บทที่ ๓
สองสามีภรรยาลากลับเมื่อตะวันลับฟ้า ไผทแจ้งว่าขอเวลาหนึ่งคืนเพื่อตัดสินใจอีกครั้ง ความจริงเขายอมสยบต่อข้อเสนอตั้งแต่อ่านเงื่อนไขในสัญญาจบ ฝ่ายที่ควรเสียเปรียบเช่นลูกหนี้กลับได้เปรียบเต็มประตู แต่เพราะข้อเสนอที่ดีเกินไปนั่นเองรั้งไม่ให้ด่วนตัดสินใจ ทั้งสองล่ำลาเจ้าบ้านวัยชรา และออกมาคุยกับนายเวียงสักพักจึงขอตัวกลับ
ตลอดทางกลับบ้านไผทปรึกษาเรื่องข้อเสนอกับภรรยา ซึ่งทำให้รู้ว่าเขาพอใจเงื่อนไขในสัญญา คนทะนงอย่าง ไผท เทภานันทน์ จะไม่เสียเวลาพูดในเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์แก่ตัว คำถามที่ว่า ‘ลุงโชตเป็นคนยังไง’ ลอดผ่านหูคนนั่งข้างๆ หลายครั้ง แต่เกนนิษฐาก็บอกตามตรงว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ นอกเหนือจากนั้นเธอซึ่งเป็นญาติห่างๆ ก็ไม่รู้ความคิดที่จะประเมิน เพราะทีท่าของโชตถูกขัดตั้งแต่เห็นนิมิตแปลกๆ ในหัว
เมื่อกลับถึงบ้านได้ยินเสียงเอ็ดตะโลยกใหญ่ มารินทร์กับวิมวัชร์ยังคงทะเลาะกันอย่างเด็กๆ โดยมีวินน์เป็นกองเชียร์ แต่เมื่อเจ้าบ้านเดินกลับเข้ามา ศึกนั้นก็สงบอย่างรวดเร็ว คำถามมากมายประดังเข้ามาราวกับอัยการที่เค้นคอจำเลย ไผทระอากิริยาสอดรู้ของน้องสาว แต่เหมือนว่าค่ำนี้เขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใบหน้าที่ตีขรึมมาหลายวันเผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก...ดูเหมือนสถาปนิกหนุ่มมีทางออกสำหรับปัญหาแล้ว
เพราะสาละวนอยู่กับการจัดเก็บข้าวของกอปรฝ่าวิกฤตจราจรไปจนถึงสี่พระยา หลังวิมวัชร์และมารินทร์กลับไปได้ไม่นานเกนนิษฐาก็หมดแรงทรงตัว เวลานี้เธอคิดถึงการซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำในอ่างจากุซซีทิ้งความวุ่นวายไว้เหนือผิวน้ำ แต่บ้านหลังนี้มีแค่ห้องกระจกที่แยกส่วนเปียกและแห้ง เมื่อออกมาจากห้องน้ำลูกชายของเธอก็หลับพริ้มอยู่บนเตียง เกนนิษฐาบรรจงหอมแก้มวินน์แล้วเบียดตัวลงข้างๆ คงต้องรออีกสี่ห้าปีถึงจะปล่อยให้นอนโดยไม่มีพ่อแม่ขนาบ
ดูข่าวสารในแอปพลิเคชันต่างๆ ได้สักพัก เปลือกตาก็ปิดลงมาโดยไม่รู้ตัว
ไผทตัดสินใจรับข้อเสนอในเช้าวันถัดมา เขาเดินเข้าครัวเพื่อบอกเรื่องนี้กับภรรยา แต่แปลกใจเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นเธออยู่ในนั้น แม้ช้องฟูมฟักลูกสาวราวกับไข่ในอ้อมหิน แต่ไม่เคยสอนให้ติดสบาย เกนนิษฐาอาจเคยเปรยบ้างว่าอยากได้ห้องน้ำที่มีอ่างจากุซซี พร้อมอ้างเหตุผลด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่าน้ำจากฝักบัวชะคราบความเหนื่อยล้าออกไปไม่หมด เขาหวังจะสร้างห้องน้ำในฝันให้เธอ แม้โพรเจกต์ที่ว่าอาจต้องชะลอออกไปสักระยะ ไผทชายตามองไปที่สวนเล็กๆ หน้าบ้าน เห็นพี่เลี้ยงที่ควบสถานะแม่บ้านนั่งเล่นอยู่กับลูกชาย เกนนิษฐายังไม่ตื่น เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เธอตื่นเป็นคนสุดท้ายของบ้าน ครั้นจะขึ้นไปดู ภรรยาสาวก็เดินลงมาจากห้องนอน เธอขอโทษขอโพยที่ตื่นสายจึงไม่ได้เตรียมอาหารเช้าให้สามี
“เกนรู้สึกเพลียๆ ยังไงชอบกล” หญิงสาวบอกขณะจัดออมเล็ตใส่จาน
“ไม่สบายรึเปล่า ไหนมาดูซิ” ไผทลุกไปยืนข้างๆ ใช้หลังมือแตะหน้าผาก และได้คำตอบว่าภรรยาไม่มีไข้ เขาหอมแก้มเธอก่อนกลับไปนั่งทานมื้อเช้า “ผมคิดว่าจะรับข้อเสนอของคุณตาโชต”
คำพูดของสามีทำให้ความอ่อนล้าทุเลา ตอนแรกเกนนิษฐาคิดว่าอาจต้องเสียน้ำลายอีกหลายปี๊บเพื่อเกลี้ยกล่อมสามีหัวรั้น เพราะถึงบ้านหลังนี้ไม่จากุซซี อุปกรณ์เครื่องครัวก็เก่าตกรุ่นไปสักหน่อย แต่ก็เป็นบ้านที่ไผทกับน้องสาวเติบโตมา ทั้งคู่ย่อมผูกพันและไม่อยากเห็นมันตกไปเป็นของคนอื่น ประการสำคัญแม้บ้านหลังนี้จะดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับบ้านย่านศาลาแดง แต่หญิงสาวคิดว่าขนาดกว้างคูณยาวไม่สำคัญเท่าพื้นที่ในหัวใจ
แม่ครัวสาวสลัดผ้ากันเปื้อนออกจากเอว ผลุนผลันออกจากห้องเพื่อไปหยิบมือถือโทร. หาใครบางคน เธอไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นาที เพราะคุณสามีอาจเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ
“สวัสดีค่ะ ขอสายคุณโชต” เกนนิษฐากรอกเสียงทันทีที่มีคนรับสาย ได้ยินเสียงชายชรากระแอมอยู่ห่างๆ
“สวัสดีเกน สามีของหลานไม่ปฏิเสธใช่ไหม” โชตพูดราวกับตาเห็น
“ใช่ค่ะ ความจริงเกนก็ไม่อยากรบกวนตาน้อยนะคะ เงินเก็บของเกนก็พอมี แต่ดินยืนกรานว่าไม่เอา ขอบคุณตาน้อยมากนะคะที่ช่วยเหลือ แต่ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปเกนขอ...”
“วางใจเถอะ ตาจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร” ชายชราชิงบอกก่อนอีกฝ่ายพูดจบประโยค เสียงไอแค็กๆ แทรกบทสนทนาอยู่บ่อยครั้ง โชตนิ่งรอจนลมหายใจเข้าที่จึงพูดต่อ “ถ้าพ่อดินไม่มีอะไรติดขัด ก็บอกเขาให้มาเจอตาอีกครั้ง”
“ที่บ้านตาน้อยใช่ไหมคะ”
ครั้งนี้ไม่มีเสียงกระแอมแกมไอ แต่ชายสูงวัยกลับเงียบไปนานพอดู จนในที่สุดก็เอ่ยเสียงเบา
“บ้านพลชีวัน”
ระหว่างทางเกนนิษฐาพยายามค้นความทรงจำถึงต้นสกุล ป้าชุน พี่สาวต่างแม่ของแม่เธอเล่าให้ฟังว่า บุคคลที่ทำให้พลชีวันเป็นที่นับหน้าถือตาคือเจ้าคุณทวด ท่านเป็นข้าราชการใหญ่ในกระทรวงเศรษฐการ๑ คุณทวดเป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคม เพื่อนฝูงบริวารมีมาก มารดาของป้าชุนเป็นหนึ่งในบุตรสาวเจ้าคุณทวดที่เกิดจากภรรยาน้อย ท่านให้การอุปถัมภ์นายบ่าวในปกครองเป็นอย่างดี แต่ทุกคนต่างทราบดีว่าเจ้าคุณโปรดปรานบุตรชายคนเดียวที่กำเนิดจากคุณหญิงเยื้อนภรรยาเอก เจ้าคุณทวดสร้างบ้านพลชีวันเพื่อรับขวัญบุตรชายหลังจากไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษอยู่หลายปี บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านชื่อชิต
มีปมชวนสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ แม้จะเป็นลูกพระน้ำพระยา แต่แทบไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมา ไร้บันทึก ไร้ภาพวาด ภาพถ่ายใดๆ มีเพียงคำเล่าราวกับเป็นคนไม่มีตัวตนในหน้าประวัติศาสตร์
“คิดอะไรอยู่เหรอ นั่งเงียบตั้งแต่ออกมาจากบ้าน” ไผทเหลือบมองภรรยา หญิงสาวดูเงียบผิดปกติตั้งแต่เมื่อวาน
“ไม่มีอะไรค่ะ เกนแค่เพลียนิดหน่อย”
ชายหนุ่มหน้าสลด “ผมขอโทษนะที่ทำให้เกนต้องลำบาก แต่ผมสัญญาว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
เกนนิษฐายิ้มรับ “เกนเชื่อว่าคุณต้องทำได้”
หันไปมองลูกชายที่นั่งอยู่เบาะหลัง วันนี้วินน์นั่งเงียบไม่ซนเป็นลิงค่างจนผิดสังเกต แต่เธอก็พอใจที่เป็นแบบนั้น
ผ่านแยกสี่พระยา เลี้ยวเข้าไปในในซอยลึก บ้านเรือนแถวนี้เก่าโบราณ ทั้งยังล้อมกรอบด้วยกำแพงและต้นไม้สูง ขับลึกเข้าไปยิ่งสัมผัสได้ถึงความร่วมสมัยที่แทรกซ่อนท่ามกลางป่าคอนกรีต จุดหมายอยู่ท้ายซอยห่างจากบ้านหลังอื่นพอสมควร ด้านหน้ามีรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่จอดรอ ประตูฝั่งหนึ่งเปิดค้างอยู่
เบื้องหน้าเป็นอาคารกึ่งยุโรปกึ่งไทยสูงสองชั้น ตัวเรือนทาด้วยสีเหลืองไพรที่ซีดจนใกล้ขาว กันสาด ขอบคิ้ว บานหน้าต่างเป็นสีมอคราม๒ มุงด้วยกระเบื้องว่าว สถาปนิกหนุ่มลงมาจากรถมองตัวเรือนอายุเฉียดร้อยปีที่รอการบูรณะ อันที่จริงบ้านหลังนี้มีสภาพสมบูรณ์จนน่าเหลือเชื่อ ไผทเหลือบมองป้ายเหล็กลอกล่อนสลักไว้
บ้านพลชีวัน
“สวยใช่ไหม” โชตซึ่งนั่งอยู่บนเบาะวีลแชร์อัตโนมัติเอ่ยถาม
“ครับ...สวยและสภาพดีมาก”
“เข้าไปดูด้านในสิ”
ชายชราส่งพวงกุญแจเก่าให้ ไผทรับมาไขประตูรั้ว ลมอ่อนๆ และกลิ่นดอกชมนาดให้การต้อนรับ คงเป็นเพราะไม้ใหญ่รกครึ้มกระมังเรียกความรู้สึกเย็นวาบจนชายหนุ่มเผลอชะงักเท้า
เกนนิษฐากับวินน์ตามสามีลงมาติดๆ เธอพาลูกชายเข้าไปสวัสดีโชต วันนี้เด็กร่าเริงและช่างพูดอย่างวินน์ดูเงียบเชียบต่างไปจากทุกวัน เด็กชายเดินตามคนจูงต้อยๆ แต่ดวงตาไร้เดียงสาจับจ้องอยู่หน้าต่างชั้นสองที่เปิดอ้าอยู่
“วินน์ครับ สวัสดีคุณตาสิครับ” แต่เด็กน้อยยังเอี้ยวคอไปมองตำแหน่งเดิม คนเป็นแม่จึงย้ำอีกรอบ “วินน์ครับ...วินน์”
ครั้นวินน์หันมาเห็นชายชรา เด็กน้อยก็เบะปากและร้องไห้ขึ้นมาทันที นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เด็กวัยสี่ขวบหลั่งน้ำตา
“อ้าว เป็นอะไรครับวินน์”
เกนนิษฐาตกใจที่เห็นลูกชายโผเข้ากอดเอวแน่น วินน์สลับมองบ้านกับโชตด้วยสายตาตระหนก คนเป็นพ่อเห็นจึงรีบย้อนกลับมาดู แต่ฝ่ายภรรยาโบกไม้โบกมือเป็นเชิงว่าจะจัดการเองแล้วพาลูกชายกลับขึ้นรถ เธอปลอบและค่อยๆ ตะล่อมถามสาเหตุ แต่เด็กน้อยเอาแต่เบียดหน้าซุกอก ไม่ยอมพูดจาเหมือนว่าหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ประตูไม้สักบานใหญ่ที่ไม่เคยเปิดมาแรมปีถูกผลักออก ภายในบ้านตกแต่งสไตล์ไทยประยุกต์ผสมนีโอคลาสสิก ผนังและเพดานสีนวลให้ความรู้สึกอบอุ่นตัดด้วยคิ้วไม้สักสีเข้ม เช่นเดียวกับเครื่องเรือนและแท่นนาฬิกาสูงสามเมตร โต๊ะ เก้าอี้ถูกคลุมมิดชิดด้วยผ้าสีดำผืนใหญ่ ม่านสีขาวทุกผืนทิ้งตัวสงบนิ่งราวกับไม่เคยเคลื่อนไหวมานาน ไม่ต่างจากโคมไฟระย้าสองดวงที่ไม่เคยคายแสง ประเมินเอาเท่าที่ตาเห็นบ้านหลังนี้ได้รับการดูแลอย่างไร้ที่ติ ส่วนที่ต้องบูรณะคงมีแค่โครงสร้างภายนอก และเก็บงานภายในเล็กน้อย กระนั้นร่องรอยอดีตไม่ใช่สิ่งเดียวที่อวลอยู่ในบ้าน ความวิเวกวังเวงที่ทำเอาชายอกสามศอกขนลุกก็คลุ้งอยู่ทั่ว
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมครับ” เวียงทัก
ไผทพยักหน้า “ดีครับ...ดีจนเกินไปด้วยซ้ำ ผมคงต้องตรวจดูให้ละเอียดว่ามีจุดไหนต้องรีโนเวตบ้าง แต่ชื่นชมครับว่าดูแลได้ดีมาก”
“ใช่ครับ คุณโชตรักบ้านหลังนี้มาก แกเองก็ศิษย์เก่าสถาปัตย์จุฬา ทุกปีจะจ้างคนมาทำความสะอาด ซ่อมแซม จัดแต่งสวน เสร็จแล้วก็ปิดไว้ตามเดิม รู้ไหมครับ มีนายตำรวจระดับบิ๊กๆ หลายคนติดต่อขอซื้อบ้านหลังนี้ แต่คุณโชตแกไม่ขาย เป็นผมหน่อยไม่ได้ หึๆ” ทนายพูดติดขำ
“นั่นสิครับ บอกตรงๆ เท่าที่ดูคร่าวๆ นอกจากเก็บงานตรงส่วนหน้ากับปีกด้านขวาก็ไม่เห็นว่าต้องทำอะไรมาก อืม ว่าแต่ทำไมคุณโชตถึงไม่อยู่บ้านหลังนี้ล่ะครับ พื้นที่ก็กว้างขวาง ร่มรื่น แถมไม่พลุกพล่าน น่าจะสบายมากกว่าบ้านที่เขาอยู่ตอนนี้”
ทนายวัยกลางคนยิ้ม “ผมก็ถามท่านมาตลอดสิบปีเหมือนกันครับ”
สัญญาสองฉบับไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ไผทอ่านทวนอยู่มากกว่าสามรอบก็ยังไม่เห็นช่องโหว่ให้เจ้าหนี้พลิกกลับมาเอาเปรียบเหตุผลเดียวที่คิดได้คือคนเป็นลุงคงสงสารหลานสาว ไผทจึงแสดงเจตนาบริสุทธิ์ว่าเงินค่าจ้างรวมซ่อมแซมจำนวนห้าล้านบาทมากเกินความจำเป็น เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้น ค่าใช้จ่ายในงานนี้เต็มที่ไม่เกินสองล้านบาท แต่สิ่งที่โชตตอบกลับมาสร้างความแปลกใจให้ไม่น้อย ชายชราบอกว่าเขาจะได้บางสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทองในการลงทุนครั้งนี้ และย้ำว่าชายหนุ่มควรทำตามเงื่อนไขในสัญญามากกว่าสนใจตัวเลข นั่นคือเขากับครอบครัวต้องย้ายเข้ามาพักที่นี่โดยเร็วที่สุด
ถัดจากนั้นทนายรับหน้าที่เจรจาต่อ ส่วนโชตแยกตัวออกไปคุยกับหลานสาว
“เกนต้องกราบขอบคุณตาน้อยอีกครั้งนะคะ”
แค่ยกยิ้มยังดูเหนื่อยล้าสำหรับผู้เฒ่า เขาพูดเสียงแผ่ว “ลูกชายชื่อวินน์ใช่ไหม”
เด็กน้อยหลบอยู่หลังแม่ ไม่ยอมพูดจา เกนนิษฐาจึงเป็นฝ่ายตอบ “ใช่ค่ะ ปกติซนเป็นลิงเลยนะคะ ไม่รู้วันนี้เป็นอะไร”
“วินน์...” โชตทวนชื่อเบาๆ
“เห็นคุณแม่เคยบอกว่าหน้าตาคล้ายตาน้อยตอนเล็กๆ”
“แม่ช้องงั้นรึ” ดวงตาหรี่โรยจ้องเด็กชายเขม็ง “แม่ช้องจะไม่พูดแบบนั้นถ้าหล่อนเคยเห็นคุณชิต”
“คุณชิต?” น้ำเสียงเกนนิษฐามีเค้าสงสัย “ลูกชายคุณทวดเหรอคะ สมัยเล็กๆ เกนจำได้ว่าป้าชุนเคยเล่าเรื่องคุณตาใหญ่ให้ฟัง เห็นบอกว่าเป็นลูกชายคนโปรดของเจ้าคุณทวด คุณทวดทั้งสองรักและเอ็นดูมาก แต่ป้าชุนบอกว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณตาใหญ่พอเกนถามป้าก็ไม่ยอมบอก”
ชายชราไม่พูดอะไร เพ่งมองเด็กชายที่หลบอยู่หลังแม่ ทว่าสายตาตื่นตระหนกของวินน์กลับจ้องเขม็งไปที่หน้าต่างชั้นสองของบ้านพลชีวัน
ความคิดเห็น |
---|