิงสาวไม่แน่ใจว่าความคิดบ้าบอพรรค์นั้นเป็นแรงส่งให้เดินตรงไปที่หน้าต่างหรือเปล่า เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นเหยียบขอบไม้ อีกข้างเขย่งดันร่างลอยเหนือพื้น เกนนิษฐาขึ้นไปนั่งยองๆ อยู่บนวงกบหน้าต่าง ทอดมองไกลถึงลำน้ำใหญ่ แสงแดดกระทบแผ่นน้ำเกิดประกายระยิบวิบวับ หญิงสาวผู้หลงยุคไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสายลมเย็นหรือเปลวแดดอุ่นที่ทำให้อารมณ์พลุ่งพล่านผ่อนเพลาลง เกนนิษฐาสูดลมหายใจลึก และระบายออกช้าๆ

“สติเกน...สติ” เธอเตือนตัวเอง

สิ้นเสียงกระซิบ ประตูห้องก็เหวี่ยงออก รื่นหน้าซีดเมื่อเห็นลูกสาวไปอยู่ในที่ที่ไม่ควร หญิงวัยกลางคนร้องเสียงหลง

“อิง นั่นลูกจะทำอะไร!”

เกนนิษฐาเหลียวกลับไปมอง วินาทีนั้นเธอเสียหลัก เท้าข้างหนึ่งเลื่อนหลุดจากขอบวงกบ เธอควานเปะปะหาที่เหนี่ยว แต่คว้าได้เพียงอากาศ ร่างของเกนนิษฐาร่วงตกลงไปด้านล่าง

เคราะห์ดีกลุ่มกุลีหนุ่มซึ่งได้ยินเสียงตะโกนของนางรื่นรีบวิ่งออกมามุง เห็นลูกสาวเจ้าสัวกำลังพลัดตกจากหน้าต่าง จึงรีบกรูกันเข้าไปรับร่างไว้ทันท่วงที

“คุณอิงเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ” ไอ้แฟงถามหน้าตื่น

“โอ๊ย...เจ็บ” เกนนิษฐาพึมพำกับตัว มือคลำอยู่ที่ข้อเท้า

“ไปทำอีท่าไหนถึงพลัดตกลงมาล่ะขอรับ”

แฟงกับเพื่อนอีกคนประคองเกนนิษฐาไปนั่งเก้าอี้ เธอยังไม่ทันได้ชี้แจงว่าเป็นเหตุสุดวิสัย นายจิ้นก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากบ้าน ทีแรกเจ้าสัวหน้าซีดเผือด แต่พอทราบว่าลูกสาวปลอดภัย ไม่มีอะไรบุบสลายแตกหักใบหน้าก็กลายเป็นสีลูกตำลึง เขาตะเพิดกลุ่มลูกจ้าง แล้วเรียกเอมให้มาประคองเกนนิษฐาเข้าไปในห้องโถง เกนนิษฐาจำห้องนี้และป้ายสองแผ่นที่ติดอยู่หลังเก้าอี้ไม้สักประจำตัวของประมุขบ้านได้ แผ่นแรกเขียนว่า การค้าเจริญรุ่งเรือง และแผ่นที่สองเขียนว่า อยากมั่งมี อย่ามัวกลัวสกปรก ข้อความทั้งสองยังคงเดิม

“ลื้อไปได้แล้วอาเอม” จิ้นสั่งเสียงเฉียบ 

คนเป็นบ่าวบ่าวลอบมองนายหญิงของมันแวบหนึ่งก่อนเดินออกไป สวนกับนางรื่นที่เดินเข้ามาหมายสอบถามอาการลูกสาว แต่นายจิ้นพูดแทรกเสียก่อน 

“อย่าเพิ่ง...ลูกสาวตัวดีของลื้อไม่เป็นอะไรหรอก ขออั๊วคุยกับอีก่อน” 

สายตาขุ่นเคืองจ้องลูกสาว เกนนิษฐาจ้องกลับ แต่ลึกๆ เหมือนร่างกายที่ไม่ใช่ของตัวเองสั่งให้ผินหนี

“อาอิง ลื้อจะดื้อดึงไปถึงไหน ไม่รู้รึว่าผู้หญิงทั้งเมืองอยากได้คุณหลวงอีเป็นผัวทั้งนั้น มีแต่ลื้อนี่ละ เล่นตัวไม่เข้าท่า”

เกนนิษฐาสับสนกับเรื่องที่ได้ยิน “ผะ ผัว?! อะไรนะคะ”

คนเป็นแม่แอบเอามือลูบหลังลูกสาวอย่างเป็นห่วงก่อนพูด “ให้หนุ่มสาวเขาดูๆ กันไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอเฮีย คนเพิ่งเคยเจอหน้าไม่กี่ครั้ง จะให้ตบแต่งกันมันจะอยู่ไม่ยืดน้าเฮียน้า”

“อั๊วกับลื้อเจอกันครั้งแรกวันแต่งงานยังอยู่มาจนวันนี้ เรื่องนี้เราเคยคุยกันแล้วนะอารื่น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอั๊วเอง ลื้อไม่ต้องมายุ่ง”

บทสนทนายังคงดำเนินต่อ เผยเรื่องราวให้เกนนิษฐาปะติดปะต่อทีละน้อย 

“เจ้าคุณก็รอคำตอบจากทางเราอยู่ ท่านปรานีแค่ไหนที่ขอตัวลื้อไปเป็นสะใภ้ คุณหลวงอีก็เป็นคนเก่ง จบจากเมืองนอกเมืองนา หน้าที่การงานหรือก็ดีเด่น ไม่เป็นพวกไม้หลักปักเลน สนิทสนมกับกลุ่มนักเรียนฝรั่ง เผลอๆ อีอาจจะได้เป็นเจ้าคุณตอนอายุไม่เต็มสี่สิบ ถึงตอนนั้นลื้อก็จะได้เป็นคุณหญิง” สีหน้านายจิ้นดูแช่มชื่น แต่เพียงครู่เดียวก็จางไปเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “ที่สำคัญ สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ก็ไม่สู้ดีนัก ถ้ามีคนดูแลลื้อ อั๊วจะได้เบาใจ”

รื่นอ่านสีหน้าสามีออก “เกิดเรื่องอะไรเหรอเฮีย”

ความไม่สบายใจของจิ้นมีเหตุมาจากการพบกันครั้งล่าสุดของพระยาพหลฯ กับเสือผู้น้อง บ่ายวันหนึ่งขณะพระยาฤทธิอัคเนย์ กำลังปฏิบัติหน้าที่ ณ กระทรวงเกษตราธิการ นายตำรวจสันติบาลใหญ่สองนายขอเข้าพบ พร้อมแจ้งข้อความสั้นๆ ‘เจ้าคุณพหลฯ เชิญใต้เท้าไปประชุมที่วังปารุสก์ เดี๋ยวนี้’

พระยาฤทธิฯ มิได้เฉลียวใจเลยว่ากำลังเดินเข้าสู่กับดักทางการเมือง ครั้นถึงวังปารุสก์ มีคณะผู้ก่อการระดับสูงรออยู่หลายคน พระยาพหลฯ มอบให้หลวงพิบูลฯ เป็นผู้เจรจา รัฐมนตรีหนุ่มผู้เรืองอำนาจไม่อารัมภบทมากความ ตั้งข้อกล่าวหากับพระยาฤทธิฯ หลายประการ อาทิ มีส่วนรู้เห็นในการก่อกบฏบวรเดช เป็นตัวการว่าจ้างนายพุ่ม ยิงหลวงพิบูลฯ ที่ท้องสนามหลวงเมื่อปี ๒๔๗๗ ซึ่งรัฐมนตรีหนุ่มกล่าวว่า ทางอธิบดีกรมตำรวจมีหลักฐานพร้อมอยู่แล้ว ท้ายที่สุด คณะผู้ก่อการเห็นสมควรให้ฟ้องศาล แต่เนื่องจากพระยาฤทธิฯ เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จึงเสนอทางเลือกให้สองทาง หนึ่งคือลาออกจากราชการแล้วเดินทางไปอยู่นอกประเทศเสีย หรือสองยอมขึ้นศาลพิเศษเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง นายพันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์จำใจเลือกข้อแรก...

ดูเหมือนนายจิ้นกับพรรคพวกจะเลือกสนับสนุนข้างผิด

“ไม่ใช่เรื่องของลื้อน่าอารื่น” จิ้นดึงความคิดกลับสู่ปัจจุบัน “ไป อาอิง ลื้อไปอาบน้ำแต่งตัวซะ อีกประเดี๋ยวคุณหลวงอีจะมาแล้ว”

หญิงสาวไม่พูดอะไร ลุกไปอย่างว่าง่าย เธอไม่สนใจฟังเหตุหักเหลี่ยมระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับขั้วอำนาจใหม่ที่บิดาอุปโลกน์เล่า แต่เธอกำลังนึกถึงสิ่งที่โฉมพูด โศกนาฏกรรมแห่งความรักที่เกี่ยวพันกับชายหญิงและมนตร์ดำ ความรู้สึกสมัยเยาว์กว่านี้คุกรุ่นพร้อมสติสัมปชัญญะ เกนนิษฐารำพันในใจ

จะฝันจริงหรือปลอมก็ไม่รู้ละ แต่ก่อนตื่น ฉันจะเล่นสนุกกับแกก็ได้...นังลวาด

 

บ่าวคนสนิทนั่งพับเพียบเงียบขรึมร่วมครึ่งชั่วโมง แม้ขณะหวีผมให้นายจ้างสาวยังคงปิดปากเงียบ เอมน้อยใจที่จู่ๆ ถูกตวาดแว้ดโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เธอเป็นเพียงคนรับใช้ การตอบโต้ที่ทำได้คือหุบปาก เกนนิษฐาสังเกตเห็นกิริยากะบึงกะบอนได้ตั้งแต่กลับขึ้นมาบนห้อง ดูเหมือนคน พ.ศ. นี้จะเก็บอาการไม่ค่อยเก่ง ไม่เหมือนคนในยุคมิลเลนเนียลส์ที่ใบหน้าซ้อนไว้ด้วยหน้ากากหลายชั้น อย่างไรก็ตามเกนนิษฐายังคงนั่งแต่งหน้าเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายร้อนรุ่ม เธอชอบเป็นคนคุมเกมมากกว่าและดูเหมือนเอมจะไม่ได้มีเพียงความสะสวยที่คล้ายกับมารินทร์ นิสัยใจร้อนก็แทบถอดกันมา

“โหย คุณอิงเป็นอะไรหรือคะ นั่งเงียบไม่พูดไม่จาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วนะคะเนี่ย”

“เปล่า” นายจ้างสาวตอบไว้เชิง

“ใครทำอะไรให้คุณอิงของเอมเคืองเอารึ ถึงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้น ซ้ำยัง...”

“ซ้ำยัง? ซ้ำยังอะไร” เกนนิษฐามองคู่สนทนาผ่านกระจกวาวใส อีกฝ่ายเองก็ไม่คิดหลบสายตา ยังจ้องเขม็งคล้ายสำรวจร่องรอยบางอย่างที่ซุกแทรกอยู่ในดวงหน้าที่สะท้อนบนกระจก

 “บอกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเอง” เอมออมเสียง “แถมคิดฆ่าตัวตาย”

เกนนิษฐาเป็นฝ่ายหลบสายตาจับผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ “ฉันไม่พอใจที่คุณพ่อบังคับให้ฉันไปคบค้าสมาคมกับอีตาคุณหลวงอะไรนั่นละมั้ง”

“คุณพ่อ?” ฝ่ายสาวใช้ย้อนถาม “คุณอิงพูดจาพิลึกอีกแล้ว”

“กะ ก็เตี่ยนั่นละ” เกนนิษฐาเข้าใจว่าตัวเองพูดบางอย่างผิดไปจากเคย จึงรีบตัดบท “ว่าแต่ฉันเคยพูดอะไรเกี่ยวกับหลวงฉันท์ให้เธอฟังบางรึเปล่า”

“คุณอิงจำคำพูดของตัวเองไม่ได้หรอกหรือคะ”

“ฉันถามอะไรก็บอกมาเถอะน่า อย่ายอกย้อนให้มากเรื่อง” 

หญิงสาวพลัดยุคแกล้งทำเสียงแข็ง อีกฝ่ายหน้ามุ่ยก่อนเล่าว่าหลวงฉันฯ กับลวาดรู้จักกันได้เดือนเศษ ฝ่ายชายแสดงพฤติการณ์ชัดเจนว่าสนใจฝ่ายหญิง เทียวไปเทียวมาอยู่หลายหน นายจิ้นนิยมอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวเนื่องด้วยเป็นบุตรพระยาผู้มีอุดมการณ์และจริตหลายอย่างตรงกัน ด้านนางรื่นก็เห็นชอบตามสามี ทว่าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มเป็นเชื้อสายขุนนาง แต่เพราะมีบุคลิก กิริยาจัดว่าต้องตาต้องใจผู้หลักผู้ใหญ่ ค่ำวันหนึ่งหลังจากเจ้าสัวกลับถึงบ้าน เขาแจ้งว่าเจ้าคุณพิทย์ฯ ประสงค์อยากได้ลวาดไปเป็นสะใภ้ ทว่านางรื่นพบพิรุธบางอย่างอาบไล้อยู่บนใบหน้าสามี มันคือความผิดหวัง

“ทำไมล่ะ น่าจะสมใจเตี่ยไม่ใช่เหรอ” เกนนิษฐาย้อนถาม

“โถ คุณอิงก็รู้อยู่เต็มอกยังทำเฉไฉ”

“ฉันลืมไปหมดแล้ว รีบๆ พูดมาเถอะ”

“ลืมง่ายขนาดนั้นเชียวหรือคะ” เอมย่นคิ้ว ครั้นเห็นนายจ้างมองตาขวางจึงจำใจเล่าต่อ “หึ! ก็เจ้าคุณพิทย์น่ะซี่ บอกว่าจะรับคุณอิงเป็นสะใภ้ก็จริง แต่ใครก็โจษกันทั่วว่าเอาไปเป็นเมียรองให้ลูกชาย”

 เกนนิษฐาชะงัก คำพูดของโฉมดังอึงในโสต ‘ไม่มีใครพรากคุณหลวงไปจากหล่อนได้ และคุณหลวงจะกลับไปหาหล่อนอย่างแน่นอน’

 

ถนนสายเล็กคั่นโกดังเก็บสินค้ากับคฤหาสน์หลังงามที่สร้างจวนเสร็จ รถยนต์มอร์ริสสีครีมแล่นเนิบเลาะราวรั้วที่กำลังก่อสร้าง สารถีเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ อายุสามสิบเศษ ชื่อย้ง พระยาพิทฯ เพิ่งรับตัวเข้ามาทำงานได้ไม่ถึงสามเดือน และมอบหน้าที่ให้เป็นพลขับประจำตัวบุตรชาย

นายจิ้นยืนรอท่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ทางฝ่ายเกนนิษฐาจับตามองชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง คุณตาของเธอมาในชุดสูทขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาเข้ม สวมหมวกปานามาสีเดียวกับชุด การจัดระเบียบร่างกายขณะก้าวลงจากรถ ทั้งขยับเสื้อให้เรียบตึงหรือถอดหมวกสมเป็นผู้ที่ได้รับการขัดเกลาในโลกอารยะมาเป็นอย่างดี หญิงสาวได้ยินเอมครางฮืออย่างลืมตัว

“พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย เทพบุตรชัดๆ”

 “คุณอา” เทพบุตรคนนั้นปรารภพร้อมยกมือไหว้

“ไหว้พระเถิดคุณหลวง” จิ้นตอบกลับตามมารยาท “วันนี้จะพากันไปไหนล่ะ”

“ก็ว่าจะพาลวาดไปเดินแถวบางลำพู เห็นคราวก่อนบ่นว่าอยากได้อุปกรณ์เย็บปัก”

เจ้าสัวคิ้วขมวด หันไปถามลูกสาว “ที่บ้านเราไม่มีหรอกรึ ทำไมต้องลำบากคุณหลวง”

เกนนิษฐายิ้มแหยพลางถามตัวเอง คิดอะไรของเธอ หือ ลวาด โรแมนติกมาก ชวนผู้ชายไปซื้อเข็มกับด้าย

 “ไม่เป็นไรครับคุณอา” หลวงฉันฯ แสดงตัว “ผมเต็มใจ อีกอย่างก็ว่าจะไปซื้อเครื่องเขียนให้คุณพ่อแถวทรงวาดอยู่พอดี”

ขณะกลุ่มนายจ้างโอภาปราศรัย แฟงสังเกตเห็นว่าคนขับรถของหลวงฉันฯ มองเอมตาเป็นมัน คนถูกจ้องไม่รู้ตัวเพราะกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับรูปลักษณ์ของคนที่เธอพร่ำยอว่าเป็นเทพบุตร แฟงจึงเดินเข้ายืนข้างๆ และกระซิบ

“นี่นังเอม ดูคนขับรถของคุณหลวงสิ จ้องเอ็งตาเยิ้มเชียว”

สาวรับใช้ละสายตาจากหลวงฉันฯ มองไปข้างรถ ย้งส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้อย่างที่แฟงบอก เอมแน่ใจว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน เพียงแต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน ชะรอยความหล่อของคุณหลวงรูปงามจะทำให้ลืมใบหน้าผู้ชายทุกคนบนโลกไปเสียหมด เธอแกล้งหยอกบ่าวร่วมเรือน

“หึงฉันรึพี่แฟง”

“หะ...หึงเหิงอะไรของเอ็งวะ” ไอ้แฟงพยายามปฏิเสธทั้งที่มันคือความจริง ด้วยความที่ทั้งสองคลุกคลีมาเป็นเวลานาน ความผูกพันค่อยก่อตัวขึ้นช้าๆ แรกเริ่มสมัครรักใคร่กันฉันพี่น้อง แต่เมื่อเจริญวัยกลายเป็นสนิทเสน่หาอย่างหนุ่มสาว “ข้าก็แค่เป็นห่วงเอ็งเท่านั้นดอก ดูหน้าตามันซี่ หนวดเครารุงรังยังกับโจรห้าร้อย”

“โถ ตัวเองหล่อตายละพ่อคุณ” เอมเหน็บอีกฝ่าย

“ก็หล่อกว่ามันละวะ” แฟงแอบใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่เอม ก่อนงัดนิ้วโป้งแทงเข้าหาตัว เป็นอวัจนภาษาเพื่อบอกพลขับคนนั้นว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ของกู’

 

รถวิ่งไปบนถนน ผ่านร้านรวงเรียงเป็นพรืดขนานสองฟากฝั่ง ส่วนมากเป็นอาคารไม้ มีบ้างที่เป็นตึกซีเมนต์สูงสองถึงสามชั้น ผู้คนเดินขวักไขว่ล้นถึงกลางถนนไม่เกรงใจรถที่แล่นผ่านไปมา บรรดาแม่ค้าหาบเร่วางกระจาดขายของเกลื่อนบาทวิถี เกนนิษฐามองภาพผ่านกระจกบานเล็กอย่างประหลาดใจ มันต่างจากละครพีเรียดที่เคยรับชม ผู้ชายสวมเสื้อผ้าเกินขนาดตัวหลวมโพรกทั้งเสื้อและกางเกง ฝ่ายหญิงเริ่มสวมเสื้อมีปกและนุ่งกระโปรง ผมดัดเป็นลอนสลวย ใบหน้านวลเรียบไร้เครื่องสำอาง

“ดูอะไรอยู่รึ” หลวงฉันฯ ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม

“บ้านเมือง ถนนหนทาง ผู้คน...ไม่เจาะจงเป็นพิเศษค่ะ” เกนนิษฐาในร่างลวาดตอบห้วนๆ

“เธอก็เห็นอยู่ทุกวันมิใช่รึ หรือเจ้าสัวไม่ยอมให้เธอออกมา โอ แต่ฉันก็เข้าใจนะ ลงฉันมีลูกสาวสวยขนาดนี้ ก็คงหวงเสมอไข่ในหินเหมือนกัน”

 หญิงสาวขนลุกวาบ ไม่ใช่เพราะคล้อยเคลิ้ม แต่ประดักประเดิดกับคำเกี้ยวของญาติตัวเองมากกว่า บางสิ่งในตัวบอกว่านี่เป็นความฝันที่เหมือนจริงนัก 

ฉันไม่ปล่อยให้เธอทำอย่างที่ตั้งใจหรอก

เกนนิษฐาหันกลับไปหาหลวงฉันฯ ตั้งใจใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกับชายหนุ่มให้รับรู้ถึงผลกระทบในวงใหญ่จากความมักมากของเขา แต่ใบหน้าคมคายครึ่งเสี้ยวทำให้หญิงสาวผู้พลัดยุคยั้งปาก 

คุณหลวงหนุ่มมิได้ลอบจ้องอย่างที่เธอเข้าใจ เขาทอดมองไกลไปยังอีกฝั่งถนน ภายในดวงตาแทรกไปด้วยเรื่องราวมากมาย และหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเดียวกับที่สร้างความกังวลใจให้แก่นายจิ้น เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าสัวกับพระยาพิทฯ มีอุดมการณ์ทางการเมืองคล้ายคลึงกัน แม้ฉากหน้าทั้งสองจะวางตัวเป็นกลาง แต่ลับหลังเร้นลอบสนับสนุนกลุ่มขั้วอำนาจตรงข้ามหลวงพิบูลสงคราม ชายหนุ่มหวั่นใจว่าภัยอาจเข้าใกล้ สันติบาลในสังกัดอธิบดีกรมตำรวจจมูกไวยิ่งกว่าสุนัข จึงแนะนำผู้เป็นพ่อว่าควรตั้งหลักประเมินสถานการณ์เสียใหม่ แต่พระยาพิทฯ มองเจตนาดีนั้นเฉไป และหาว่าบุตรชายฝักใฝ่อยู่กับเครือข่ายนักเรียนฝรั่งเศสซึ่งเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมอหังการของผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาล

“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”

“คะ?”

“ฉันเคยเกริ่นเรื่องนี้กับคุณพ่อแล้วแต่ไม่เป็นผล จึงอยากให้เธอขอร้องพ่อของเธอให้ลองทบทวนดูสักครั้ง เวลานี้กลุ่มคนที่สนับสนุนเจ้าคุณทรงกำลังเพลี่ยงพล้ำ ขนาดผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อย่างเจ้าคุณฤทธิ์ยังมิพ้นเงื้อมมือท่านรัฐมนตรี เห็นทีหมากกระดานนี้จะพลิกยาก” ฝ่ายคนที่ไม่สันทัดประวัติศาสตร์ได้แต่นิ่งฟัง หลวงฉันฯ จึงบอกต่อ “ฉันได้ยินคุณพ่อคุยกับคุณพระสนั่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล”

คุณพระสนั่น? หญิงสาวพยายามค้นความทรงจำ คล้ายว่าเคยได้ยินชื่อนี้เมื่อครั้งคุยกับโฉม “พันตรี พระสนั่นโยธินหรือคะ”

 หลวงฉันฯ พยักหน้าอย่างลำบาก “คุณพ่อของฉันกับคุณพระกำลังวางแผนการบางอย่าง ฉันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ก็ได้แต่หวังว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ฉันกำลังคิด”

“อะไรหรือคะ”

คุณหลวงเหลือบมองเบาะตอนหน้า เห็นไอ้ย้งแอบมองอยู่ก่อน แต่มันก็หลบไวพอก่อนที่ใครจะผิดสังเกต 

“ไว้มีโอกาสฉันจะเล่าให้เธอฟัง” เขาเปรย “ว่าแต่เธอจะซื้อเครื่องเย็บปักไปทำอะไรรึ”

หญิงสาวพิเคราะห์ว่าท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยที่เคยพบเมื่อฝันหนก่อนหายไป อาจเป็นเพราะมีเรื่องกวนใจหนุ่มมากรักคนนี้ “จะเอาไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของดิฉัน” 

เธอพูดห้วนเป็นครั้งที่สอง คำตอบนั้นทำให้หลวงฉันฯ ละสายตาจากทิวทัศน์นอกตัวรถหันกลับมามองคู่สนทนา

“เธอเป็นอะไรรึ ดูเหมือนไม่พอใจฉัน”

“คุณหลวงทำอะไรที่ไม่ถูกต้องอยู่รึเปล่าล่ะคะ”

คนโดนถามขบคิดเพียงอึดใจจึงตอบ “ฉันแน่ใจว่าไม่มี หรือถ้าเธอยืนยันว่ามีก็ควรบอกกันตรงๆ มิใช่ให้ฉันเดาสุ่มไปเรื่อย” แววตาคมเข้มพิศดูหญิงสาว เรียวคิ้วเหนือตาคู่นั้นย่นยับ หลวงฉันฯ พูดต่อเบาๆ “เธอดูแปลกไป...เหมือนไม่ใช่ลวาดคนเดิม”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น