3

สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม


-๓- สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม

และแล้วช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นก็มาถึง รักเดียวพร้อมสุดๆ ในชุดเดรสเกาะอกสีแดง ปลายกระโปรงผ่าข้างขึ้นมาจนเห็นต้นขาขาวเนียน เพิ่มระดับความเซ็กซี่ด้วยดีไซน์เว้าลึก โชว์เนินอกขาวอมชมพูผุดผ่อง รองเท้าหรูพื้นแดงส้นสูงปรี๊ด เติมเต็มความมั่นใจให้เธอได้อย่างเหลือล้น

ความที่มาถึงก่อนเวลาทำให้ไม่ต้องเบียดเสียดแย่งซีนกับพวกไฮโซตอนเข้างาน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วอาการมั่นหน้าของตัวเองคงลดฮวบ เพราะแขกในงานล้วนแล้วแต่เป็นเซเลบริตี้และผู้หลักผู้ใหญ่ทางการเมืองทั้งนั้น ส่วนรักเดียวนะหรือก็แค่นักข่าวกระจอกตัวเล็กๆ ที่ขนาดความสูงเท่าสเมิร์ฟสองตัวยืนต่อกัน

รักเดียวควานหาบัตรเข้างานสุดแอ็กซ์ครูซีฟ จากชาแนลใบเก๋ คอลเลคชั่นซัมเมอร์ ที่เพิ่งตกเทรนด์ไปไม่นานนี้ ซึ่งเธอมีบัตรเข้างานอยู่ตั้งสองใบ ส่งเพียงหนึ่งใบให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์หน้างาน พร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ

“บัตรเข้างานประเภทสื่อมวลชน” เจ้าหน้าที่หน้าโหดกล่าวกับเธอเสียงดุ “แล้วบัตรประจำตัวนักข่าวล่ะครับ ต้องแขวนบัตรไว้ด้วยนะครับ”

รอยยิ้มสว่างไสวของรักเดียววูบลงเล็กน้อย ก้มลงควานหาบัตรในกระเป๋าอีกที ซึ่งกระเป๋าใบสวยของเธอช่างเต็มไปด้วยเครื่องมือทำมาหากิน ... ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ เครื่องบันทึกสัมภาษณ์ สมุดเล่มเล็ก ปากกา ตลับแป้งไว้เติมหน้า เป๋าตังค์ ที่มีแต่บัตรเครดิตวงเงินเต็ม แล้วยังจะมีบัตรประจำตัว ‘รตอ.ภพรัก รักษ์สงบ’ ที่นายตำรวจขี้โอ่ ให้ไว้เป็นหลักประกันซ่อมรถ อ้อ แล้วก็เจอบัตรประจำตัวนักข่าวของยัยหนอนด้วง แต่ไหนล่ะ? บัตรประจำตัวนักข่าวของตัวเอง

ย้อนไปนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เห็นมัน...

ที่งานเลี้ยงเมื่อคืน เธอห้อยคอไว้ตลอด พองานเลิก เธอขับรถกลับคอนโด ด้วยสติสัมปชัญญะแบบครึ่งๆ กลางๆ แต่ก็จำได้ว่า ทิ้งข้าวของทุกอย่างไว้ในรถ เอาติดตัวไปแต่พวงกุญแจที่ห้อยสารพัดอย่าง ส่วนภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นพล่าเบลอมาก มาชัดเจนอีกที ก็เป็นภาพที่นอนอยู่ในห้องของอีตาตำรวจบ้า อ๊ะ! หรือว่าจะทำหล่นอยู่ที่ห้องหมอนั่น?

“ถ้าไม่มีบัตรประจำตัวนักข่าว ก็เข้างานไม่ได้นะครับ” เจ้าหน้าที่ตอกย้ำ

เอาล่ะวะ... รักเดียวคิดเพียงครู่เดียว ก็ตัดสินใจควักเอาบัตรประจำตัวของยัยหนอนด้วงออกมา

“โอ้ว! หาเจอพอดีเลย นี่ค่ะ” ส่งให้เจ้าหน้าที่ พร้อมกับสวดภาวนาให้เขาไม่สงสัยอะไร เจ้าหน้าที่ก้มลงอ่านชื่อเจ้าของบัตร สลับกับเหลือบมองหน้ากลมๆ ที่กำลังยิ้มบานแฉ่งของรักเดียว ก่อนจะถาม น้ำเสียงสุภาพขึ้นอีกระดับ

“คุณดวงฤดี จากสำนักข่าวไทยซียู”

เจ้าของชื่อกำมะลอพยักหน้ารับคำ “ชะ ใช่ค่ะ... หน้าในบัตรอาจดูสวยน้อยกว่าตัวจริงไปซักหน่อยนะคะ ทำไงได้ คนมันถ่ายรูปไม่ขึ้น” เธอว่า ส่งยิ้มหวานจ๋อย กะพริบขนตางอนยาวปริบๆ

“โอเคครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ งานนี้ทางเจ้าหน้าที่ต้องเคร่งครัดมากเป็นพิเศษ” เจ้าหน้าที่กล่าว ก่อนจะค้อมตัว และผายมืออย่างสุภาพ “เชิญเข้างานทางนี้ได้เลยครับ”

สำเร็จ! รักเดียวยกมือชูกำปั้นแห่งชัยชนะให้ตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะก้าวเท้าอย่างมาดมั่นเข้าสู่อาณาบริเวณกว้างขวางโอ่อ่า ของแกรนด์บอลรูมโรงแรมริมแม่น้ำสุดหรู อย่างสวยสง่าเป็นที่สุด

 

ภพรัก หลังจากพาย่าและพ่อกับแม่ตระเวนช้อปปิ้งไปค่อนวัน ภารกิจของผู้กองหนุ่มยังไม่หมด ความที่ย่าแป้นเคยมีบุญคุณกับใครต่อใครไปทั่ว เลยได้รับเชิญให้ไปเป็นเกียรติในงานเลี้ยงสโมสรประจำปีพรรคไทยขยัน ซึ่งความจริงอีกอย่างคือ ย่านั้นรู้จักดีกับประธานอาวุโสของพรรค เรียกว่า‘ซี้ย่ำปึ๊ก’เลยทีเดียว บัตรผ่านเข้างานนั้นไม่ต้องพูดถึง ลำพังเห็นยี่ห้อย่าแป้นมาเอง บรรดาบอดี้การ์ดและเจ้าหน้าที่ของพรรคก็พากันยืนเรียงแถวต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง

“เสียดายนะที่เอ็งไม่เอาเมียมาด้วย ย่าจะได้อวดใครๆ ในงาน” ย่าหันมากระซิบ ขณะเดินผ่านกลุ่มคู่รักไฮโซ และครอบครัวเซเลบ

“ดูสิ ใครต่อใครเค้าก็มากันเป็นคู่ทั้งนั้น”

“พวกเราก็มากันเป็นคู่นะย่า มีผม ย่า พ่อ แล้วก็แม่ สี่คน ครบคู่พอดี” ภพรักตอบยียวน คนเป็นย่าเกือบจะยกมะเหงกขึ้นเคาะกะโหลกหลานชายแล้ว แต่ระลึกได้ว่านี่มันงานของผู้รากมากดี ต้องรักษาภาพลักษณ์กันหน่อย

ย่าเดินหน้าเชิด นำขบวนไปนั่งยังโต๊ะวีไอพี ซึ่งมีป้ายอะคริลิค เขียนจารึกอย่างสมเกียรติว่า ‘คุณนายประนอม (ย่าแป้น)’

“นี่นะ ย่าไม่อยากจะคุย...” พอนั่งลงปุ๊บย่าก็เริ่มเรื่อง “ตอนคุณทะนงศักดิ์หนุ่มๆ เฝ้าจีบย่าเช้าถึงเย็นถึง นี่ถ้าไม่ติดว่าย่าเลือกแต่งงานกับปู่เอ็ง ป่านนี้แกได้กลายเป็นหลานชายนักการเมือง ชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศไปแล้วเว้ย”

ภพรักหันไปยิ้มขำๆ กับพ่อและแม่

“อย่าไปฟังย่ามากนักลูก” พ่อพูด “เป็นนักการเมืองมันจะไปน่าภูมิใจอะไร ประชาชนเค้าสาปแช่งกันทั้งประเทศ”

“นั่นมันเฉพาะพวกนักการเมืองขี้โกงหรอกเว้ยเจ้าประนพ แต่พี่ทะนงศักดิ์เนี่ย ตงฉินร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่ารับประกัน”

พูดจบปุ๊บ คนที่ย่าบอกว่าจะรับประกัน ก็เดินผึ่งผายเข้ามาหา โดยมีเหล่าบอดี้การ์ดนับสิบตามประกบเป็นเงา

“เป็นยังไงกันบ้างครับ” ประธานอาวุโสพรรคไทยขยันกล่าวทักทาย พร้อมรับไหว้ทุกคนอย่างเป็นกันเอง พอนั่งลงคุยกับย่าแล้ว ดูเขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “เดินทางกันมาไกลเหนื่อยไหมแม่ประนอม”

ผู้ถูกถามยิ้มหวาน ท่าทีเอียงอายราวกับเป็นสาวแรกรุ่น ภพรักแอบขำย่าตัวเองอยู่ในใจ

“ไม่เหนื่อยเลยจ๊ะพี่ศักดิ์ เจ้าประนพมันขับรถยังกะเหาะ ตดยังไม่ทันจะหายเหม็นก็มาถึงเสียแล้ว” ย่าตอบใสๆ ประธานอาวุโสนำทีมหัวเราะ ทุกคนเลยพากันหัวเราะร่วน

“แล้วนี่ทานอะไรกันหรือยังล่ะ” พลางหันไปทางลูกน้อง “ยืนทื่ออยู่ทำไม พวกเอ็งไปเรียกเด็กๆ มาเสิร์ฟน้ำท่าอาหารสิไป”

ภพรักชิงปฏิเสธ ทำท่าทางเกรงอกเกรงใจ “ไม่เป็นไรครับท่าน”

“ไม่ได้ๆ” ท่านว่า พร้อมกับหันไปสั่งลูกน้องซ้ำอีก “พวกเอ็งรีบไปเรียกเด็กๆ มาเสิร์ฟอาหารสิไป” ก่อนจะหันกลับสู่วงสนทนาอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง และเหลียวมองหน้าหลานชายย่าแป้น

“นี่เหรอ พ่อภพ หลานชายแม่ประนอม โตเป็นหนุ่ม หล่อจำแทบไม่ได้ แต่งงานแต่งการหรือยังล่ะ”

ภพรักรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างลืมตัว แต่ย่าชิงตอบ ตัดหน้าแบบทันควัน

“มีเมียแล้วจ้ะพี่ศักดิ์ หน้าตาน่ารักเชียวแหละ เสียดายวันนี้ไม่ได้พามาด้วย”

ภพรักกลืนน้ำลายพะอืดพะอม กระดากใจชะมัด

“มีเมียเสียแล้ว เสียดายจริง ไม่อย่างนั้นจะแนะนำให้รู้จัก หลานสาวฉันเอง เพิ่งกลับจากเมืองนอก” พูดเสร็จก็ชี้มือไปทางไลน์บุพเฟ่ต์ บอกว่า “โน่นแน่ะ คนที่กำลังหยิบน้ำส้มคั้นอยู่ตรงนั้น เห็นไหม”

คนที่ทะนงศักดิ์หมายถึง เป็นหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียว ในชุดราตรียาวสีขาวฟูฟ่อง หน้าตาสวยหวาน ประโคมด้วยชุดเครื่องเพชรวาวระยิบระยับ งดงามราวกับเจ้าหญิง

แต่ทว่า สายตาของภพรัก กลับชิ่งไปมองหญิงสาวในชุดเดรสเกาะอกสีแดงแปร๊ด ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กัน

นั่นมันยัยตัวซวยนี่นา มางานนี้ได้ไง แล้วเรื่องน่าตกใจก็บังเกิดขึ้นตอนที่ย่าหันดันไปเห็นเข้า แบบนี้เรียกว่า...ซวยขนานแท้!

ย่าแป้นอายุเจ็ดสิบเก้า ทว่าสายตานั้นยังชัดเจน ใสแจ๋ว อย่างกับสาวอายุสิบเก้า ย่ายิ้มให้กับเพื่อนชายคนสนิท เพื่อขอตัวไปเลือกตักอาหารที่ไลน์บุพเฟ่ต์ ทะนงศักดิ์เชื้อเชิญทุกคนเดินให้ทั่วงานได้ตามสบาย

ย่าลุกขึ้น เดินอย่างคล่องแคล่วว่องไว มุ่งตรงไปที่ไลน์บุพเฟต์ โดยมีพ่อและแม่ ลุกตามไปด้วย ส่วนภพรักทำอะไรไม่ถูก เดินตามไป หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“หนู หนูรักเดียวใช่ไหมจ้ะ” ย่าส่งเสียงทักทายขึ้น พร้อมๆ กับหันไปเอ็ดหลานชาย “ไหนว่าเมียเอ็งติดธุระมาไม่ได้ไงล่ะ เจ้าภพ!”

ภพรักเงอะงะ มองรักเดียวอย่างลุกลี้ลุกลน รักเดียวเองยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้ที่กำลังเคี้ยวปอเปี๊ยะแก้มตุ่ยอยู่ ก็ละล่ำละลัก หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม มือไม้สั่น แต่โชคยังเข้าข้างอยู่บ้าง เมื่อแม่แทรกขึ้นว่า

“แม่คะ หนูคนนี้ชื่อดวงฤดีต่างหากล่ะคะ”

ย่าแป้นจึงมองไปที่ป้ายประจำตัวนักข่าว ซึ่งมีชื่อแขวนหราอยู่บนคอเธอ

เห็นสายตาไวๆ ของย่าแป้นกับครอบครัวที่มองมา รักเดียวจึงนึกขึ้นได้ว่ากำลังสวมรอยเป็นยัยหนอนด้วง รีบรับมุก ตีหน้างงไม่รู้ไม่ชี้ทันที ส่วนภพรักรีบเสริมขึ้นว่า

“ครับย่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เมียผมหรอก แค่หน้าคล้ายกันเฉยๆ คนสมัยนี้ชอบทำศัลยกรรม หน้าตาเลยออกมาบล็อคเดียวกันหมด”

“เออ จริงของมันนะแม่ ฉันเคยเห็นในทีวี สาวๆ ยุคนี้หน้าตาเหมือนกันหมด จำไม่ได้เลยว่าใครเป็นใคร” นายประนพกล่าวสนับสนุน ย่าแป้นยักคออย่างคล้อยตาม แถมทำเป็นหันหลังไปป้องปากกระซิบกระซาบกับหลานชาย

“เห็นจะถูกของเอ็ง แม่หนูรักเดียวเมียเอ็ง สวยแบบธรรมชาติ น่ารักน่าเอ็นดูกว่าแม่คนนี้แยะ จะว่าก็ว่า แม่คนนี้แต่งหน้าแต่งตาอย่างกะงิ้วหลงโรง มิหนำซ้ำ ยังใส่ชุดอะไรไม่รู้ เว้าหน้าเว้าหลัง น่าเกลียดที่สุด” ย่าวิจารณ์ยกใหญ่ นี่ถ้าเจ้าตัวได้ยิน คงถึงขั้นเสียผู้เสียคนไปเลยทีเดียว ภพรักภาวนาให้คนโดนนินทาไม่ได้ยิน และโชคดีที่พ่อกับแม่ช่วยกันพาย่าเดินกลับไปที่โต๊ะเสียก่อน

 

สองทุ่ม ได้เวลาเปิดตัวผู้สมัครหน้าใหม่ของพรรค บริเวณหน้าเวทีนักข่าวจากหลายสำนักต่างยืนออกันจนเต็ม นักข่าวสายบันเทิงมีจำนวนมากกว่านักข่าวสายการเมืองเสียอีก แขกเหรื่อเกือบครึ่งที่มาร่วมงานก็เป็นดารานางแบบ อย่างที่รู้ๆ ยุคนี้นักการเมืองอาศัยเป็นข่าวกับดารานางแบบเพื่อสร้างกระแส ฝ่ายดารานางแบบก็เพิ่มมูลค่าตัวเองด้วยการคบกับนักการเมือง เรียกว่าน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

ถึงเวลาผู้สมัครออกมาปรากฏตัว แสงแฟลชวูบวาบสว่างไสว รักเดียวกะพริบตามองหาพี่เจนของเธอด้วยหัวใจที่เต้นระทึก คนวงในและบรรดานักข่าวต่างรู้กันดีว่า หนึ่งในทีมผู้สมัครหน้าใหม่ที่เป็นตัวเต็ง คือหนุ่มหล่อดีกรีนักเรียนนอกที่ชื่อเจนยุทธ์ แต่สำหรับรักเดียวเขาคือ‘พี่เจน’ รุ่นพี่ที่เธอแอบปลื้มมาตั้งแต่สมัยมัธยม เขาเป็นนักบาส ขวัญใจรุ่นน้องรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน

เมื่อช่วงเวลาที่เฝ้ารอก็มาถึง ผู้สมัครเรียงหน้าออกมาปราศรัย พี่เจนของรักเดียวกล่าวเป็นคนสุดท้าย พอถึงคิวที่เขากำลังจะได้กล่าว นักข่าวสายบันเทิงสิบกว่าสำนักต่างก็ถาโถมกันเข้าไป ยื่นไมค์รัวคำถามเป็นระวิง

“คุณเจนคะ คุณเจนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับน้องเค้กคะนึงนิจ จริงใช่ไหมคะ?”

“ที่เค้าว่าคุณเจนยุทธ์เกาะความดังของน้องเค้กเพื่อสร้างกระแส อันนี้จริงรึเปล่าคะ?”

“แล้วข่าวที่ว่าคุณพ่อหาคู่หมั้นคู่หมายไว้ให้เนี่ย จริงใช่ไหมคะ?”

ก่อนที่คำถามจะประเดประดัง บอดี้การ์ดหน้าเข้ม ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเจนยุทธ์ปราดเข้ามาขวาง กองทัพนักข่าวถูกกันออกไป

“ทุกท่านใจเย็นครับ ก่อนอื่นผมในฐานะตัวแทนพรรค ขอขอบคุณแขกทุกท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมในงาน และขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนง ที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของผมอย่างกับเป็นเงาตามตัว จนตอนนี้ผมเกือบคิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้ว” เจนยุทธ์กล่าวไปยิ้มไป ลักยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากเขา ชวนให้ผู้ฟังทั้งสาวน้อยและสาวเหลือน้อยเคลิบเคลิ้ม คนที่อาการหนักกว่าใครเพื่อน ก็เห็นจะไม่พ้นนักข่าวสาวมือใหม่ของไทยซียูนิวส์ที่ยืนตาเยิ้มอยู่ตรงหน้าเวที

“เรื่องข่าวกับคุณคะนึงนิจนั้น หายห่วงไปได้เลยครับ เพราะมันไม่เป็นความจริง ภาพที่สื่อโซเชียลนำเสนอออกไป เป็นภาพตัดต่อ มีคนไม่หวังดี ต้องการดิสเครดิตพรรคไทยขยัน”

“อ้าว แล้วข่าวที่คุณเจนมีคู่หมั้นคู่หมาย ซึ่งทางผู้ใหญ่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ยังเด็กล่ะคะ ได้ยินว่าฝ่ายหญิง เป็นคุณหนูไฮโซ ทายาทรัฐมนตรีคนดัง จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศอังกฤษเลยทีเดียว” นักข่าวสำนักหนึ่งแทรกคำถามขึ้น เจนยุทธ์ยิ้มและกล่าวตอบน้ำเสียงอบอุ่น

“นั่นก็ไม่มีอะไรครับ เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่คุยกัน และน้องเขาก็เพิ่งเรียนจบ ยังเด็ก และคงไม่ได้คิดอะไร เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมขอเวลาให้ได้ตั้งใจทำงาน รับใช้สังคม รับใช้ประเทศชาติให้เต็มที่ดีกว่า” เขาบอก ก่อนที่โฆษกพรรคจะขึ้นมากล่าวต่อ

“เอาล่ะครับๆ ในเมื่อทุกคนได้ฟังความจริงจากปากเจ้าตัวแบบนี้แล้ว ผมและทีมงานก็ไม่ต้องแถลงอะไรเพิ่มเติมอีก และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชน จะไม่ไปคิดเองเออเองเขียนอะไรให้คนเข้าใจผิดอีก เข้าใจตรงกันนะครับ” เขาสรุปในที่สุด

เห็นไหมเล่า! รักเดียวยิ้มโล่งอก คนอย่างพี่เจนยุทธ์ ไม่มีทางเอาเวลาไปทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนั้นแน่ แล้วเรื่องที่จะไปพัวพันกับยัยดาราฉาว เจ้าแม่โบท็อกซ์อย่างยัยเค้ก คะนึงนิจ ก็เป็นไปไม่ได้ด้วย ยิ่งเรื่องคู่หมั้นค้างปี ที่ชื่อคุณหนูฝนอะไรนั่น ก็เป็นไปไม่ได้ใหญ่ เฮ้อะ!

คิดแล้วก็ให้ยิ้มกริ่มด้วยความสุขใจ คว้า คาลัว มิลค์จากถาดเสิร์ฟของบริกรขึ้นมาดื่ม

บนเวทีในตอนนี้ ศูนย์รวมสายตาของแขกเหรื่อและนักข่าว คือโฆษกพรรคทำหน้าที่ชี้แจงข้อวิพากษ์วิจารณ์ของข่าวซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดในงานดีขึ้น ความวุ่นวายถูกแทนที่ด้วยเพลงเต้นรำยุคโก๋หลังวัง จอพรีเซนเทชั่นขนาดยักษ์ ประมวลภาพครอบครัวไฮโซ และเหล่าคนดังที่ให้การสนับสนุนพรรคมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง บรรยากาศในงานจึงคืนสู่ความปกติสุข

ในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสของพรรค ทะนงศักดิ์นำลูกพรรค แวะทักทายแขกวีไอพีแต่ละโต๊ะ อย่างเป็นกันเอง และความที่เป็นคนท่าดอกรัก ทะนงศักดิ์จึงดึงตัวจอมบุญอดีตกำนันแห่งท่าดอกรัก และเจนยุทธ์บุตรชาย มายังโต๊ะที่ย่าแป้นกับครอบครัวนั่งกันอยู่เพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ที่โต๊ะวีไอพี ขณะที่นางประนอมกำลังสาละวนอยู่กับการตักสปาเก็ตตี้พะรุงพะรังใส่ปาก ทะนงศักดิ์ส่งเสียงกระแอมเบาๆ ทักทาย

“อะแฮ่ม!”

“อ้าว พี่ศักดิ์ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง นั่งจ้ะนั่ง” ย่าแป้นยิ้มเขิน มะงุมมะงาหราควานหาผ้าเช็ดปาก

“พาคนสำคัญมาแนะนำ” ก่อนที่ตัวเองและลูกทีมจะพากันหย่อนก้นลงยังที่ว่างข้างๆ

“นี่นะหรือลูกชายพ่อกำนัน ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี พ่อเจนโตเป็นหนุ่ม หล่อเหลาเสียจนย่าเกือบจำไม่ได้” ย่ากล่าวอย่างรักใคร่เอ็นดู ไม่เพียงแค่ย่า หากทั้งพ่อและแม่ยังกระเถิบเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆ ชนิดที่ถ้านั่งบนตักได้ คงนั่งไปแล้ว ภพรักเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเซ็งๆ ท่ามกลางบรรยากาศชวนเอียน ทุกคนออกอาการตื่นเต้นดีใจจนโอเวอร์ที่ได้รับเกียรติจากเจ้าของงานขนาดยกขบวนกันมาร่วมโต๊ะ ซึ่งมีแต่เขาที่ไม่รู้สึกยินดียินร้ายสักเท่าไหร่

“ถ้าพ่อเจนได้เป็นสส.ก็คงจะดี และนับว่าเป็นบุญวาสนาของชาวท่าดอกรัก ย่าขอฝากฝังให้ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเราหน่อยนะ โดยเฉพาะเรื่องสินค้าเกษตร ราคามันตกต่ำเหลือเกิน”

เจนยุทธ์เลื่อนมือมาจับมือย่า แสดงถึงความจริงใจ “ครับ ย่ากับทุกๆ คนไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าได้ผมเป็นสส. รับรองเลยว่าทั้งเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของชาวท่าดอกรักจะต้องดีขึ้นแน่”

ย่ายิ้มแป้น ดึงมือสะอาดสะอ้านของว่าที่สส.หนุ่มมาบีบ “ฟังพ่อเจนบอกแบบนี้ ย่าค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย ไอ้ลำพังไร่นาและสวนผลไม้ของของย่านะ ไม่ห่วงหรอก กังวลแทนเกษตรกรรายย่อย พวกพ่อค้ากดราคาเหลือเกิน ยังมิหนำซ้ำ ค่าเช่าที่ ค่าเช่านาก็แพงขึ้นทุกวัน ไม่รู้ว่าไอ้เจ้าของที่ มันจะขูดเลือดขูดเนื้อกันไปถึงไหน”

“น้าแป้นวางใจเถอะจ้ะ ตาเจนเป็นคนพูดจริงทำจริง ลองได้รับปากว่าจะทำอะไรแล้ว หัวเด็ดตีนขาดก็ต้องทำให้สำเร็จ” จอมบุญเสริมหนักแน่น

ภพรักส่ายหัวให้กับคำโฆษณาชวนเชื่อนั้น แอบคิดสงสารย่าที่เทความหวังหมดหน้าตักให้กับคนโกงพวกนี้ แต่อดใจรออีกไม่นายหรอก รตอ.ภพรักผู้นี้แหละ จะเปิดโปงความเลวของพวกมันให้ทุกคนได้ตาสว่าง!

 

หลังจากนั่งเบื่อๆ และทนฟังย่ากับพ่อแม่คุยอย่างถูกปากถูกคอกับพวกพรรคไทยขยันเสียตั้งนาน ภพรักจึงขอปลีกตัวลุกออกจากโต๊ะ เดินมายังโซนเครื่องดื่ม ความที่แขกเหรื่อและกองทัพสื่อมวลชนกระจายตัวไปตามที่นั่งแล้ว บริเวณนี้จึงไม่ได้แน่นขนัดเหมือนตอนงานเริ่ม

ภพรักกวาดสายตามองหาแม่นักข่าวสาวร่างอวบรายนั้น ซึ่งเขาก็หาตัวเธอได้ไม่ยาก ดูจากหุ่นอวบอัดของแม่เจ้าประคุณแล้ว ลักษณะจะพบเจอง่ายตามไลน์บุฟเฟ่ต์ หรือจุดที่มีอาหารหลั่งไหลมาให้กินแบบไม่ขาดสาย

สำหรับรักเดียว การหักห้ามใจไม่ให้คว้าของกินเข้าปากเป็นเรื่องยาก แต่การหักห้ามใจไม่ให้ดื่มของมึนเมายากยิ่งกว่า คาลัว มิลค์จากถาดเสิร์ฟของบริกรจึงถูกเธอคว้ามาอีก นับเป็นแก้วที่สาม หรือว่าแก้วที่สี่ รักเดียวก็ชักไม่แน่ใจ เธอยกมันขึ้นดื่มรวดเดียวหมดและคืนแก้วกลับลงที่เดิม

เมื่อซัดค็อกเทลรสเลิศเข้าไปหลายแก้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็เริ่มแผ่ซ่าน ยืนทรงตัวไม่ค่อยจะได้ ส่วนสูงห้าฟุต กับรองเท้าส้นเข็มหกนิ้ว นอกจากจะไม่เป็นฐานรากที่มั่นคงแล้ว ดูเหมือนมันจะทำเธอต้านทานแรงดึงดูดของโลกไม่ไหวเสียง่ายๆ เดินโงนเงนอยู่เพียงไม่กี่ก้าวก็เลยสะดุดพรม เซเสียหลักหน้าเกือบทิ่มพื้น ดีแต่มีแผ่นอกหนาๆ ของใครคนหนึ่งเข้ามารับไว้

“ว๊าย!”

แหงนหน้าขึ้นก็เจอะกับสายตาคู่เข้มของชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตช็อตสลีฟว์ สีน้ำเงินวาว เจ้าของแขนใหญ่ที่รับร่างเธอไว้ยิ้มมุมปาก ปากน้อยๆ ของรักเดียวที่อ้าขึ้น เพื่อจะเอ่ยขอบคุณ เลยกลับต้องค้างเติ่ง

“ทำไมต้องเป็นคุณด้วยเนี่ย!”

“ทำไมครับ เป็นผมแล้วมันยังไงไม่ทราบ หรือเมื่อกี้คุณจินตนาการว่าจะได้แขนล่ำๆ อกแน่นๆ ของพระเอกเกาหลีแทนที่จะเป็นผม เอ... แต่ดูเหมือนคุณยังไม่แน่ใจนะ ว่าอกของผมมันแน่นได้มาตรฐานหรือยัง คุณถึงยังอิงแอบแนบอยู่บนอกผมไม่ยอมปล่อยสักที” ชายหนุ่มอมยิ้ม รักเดียวได้สติ รีบผละตัวออกจากอ้อมแขนเขาฉับพลัน

“บ้าสิ! ใครจะไปคิดแบบนั้น ทุเรศ” ยกมือปัดเนื้อปัดตัวอย่างกับรังเกียจเต็มประดา แต่ชายหนุ่มไม่ถือสา หากยังยกมือกอดอก พูดจายิ้มยั่ว

“หมู่นี้เราสองคนเจอกันบ่อยแฮะ สงสัยเป็นเพราะพรหมลิขิต” เขาบอก

“ผีลิขิตสิไม่ว่า” รักเดียวแบะปาก “ถอยออกไปห่างๆ ฉันเลยไป คุณมันตัวซวย เจอกันทีไร ฉันได้เรื่องทุกที”

ภพรักส่งเสียงขำในลำคอ “เฮ้อะ! ผมต่างหากล่ะ โชคร้ายทุกทีที่เจอคุณ”

“เออ เหมือนกันแหละ จะคุณเจอฉัน หรือฉันเจอคุณ ซวยด้วยกันทั้งหมดแหละ ดังนั้นคุณถอยไปไกลๆ เลยไป! แล้วก็ถ้าให้ดีนะ ฉันขอภาวนาว่านับจากนี้ ขอให้เราสองคนไม่ต้องบังเอิญเจอมากันอีก” พร้อมกับสะบัดหน้าใส่ ต่างหูคริสตัลของเธอกระทบกัน เสียงฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมว ชวนให้เขาหัวเราะได้ไม่เบื่อ

“ยิ้มอะไร!” ถลึงตามองเขาอย่างขวางๆ ภพรักกลั้นเสียงหัวเราะแทบไม่ไหว

“ลืมอะไรไปอย่างหรือเปล่าครับ คุณนักข่าว”

"อะไร? ฉันลืมอะไร?”

“ไม่ไหวๆ อายุเท่าไหร่กันคุณ กลายเป็นคนขี้ลืมซะแล้ว ก็เรื่องที่รถผมชนรถคุณไง ยังไงซะนะ ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืน เราคงต้องเจอกันอีก”

“ได้” รักเดียวหมายมาด “จบเรื่องรถ เราสองคนจบกัน ขอให้ไม่ต้องมาพบเจอกันอีก”

“ซ้า...ธุ” ภพรักยกมือประนมขึ้นท่วมศีรษะ ส่งเสียงสาธุประชดให้กับอาการรังเกียจเข้าไส้ของอีกฝ่าย ซึ่งดูเหมือนว่าคุณเธอจะไม่ยี่หระ หันไปฉวยค็อกเทลอีกแก้วจากถาดของบริกรที่เดินผ่านมา ก่อนจะเดินโคลงเคลงกลับไปที่โต๊ะ ซึ่งโซนที่ถูกเซ็ทไว้สำหรับสื่อมวลชน

ภพรักเดินอมยิ้มกลับมาที่โต๊ะ พวกพรรคไทยขยันขนโขยงกันไปโต๊ะอื่นแล้ว ที่โต๊ะเขาจึงเหลือแต่คนในครอบครัว พอพ่อเห็นเขาเดินอมยิ้มกลับมาก็ให้เอ่ยปากแซว

“นี่เจ้าภพมันไปสะดุดชายกระโปรงดาราสาวคนไหนมาหรือเปล่าวะ ยิ้มแก้มปริกลับมาเลย”

“ดารงดาราที่ไหนล่ะพ่อ แค่เจอคนเคยรู้จักเฉยๆ”

นางปราณีเห็นอาการของบุตรชายก็ให้นึกไปถึงแม่หนูรักเดียวว่าที่ลูกสะใภ้ เอ่ยถามขึ้นแบบเปรยๆ ว่า

“หนูรัก เมียของลูกน่ะ น่ารักดีนะ ไปพบเจอกันได้ยังไง คบหากันมานานเท่าไหร่ แล้วมาอยู่ด้วยกันแบบนั้น พ่อแม่เขารู้หรือยัง”

ลำพังคำถามของแม่ก็สร้างความลำบากใจให้เขามากอยู่แล้ว นี่ย่ายังอุตส่าห์วางถ้วยบัวลอย หันมาตั้งคำถาม เพิ่มความยุ่งยากใจแก่เขามากขึ้นอีกว่า

“เออนั่นสิเจ้าภพ บ้านช่องห้องหับของแม่หนูรักเดียวอยู่ที่ไหนหรือ ข้าจะได้รีบไปทาบทามสู่ขอกับพ่อกับแม่เขาให้กับเอ็งอย่างเป็นทางการ อยู่กินกันเป็นผัวเมียโดยที่ยังไม่ได้ตบได้แต่ง ผีปู่ผีย่ารู้เข้าจะลุกขึ้นจากหลุดมาด่าข้าได้”

ภพรักอึกอัก จะตอบคำถามของย่าและแม่ได้อย่างไร ในเมื่อเขาเองก็รู้จักยัยคนนั้นพอๆ กับที่ย่าและพ่อกับแม่รู้นั่นแหละ

“เอางี้เจ้าภพ เอ็งอยู่ทางนี้ หาเวลานัดพ่อกับแม่ของหนูรักเดียว ส่วนข้ากลับไปถึงท่าดอกรักเมื่อไหร่ จะรีบขอฤกษ์จากหลวงตา ได้ฤกษ์ดีปุ๊บ ยกทัพไปสู่ขอแม่หนูทันทีเลย” แล้วย่าก็หันไปรำพึงกับแม่ “ถ้าฤกษ์จากหลวงตา ตรงกับช่วงข้าวตั้งท้องก็คงดี จะได้จัดพิธีแต่งงานและสู่ขวัญข้าวพร้อมกันไปเลย”

ดูเหมือนย่าจะไปไกลจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว เขาควรทำอย่างไรต่อไปดี ขืนสารภาพความจริงตอนนี้ก็เท่ากับทำลายความหวังของย่า ภพรักยกมือกุมหน้าผาก ปวดกบาลอย่างหนัก คิดตอนจบของเรื่องนี้ไม่ออกเลยจริงๆ

 

อีกยี่สิบนาทีจะห้าทุ่ม รักเดียวยกมือดูเวลา แม้งานเลี้ยงจะยังไม่เลิกรา แต่เธอต้องรีบกลับไปรายงานตัวต่อหน้าพี่ชายผ่านจอเฟสไทม์ตามกฎ รักเดียวจึงตัดสินใจกลับ ทั้งๆ ที่ยังอยากหาโอกาสสานสัมพันธ์กับผู้สมัครหนุ่มเจนยุทธ์ให้สำเร็จเสียก่อน แต่เอาเถอะ ตราบเท่าที่ยังอยู่วงการข่าว เธอต้องได้สานสัมพันธ์กับเขาไม่ช้าก็เร็วแน่

เธอเดินมึนๆ ออกมาหน้าโรงแรม หวังแค่จะประหยัดค่ารถ เพราะถ้าเป็นลีมูซีนหรูล่ะก็แพงหูดับ ยอมเดินมาไกลอีกหน่อยดีกว่า

จึงเดินมาจนถึงริมถนนใหญ่เพื่อเรียกแท็กซี่ แต่ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะเต็มไปด้วยคนอยากกลับบ้าน แท็กซี่ว่างๆ ถึงได้ไม่ผ่านมาเลยซักคัน

ค็อกเทลชักจะสำแดงผล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นคู่ปรับตัวสำคัญที่มักทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง และแม้จะบอกตัวเองว่าไม่ได้เมา แต่เธอก็ยอมรับว่ายากมากที่จะประคับประคองสองเท้าให้เดินตรงทาง

กระทั่งความซวยระลอกสองเล่นงานเข้าจนได้ รองเท้าส้นเข็มความสูงหกนิ้ว ทำเธอสะดุดกับฝาท่อ ดีแต่เธอเป็นนักกีฬาเก่า การทรงตัวดีมาแต่ไหนแต่ไรก็เลยไม่ถึงกับล้มหัวทิ่ม แต่กระนั้นปลายกระโปรงยาวรุ่มร่ามก็ดันไปเกี่ยวเข้ากับเหล็กเส้นสนิมเกรอะ ที่โผล่ขึ้นมาจากฝาท่อ เนื้อผ้าชีฟองขาดหลุดลุ่ย รักเดียวแก้เผ็ดเจ้ากระโปรงไม่รักดีด้วยการจับมันฉีก

แควก! อยากขาดดีนัก ก็ขาดให้พ้นๆ ไปเสียเลยแล้วกัน ก่อนจะแสยะยิ้มด้วยความสะใจ กระโปรงยาวลากพื้นเลยกลายเป็นกระโปรงสั้นกุด โชว์ต้นขาขาวจั๊วะไปในพริบตา

นานเป็นชั่วโมงในการยืนรอรถแท็กซี่ แสงแห่งความหวังฉายมารำไรจากรถยนต์สีเลือดหมูลวดลายแปลก ที่แล่นอย่างช้าๆ เบื้องหน้า รักเดียวยื่นแขนขาวๆ ของตัวเองไปโบกเรียก

ด้วยสายตาที่พล่าเบลอเธอเฉลียวสงสัยอยู่เหมือนกันว่าโลโก้ข้างรถมันดูทะแม่งๆ ชอบกล

ต่อเมื่อรถที่ว่านั่นแล่นมาจอดเทียบข้างเธอ และคนในรถชะโงกคอข้ามหน้าต่างรถออกมา เธอถึงได้รู้ว่า อ้อ! นี่ มัน ไม่ช่าย แท็ก ซี่...

“ชั่วโมงเท่าไหร่”

คนถูกถามตะแคงหน้า เงี่ยหูฟัง ตาปรือๆ

“อาราย... เท่าหร่าย?”

“ค่าขนม คิดเท่าไหร่”

รักเดียวส่ายหัว “ม่ายกิน... อิ่มแล้ว... จา กลับบ้านนนน”

“นี่ละชัดเลย เหมือนที่สายรายงานมาเป๊ะ สาว ขาว เมา พูดจาไม่รู้เรื่อง… เข้าชาร์จเลยหมู่!”

สิ้นจากเสียงกระโชกนั้นรักเดียวก็แทบตกใจหายมึน ชายฉกรรจ์ทั้งสองลงจากรถมารวบตัวเธอ สองแขนอันอ่อนปวกเปียกเพราะฤทธิ์เหล้าถูกจับไพล่หลังล็อคแน่นหนาด้วยกุญแจมือ แล้วพวกมันก็ลากเธอเข้าไปในรถ …โจรบ้ากาม!!!

“ช่วย... ด้วยยยยย”

 

ทะนงศักดิ์เอาใจแขกผู้ร่วมงานด้วยการกล่าวเชิญผู้สนับสนุนหลักของพรรคขึ้นมารับโล่ทองคำแท้บนเวที ซึ่งใครจะเชื่อว่าหนึ่งในรายชื่อผู้ได้รับเกียรตินั้น จะมีชื่อคุณนายประนอม เจ้าของสวนและโรงงานผลไม้ไทยส่งออกรายใหญ่ของประเทศติดอยู่ในโผกับเขาด้วย

ภพรักยืนจิบแชมเปญมองดูย่าแป้นเล่าถึงที่มาที่ไปของตนเองและเหตุผลที่ได้ให้การสนับสนุนพรรคไทยขยันมายาวนานกว่ายี่สิบปี

หลังกล่าวเสร็จทะนงศักดิ์ขึ้นมอบโล่เกียรติยศ ภพรักไม่สงสัยเลยว่าทำไมพรรคไทยขยันถึงได้มีงบสนับสนุนมากมายขนาดมอบโล่เกียรติยศเป็นทองคำฝังเพชรอย่างนั้นได้

แต่ก่อนที่จะทันได้จับเอามาเป็นประเด็น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น คนจากต้นสายส่งเสียงลอดมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ

“ผู้กองครับๆ!! ช่วยมาที่สน.ตอนนี้ด่วนเลยได้ไหมครับ พอดีสายตรวจจับสาวไซด์ไลน์มาได้คนนึง เธอเมามากพูดจาไม่รู้เรื่อง”

“โธ่หมวด แค่จับตัวสาวไซด์ไลน์ ทำเสียผมตกอกอกใจ นึกว่าเป็นเรื่องใหญ่”

“ยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องใหญ่หรอกครับผู้กอง แค่เกือบๆ เพราะตอนนี้เธอป่วนจนโรงพักโกลาหลไปหมดแล้วครับ” ร้อยเวรรายงาน โดยมีเสียงเอะอะโวยวายพร้อมกับเสียงข้าวของตกกระทบพื้นดังลอดเข้ามาในสายประกอบสถานการณ์สดอยู่อย่างต่อเนื่อง

“ถ้าฤทธิ์มากนักก็จับขังไปเสียเลย ไม่ได้เป็นเยาวชนใช่ไหมล่ะ”

“ครับผู้กอง ยี่สิบสี่แล้วครับ”

“อือๆ” ผู้กองหนุ่มยักคอกับโทรศัพท์ “จับใส่ห้องขังไปเลย สร่างเมาค่อยเรียกมาเคลียร์กัน”

“แต่ผู้กองครับ... เอ่อ ผู้กองช่วยมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลยได้ไหมครับ พอดีว่าคุณผู้หญิงคนนี้ เค้าบอกว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ แถมควักบัตรประจำตัวของผู้กองออกมาโชว์ด้วย”

“ว่าไงนะหมวด บัตรของผม! โอเคๆ ผมจะรีบไป” วางสายเสร็จก็นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย จำได้ว่าเขาเอาบัตรประจำตัวให้กับยัยนักข่าวแปลกหน้าคนนั้นไป เพื่อแลกกับการเอารถของคุณเธอไปซ่อม ชายหนุ่มกวาด

สายตาไปโดยรอบเพื่อมองหาเจ้าตัว แต่เหมือนกับว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในงานเสียแล้ว โอย ไม่นะ ขออย่าให้แม่เจ้าประคุณก่อเรื่องขึ้นเลย

ภพรักฝากฝังกับลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมาในงานให้ช่วยดูแลย่าและพ่อแม่ ก่อนจะวางมือจากเครื่องดื่มสุดฟิน กลับออกมาจากงานอย่างร้อนรนใจ

เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจากงานเลี้ยงเดินทางมาถึงโรงพัก และทันทีที่ร้อยเวรเห็นการก้าวเข้ามาของเขาก็ตรงดิ่งเข้ามารายงานด้วยอาการตื่นตระหนก

“นั่นครับผู้กอง นั่นแหละ ฝีมือผู้ต้องหา” พร้อมชี้มือไปยังโต๊ะซึ่งเอกสารกระจัดกระจาย บ้างก็ลงไปนอนระเนระนาดอยู่ตรงพื้น

“แล้วไหนล่ะผู้ต้องหา”

“นอนไม่ได้สติอยู่โน่นครับ”

ภพรักมองตามมือร้อยเวรฝ่าลูกกรงเหล็ก หญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นขาดวิ่นสภาพมอมแมมอย่างกับเพิ่งชิงมาจากปากหมานอนขดตัวปุกปุยแถมกรนครอกฟี้ๆ อยู่ในนั้น

“ไขกุญแจ พาเธอออกมา” เขาสั่ง

“อะไรนะครับผู้กอง” ร้อยเวรถามอย่างไม่เชื่อ

“ผมบอกให้พาเธอออกมา”

“จะให้เอาตัวเธอออกมาจริงๆ เหรอครับผู้กอง” ร้อยเวรเลิ่กลั่ก ควักเอาพวงกุญแจที่ห้อยเอวขึ้นมา “แน่ใจนะครับ ว่าเธอจะไม่ออกมาทำลายข้าวของหรือทำร้ายตำรวจอีก”

“เออน่า บอกให้เปิดก็เปิด” ภพรักย้ำขึงขัง “เธอเป็นสายหน่วยผมเอง”

“หา!” ตำรวจอีกสองนายถึงกับเบิกตาโต ขมวดคิ้วยู่ยี่อุทานถามพร้อมเพรียง “เนี่ยนะครับ สายของหน่วยเรา? จะทำงานให้เราได้จริงๆ เหรอครับ”

“ถ้ามีอะไร ผมรับผิดชอบเอง” เขายืนยัน เมื่อประตูกรงถูกเปิดออก ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างในด้วยใบหน้าสุดเอือม จดๆ จ้องๆ ร่างมอมแมมที่ขดตัวกลมป๊อกอยู่บนพื้นก่อนจะตัดสินใจอุ้มร่างนั้นขึ้น พาออกมานอกกรงสู่อิสรภาพและโดยไม่ลืมหันไปกำชับกับทุกคน “ผมจะพาเธอไปส่งบ้าน ไม่ต้องลงบันทึกประจำวันนะ แล้วก็ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใคร ให้คนรู้น้อยที่สุด เข้าใจไหม”

ร้อยเวรและเจ้าหน้าที่สองนายพยักหน้ารับคำสั่งของเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อมั่นนัก ภพรักถอนใจหนักหน่วง เวรจริงๆ ... กลายเป็นว่ามีเรื่องโกหกเพิ่มขึ้นอีกเรื่องในชีวิต แถมมียัยคนนี้มาเป็นภาระ มองใบหน้ากลมป๊อกที่หลับพริ้มปุกปุยอยู่ในอ้อมแขนเขาและคิดว่า ช่างเป็นภาระที่ใหญ่หลวงเสียจริง

ภพรักอุ้มหญิงสาวในสภาพมอมแมมออกจากสถานีตำรวจ ก้าวไวๆ หนีสายตาคนอยากรู้อยากเห็นที่มองตามมาจนถึงลานจอด เปิดประตูวางร่างเธอเบาๆ ตรงเบาะนั่งข้างคนขับ ก่อนที่ตัวเองจะเดินอ้อมไปประจำตำแหน่งโชเฟอร์ ติดเครื่องและขับออกไปอย่างรวดเร็ว กลัวใครผ่านมาเห็นจะกลายเป็นมีคนรู้เพิ่มขึ้นมาอีก

หลงคิดว่าเพลงอะคูซติกเบาๆ กับเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำภายในรถจะกล่อมหญิงสาวให้หลับปุ๋ยไปจนถึงที่พัก ทว่าผิดคาด มันกลับปลุกเร้าให้เธอรู้สึกตัว ขณะที่รถแล่นมาได้แค่ครึ่งทาง แม่เจ้าประคุณตัวซวยก็ตะเกียกตะกายจะเปิดประตู

“ทำอะไรคุณ รถวิ่งอยู่เห็นไหมเนี่ย” ภพรักรีบชะลอรถอย่างตกอกตกใจ

รักเดียวลืมตาปรือๆ หันไปสะกิดไหล่เจ้าของรถ และกล่าวกับเขาเสียงอู้อี้ “คุณ อ่า... เอ่อ มี ถะ...ถุงมั๊ย”

ชายหนุ่มถึงกับผงะ มีจิตสำนึกบ้างไหมเนี่ย ถามออกมาได้ไง เป็นสาวเป็นนาง ถามผู้ชายเรื่อง’ถุง’

“ว่างาย มีม๊าย... ถุง” เธอถามซ้ำ กระเสือกกระสนจะเปิดประตูรถให้จงได้ แต่ภพรักรีบชะลอรถและคว้ามือเธอเอาไว้

“จะบ้าหรือไง เมาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่อง”

“ฉ้าน...จา...อาว...ถุง จะ... อ้วก...กกกก”

กว่าจะเข้าใจก็ไม่ทันแล้ว ร่างเล็กภายใต้เดรสเกาะอกของแม่คุณถาโถมเข้ามาชนิดไม่ให้ทันตั้งตัว เขารีบตีไฟเลี้ยวพารถจอดข้างทาง ซึ่งก็พอดีกับที่หญิงสาวปล่อยพลังขย้อนเอาสารพัดอาหารหน้าตาเดียวกันเลยกับที่เห็นอยู่บนไลน์บุฟเฟ่ต์ในงานเลี้ยง ความรู้สึกเปียกเหนอะบนอกเสื้อค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาถึงข้างใน หมดกัน! อามานี่ราคาหมื่นสอง ถ้ารู้ว่าต้องพบจุดจบแบบนี้ใส่เสื้อยืดตราห่านมาแทนซะก็ดี

ความซวยในค่ำคืนนี้ของเขายังไม่สิ้นสุด หลังจากเอาน้ำที่มีเหลือติดในรถครึ่งขวดชำระคราบปอเปี๊ยะทอดออกจากเสื้อเชิ้ตไฮเอนด์ของตัวเองจนเสร็จสิ้น เขาก็ต้องคิดหาวิธีที่จะจัดการกับยัยตัวดีต้นตอของปัญหา

ทิ้งไว้ข้างทางนี่ซะก็หมดเรื่อง! เขาคิด แต่จิตสำนึกปฏิเสธทันควัน...ไม่ได้ๆ เสียเกียรติตำรวจไทยหมด ...

งั้นพากลับไปใส่ห้องขังตามเดิม ...ก็ไม่ได้อีก ดันบอกไปว่าเป็นสายสืบของหน่วย โอย! คิดไม่ออก ปวดหัว

สุดท้ายภพรักเลยจำเป็นต้องหอบเธอกลับขึ้นรถเพื่อพากลับคอนโด ตลอดเส้นทางมาถึงคอนโด เขาก็ไม่เป็นอันตั้งใจขับรถ เพราะมัวแต่หันมองดูเธอด้วยอาการเสียวสันหลังเป็นพักๆ ด้วยหวั่นว่าอ้วกสะท้านฟ้าของเธอจะพุ่งออกมาอีก

“ซวยจริงๆ ไหนใครภาวนาว่าขอให้ไม่ต้องเจอกันอีก” เขาบ่นกับตัวเอง หรือนี่จะเป็นกรรมเก่า จริงสินะ อย่างที่พระท่านสอนว่า กัมมุนา วัตตติโลโก... สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น