บทที่ ๖
หัวข้อสนทนาระหว่างข้าหลวงใหญ่กับเจ้าสัววนเวียนอยู่แต่เรื่องการเมือง โดยเฉพาะประเด็นการประกาศยุบสภาฟ้าผ่าของนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ที่เปิดโอกาสให้นายพันเอก หลวงพิบูลสงครามได้กุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในอนาคตอันใกล้ สวนทางกับกลุ่มนายทหารฝ่ายตรงข้ามที่นับถอยหลังรอวันวิบัติ พระยาพิทฯ เองก็นิยมชมชอบคณะนายทหารกลุ่มหลัง จึงลอบให้ความช่วยเหลือในทางลับอยู่เสมอ
แต่ไหนแต่ไรเกนนิษฐาไม่เคยสนใจข่าวสารบ้านเมือง ทว่าวันนี้กลับนิ่งฟังอย่างตั้งใจ คุณหลวงหนุ่มผู้มีน้ำเสียงนุ่มชวนฟังแสดงทัศนะว่า สยามยามนั้นมีกลุ่มทางการเมืองอยู่สามฝ่าย หนึ่งคือหลวงพิบูลสงครามซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมควบผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ สองคือกลุ่มนายทหารระดับสูงที่ศรัทธาพระยาทรงสุรเดช หนึ่งในสี่เสือคณะราษฎร และสุดท้ายเป็นกลุ่มพลเรือนที่คุมเสียงส่วนใหญ่ในสภา นำโดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
“ผมคาดว่าไม่เกินสิ้นปี หรืออย่างช้าต้นปีหน้า หลวงพิบูลจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี” หลวงฉันฯ สรุป “ตอนนี้ลูกน้องของเขาล้วนอยู่ในสายคุมกำลังเกือบทั้งหมดแล้ว ช้าเร็วกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลา”
“แกก็พูดไปเรื่อยเจ้าชิต” คนเป็นพ่อขัดคอเสียงแข็ง “ไม่เห็นรึว่า ซาวเสียงคราวใดเจ้าคุณทรงท่านก็นอนมา”
“นั่นมันแต่ก่อนครับคุณพ่อ ตอนนี้บารมีเจ้าคุณทรงก็เหลือแค่ในกลุ่มนายทหารไม่กี่คนเท่านั้น ผมเชื่อว่าหลวงพิบูลไม่ปล่อยสี่เสือไว้ตำใจนาน โดยเฉพาะกับเจ้าคุณทรงที่เขม่นกันตั้งแต่ปฏิวัติใหม่ๆ เสือสองตัวมันอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้นานหรอกครับ ช่วงนี้คุณพ่อควรสงวนท่าทีไว้เสียหน่อย ไม่ควรกระโตกกระตากมากไปภัยจะถึงตัวเอาได้”
ฝ่ายพ่อดูหงุดหงิดกับการวิเคราะห์ของบุตรชายไม่น้อย เขาสั่งให้หลวงฉันฯ พาเกนนิษฐาไปเดินรับลมสักพัก เพราะมีธุระสำคัญต้องปรึกษากับนายจิ้นซึ่งฝ่ายลูกเต็มใจรับคำสั่งเป็นอย่างดี
ฟ้าที่เคยครึ้มถูกแสงยามเย็นมัวมอเข้าแทนที่ สัมผัสได้ถึงไอหนาวและความวิเวกที่ปนกันมาในเปลวแดด ชายหนุ่มกับหญิงสาวเดินข้ามมายังอีกฟากของอาคาร หลวงฉันฯ เฝ้ามองเกนนิษฐาในร่างหญิงสาวชื่อลวาดไม่วางตา
รู้กันโดยทั่วว่าหลวงฉันทวณิชเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วพระนคร ด้วยชาติตระกูล บุคลิก และหน้าที่การงานยิ่งเสริมให้เนื้อหอมยิ่งกว่าผู้ชายคนใด มีข่าวลือว่าเขาเป็นคนมากรักอย่างชายหลายใจ คบค้าสมาคมกับหญิงสาวมากหน้า บางรายที่หวังตกถังข้าวสาร หลวงฉันฯ ก็ฉลาดพอจะตีตัวออกหากในเวลารวดเร็ว หรือบางรายชาติตระกูลสูง ฐานะทางสังคมเด่นดังเสมอกัน แต่นิสัยเข้ากันไม่ได้เขาก็เลือกยุติความสัมพันธ์ไว้เพียงเพื่อน ไม่มีใครสามารถกุมหัวใจหนุ่มนักเรียนนอกคนนี้ได้อยู่หมัด
แต่ใครจะรู้ เวลานี้หญิงสาวลูกครึ่งไทย-จีนกลับทำให้เขาลุ่มหลงจนยากจะถอนตัว
“ลวาด เธอมีความเห็นอย่างไรกับการเมืองในเวลานี้” ชายหนุ่มเปิดประเด็น เขาเคยเจอคนที่สวยเท่าผู้หญิงตรงหน้ามานักต่อนัก แต่ส่วนใหญ่มักสนใจแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ และงานเต้นรำ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ความน่าสนใจในตัวเธอเหล่านั้นตกฮวบในสายตาหลวงฉันทวณิช
ด้านหญิงสาวผู้คิดว่าตนติดในห้วงฝันไม่มีความรู้ด้านการเมืองการปกครอง คลังข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลังปฏิวัติสยามก็มีไม่มาก แค่ช่วงต้นและจบ แต่เท่านั้นก็เหลือพอ เพราะเธอรู้ว่าไม่มีใครชนะในสงครามชิงอำนาจรัฐ คลื่นลูกใหม่จะกลืนคลื่นลูกเก่าเสมอ สิ่งนี้ไม่มีวันเปลี่ยน
“ไม่ว่าใครล้วนมีเหตุผลของตัวเอง ฉันไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ตราบที่ไม่ทราบว่าแท้จริงพวกเขามีเหตุผลอะไร” เกนนิษฐาตอบ และออกจะขำขันกับสำนวนของตัวเอง
“เธอควรแทนตัวว่าดิฉัน” คู่สนทนาพูดทั้งยิ้ม “ลวาด เธอพูดเหมือนไม่เข้าข้างฝ่ายใด ไม่มีใครหรอกที่จะวางตนเป็นกลางได้เยี่ยงนั้น”
“ก็คงจะจริงอย่างคุณตะ...ตา เอ๊ย คุณหลวงพูด แต่ฉัน เอ๊ย ดิฉันคิดว่าคนเราไม่ควรแสดงทัศนะพร่ำเพรื่อ เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายเข้าถึงจิตใจของเราเกินจำเป็น”
คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มจากหลวงฉันฯ เขาสืบเท้าเข้าใกล้ “ทำไมเธอถึงไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าถึงจิตใจ เธอมีความลับอะไรซ่อนไว้รึ...แม่ลวาด”
ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ใกล้แค่ลมหายใจรดกัน เลือดในกายหญิงสาวสูบฉีดแรง เกนนิษฐาพยายามถอยฉาก แต่อีกฝ่ายก็ขวางไว้ แน่นอนว่าการรุกไล่ของคุณหลวงรูปงามอยู่ในสายตาของบิดาทั้งคู่ แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่สนใจ หรือแกล้งไม่สนใจ หญิงสาวไม่มีความคิดอุตริในหัวแม้แต่น้อย แต่ร่างกายคล้ายไม่ฟังคำสั่ง เกนนิษฐาคิดว่าทางที่ดีควรยุติฝันบ้าๆ นี่สักที เธอเคยได้ยินมาว่าความตื่นเต้นเป็นตัวเร้าให้ตื่นจากภวังค์...หญิงสาวยกเท้าแล้วยันไปที่สะโพกญาติกาตัวเอง
พลั่ก!
สูทขาวสะอาดเปรอะเปื้อนเป็นรูปรอยเท้า คนโดนถีบเสียหลักเซถอยหลังไปสองสามก้าว ดีว่าคว้าเสาติดมือก่อนหงายเงิบ เขามองคนก่อเหตุอย่างไม่เชื่อสายตา ภาพบุตรสาวเจ้าสัวถลกซิ่นถึงข้อพับขา เท้าที่ใช้ยันยังยกค้างเติ่ง ใบหน้าเธอดูตระหนกกว่าเขาเสียอีก
“นี่มันอะไรกัน” หลวงฉันฯ เค้นถาม
เกนนิษฐาไม่มีคำตอบให้ใครแม้กระทั่งตัวเอง เธอยังคงติดอยู่ในฝันเสมือนจริง
ไม่ตลกแล้วนะ...นึกซ้ำๆ ขณะใช้นิ้วบิดแก้มตัวเอง รู้สึกทั้งเจ็บและไม่เจ็บในเวลาเดียวกัน
“อะ...เอ่อ คือว่าฉัน” เธออึกอัก
พลันนั้นสมองเหมือนปริร้าว เกนนิษฐาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ สำนึกลึกสุดปรากฏภาพดวงตาแดงก่ำแล่นวาบเข้ามาในหัว สลับภาพหญิงสาวนั่งหันหลังอยู่ในห้องมืด เลือดเป็นลิ่มไหลอาบแผ่นหลัง ศีรษะซึ่งชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตเอี้ยวมองเกนนิษฐา แต่ใบหน้าของเธอถูกพรางด้วยหมอกสีแดง เกนนิษฐากรีดร้อง
“กรี๊ดดด!”
หลวงฉันฯ ปราดเข้าถึงตัวหญิงสาวเป็นคนแรก “ลวาด เธอเป็นอะไร”
นายจิ้นกับข้าหลวงใหญ่ตามเข้ามาสมทบติดๆ สอบถามเป็นพัลวัน เกนนิษฐาหอบเฮือก เวลานี้สมองของเธอชัดขึ้น เพิ่งกระจ่างหลังเห็นภาพสยดสยองว่าก่อนหน้านี้ตัวเองนั่งทำงานอยู่ในบ้านพลชีวัน ขณะกำลังจะเข้านอนได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากชั้นสองของบ้านจึงย้อนกลับมาดู พบเงาปริศนากำลังก้าวลงบันได เจ้าของดวงตาสีแดงดั่งเลือด พูดด้วยน้ำเสียงคั่งแค้นว่า
‘กูรอวันนี้มานานแล้ว’
หญิงสาวหน้าซีดเผือดราวกับไร้เลือดไปหล่อเลี้ยง อ่อนแรงเกินกว่าจะลุกขึ้นยืน คนแปลกหน้าในคราบพ่อยังคงซักถามด้วยอารามเป็นห่วง แต่คนเดียวที่เกนนิษฐาอยากคุยด้วยในเวลานี้คือตัวเธอเอง
ตื่นสิๆ
แต่ไม่ว่าข่มตาและลืมตากี่ครั้ง ภาพตรงหน้าก็ยังเหมือนเดิม...นายจิ้นและสองพ่อลูกพลชีวัน
แสงม่วงแกมแดงสาดไปทั่วท้องฟ้า นกฝูงใหญ่บินร่อนฉวัดเฉวียน มวลอากาศลดต่ำลงจนรู้สึกได้จากผิวหนัง บรรยากาศเงียบสงัดราวกับกลางดึกทั้งที่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า มีแค่เสียงสนทนาฟังไม่ได้ศัพท์แว่วอยู่ไม่ไกลนัก แต่เกนนิษฐาไม่ใคร่สนใจฟัง เธอนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง สายตามองไกลอย่างไร้จุดหมาย
หญิงสาวหลงเข้ามาในโลกที่ไม่คุ้นเคย และไม่รู้หนทางตื่นจากฝันหนนี้ เธอลองแล้วทุกวิธีเท่าที่จำได้ ทั้งทำให้รู้สึกตื่นเต้น จ้องเข็มนาฬิกา อ่านหนังสือ แต่ก็ยังติดค้างอยู่ในฝันย้อนอดีต เหลือวิธีเดียวที่ไม่คิดจะลอง นั่นคือฆ่าตัวตาย
ระหว่างกำลังสับสน เสียงนางรื่นดังนำมาก่อนตัว
“อิง” หญิงวัยกลางคนเข้ามาในห้องพร้อมกับบ่าวชื่อเอม “ได้ยินว่าวันนี้ลูกเป็นลม เป็นอะไรมากรึเปล่า แม่เอาน้ำโสมมาให้ ดื่มเสียหน่อยสิจะได้รู้สึกดีขึ้น” น้ำเสียงฟังดูเป็นห่วง ไม่เหมือนครั้งแรกที่พบกัน
แม้อยู่ในฝัน เกนนิษฐาก็ยังมีมารยาทเกินจะบอกว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ใช่ลูกคุณ หญิงสาวเฝ้ามองมารดาสมมุติด้วยความรู้สึกบางอย่าง ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าคือความผูกพัน ต่างกับรื่นที่จ้องเขม็ง คนเป็นแม่ยืนมองลูกสาวด้วยความรู้สึกไม่คุ้นอย่างประหลาด
“วันนี้ลูกดูแปลกๆ ไป ไม่สบายรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อย นอนพักคงดีขึ้น”
ความสงสัยเคล้าอยู่ในแววตาหญิงวัยกลางคน เธอใช้เวลาครู่ใหญ่ไปกับการสำรวจเกนนิษฐา และคงพิเคราะห์นานกว่านี้ถ้าเอมไม่พูดแทรกขึ้น
“คุณนายคะ เราให้คุณอิงนอนพักไม่ดีกว่าหรือคะ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะแย่” บ่าวหญิงบอกขณะวางถ้วยโสมบนโต๊ะกลมเล็กๆ ข้างเตียง และแอบขยิบตาให้เกนนิษฐา
รื่นหันไปค้อนใส่บ่าว เธอสั่งความอีกสองสามอย่างก่อนหันหลังเดินออกไปจากห้อง แต่บ่าวหญิงไม่มีทีท่าเดินตามออกไป เอมปรี่เข้าไปหาเกนนิษฐา แล้วระดมถาม
“เห็นพี่แฟงบอกว่าคุณอิงเจอหลวงฉันท์ เป็นอย่างไรบ้างคะ หล่อเหมือนพระเอกยี่เกอย่างที่คนลือจริงรึเปล่า”
เกนนิษฐานิ่งคิด “ก็หล่อนะ ทำไมล่ะ เขาป๊อปปูลาร์ในหมู่สาวๆ เหรอ”
“ปู ปลาอะไรนะคะ” บ่าวสงสัย
“อ๋อ ฉันหมายถึงสาวๆ แถวนี้ชอบคุณหลวงขี้เต๊ะอะไรนั่นเหรอ”
“โอ๊ย อย่าว่าแต่สาวๆ เลยค่ะคุณอิงขา ไก่แก่แม่ปลาช่อนก็ถูกใจกันทั้งนั้น หลวงฉันท์ท่านรูปงาม ชาติตระกูลก็ดี๊ดี แถมจบจากเมืองนอกเมืองนา อนาคตคงได้เป็นพระน้ำพระยาแน่เชียวค่ะ”
เกนนิษฐานิ่งคิด เท่าที่ทราบ บันทึกเก่าแก่ของตระกูลพลชีวันเขียนถึงตาใหญ่สั้นๆ ว่าเป็นบุตรที่เกิดจากพระยาพิทยบริบาลกับคุณหญิงเยื้อน บรรดาศักดิ์สุดท้ายของเขาไม่ถึงพระยา เป็นเพียงหลวง
“แต่เอมได้ยินข่าวลือมานะคุณอิง เห็นว่าคุณหลวงท่านกำลังผูกสมัครรักใคร่อยู่กับลูกสาวคุณพระคนหนึ่ง”
การสนทนากับเอมให้ความรู้สึกเหมือนถกอยู่กับมารินทร์ มันทำให้เกนนิษฐารู้สึกผ่อนคลายคล้ายกับฟังเรื่องซุบซิบในข่าวกรอบสังคม
“ดูเหมือนเธอจะรู้ไปซะทุกเรื่องเลยนะเอม”
“โถ คุณอิงก็ พระนครมันแคบจะตาย ใครทำอะไรก็รู้กันทั่ว แถมคุณหลวงก็เป็นที่หมายปองของผู้หญิงทั้งบ้านทั้งเมือง มีหรือจะรอดหูรอดตาไปได้ อย่างวันนี้พี่แฟงยังเล่าให้ฟังเลยว่า พนักงานที่โรงแรมเอาเรื่องหลวงฉันท์เกี้ยวคุณอิงไปคุยกันขรม”
เกนนิษฐายิ้มออกเป็นครั้งแรก ไม่นึกว่าในฝันก็มีข่าวกอสซิป “ฉันไม่สนใจคุณฉันท์คุณเฉินอะไรนั่นหรอก ประเดี๋ยวฟ้าผ่าตาย”
“ฟ้าผ่า? ทำไมฟ้าผ่าคะ หรือคุณอิงไปสบถสาบานอะไรไว้”
อีกฝ่ายโคลงหัว เกาแกรกตรงท้ายทอย ไม่อยากอธิบายอะไรอีก “ไม่มีอะไรหรอก เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะนอนพักสักหน่อย”
“โธ่ คุณอิง กำลังออกรสเชียว” บ่าวคนสนิททำหน้าม่อย ค่อยเดินออกไปจากห้อง
แผ่นฟ้าสีดำทิ้งขอบโค้งย้อมบรรยากาศภายนอกให้มืดสนิท บ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยากลืนหายไปในม่านมืดนั้น ความหวาดหวั่นกดทับในใจหญิงสาว และยิ่งทวีความหนักหน่วงเมื่อเธอไม่รู้วิธีตื่นจากฝันครั้งนี้ เกนนิษฐากลับมานั่งบนเตียงไม้ เฝ้าถอนใจอยู่หลายครั้ง แต่ไม่นานรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้งจึงเอนตัวลงนอน
ก่อนจมสู่ภวังค์คล้ายมีหมอกสีแดงปกคลุมเหนือเตียง
“เกน เกน”
ไผทเขย่าตัวภรรยาพร้อมส่งเสียงเรียก เขาคงไม่ทำแบบนี้ถ้าเธอไม่ฟุบหลับคาโต๊ะทำงาน หญิงสาวกะพริบตาช้าๆ มองสามี รู้สึกหัวหนักจนแทบยกไม่ขึ้น ทั้งยังรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหลังศีรษะ
“ทำไมมานอนตรงนี้” ชายหนุ่มถามต่อขณะประคองอีกฝ่ายนั่ง
“เกน...” ภรรยาสาวอ้ำอึ้ง ภายในหัวมัวหม่น รู้สึกเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน แต่เนื้อความในฝันเป็นอย่างไรไม่ชัดเจน และยิ่งเลือนรางเมื่อล่วงไปแต่ละวินาที ครั้นสติสัมปชัญญะคืนครบบริบูรณ์ เกนนิษฐาจำความฝันไม่ได้แม้แต่น้อย “สงสัยเกนจะนั่งทำงานดึกเลยเผลอหลับไป”
เธอมองหานาฬิกาเป็นลำดับแรก และนาฬิกาโบราณทรงสูงบอกว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า
“เกนดูอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ผมว่าเราไปโรงพยาบาลกันดีกว่า ให้หมอดูสักหน่อย”
“แต่เกน...”
“ไม่มีแต่ทั้งนั้น” ไผทตัดบทเสียงเฉียบ ชะโงกมองหน้าบ้าน รู้สึกแปลกใจเป็นหนที่สองเมื่อเห็นวินน์วิ่งเล่นอยู่คนเดียว เขาเรียกแม่บ้านเสียงดัง “บัว! บัว!”
ไม่มีใครตอบ ไผทโคลงหัวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ผลุนผลันเดินตรงไปห้องพักของแม่บ้านซึ่งอยู่ด้านหลังแยกจากอาคารหลัก เมื่อไปถึงพบว่าประตูไม่ได้ล็อก และเจ้าของห้องนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง
“บัว ทำไมตื่นสายเอาป่านนี้” เสียงนายจ้างไม่ทำให้ลูกจ้างลุกจากที่นอน เขาจึงเรียกอีกครั้งด้วยโทนกระด้างขึ้น “บัว! ตื่นเดี๋ยวนี้”
ศีรษะแม่บ้านสาวค่อยโผล่พ้นชายผ้าห่ม ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด ดวงตากลอกผ่านคนที่ยืนค้อมมองอยู่ ราวกับไผทไม่มีตัวตน สีหน้าซูบซีดเกือบเป็นขาว ปากพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ กิริยาอาการอธิบายได้ว่าเธอหวาดกลัวบางสิ่ง ไผทเรียกซ้ำๆ อีกหลายครั้งกว่าเธอจะรู้สึกตัวว่ามีแขกมาเยือนถึงห้อง บัวกระถดถอยไปจนชิดผนัง ร้องเสียงดัง
“อย่าเข้ามา!”
เกนนิษฐาตามมาสมทบ ถามสามีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไผทก็ยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง เกนนิษฐาจึงเดินเข้าไปหา วางมือบนไหล่แม่บ้าน “บัว...เกิดอะไรขึ้น”
คนถูกถามหันขวับไปมอง ความตื่นตกใจยิ่งทวีขึ้นเมื่อเห็นหน้าคนเรียก แม่บ้านสาวตะโกนลั่น
“ผะ...ผี!”
ความคิดเห็น |
---|